Attack on Titan. Au S.Fic HBD.Eren [Levi x Eren] พราว : 01
: Attack on Titan Fanfiction
: Levi x Eren
: Warmhearted Sweet
: NC-17
คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
.
.
.
.
.
เพราะฉันเพิ่งบอกรักไป...
และเขา...ก็รับฟังทุกอย่าง ทุกถ้อยคำ...
เหมือนความฝัน...
แต่ฉันเองก็ไม่อาจแน่ใจ...พรุ่งนี้...เรื่องของเราจะสุข...หรือแสนเศร้า...
จึงวอนขอดาวให้ช่วยฉันที....
.
.
.
.
.
.
.
.
“ เอเลน~~~ ฝากด้วยน้า~~~”
“ เฮ้ย! เดี๋ยวสิพวกนะ.....” ปลายเสียงยังไม่ทันจะได้พูดจนจบประโยค กลุ่มเด็กนักเรียนชาย ม.ปลายของชมรมเบสบอลก็กระโดดข้ามรั้วเหล็กซึ่งบ่งบอกถึงอาณาเขตของชมรมไป ปล่อยให้มือที่ตั้งใจจะห้ามต้องยกค้างอยู่อย่างนั้น
ให้ตายเถอะ...เป็นแบบนี้ได้ทุกวี่ทุกวัน!
ลมหายใจถูกพ่นออกไปอย่างฉุนเฉียวระคนเหนื่อยหน่ายก่อนจะก้มลงไปเก็บชุดฟอร์มของทีมเบสบอลที่กองระเกะระกะอยู่ที่พื้นบ้างเก้าอี้บ้างแล้วโยนลงตะกร้า...ดูท่าว่าวันนี้ผมก็ต้องทำทุกอย่างนี่คนเดียวอีกแล้วสินะ...ทั้งๆที่บางคนก็เอากลับไปซักเองที่บ้านแต่ก็มีอีกหลายคนทิ้งเอาไว้ให้ “ผู้จัดการทีม” อย่างผมเป็นคนซัก
ใบหน้าละจากเสื้อผ้าเน่าๆในตะกร้าไปมองห้องชมรมที่ก็ไม่ได้เป็นระเบียบเรียบร้อยพอกัน...อย่างเจ้าพวกนั้น...ผมคงไม่ใช่ผู้จัดการทีมในฝันละมั้ง ถึงได้ปฏิบัติกับผมไม่ต่างไปจากคนรับใช้แบบนี้!
สองขาเผลอหยุดอยู่หน้ากระจกเงาบานยาวในห้อง...ก็นะ...ถึงจะเป็นชมรมเบสบอลของโรงเรียนชายล้วนแต่ถ้าได้หนุ่มน้อยหน้าตาน่ารักมาเป็นผู้จัดการทีมมันก็คงทำให้รู้สึกดีกว่านี้...แต่ภาพที่สะท้อนอยู่บนกระจกเงาดันเป็นเด็กผู้ชายผอมแห้ง ใบหน้าซีดเซียว หัวสีน้ำตาลก็ยุ่งเหยิงแถมยังใส่แว่นตาบดบังใบหน้าไปกว่าครึ่งอีก...สภาพแบบนี้คงห่างไกลจากคำว่าผู้จัดการทีมในฝันอยู่ไม่น้อยเลยละนะ
มือปิดฝาเครื่องซักผ้าเก่าๆของชมรมที่เริ่มครวญครางเสียงดังหึ่งทันทีที่เริ่มทำงาน...นอกจากชื่อเสียงระดับท็อปของประเทศกับถ้วยแชมป์ที่เรียงรายจนล้นตู้แล้ว ชมรมเบสบอลของที่นี่ก็ไม่มีอะไรดีเลยจริงๆ....สงสัยว่าในฐานะผู้จัดการทีม ผมคงต้องตัดงบเบี้ยเลี้ยงบางส่วนของเจ้าพวกนั้นเอามาซื้อเครื่องซักผ้าใหม่กับปรับสภาพห้องชมรมให้ต่างจากรังหนูมากกว่านี้ซะแล้ว
ราวตากผ้าถูกลากออกมาจากห้องเก็บของก่อนที่มันจะไปตั้งโดดเดี่ยวอยู่ข้างสนามหญ้าสีเขียวซึ่งบัดนี้ร้างไร้ผู้คน เบสทั้งสี่ยังคงนอนนิ่งอยู่บนผืนหญ้าที่ไม่ได้เรียบเสมอกันทั้งสนามซึ่งเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงความหนักหน่วงและการซ้อมอย่างเอาจริงเอาจังของชมรมเบสบอลที่นี่
เพราะแบบนั้นแหละ...ผมถึงเป็นได้แค่ผู้จัดการทีม...
ทั้งๆที่รักและอยากเล่นเบสบอลมาตั้งแต่เด็กๆ....แต่ผมก็เล่นไม่ได้...ด้วยโรคประจำตัวที่มี...
การเป็นผู้จัดการทีมจึงเป็นเพียงทางเดียวของผมที่จะทำให้ได้ใกล้ชิดกับสิ่งที่รัก...ถึงแม้ว่ามันจะลำบากไปบ้าง แต่ผมก็ยังอยากทำอยู่ดี
แรงกระทบที่ฝ่าเท้าทำให้ก้มหน้าลงไปดู...ลูกเบสบอลที่พวกนั้นคงจะเก็บไปไม่หมดกลิ้งมาจากที่ไหนสักแห่ง มือจึงเอื้อมไปหยิบมันขึ้นมา...นัยน์ตาจับจ้องลูกบอลสีขาวตะเข็บสีแดง...ริ้วรอยของมันทำให้เผลอมองด้วยแววตาเอ็นดู
อยากจะเล่นสักครั้งจัง...
กว่าจะตากผ้าเก็บกวาดอะไรต่อมิอะไรเสร็จ ห้องชมรมเบสบอลก็ปิดลงตอนท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีส้มไปแล้วเรียบร้อย
สองขาก้าวเดินไปตามระเบียงทางเดินที่มีเงาของผมทอดลงไปเพียงลำพัง...และทั้งๆที่คิดว่าไม่มีใครเหลืออยู่ในโรงเรียนแล้วแท้ๆ แต่สองหูกลับได้ยินเสียงพูดคุยแว่วเข้ามา?
“ ช่วยรับจดหมายนี้เอาไว้ด้วยค่ะ!!”
ฝ่าเท้าถึงกับชะงักเมื่อจับใจความได้ว่าประโยคนั้นคืออะไร ไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังหรอกนะ แต่ถ้าผมก้าวขาต่อไปพวกเขาคงเห็นผมแน่และมันคงจะไปขัดบรรยากาศแห่งความรักของทั้งคู่ แผ่นหลังจึงพลิกมายืนหลบอยู่กับผนังแทน
“ ขอโทษ...ชั้นไม่รู้จักเธอ เพราะงั้นคงรับไว้ไม่ได้”
หะ โหดร้ายชะมัด....
ถึงจะไม่รู้ว่าเจ้าของเสียงทุ้มที่ฟังดูคุ้นๆนั่นเป็นใคร แต่ถ้อยคำโหดร้ายแบบนั้นมันใช่ที่ควรจะใช้ปฏิเสธเด็กผู้หญิงไหมน่ะ?
ผมได้แต่ยืนกอดกระเป๋านักเรียนแน่น รู้สึกสงสารเด็กผู้หญิงคนนั้นขึ้นมาถนัดใจที่ดันไปหลงรักผู้ชายใจร้ายแบบนั้นได้...ถ้ามาสารภาพรักกับผมละก็คงไม่เจอเรื่องแบบนี้หรอก...ก็พูดไปนั่น...เพราะตั้งแต่เกิดมาผมเคยมีโอกาสได้คิดคำปฏิเสธรักใครเสียที่ไหน
เงาซึ่งทาบทับลงที่พื้นไม่ไกลทำให้ผมต้องพยายามทำตัวลีบที่สุด กลิ่นหอมๆโชยมาก่อนที่เด็กผู้หญิงผมยาวสลวยจะก้าวขาเร็วๆผ่านไป....ชุดนักเรียนนั่นมัน...เด็กผู้หญิงโรงเรียนเอกชนใกล้ๆนี่?...ถึงใบหน้าจะเศร้าหมองแต่ก็ต้องยอมรับว่าเธอนั้นสวยมากทีเดียว...สวยขนาดนั้นเจ้าผู้ชายใจร้ายนั่นยังปฏิเสธลงอีกหรอ?
“ โฮ่ย...มาแอบฟังแบบนี้อยากตายหรือไงไอ้เด็กเหลือขอ?”
เสียงเหี้ยมที่ทักขึ้นโดยไม่ทันรู้ตัวทำเอาไหล่ผมถึงกับสะดุ้งโหยง...เดี๋ยวนะ...ตอนนี้ผมรู้แล้วละว่าไอ้เสียงคุ้นๆที่ว่านั่นมันเสียงของใคร...
“ .....โค้ช........แหะ แหะ...” รอยยิ้มแห้งๆถูกส่งไปให้ใบหน้านิ่งสนิทราวกับปลาตายของอีกฝ่าย...อื้ม...ถ้าเป็นคนนี้ละก็...จะปฏิเสธอย่างไร้เยื้อไยแบบนั้นผมก็ไม่รู้สึกแปลกใจแล้วละ
ก็เพราะว่าโค้ชของชมรมเบสบอลที่นี่ โหดร้ายเสมอต้นเสมอปลายไม่ว่าจะเวลาไหนเลยน่ะสิ!
นัยน์ตาลอบมองคนที่เดินนำอยู่ข้างหน้า....ที่จริงผู้ชายรูปร่างเล็กที่เตี้ยกว่าผมนิดหน่อยนั่นไม่ได้เป็นอาจารย์ประจำอยู่ในโรงเรียนนี้ เพียงแต่ถูกจ้างมาในฐานะโค้ชของทีมเบสบอลเพราะเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงในกีฬาชนิดนี้ แล้วเจ้าตัวเองก็พาทีมเบสบอลของที่นี่ไปโคชิเอ็งแล้วกวาดแชมป์มาไม่รู้กี่สมัยต่อกี่สมัย
ผมเอง...ก็ชื่นชมเขาอยู่ไม่ใช่น้อยถึงเลือกสอบเข้าที่นี่...เพื่อให้ได้เป็นส่วนหนึ่งในชมรมเบสบอลแห่งนี้
สองขาก้าวตามเขาไปจนถึงโรงจอดจักรยาน ร่างในชุดวอร์มก้าวขาคร่อมจักรยานเพียงคันเดียวที่เหลืออยู่ก่อนจะหันมามองหน้าผมอย่างสงสัย
" จักรยานของนายล่ะ?"
" เอ่อ...ผมเดินมาครับ..." ผมยิ้มให้เขาโดยไม่คิดจะบอกเหตุผลที่ผมใช้วิธีเดินเอาเพราะแม้แต่จักรยานผมก็ขี่ไม่ได้
ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากขี่...แต่ผมขี่ไม่ได้
ผมโค้งให้เขาก่อนจะเดินนำออกมา ก็ยังดีที่บ้านของผมอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่ ผมจึงไม่ต้องลำบากให้พ่อต้องมารับมาส่งทุกวันเหมือนตอนอยู่มัธยมต้น
แล้วในขณะที่กำลังเลี้ยวไปตามถนนเลียบริมแม่น้ำที่เดินอยู่ทุกวัน จักรยานคันเมื่อกี้ก็จอดปาดหน้าผมอย่างจงใจ
" ขึ้นมา" เสียงดุๆทำให้ผมถึงกับชะงักอย่างทำอะไรไม่ถูก
" คะ ครับ..." ใบหน้าของผมไม่รู้ว่าจะพยักหรือจะส่ายกันแน่ แต่สองขาน่ะก้าวไปนั่งซ้อนท้ายจักรยานคันนั้นอย่างกล้าๆกลัวๆไปเรียบร้อยแล้วละ
ก็นะ...ผมเพิ่งจะเข้ามัธยมปลายมาได้ยังไม่ทันจะถึงครึ่งเทอม เพราะงั้นผมจึงเพิ่งรู้จักเขาในฐานะสมาชิกของชมรมเบสบอลได้ไม่ถึงเดือนดีด้วยซ้ำ...แล้วสิ่งที่เขาทำกับสมาชิกทีมคนอื่นๆก็โหดร้ายสารพัดจนผมที่ทำได้แค่ยืนดูยังรู้สึกเสียวสันหลังวาบ
แต่เพราะเขาเข้มงวดแบบนั้น...ตู้ของชมรมเรามันถึงได้ไม่พอใส่ถ้วยรางวัลยังไงล่ะ
สายลมอ่อนๆที่ปะทะใบหน้าทำให้ผมรู้ว่าเขาเริ่มปั่นจักรยานแล้ว น่าแปลกที่คนท่าทางใจร้อนแบบเขากลับปั่นจักรยานช้าๆแบบนี้ ทั้งๆที่ผมน่ะเตรียมหาที่เกาะพร้อมหลับตาแน่นรอเลยนะ
นัยน์ตาของผมค่อยๆเปิดขึ้นช้าๆ ภาพทิวทัศน์ของริมแม่น้ำที่คุ้นตาดูเปลี่ยนไปนิดหน่อยเมื่อผมมองมันอยู่บนจักรยาน...
ผมหันไปไล่มองแผ่นหลังที่ไม่ได้กว้างใหญ่ของเขาซึ่งยังคงปั่นจักรยานไปเงียบๆ ปลายผมสีดำสนิทปลิวละท้ายทอยไถเกรียนซึ่งให้ความรู้สึกเหมือนทรงผมของพวกทหารหรืออะไรแบบนั้นมากกว่าจะเป็นแค่โค้ชของชมรมเบสบอลธรรมดาๆ
ก่อนหน้าที่เขาจะมาเป็นโค้ชให้ทีมเบสบอลมัธยมปลาย...เขาเคยเป็นนักเบสบอลมืออาชีพมาก่อน
ที่จริงเขาเป็นถึงเอสของทีมเบสบอลอันดับต้นๆของญี่ปุ่นเลยละ แต่ที่ผันตัวเองมาเป็นโค้ชทั้งๆที่ยังอายุแค่นี้ก็เพราะอุบัติเหตุร้ายแรงที่ทำให้เขากลับไปเล่นเบสบอลอย่างหนักหน่วงเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้อีก
ทั้งๆที่ดูภายนอกเขายังแข็งแรงปานช้างสารอยู่เลยแท้ๆ....
แต่ดูเหมือนจะมีปัญหาเรื่องเส้นเอ็นที่หัวเข่า...
แล้วอุบัติเหตุคราวนั้นก็ไม่ได้ทำลายแค่ความฝันของเขาแต่มันยังพรากเอาหัวใจของเขาไปด้วย...ถึงแม้ทางทีมเบสบอลจะพยายามปิดข่าวเอาไว้ แต่คนก็ลือกันให้แซดว่าผู้หญิงที่เป็น “คนรัก” ของเขาตายในอุบัติเหตุครั้งนั้นด้วย
เขาถึงได้ไม่เคยเปิดใจให้ผู้หญิงคนไหนอีก ทั้งๆที่ถูกสารภาพรักจนนับครั้งไม่ถ้วน
ใช่...ต่อให้นิสัยโหดร้าย ใบหน้าเย็นชา แต่ว่าเขาก็เป็นคนที่เนื้อหอมมาก
" ขอบคุณครับ" ผมโดดลงจากจักรยานเมื่อมันจอดที่หน้าคลีนิคซึ่งเป็นบ้านของผม เขาแค่ปรายตามามองก่อนจะปั่นจักรยานจากไป นกหวีดที่ยังคล้องอยู่ที่คอของเขาทำให้จู่ๆผมก็รู้สึกอยากจะยิ้มขึ้นมา
ผมยืนมองจนแผ่นหลังในเสื้อวอร์มนั้นลับไปจากสายตา...ผมไม่เคยได้อยู่ใกล้เขานอกจากตอนที่อยู่ในชมรม เพราะงั้นผมจึงไม่เคยรู้เลยว่าเขาเองก็มีด้านที่อ่อนโยนอยู่บ้างเหมือนกัน
เสียงฝีเท้าที่ก้าวเป็นจังหวะมักจะดังขึ้นในช่วงที่ผมอยู่ระหว่างความจริงกับความฝัน...
นัยน์ตาหรี่ปรือขึ้นมาพร้อมกับฝ่ามือที่ควานหานาฬิกาปลุกก่อนจะกดปิดเสียงมัน...ท้องฟ้ายามรุ่งสางที่มองเห็นจากหน้าต่างยังไม่ทันจะสว่างดีแต่กลับมีใครบางคนออกมาวิ่งและเขาก็ทำให้ผมอดที่จะผงกหัวขึ้นมาแอบมองไม่ได้
ร่างที่ไม่ได้สูงใหญ่ทว่าแข็งแกร่งยิ่งกว่าใครในชุดวอร์มสีดำกำลังวิ่งเหยาะๆไปตามถนนเส้นเล็กๆที่พาดผ่านหน้าบ้านของผม....เขามักจะไปหยุดเช็ดหน้าเช็ดตาด้วยผ้าขนหนูที่พาดคออยู่ในสวนสาธารณะใกล้ๆซึ่งผมมองเห็นได้จากในห้องของผม...และเขาคงจะไม่รู้ว่าผมแอบดูเขาอยู่แทบจะทุกเช้า
ผมเฝ้ามองเขาด้วยความชื่นชม...เขาไม่ได้เข้มงวดเฉพาะกับพวกสมาชิกของชมรม แม้แต่ตัวของเขาเองก็ยังคงฝึกฝนร่างกายอย่างสม่ำเสมอ...แล้วแบบนี้จะไม่ให้เขาแข็งแกร่งได้ยังไง
ถ้าเป็นไปได้...ผมก็อยากจะออกไปวิ่งแบบนั้นบ้างจัง...
ช่วงเวลาเดือนกว่าๆหลังจากเปิดเทอมแรกของปียังคงเป็นช่วงปรับตัวสำหรับเด็ก ม.ปลายปีหนึ่งอย่างผม ทั้งเรื่องของเพื่อนในห้องที่ต่างก็เริ่มจับกลุ่มแบ่งพวกแบ่งพ้องกันไปตามประสามนุษย์ที่เป็นสัตว์สังคม ทั้งเรื่องของชมรมที่ค่อยๆเริ่มลงตัวหลังจากการออกล่าหาสมาชิกใหม่ ก็คงจะมีแต่ชมรมใหญ่ๆอย่างพวกชมรมกีฬาเท่านั้นแหละที่ไม่ต้องไปวิ่งหาคน โดยเฉพาะชมรมเบสบอลของที่นี่ถึงกับต้องคัดตัวก่อนจะเข้าด้วยซ้ำเพราะมีคนมาสมัครมากเกินไป
อันที่จริงผมยังแปลกใจอยู่เลยที่เจ้าพวกสมาชิกปีสองปีสามของชมรมเลือกให้ผมมาเป็นผู้จัดการทีม เพราะตำแหน่งที่มีเพียงหนึ่งเดียวนี้ก็มีคนมาสมัครไม่ใช่น้อย
แต่ก็จะมีอยู่อีกชมรมหนึ่งที่เพิ่งจะออกตามหาสมาชิกใหม่เอาตอนที่ใครต่อใครเค้าต่างก็มีชมรมอยู่กันหมดไปแล้ว...พวกนั้นทำตัวราวกับว่าไม่ว่าใครที่ตนเข้าไปถามต่างก็อยากไปอยู่ชมรมตัวเองทั้งนั้น
พวกชมรมเชียร์
ผมลอบมองสมาชิกของชมรมเชียร์ที่เดินกันเป็นกลุ่ม ถ้าเทียบกับเด็กกะโปโลแว่นหนาเตอะหัวกระเซอะกระเซิงที่หอบของพะรุงพะรังอย่างผม พวกนั้นก็คงเปรียบเป็นหงส์ในหมู่อีกา ท่วงท่าที่สง่าผ่าเผยซ้ำยังมีแต่คนหน้าตาดีก็ไม่น่าแปลกใจเลยที่จะตกเป็นเป้าสายตาของคนที่เดินผ่าน...เพราะเป็นที่รวมของคนหน้าตาดีแบบนี้ไม่ว่าใครก็คงอยากจะเข้าไปเป็นธรรมดา...ได้ข่าวมาว่าชมรมเชียร์ของที่โรงเรียนนี้ก็มีชื่อไม่แพ้ชมรมเบสบอลเลยละ
จะว่าไปพวกชมรมเชียร์คงจะไม่ค่อยถูกกับพวกชมรมกีฬาเท่าไหร่นักในช่วงเวลาหาสมาชิกใหม่แบบนี้...เท่าที่ผมรู้มา...พวกชมรมเชียร์จะปล่อยให้ชมรมกีฬาหาตัวผู้จัดการทีมกันไปก่อน จากนั้นจึงไปไล่ฉกเอามาเป็นสมาชิกของชมรมเชียร์ทีหลัง...เพราะรู้ดีว่าพวกชมรมกีฬามักจะเฟ้นหาผู้จัดการทีมที่หน้าตาดีๆกันอยู่แล้ว...เพราะงั้นถ้าได้ตัวผู้จัดการทีมต่างๆมาก็รับประกันได้ว่าเป็นระดับท็อปของโรงเรียนแน่นอน
แต่ดูเหมือนคราวนี้พวกชมรมเชียร์คงไม่คิดจะเข้ามาหาสมาชิกใหม่จากชมรมเบสบอล....
พวกนั้นถึงได้เดินเลยผ่านเด็กผู้ชายหัวกระเซิงหอบตะกร้าผ้าเต็มสองแขนที่ดูยังไงก็แสนจะธรรมดาอย่างผมไป...
" นี่เสื้อชั้นนี่นา...เอาไปเลยแล้วกันนะ" เสียงเริงร่าจากสมาชิกคนหนึ่งของชมรมเบสบอลทำให้ผมละสายตาจากแผ่นหลังเย่อหยิ่งของพวกชมรมเชียร์กลับมามอง...ท่อนแขนสีแทนเอื้อมมาหยิบเสื้อฟอร์มออกไปจากตะกร้าที่ผมถืออยู่
" ของชั้นด้วยๆ" แล้วมืออีกมากมายก็สอดเข้ามาจากด้านหลังเพื่อหยิบเสื้อของตัวเองออกไปจากตะกร้า
" เดี๋ยวสิพวกนาย! ชั้นเพิ่งจะพับเสร็จนะ! รอไปเอาที่ห้องชมรมสิ!" ผมได้แต่แยกเขี้ยวใส่มือทางขวาทีซ้ายทีที่ต่างก็รุมหยิบเสื้อของตัวเองออกไป ทำไมไอ้เจ้าพวกนี้มันถึงได้ไร้ระเบียบกันขนาดนี้นะ!
แล้วตะกร้าหนักๆที่เต็มไปด้วยผ้าก็ว่างเปล่าลงในชั่วพริบตา เสียงเฮฮายังคงดังลั่นทางเดินซึ่งผมได้แต่มองอย่างอ่อนใจ ท่อนแขนของใครบางคนคว้าคอของผมเอาไว้ก่อนจะลากให้เดินไปด้วยกัน...
เดินไปยังห้องของชมรมเบสบอล...
ในใจของผมรู้สึกอุ่นขึ้นมานิดๆ ผมก็ไม่รู้หรอกนะว่าเจ้าพวกนั้นอยากจะช่วยทำให้ผมไม่ต้องหิ้วตะกร้าหนักๆหรือเป็นเพราะความทะโมนของกลุ่มเด็กผู้ชายที่มาอยู่รวมกัน...แต่สิ่งหนึ่งที่ผมพอจะรู้คือพวกเขาคงอยากบอกกับผมว่า...ผมเป็นผู้จัดการทีมของพวกเขานะ...ละมั้ง
เสียงเคร้ง....ที่เกิดจากการกระทบกันของลูกเบสบอลกับท่อนโลหะอะลูมิเนียม ทำให้ผมรู้สึกดีทุกครั้งที่ได้ฟังมัน
ถึงแม้ว่าผมจะทำได้เพียงแค่ยืนอยู่ข้างสนาม...จดสกอร์ลงบนกระดาน...เตรียมน้ำและผ้าขนหนู...แต่ผมก็มีความสุขที่ได้เห็นลูกเบสบอลลอยอยู่บนท้องฟ้าต่อให้จะไม่ใช่ผมเป็นคนตีมันขึ้นไปก็ตาม
ผมไม่เคยรู้เลยว่าสายตาของผมยามที่มองสมาชิกชมรมคนอื่นๆวิ่งอยู่ในสนามมันเป็นยังไง...จนกระทั่งวันนี้...วันที่เขาเป็นคนบอกกับผม...
ใต้ราวตากผ้ายังคงมีแต่เงาของผมตามลำพังเหมือนทุกๆวัน...เจ้าพวกนั้นก็ยังคงทิ้งกองเสื้อผ้าเอาไว้ให้ผมซักเหมือนเดิม
สองมือจับเสื้อฟอร์มตัวยาวก่อนจะสะบัดแรงๆแล้วพาดเอาไว้กับราวตากผ้า กลิ่นสะอาดๆทำให้ผมเผลอยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงหน้าของคนใส่...ก็มีแค่เรื่องนี้เท่านั้นแหละที่ผมจะทำให้กับสมาชิกของชมรมได้ ผมรู้ว่าเจ้าพวกนั้นเหนื่อยเจียนตายหลังจากที่เลิกซ้อมในแต่ละวัน เพราะงั้นผมจึงไม่ได้โกรธเคืองอะไรถ้าจะต้องทำเรื่องจุกจิกอย่างการซักผ้าหรือดูแลเรื่องในบ้านให้แบบนี้
จู่ๆสายลมแรงก็พัดวูบเข้ามาทำเอาผ้าบนราวปลิวไปในทิศทางเดียวกัน
“ เหวอ~~~” สองมือทั้งยื้อทั้งยุดไม่ให้ราวตากผ้าทั้งราวล้มลงไปจนตัวของผมก็แทบจะปลิวตามริ้วผ้า
ยังดีที่มีมือของใครบางคนมากระชากราวตากผ้าให้กลับไปตั้งตรงดังเดิม และเมื่อผมเงยหน้าขึ้นไปมอง นัยน์ตาก็ต้องเบิกกว้างอย่างประหลาดใจ
“ โค้ช?....ยังไม่กลับหรอครับ?”
“ ผอมแห้ง...แรงจะยืนยังแทบไม่มีแบบนี้ไง ถึงได้จะโดนลมหอบไป” แต่อีกฝ่ายกลับเหยียดมองกลับมาซ้ำยังตอบไม่ตรงทำถามจนผมได้แต่ยิ้มแห้ง
“ ขะ ขอบคุณครับ” ผมไม่ได้ขอบคุณที่เขาว่าผมแห้งเป็นไม้กระดานหรอกนะ แต่ผมขอบคุณที่เขาช่วยผมจากการจะโดนลมหอบไปต่างหาก!
ผมมองคนตรงหน้าที่กำลังไล่มองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า-เท้าจรดหัวอีกรอบด้วยสายตากล้าๆกลัวๆ...นี่ถ้าเขาสั่งให้ผมไปวิ่งรอบสนามหรือไม่ก็วิดพื้นร้อยครั้งแบบที่เขาชอบสั่งให้สมาชิกคนอื่นๆของชมรมทำจะว่ายังไง? ผมคงทำแบบนั้นไม่ได้หรอกนะ
“ ทำไมไม่ลองเล่นดูล่ะ?” หื๋อ? เขาพูดถึงอะไรน่ะ?
“ เล่น...อะไรหรอครับ?”
“ ก็เล่นเบสบอลไงไอ้เด็กบ้า! นี่แกอยู่ชมรมเบสบอลนะจะให้ไปเล่นบาสมันใช่หรือไง?” อ่า...ก็แค่งง...ไม่เห็นต้องบ่นเป็นชุดแบบนั้นซักหน่อย...ผมแอบยู่หน้าเมื่อหันไปทางอื่น
“ สายตาของนาย....” หลังจากที่เงียบไปสักพักเสียงทุ้มของเขาก็ดังมาตามสายลมอ่อนโยน แสงแดดยามเย็นที่สาดกระทบราวตากผ้าทำให้ภาพของวันธรรมดาๆดูพิเศษขึ้นทันตา เขาเว้นจังหวะการพูดราวกับกำลังค้นหาวลีที่จะทำให้ผมเข้าใจ ผมจึงได้แต่นิ่งเงียบรอฟังสิ่งที่เขาจะเอ่ยออกมา
“ เวลาที่มองเบสบอล...สายตาของนาย...มันเป็นประกายแรงกล้ามากกว่าสมาชิกคนไหนๆในชมรมเสียอีก...ชั้นก็เลยสงสัย...ว่าทำไมนายถึงไม่ลองเล่นดู” และเมื่อเขาเรียบเรียงมันออกมาจนจบประโยค ที่อกข้างซ้ายของผมก็ถึงกับเต้นระรัว
ไม่เคยมีใครบอกให้ผมลองเล่นเบสบอลแบบนี้มาก่อน....
ที่ผ่านมามีแต่คนเอ่ยห้ามโดยใช้คำว่า “เป็นห่วง” แทนกรงเหล็กกล้ามาขังผมเอาไว้ทั้งนั้น...
ทุกคนต่างปัดภาระด้วยการบอกผมว่าอย่าเล่น...ไม่เคยมีใครอดทนหรือพยายามช่วยให้ผมได้เล่นเบสบอลเลยสักคน…
เพราะฉะนั้นเขาจึงเป็นคนแรก....ที่พูดกับผมแบบนี้
ดีใจ....จู่ๆก็รู้สึกดีใจอย่างไม่มีสาเหตุ...
ว่าแต่...
เขา...มองผมด้วยหรอ?
ถึงได้รู้....ว่าสายตาของผมที่มองเบสบอลมันเป็นยังไง...
“ แหะ แหะ ผมเล่นไม่ได้หรอกครับ ขอดูอยู่ข้างสนามแบบนี้ดีกว่า” ผมก้มลงไปหยิบผ้าเปียกในตะกร้าขึ้นมาตากอย่างพยายามบ่ายเบี่ยงคำชักชวนของเขา
ถ้าเขารู้ว่าสาเหตุมันคืออะไร...เขาจะยังยืนยันให้ผมลองเล่นดูอยู่อีกไหม? หรือว่าเขาก็จะเหมือนกับคนอื่นๆที่พยายามจะห้ามผม แล้วก็มองว่าผมเป็นแค่คนอ่อนแอที่ต้องคอยดูแลด้วยหรือเปล่า?
ผมทั้งอยากรู้และไม่อยากรู้ในคราวเดียวกัน...
เขายืนมองผมตากผ้าก่อนจะกลับบ้านพร้อมกันโดยไม่พูดอะไรอีก...
ทุกๆวันผมจะออกจากบ้านตั้งแต่ยังไม่ทันเจ็ดโมงเพราะมีอะไรหลายอย่างให้ต้องไปจัดการที่ชมรมซึ่งเป็นเพียงชมรมเดียวที่มีการซ้อมทั้งเช้าและเย็น...ถึงจะไร้ระเบียบในชีวิตประจำวันกันไปบ้าง แต่สมาชิกของชมรมทุกคนก็มีวินัยในการซ้อมค่อนข้างสูง เพราะงั้นถ้าผมไปสายเจ้าพวกนั้นก็จะไม่มีชุดฟอร์มสำหรับใส่ซ้อม
สองขาเดินไปตามทางที่คุ้นเคย...บนถนนเส้นเล็กๆเลาะริมแม่น้ำมีลุงๆป้าๆจูงหมาออกมาเดินเล่นซึ่งผมต้องผงกหัวรับเสียงทักทายจากคนเหล่านั้นไปตลอดทาง...พ่อของผมเป็นหมอ...เพราะงั้นคนแถวนี้จึงรู้จักคนในบ้านของผมเป็นอย่างดี
เขาเอง...ก็คงเหมือนกัน ถึงได้รู้ว่าบ้านของผมอยู่ที่ไหนทั้งๆที่ผมไม่เคยบอกเขาเลย
เสียงที่ดังมาจากท่อไอเสียของรถยนต์ทำให้ผมหันไปหันมาอย่างสงสัย เพราะถนนเส้นนี้มันเล็กเกินกว่าที่รถจะมาวิ่งได้ จนในที่สุดก็หาที่มาของเสียงเจอจนได้
รถส่งของคันหนึ่งซึ่งคงจะหลงเข้ามาวิ่งเลี้ยวออกมาจากซอยแคบๆ แตรที่ดังลั่นถนนทำให้ผู้คนที่เดินสบายๆตามความเคยชินต่างหลบกันให้จ้าละหวั่น ผมเองก็เช่นกัน
สองขาในกางเกงนักเรียนวิ่งเหยาะๆหลบไปที่พื้นหญ้าซึ่งเอียงลงไปหาตลิ่ง และเพราะว่ามันยังเช้าอยู่ผมจึงไม่ได้หันไปมองข้างหลัง...ก็พื้นที่มันออกจะมามากมายผมจึงไม่ได้คิดว่าจะบังเอิญไปขวางใครเข้า
ปรี๊นนนนนนนน....
เสียงแตรลากยาวทำให้ผมเงยหน้ามองอย่างตื่นๆ
“ หลบไปไอ้เด็กเหลือขอ!!!” ใครบางคนตะโกนออกมา
หลบ?
หลบอะไรล่ะ? แล้วจะให้หลบไปทางไหน?
กว่าผมจะเข้าใจ อะไรบางอย่างก็กระแทกเข้ามาที่สีข้างจนร่างทั้งร่างเซถลาก่อนจะล้มลงแล้วกลิ้งไปตามแนวลาดของตลิ่ง
ตูม!!!!
เสียงน้ำแตกกระจายก่อนที่ทั่วทั้งตัวจะรู้สึกเย็นยะเยือก...อะไรน่ะ?....เกิดอะไรขึ้น?
“ แค่กๆๆ” หลังคอของผมถูกมือของใครบางคนหิ้วขึ้นมาจากน้ำ ก่อนที่ร่างเปียกโชกจะถูกวางกองไว้ที่ริมตลิ่ง
“ โฮ่ย?! เป็นไงบ้าง?” แรงเขย่าจากที่ไหล่ทำเอาหัวผมโยกคลอนจนแทบจะหลุด ไม่อยากจะบอกเลยว่าผมจะตายเอาก็เพราะแรงเขย่านี่แหละ
“ แค่ก! มะ ไม่เป็นไรแล้วครับ........โค้ช?” และเมื่อผมเงยหน้ามองเจ้าของฝ่ามือที่ยังเขย่าไหล่ผมอย่างเมามันอยู่นั้น นัยน์ตาก็ถึงกับเบิกค้าง...ตกลงคนที่ขี่จักรยานพุ่งชนผมก็...เขาเองน่ะหรอ?
“ ไอ้รถบ้านั่น...ชั้นจะไปจัดการมัน” เขาหันหน้าไปมองซึ่งถนนว่างเปล่าไร้เงาของคู่กรณี...รถส่งของนั่นคงเบียดจนเขาต้องหักจักรยานหลบ แล้วผมก็ดันเดินอยู่ตรงนั้นพอดี พวกเราถึงได้กลิ้งลงน้ำด้วยกันจนเปียกโชกทั้งคู่แบบนี้
“ อ่ะ! แว่น...แว่นผมล่ะ?” เมื่อรู้สึกว่าภาพตรงหน้ามันโล่งๆจึงทำให้ผมรู้ว่าแว่นของผมคงจะกระเด็นตกลงไปในน้ำด้วยแน่ๆ
“ รอเดี๋ยวนะ” เขาเดินลุยน้ำที่สูงเท่าต้นขาลงไปงมหาแว่นให้ผม แต่ผ่านไปหลายนาทีก็ไม่มีวี่แววว่าจะหาเจอ
“ สงสัยว่ามันคงจะไหลตามน้ำไปแล้ว.....” ผมเอ่ยออกไปด้วยเสียงปลงๆ เขาหันหน้ามามองผมด้วยสายตาขอโทษ
“ ฮัดชิ้ว!” ผมจามออกไป ทำให้พวกเราตัดใจเรื่องการงมหาแว่น เพราะถึงจะเป็นปลายฤดูใบไม้ผลิแต่ทั้งอากาศและน้ำในแม่น้ำก็ยังเย็นอยู่
ผมกับเขาตัดสินใจไปโรงเรียนต่อแทนที่จะกลับบ้าน เพราะดูจากระยะทางแล้วให้ดั้นด้นต่อไปน่าจะได้เปลี่ยนเสื้อผ้าไวกว่า ยังดีที่ผมอยู่ชมรมกีฬาเลยมีเสื้อวอร์มสำรองให้เปลี่ยน
ผ้าขนหนูถูกโยนโปะมาที่ใบหน้า ก่อนที่เขาจะค้นหาเสื้อวอร์มในล็อคเกอร์ของผมให้...เขาคงคิดว่าผมมองไม่เห็น?
มือดึงผ้าขนหนูนิ่มๆที่คลุมหัวอยู่ลงมาเช็ดหน้าด้วยรอยยิ้ม...ปกติจะเห็นแต่โหมดโหดร้าย พอได้มาเห็นเขาที่คอยดูแลผมแบบนี้หัวใจมันก็อดที่จะเต้นแรงไม่ได้...ผมเป็นอะไรไปกันนะ....
“ เอ้า” ชุดวอร์มสีขาวคาดแดงถูกยื่นมาแทบจะจ่อหน้า และเมื่อผมรับเอาไว้ เขาก็กลับไปจัดการตัวเองต่อ
เสียงซิบถูกรูดลงพร้อมๆกับสาบเสื้อวอร์มสีดำหลุดออกจากกันและไม่นานมันก็ลงมากองอยู่ที่พื้น เสื้อยืดสีขาวถูกถอดตามออกมาและเมื่อเขาเห็นว่าผมยืนมองเขาอยู่...
“ โฮ่ย นายเปลี่ยนเองได้หรือเปล่า?” เขาหันมาถามพร้อมๆกับที่เสื้อวอร์มสีดำตัวใหม่ถูกสวมใส่ทั้งๆที่ข้างในไม่มีเสื้อยืด และเป็นเพราะเขาไม่ได้รูดซิปผมจึงมองเห็นซิกแพ็คเป็นลอนสวยงามอยู่บนหน้าท้องของเขา ผมได้แต่มองมันด้วยใบหน้าร้อนผ่าว...เขารูปร่างดีจริงๆ...ถึงจะตัวเล็กแต่กล้ามเนื้อทุกส่วนก็สมชายชาตรีไปหมด...ทำเอาผมไม่กล้าเปลี่ยนเสื้อผ้าต่อหน้าเขาเลยแหะ และเพราะว่าผมมัวแต่อึ้ง...คนที่คิดว่าผมมองไม่เห็นจึงจัดการปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของผมโดยไม่ถามซ้ำสอง
“ เอ๊ะ?! เดี๋ยวครับ! ผมเปลี่ยนเองได้!!” ผมพยายามจะต่อต้านแต่เขาก็ไม่ฟังซ้ำยังจัดการถอดเสื้อผ้าผมออกจนหมด...ตอนนี้...ไม่รู้แล้วว่าหน้าผมแดงเพราะอายรูปร่างตัวเองหรือเป็นเพราะเห็นกล้ามหน้าท้องของเขากันแน่
ผมลงมานั่งหอบอย่างหมดแรงอยู่ที่ม้านั่งยาวเมื่อเขาจัดการสวมเสื้อผ้าให้ผมจนเรียบร้อย....ทั้งๆที่เสื้อผ้าของตัวเองยังหลุดลุ่ยอยู่เลยแท้ๆ....สองมือยกผ้าขนหนูขึ้นขยี้หัวจึงได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าของเขาที่เดินออกไปจากห้อง ก่อนจะกลับมาอีกครั้งพร้อมขวดนมอุ่นๆ
“ ดื่มซะ” ผมเงยหน้ามองเขา สองแก้มที่อุตส่าห์เย็นลงกลับร้อนขึ้นมาอีกครั้งเพราะเขายังคงไม่รูดซิปเสื้อวอร์ม...นี่เดินออกไปตู้กดน้ำทั้งๆอย่างนี้เนี่ยนะ? ถึงจะยังเช้าและไม่มีใครเห็นแต่ก็น่าจะสนใจอากาศเย็นๆนี่บ้าง...แต่ก็อย่างว่าละนะ เขาดูจะแข็งแกร่งปานเหล็กกล้าแบบนั้นคงไม่เป็นหวัดง่ายๆ....คงไม่เหมือนผมหรอก
“ มองเห็นหรือเปล่า?” อย่าบอกนะว่าเขาคิดจะป้อนผมด้วยน่ะ? จู่ๆก็รู้สึกขำขึ้นมา
“ เห็นครับ...ผมไม่ได้สายตาสั้น” และเมื่อผมบอกเขาไปแบบนั้น เขาก็อึ้งไป
“ ห๋า? งั้นนายจะใส่แว่นทำไม?”
“ พ่อบอกให้ใส่...ก็เลยใส่ครับ” อย่าถามว่าทำไม เพราะผมก็ไม่รู้เหมือนกัน...ได้ยินเสียงเขาถอนหายใจออกมาก่อนจะเดินไปเก็บเสื้อผ้าเปียกๆออกไปพาดไว้ที่ราวตากผ้า ปล่อยให้ผมนั่งละเลียดนมอุ่นๆอยู่คนเดียว
เขาเดินกลับมาแล้วจ้องผมอย่างไม่คิดจะปิดบังจนผมได้แต่หันไปมองอย่างสงสัย....ผมมีอะไรแปลกประหลาดหรือไง?...และเมื่อเขาเห็นว่าผมไม่มีทีท่าว่าจะขยับตัวไปไหนเขาจึงหมดความอดทนแล้วเป็นฝ่ายเดินไปที่ล็อกเกอร์ของเขาเอง
ก่อนจะกลับมาอีกทีพร้อมกับ....หวี?
“ นี่...ปกติหวีผมบ้างหรือเปล่านายน่ะ?” เขาไม่รอให้ผมตอบแต่กลับจับหัวของผมด้วยมือข้างหนึ่งก่อนจะใช้หวีสางเส้นผมสีน้ำตาลจนหัวได้แต่เอียงไปตามแรงหวี...นี่เขาคิดว่าเขาแปรงขนหมาอยู่หรือไง?
“ หวีครับ....” ผมได้แต่ตอบออกไปทั้งๆน้ำตาปริ่ม หนังหัวของผมยังอยู่ดีกันหรือเปล่านี่?
“ หวีทุกครั้งหลังจากสระผมนั่นแหละ...”
“ กี่วันสระผมที?”
“ สองวัน....”
“ งั้นก็แปลว่านายหวีผมทุกๆสองวัน?” ผมพยักหน้าให้ซึ่งเขาได้แต่อ้าปากค้าง
“.........?” มันแปลกตรงไหนล่ะ คนอื่นเค้าก็เป็นแบบนี้ไม่ใช่หรือไง? และเมื่อผมมองเขาอย่างสงสัย นัยน์ตาสีขี้เถ้าของเขาก็มองสวนกลับมาด้วยสายตามีไฟจนผมได้แต่ขนลุก
“ ..........จากนี้ไป...หวีผมทุกสามเวลาหลังอาหารซะไอ้เจ้าเด็กเหลือขอ! ถ้าชั้นเห็นหัวแกยุ่งเหมือนขนหมาเมื่อไหร่ชั้นจะจับมาหวีให้! รับลองเลยว่าหนังหัวแกจะลอกออกมาเป็นแผ่นๆแน่!”
“ เห๋?~~~” ผมก็หวีผมตามที่คนปกติเค้าหวีกัน? แล้วทำไมเขาต้องสั่งอะไรที่มันประหลาดๆแบบนี้ด้วย? แต่ถ้าจะให้เขาหวีให้แบบนี้อีก ผมยอมหวีเองก็ได้
“ ครับ...” เสียงงึมงำรับคำไปส่งๆ เพราะงั้นผมถึงได้สะดุ้งโหยงเมื่อจู่ๆเขาก็ย่อตัวลงไปนั่งคุกเข่าแล้วจับปลายคางของผมแน่น...เขารู้หรือไงว่าผมจะแอบลดช่วงเวลาหวีผมเป็นสองเวลาหลังอาหารเช้ากับกลางวันเท่านั้นน่ะ
ผมได้แต่ทำหน้าราวกับจะร้องไห้พร้อมกับไหล่ที่สั่นขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่เมื่อเขาจับหน้าของผมหันไปมา นัยน์ตานิ่งสนิทยังคงจ้องมองหน้าผมจนรู้สึกหวาดผวากลัวว่าเขาจะทำโทษอะไรอีก
“ นายนี่มัน.....” น้ำเสียงที่ฟังดูทึ่งๆของเขาทำเอาผมเหงื่อแตกพลั่ก...ไม่รู้ละว่าเขากำลังจ้องอะไรและเห็นอะไร แต่ตอนนี้ผมกลัวจนแทบจะฉี่ราด
แต่แล้วจู่ๆมือแข็งแรงก็ปล่อยปลายคางของผม เขาลุกขึ้นยืนพร้อมรอยยิ้มที่มุมปากก่อนจะเดินออกไปพร้อมคำพูดที่ทำให้ผมได้แต่นั่งงงอยู่คนเดียว
“ ตอนแรกชั้นก็แปลกใจนะว่าทำไมไอ้เด็กเหลือขอพวกนั้นถึงได้เลือกนายให้มาเป็นผู้จัดการทีม ทั้งๆที่คนก่อนหน้านี้มีแต่หน้าตาระดับท็อปของโรงเรียน...แต่ตอนนี้ชั้นเข้าใจแล้วละ....”
หื๋อ? เข้าใจ? เรื่องอะไรน่ะ? แล้วทำไมมีแต่ผมที่ต้องมานั่งงงทั้งๆที่เขาเข้าใจแบบนี้ด้วย?
อยากจะลุกไปถามแต่ความกลัวก็ทำให้ไม่กล้า เอาเป็นว่าแค่เขาไม่สั่งทำโทษผมก็พอแล้ว เรื่องอื่นช่างมันแล้วกัน
เพราะงั้นผมจึงปล่อยให้คำพูดนั้นให้ลอยไปกับสายลมโดยที่ผมไม่คิดจะไปขุดคุ้ยมันอีก...
เสียงฝีเท้าที่ลงน้ำหนักไม่สม่ำเสมอทำให้ผมรู้ว่าเจ้าพวกสมาชิกของชมรมเบสบอลกำลังเดินใกล้เข้ามา เพราะเดินไปเล่นกันไปเสียงที่ได้ยินมันถึงเป็นแบบนั้น
“ หวัดดีคร้าบ~~~” ประตูห้องชมรมถูกเปิดออกพร้อมกับคำทักทายตามมารยาท
“ เฮ้ย!!! เอเลน!!! นายไปทำอะไรมา!!!” ทำไมต้องตกใจอย่างกับเห็นผีกันแบบนั้นด้วยเล่า....ผมปั้นหน้าหงิกใส่โดยไม่เกรงใจเพราะเจ้าพวกนั้นอยากมองผมราวกับเป็นสัตว์ประหลาดก่อนทำไม
“ แว่นนาย...แว่นของนายไปไหน? แล้วหัวนี่ก็อีก ทำให้มันกระเซิงๆเหมือนเดิมเลยนะ” ท่าทางลุกลี้ลุกลนของเจ้าพวกนั้นทำให้ผมแปลกใจ ทำไมถึงอยากให้ผมใส่แว่นแล้วก็หัวกระเซิงเหมือนเดิมนัก หรือสภาพของผมตอนนี้มันจะแย่จนทนดูไม่ได้?
“ นี่นายมานี่ไม่มีใครเห็นใช่ไหม? อย่าไปให้ไอ้พวกชมรมเชียร์มันเห็นเชียวนะ” พวกนั้นมันมาเกี่ยวอะไรด้วยเล่า...ผมปัดมือหลายข้างที่พยายามจะขยี้หัวผม...จะปล่อยให้หัวยุ่งอย่างเมื่อก่อนได้ไงล่ะ เดี๋ยวโค้ชเห็นผมก็โดนสางจนหนังหัวหลุดกันพอดี!
“ แว่นของชั้นมันตกลงไปในแม่น้ำ แล้วชั้นก็ไม่ได้สายตาสั้น เพราะงั้นมองเห็นทุกอย่างนั่นแหละ” แต่ดูท่าว่าเจ้าพวกนี้จะไม่ได้สนใจว่าผมจะมองเห็นหรือเปล่า พวกมันสนใจแค่ว่าจะทำให้ผมกลับไปอยู่ในสภาพเดิมได้ยังไงก็เท่านั้นแหละ
“ ใครมีแว่นบ้าง? เอามายืมหน่อยดิ๊ เดี๋ยวไอ้พวกแมวขโมยมันจะมาฉกตัวไปอีก” เสียงตะโกนโหวกเหวกหนวกหูกันแต่เช้า มือของใครบางคนดึงซิปเสื้อวอร์มของผมขึ้นไปจนถึงคอและมือของใครอีกหลายๆคนก็พยายามจะขยี้หัวผมให้ได้
“ ปัดโธ่! พวกนายนี่มัน!! เลิกยุ่งกับหัวชั้นแล้วไปซ้อมกันได้แล้ว!” ผมชักจะเหลืออดจนลุกขึ้นมายืนชี้นิ้วด่า ประกอบกับเสียงนกหวีดดังปรี๊ดอยู่ในสนาม ทำให้เจ้าพวกนั้นยอมล่าถอยไปจากหัวของผมจนได้
มันอะไรกันนักกันหนานะ!
แล้ววันทั้งวันนั้นผมก็ถูกมองด้วยสายตาราวกับว่าผมเป็นมนุษย์ต่างดาวยังไงอย่างงั้น
ริมฝีปากได้แต่เม้มแน่นก่อนจะพองลมออกไปที่สองแก้มอย่างไม่สบอารมณ์...สงสัยต้องรีบไปตัดแว่นใหม่...สองมือหอบเอกสารที่เพิ่งไปรับมาจากพวกกรรมการนักเรียน อีกหน้าที่หนึ่งของผู้จัดการทีมก็คือเข้าประชุมเพื่อตบตีกับพวกกรรมการนักเรียนให้ชมรมได้งบประมาณมามากเท่าที่จะมากได้...บอกตามตรงว่าผมไม่เคยคุยกับพวกงกนั่นได้ง่ายเท่าวันนี้มาก่อนเลย
และเพราะว่าต้องเข้าประชุมนั่นแหละ...ผมเลยต้องเจอกับประธานชมรมเชียร์อย่างช่วยไม่ได้...
ปกติแล้วหลังจากเลิกประชุม พวกเราก็จะแยกย้ายกันไปคนละทาง...แต่เหมือนวันนี้มันจะต่างออกไป...เมื่อจู่ๆผมก็โดนพวกชมรมเชียร์มายืนขวางเอาไว้ในระหว่างทางกลับชมรมเบสบอลของผม...มาดักรองั้นหรอ?
“ เอเลน...เยเกอร์...สินะ?” ประธานชมรมเชียร์ก้าวขาออกมาเผชิญหน้ากับผม ออร่าราวกับเจ้าชายนั่นมันช่างดูต่างจากกลิ่นเหงื่อและมัดกล้ามของเจ้าพวกที่ชมรมของผมจริงๆ
“ ใช่...มีอะไร?” ต้องการอะไรกันนะคนพวกนี้?
“ ดูเหมือนที่ผ่านมาพวกเราจะโดนไอ้พวกชมรมเบสบอลเจ้าเล่ห์นั่นต้มซะสุกเลยนะ หึหึ” ใบหน้าหล่อเหลาจ้องมองมาที่ผมตรงๆอย่างไม่เกรงใจ สายตาคู่นั้นไล่มองไปทั่วใบหน้าของผมอย่างตั้งใจจะสำรวจ แล้วก็ไม่ใช่แค่เจ้าประธานนี่เท่านั้น สมาชิกคนอื่นๆที่มาด้วยกันต่างเข้ามารุมราวกับผมเป็นกระบะลดราคาในห้างสรรพสินค้ายังไงอย่างงั้น
“ ว้าว...ตาเขาโตมากเลยฮะรุ่นพี่ แถมยังเป็นสีเขียวราวกับมรกตอีกต่างหาก”
“..............”
“ ผมนี่พอหวีดีๆแล้วดูจะนุ่มมากเลยนะเนี่ย สีก็น้ำตาลธรรมชาติกำลังดีเลย”
“..............”
“ ปากก็แดง ถึงผิวจะซีดไปหน่อยแต่ก็เนียนมากเลยแหะ”
“..............”
“ รูปร่างก็บางๆดูสมตัว แขนเล็กขาเล็กเหมือนจะหักได้แบบนี้น่าจะใส่ชุดของเราได้สวยนะ”
“ โว้ยยย!!! อะไรกันน่ะพวกนาย!! อย่ามาจับเหมือนชั้นเป็นตุ๊กตานะ! ถอยไปๆๆ จะกลับชมรมแล้ว!” ผมตะโกนใส่หน้าอย่างรำคาญมือไม้ที่จับนู่นจับนี่บนตัวผม หลังจากปัดๆมันออกไปได้จนหมดก็ตั้งใจจะเดินกลับชมรม แต่เจ้าประธานนั่นก็ขยับขามาขวางเอาไว้อีก
“ เดี๋ยวก่อนสิเอเลน....”
“ อะไรอีกเล่า? พวกนายนี่มันไม่เต็มยิ่งกว่าไอ้พวกสมาชิกชมรมของชั้นอีกนะ”
“ พูดกันตามตรงเลยก็คือ...เราอยากได้ตัวนาย...มาอยู่ชมรมเชียร์กับเราดีกว่านะ” ห๋า? ว่าไงนะ? จะเอาผมไปทำไมน่ะ? ผมได้แต่อึ้งกับสิ่งที่ประธานชมรมเชียร์พูดออกมา
“ ใช่ๆ งานผู้จัดการทีมมันหนักใช่ไหมล่ะ ต้องอยู่กับพวกบ้าพลังที่วันๆก็ไม่ทำอะไรนอกจากใช้แรงน่ะมันเหนื่อยออก” เสียงจากรอบข้างดังขึ้นมาเพื่อแสดงความเห็นด้วย..อย่าบอกนะว่าพวกนี้ก็เคยเป็นผู้จัดการทีมของชมรมกีฬาที่ไหนสักที่หนึ่งมาก่อน?
“ นี่ใบขอย้ายชมรม...พวกเรากรอกให้เลยดีไหม?” ในขณะที่ผมกำลังงง หนึ่งในพวกนั้นก็หยิบเอกสารออกมาทำท่าจะกรอกให้จริงๆ
นี่มันอะไรกันน่ะ?
กำลังชักชวนผมไปเข้าชมรมเชียร์งั้นหรอ?
ถึงจะไม่รู้ว่าตัวเองไปสะดุดตาพวกนี้ได้ยังไง แต่มันรู้สึกไม่ชอบใจเอาเสียเลย...
พวกนี้เคยเป็นผู้จัดการทีมมาก่อน...แล้วทำไมถึงได้ทิ้งไปง่ายๆเพียงเพราะว่างานมันหนัก...นี่ไม่ได้รู้สึกรักมันบ้างเลยหรอชมรมกีฬาที่เข้าไปได้น่ะ? ทั้งๆที่มีคนมากมายใฝ่ฝันว่าจะได้เข้าชมรมที่ตัวเองรักแต่กลับถูกคนพวกนี้ที่อาจจะเห็นมันเป็นแค่ทางผ่านมากันที่เอาไว้...มันน่าโมโหไม่ใช่หรือไง?
แคว้ก!!!!
เอกสารขอย้ายถูกฉีกกระจายด้วยมือของผมที่ตรงเข้าไปคว้ามันมา
“ ชั้นจะไม่ย้ายไปไหนทั้งนั้น...ชั้นเป็นผู้จัดการทีมของชมรมเบสบอล แล้วก็จะเป็นไปจนกว่าจะเรียนจบ!” ผมพูดใส่หน้าประธานชมรมเชียร์ก่อนที่จะก้าวขาเดินจากมาอย่างอารมณ์เสีย...พวกนั้นดูจะอึ้งไปเพราะผมเป็นคนแรก....ที่กล้าปฏิเสธคำชักชวนของชมรมเชียร์ที่ไม่ว่าจะอยากได้ใครก็ต้องได้
ผมจะทำให้พวกนั้นรู้ ว่าผมอยู่ที่นี่ก็เพราะว่าผมรักเบสบอล
ปึกเอกสารถูกวางลงไปบนโต๊ะของชมรมซึ่งตอนนี้ไม่มีคนอยู่เพราะมันเลยเวลาเลิกซ้อมมานานแล้ว เสียงเครื่องซักผ้าดังหึ่งๆทำให้ผมหันไปมองพลางอมยิ้ม ดูเหมือนเจ้าพวกลิงนั่นจะใช้เครื่องซักผ้าเป็นกันแล้วสินะ?
เสียงฝีเท้าก้าวเดินเข้ามาทำให้ผมหันหน้าไปมอง ร่างที่ไม่ได้สูงใหญ่ทว่าแข็งแกร่งยิ่งกว่าใครยืนท้าวประตูอยู่ที่หน้าห้อง ใบหน้านิ่งที่ดูอารมณ์เสียอยู่ตลอดเวลาทำให้ผมรู้สึกผวาหน่อยๆ
“ ชั้นนึกว่านายจะเป็นแค่เด็กเหลือขอไม่ได้เรื่องได้ราวเสียอีก...แต่ก็...ใช้ได้นี่...” ถึงสิ่งที่เขาพูดจะขัดกับใบหน้าโหดๆของเขาแต่มันก็ทำเอาหัวใจของผมถึงกับเต้นแรง
เขาเห็นตอนที่ผมคุยกับพวกชมรมเชียร์ด้วยหรอ?
ข้อมือของผมถูกเขาคว้าเอาไปก่อนที่สองขาจะก้าวเดินตามแรงลากของเขาเข้าไปในสนามที่อยู่ด้านหลังห้องชมรม
“ เอ้า!” เขาโยนถุงมือเบสบอลมาให้ ผมรีบตะครุบมันไว้แทบไม่ทัน
“ ชั้นจะสอนนายเอง ตั้งแต่พื้นฐานเลยก็ได้...ที่ไม่เล่นเพราะเล่นไม่เป็นใช่ไหมล่ะ?” นี่เขาจะทำให้หัวใจของผมเต้นแรงไปถึงไหน มันไม่ดีต่อผมนะรู้มั๊ย?!
“ ขอบคุณครับโค้ช แต่ผมเล่นไม่ได้หรอกครับ” สองมือได้แต่บีบถุงมือแน่น ไม่กล้าที่จะเงยหน้ามองสายตาแข็งกร้าวของเขาเลยจริงๆ ทั้งๆที่เขาตั้งใจจะสอนผม ทั้งๆที่เขาเป็นคนเดียวแท้ๆที่พยายามจะทำให้ผมเล่นเบสบอลที่ผมรักได้
แต่ตัวของผมเอง...กลับตอบสนองต่อความหวังดีของเขาไม่ได้...
เขามองมาที่ผมด้วยสายตาไม่เข้าใจ เขายื่นไม้เบสบอลมาให้เพราะคิดว่าผมคงอยากเล่นตำแหน่งแบตเตอร์ และพอผมก้มหน้าส่ายไปมา เขาก็โยนลูกเบสบอลมาให้เพราะคิดว่าผมอยากเป็นพิชเชอร์
ไหล่ของผมรู้สึกสั่นสะท้านทั้งๆที่มันกำลังห่อเข้าหากัน...ผมคงทำให้เขาผิดหวังมาก...ทั้งๆที่เขา...ทั้งๆที่เขา...
“ นายอยากเล่นไม่ใช่หรอ? แล้วทำไม? เพราะอะไรถึงไม่ยอมจับมันด้วยมือของนายเอง บอกชั้นมา บอกชั้นมาสิ!” น้ำตาของผมไหลลงไปตามแรงเขย่าจากมือแข็งแรงที่บีบต้นแขนของผมอยู่ เมื่อถูกเขาบีบบังคับมากเข้าๆ ริมฝีปากจึงเผลอตะโกนออกไปอย่างหมดความอดทน
“ ใช่! ผมอยากเล่น! แต่ผมเล่นไม่ได้ เพราะว่าผมเป็นโรคหัวใจ!!”
สองมือที่บีบต้นแขนค่อยๆคลายออกช้าๆ เขาก้าวถอยหลังก่อนจะมองผมด้วยนัยน์ตาเบิกค้าง
ผมยกมือขึ้นมาปาดน้ำตา...ผมไม่อยากบอกใคร...ว่าผมป่วยเป็นโรคร้ายที่ไม่มีทางรักษาหาย...เพราะผมจะรู้สึกสมเพชตัวเองทุกครั้งที่ใครๆต่างก็พากันมองมาอย่างสงสารและเห็นใจ...ผมก็แค่อยากใช้ชีวิตที่อาจจะไม่ยาวนานนี้ในแบบที่คนปกติเค้าใช้กันก็เท่านั้น ถึงจะมีเพียงเรื่องออกแรงมากๆที่ผมไม่สามารถจะเลียนแบบคนทั่วไปได้ก็ตาม
ลมหายใจถูกสูดเข้าไปลึกๆอย่างพยายามทำใจที่จะต้องเงยหน้าขึ้นมาเห็นดวงตาที่แสดงออกซึ่งความสงสารของเขา
แต่เปล่าเลย...
เพราะใบหน้าที่ผมเงยขึ้นมาเห็นนั้นมันกลับกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่
“ แบบนี้...นายก็มีเซ็กส์ไม่ได้น่ะสิ?”
คำถามของเขาทำเอาผมถึงกับอ้าปากค้าง...นี่เขากำลังคิดเรื่องอะไรอยู่กันแน่เนี่ย? ไม่สงสารไม่เห็นใจคนป่วยอ่อนแอจะตายวันตายพรุ่งอย่างผมบ้างเลยหรือไง? แต่เพราะแบบนั้นมันเลยทำให้ผมหลุดหัวเราะออกมา
“ อุ๊บ ฮ่าๆๆๆ เรื่องแบบนั้น....เรื่องแบบนั้น....เค้าถามกันตรงๆแบบนี้หรอครับ ฮ่าๆๆ” ผมไม่เคยรู้สึกสบายใจแบบนี้มาก่อน นั่นคงเป็นครั้งแรกที่ผมหัวเราะออกมาจนถึงกับต้องหยุดไอและพักสูดหายใจเพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนต่อหัวใจ
“ อะไร? เด็กเหลือขออย่างพวกนาย วันๆก็คุยกันแต่เรื่องแบบนี้ไม่ใช่หรือไง?” เสียงของเขากับบทสนทนาในเย็นวันนั้นยังคงดังก้องอยู่ในใจของผมเสมอ
เขาไม่เคยมองว่าผมเป็นคนป่วย ไม่เคยเห็นผมเป็นภาระ
ผมรู้สึกดีจริงๆ...ที่ได้อยู่ข้างๆเขา...
เขายังคงโดดเด่นเสมอไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ขนาดในโรงเรียนชายล้วนเองเขาก็เป็นที่จับตามองไม่แพ้ที่อื่นๆ…
บุคลิกที่ดูเป็นผู้ใหญ่และร่างกายที่แข็งแรงของเขาทำให้เขาดูสมบูรณ์แบบ
ผู้ชายหลายคนเห็นเขาเป็นฮีโร่ที่น่าเอาเป็นแบบอย่าง มีทั้งคนที่ชื่นชมเขา มีทั้งคนที่เฝ้าอิจฉา แล้วก็มีหลายคนที่แค้นเคืองเขาเพราะถูกแย่งคนที่ชอบไป ทั้งๆที่เขานั้นไม่เคยสนใจใครเลย....
เพราะแบบนั้นแหละ หลายคนจึงบอกว่าเขาช่างเลือก....เพราะเลือกได้...แล้วก็มีแต่คนอยากจะรู้ว่าสรุปแล้วเขาจะไปจบลงที่ใคร...คนที่จะได้อยู่ข้างๆเขาจะเป็นผู้หญิงแบบไหน...
วันนี้เขานั่งอยู่ในห้องสมุดแทนที่จะเป็นโต๊ะในห้องของชมรมเบสบอล อันที่จริงเขาไม่ได้เป็นอาจารย์ประจำจะมาทำหน้าที่เฉพาะเวลาก่อนและหลังเลิกเรียนก็ยังได้ แต่เขากลับอยู่ที่โรงเรียนทั้งวัน นั่งเขียนแผนการฝึกซ้อมรวมไปถึงรายละเอียดเป็นรายตัวว่าใครยังต้องเน้นตรงไหนอีก...ซึ่งทั้งหมดนั่นเขาจะทำในห้องชมรม...ผมจึงแปลกใจเมื่อเห็นเขานั่งอยู่หลังโต๊ะตัวยาวในห้องสมุด
ยังมีตรงไหนในเรื่องของเบสบอลที่เขายังไม่ทะลุปรุโปร่งอีกหรือไง...ถึงต้องมาหาข้อมูลที่นี่?
ผมไม่อยากจะรบกวนเขาจึงไม่เข้าไปถาม แต่ก็อยากรู้จนต้องแอบมาหลบๆซ่อนๆชะเง้อคอมองจากหลังตู้หนังสือที่อยู่ไม่ไกลจากเขานัก...เขาอ่านอะไรกันนะ?
ใบหน้าที่ดูตั้งอกตั้งใจนั่นทำให้ผมยิ่งอยากรู้เข้าไปใหญ่...ผมพยายามอ่านตัวหนังสือบนปกที่มองแทบไม่เห็น
.....การ...ออกกำลังกาย...กับ...ผู้ป่วย...โรคหัวใจ.....
ใบหน้าของผมร้อนผ่าวจนแทบจะลุกเป็นไฟ ใต้อกข้างซ้ายเต้นโครมครามทั้งๆที่หมอก็ห้ามว่าอย่าตื่นเต้นมากเกินไป...แต่มันหยุดไม่ไหวแล้วจริงๆ...เพราะสิ่งที่เขากำลังทำอยู่...มันทำเพื่อผม
เขากำลังหาข้อมูล...ว่าจะทำให้ผมเล่นเบสบอลได้ยังไง...
คงจะเป็นตั้งแต่ตอนนั้น.....ที่ผมตกหลุมรักเขา...
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
To be con.
หงั่กๆๆๆ ไม่มีเวลาเวิ่นมาก เพราะตอน 2 กำลังปั่นยิกอยู่เบยค่ะ โฮววววว ทั้งที่มีเวลาเป็นเดือน แต่จนแล้วจนรอดก็มาปั่นเอาวันท้ายๆทุกที T[ ]T
เอาเป็นว่า แปะเพลงแรงบันดาลใจให้ฟังกันก่องแบ้วกันนะ >w<
เพลง “ดาว” ของคริสตินค่ะ เพลงนี้เป็นเพลงเก่าตั้งแต่สมัยคุณกวางยังเด็ก(เร๊อะ) คือในขณะที่กำลังปั่นฟิคซอมบี้กับลิปสติกที่เป็นฟิควันเกิดตัวจริงอยู่นั้น ก็เผลอไปค้นเพลงเก่าเพลงนี้มาฟังค่ะ นะ...จากนั้นเลยเกิดอารมณ์อยากแต่งฟิคโรแมนติกจริงโว้ยยยยยย ไอ้เรื่องที่แต่งอยู่นี่ก็เปรี้ยวซะอีกเรื่องก็ยิงกันไส้แตก ก็เลยแหกโค้งได้ไหมาอีกใบซะงั้น ฮือออออออ อภัยให้คุณกวางด้วย *เขียนดายอิ้งเมสเสจ*
ส่วนชื่อเรื่อง “พราว” เดี๋ยวไว้เวิ่นถึงท้ายตอนที่สองนะค้า ^ ^ ลงวันนี้แหละ เหลืออีกนิดดดดเดียว >////<
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดด
ตอบลบรีไวซังอบอุ่นมากค่ะ เขินมากกกกกกก
ลุ้นตอนต่อมากค่ะพี่กวาง>\\\\<
แวะมาอ่าน ค่ะ แต่ยังไม่ได้อ่าน กร๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก #โดนถีบ
ตอบลบกะจะมาอ่านตอนค่ำ ๆ (30/3) แวะปั่นฟิคตัวเองที่ดองอยู่ไปพลางๆ
คำโปรยเปิดเรื่อง น่ารักดี เหมือนโปรเจคเรื่อง Say Love (ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีเลิกยามให้คลอด)
เป็นเกี่ยวกับการบอกรักเหมือนกัน :D
ไว้มาอ่านแล้วจะเม้นใหม่อีกรอบ XD
เห็นคุณ Blood Madness เม้นแล้ว ถึงจะไม่รู้ว่าเนื้อเรื่องเป็นยังไง
แต่ขอเขินแทนแปบ #โดนกระชวกไส้
อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก โฮกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก สครีมเป็นบ้าเป็นหลัง นี่แค่ตอนแรกนะเนี่ย โฮยยๆๆๆๆๆๆๆๆ น่ารักจนไม่รู้จะพูดยังไงแล้วค่าาาาาาาาา >/////<
ตอบลบสารภาพว่าตอนแรกแอบลุ้นอยู่ว่า พราว ในแบบรีเอของพี่กวางจะออกมาแบบไหน คือแค่จิ้นว่ามันโรแมนติกก็กรี๊ดอยู่ในใจแล้วอ่ะ ไม่รู้จะเริ่มสครีมตั้งแต่อะไรก่อนดี เอาเป็นว่า คาร์แร็กเตอร์หนูเลนกับเฮย์โจว์เรื่องนี้ดาเมจมากค่ะ โฮกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ผู้จัดการทีมกับโค้ช เอร๊ยยยยยย ชอบตั้งแต่แรกเลยค่ะ ยิ่งตอนที่ทุกคนมารุมเอาชุดจากตัวหนูเลนนะ ยิ่งน่ารักอ่ะ คือ หนูเลนท่าทางจะมีความสุขมากๆจริงๆ มันสื่อให้เห็นว่า ถึงแม้จะไม่ได้ทำในสิ่งที่ชอบจริงๆ แต่ขอได้อยู่ใกล้ๆ ได้ทำอะไรบางอย่างเพื่อมัน แล้วมีคนที่มีความสุขกับมัน แค่นี้ดีใจแล้วอ่ะ รู้อยู่ค่ะ ว่าหนูเลนต้องอยากเล่นเบสบอลมากแน่ๆ แต่หนูก็ไม่ได้ตีโพยตีพายอะไร แถมไม่ได้ท้อ ยังยึดมั่นในกีฬานี้ต่อไป อ่านแล้วมันกร๊าวมากกกกกกก คาร์แร็กเตอร์เด็ดเว่อร์ค่ะ TT[]TT bb
มาที่เฮย์โจวเรา เรื่องนี้กินเด็กอีกตามเคย // จะเรื่องไหนก็กินเฟ้ย (กุมหลังคอ หลบดาบ) คือ...กรี๊ดสุดตอนที่พาหนูเลนตัวเปียกซ่กๆไปเปลี่ยนชุดเช็ดผมที่บ้านนั่นแล โฮกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก อบอุ่น อบอุ่นเหลือเกินค่ะ โค้ชขาาาา ตอนฉากหวีผมเนี่ย อ่านแล้วประทับใจจริงๆ
“ ..........จากนี้ไป...หวีผมทุกสามเวลาหลังอาหารซะไอ้เจ้าเด็กเหลือขอ! ถ้าชั้นเห็นหัวแกยุ่งเหมือนขนหมาเมื่อไหร่ชั้นจะจับมาหวีให้! รับลองเลยว่าหนังหัวแกจะลอกออกมาเป็นแผ่นๆแน่!”
ขื่อออออออออออ หนูก็เป็นคนหนึ่งที่หวีผมแค่หลังสระ กับตอนมัดเท่านั้นอ่ะเฮย์โจว ฮ่าๆๆๆๆ ตอนนี้นี่เหมือนคุณพ่อกำลังดุลูกชายตัวเล็กๆที่ไม่ดูแลตัวเองเลยค่ะ น่ารักโฮกอ่ะ! >..<
มาถึงฉากจับคาง อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก อัลไลคะ! อัลไล! คุณโค้ช เห็นอะไรบนใบหน้าหนูน้อยเหรอคะ น่ารักใช่มะละ น่ารักใช่ม้าาาาา ถึงบอกว่าที่พวกคนในชมรมเอามาแทนคนก่อนอ่ะ บ๊ะ! แต่หนูเลน หม่ามี้ขอถามหนูอะไรสักอย่าง หนูสายตาไม่สั้น แล้วใส่ทำหยังลูก ฮ่าๆๆๆๆๆ สงสัยคุณพ่ออยากอำพรางความน่ารัก ฮี่ๆ
ชอบตอนที่พวกคนในชมรมพากันมาขยี้หัวหนูเลนมากๆค่ะ ดูเป็นที่รักมากมาย (เห็นแล้วนึกถึงหนูครกถูกพวกคิเซกิจับเล่นหัวบ่อยๆ น่าร้ากกกกกกกก) แถมยังรู้สึกว่าจะหวงมากซะด้วย เง้อออออออ น่ารัก (โปรดอย่าสงสัยหากพูดคำนี้บ่อยเกินไปนัก เพราะมันน่ารักสุดจะทนจริงๆค่ะ) มั่นใจเกินล้านว่าใครจะมาดึงหนูไปอยู่ที่อื่น ไม่มีใครยอมเด็ดขาด TvTb
และแล้วก็มาถึง คำพูดในตำนาน ที่พอรู้ว่าหนูเลนเป็นโรคหัวใจเท่านั้นแหล่ะ
“ แบบนี้...นายก็มีเซ็กส์ไม่ได้น่ะสิ?”
อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก อะร้ายยยยยยยยยยยยยย อะร้ายยยยยยยยยยยอ่ะคะ ถามเด็กแบบนี้ เอาไปเลยร้อยเต็มค่ะโค้ชขาาาาาาาา // ปาดเลือดออกจากจมูก ทั้งกรี๊ดทั้งขำไปพร้อมกับหนูเลนเลยค่ะ นั่นสิ ใครเขามาถามกันง่ายๆแบบนี้ อยู่ที่ลับตาก่อนค่อยถาม // เห้ย!
ไม่ไหวแล้ว ผู้ใหญ่คนนี้อ่อนโยนมาก ขอตามไปดูตอนที่สองทันทีค่ะ
ชะแว้บ!
งื้อออออออออออออออ น่ารักมากอ่าา
ตอบลบอ่านแล้วอบอุ่นหัวใจสุดๆ ทำไมถึงทำให้อ่านไปอมยิ้มไปได้ขนาดนี้? ><
อ่าาา แต่น่าสงสารเอเลนจัง ว่าแต่รีไวซามะ เรื่องแบบนั้นถามออกมาโต้งๆ อย่างนี้เลยเหรอคะ
อย่างนี้ทุกคนก็รู้จุดประสงค์หมดแล้วสิ ร้ายกาจมากโค้ช 555555555
จิ ลง ไป ดิ้น ตาย~~~~ > ___ <
ตอบลบฮืออออออ ถ้ามันจะได้ฟีลอบอุ่นหวานโรแมนติคแบบเน้~~~~~
เป็นฟิควันเกิดเอเลนแก้ขัด(?)ที่อยากจะดิ้นทั้งเรื่อง(?) #หล่อนจะเป็นผู้เป็นคนสักนาทีได้ไหม 55555
อ่านแล้วยิ้ม ยิ้ม ยิ้ม และยิ้มมมม ไม่รู้จะยิ้มอะไรนักหนา
แต่ก็ยังจะยิ้มไม่เลิกจริงจังเลยค่ะกวางซามะ > _ <
อ๊ากกกกกกกกกก โฮกกกกกกกกกกกก ฮืออออออ เค้าชอบบบบบบบบบบบบ
ไอ้ความอบอุ่นที่กำลังอบอวล(?)แผ่ไปทั่ว(?)แบบนี้มันก๊าวใจมากกกกกกกกกกกกก
ไม่ได้อยู่ในฟีลนี้มานาน(?)จริงจัง และเค้าก็ดีใจที่ได้อ่านมากๆเบยยย ฮือออออ
ถึงแม้กวางซามะจะแหกโค้ง(?)ไปชนเขื่อน(?)ได้ไหเพิ่ม(?)มาก็ตามนะคะ
#เรา(?)จะก้าวไปข้างหน้าเพื่อทลายไหด้วยกันนะคะ
#ได้ข่าวหล่อนไม่ได้ช่วยทำอะไรเลยนอกจากเอาแต่สติแตก(?) ; _ ;
ตอนรู้ว่ากวางซามะได้เพลง “ดาว” ของคริสตินเป็นแรงบันดาลใจ นี่บอกตรงๆ(อีกรอบ(?))ว่าเค้าโคตะระกรี๊ด(?)เลยค่ะ
เพราะถ้าเป็นเพลงนี้ ….มันตอบโจทย์ความโรแมนติคได้โฮกกกก (ถึงเพลงมันจะไม่ได้บอกว่ามันจบแฮปปี้ก็เหอะ ตัวเนื้อเพลงมันยังไม่รู้จะไปจบที่ไหน(?)ยังไง(?)เลยได้ข่าว 555555 แต่แน่นอนว่าคนฟังวัยใส(?)มันก็ต้องเหมาว่ามันต้องแฮปปี้เอนดิ้งกิ๊วก๊าวมุ้งมิ้งสิ!! 55555)
พาร์ทนี้ทั้งพาร์ทยังไม่เอ่ยชื่อ(?)ของท่านท่อนขาเลยเนาะ แต่ขนาดไม่เอ่ย(?)ก็รู้ว่าเป็นท่านท่อนขาจากการบอกส่วนสูง(?)โดยการบรรยายของเอ… #กระทืบดิฉันซะเป็นเกมส์เต้น(?)เลยนะคะ #ถถถถถถถถถถ แต่เค้าก็ชอบบบบที่เอเลนดูพัง(?)แบบนี้ด้วย 555555 เค้าชอบที่คนตัวเอเลนไม่เคยรู้เสน่ห์ของตัวเองแบบนี้มากกกจริงจัง และก็ชอบมากที่เฮย์โจวสนใจเอเลนในทุกๆๆสภาพ(?)เสมอ(?)แบบนี้ บอกตรงๆว่าตายหลายรอบมาก(?) > ___ < อะไรคือการแอบมองเอเลนจนเห็นถึงสายตาของเอเลนเวลามองคนในทีมเล่นเบสบอล อะไรคือการที่ป้วนเปี้ยนอยู่ข้างเอเลนตลอดดดดด อะไรคือการให้ซ้อนท้ายจักรยานนนนนนนนนนนน อะไรคือการโชว์กล้ามท้อง(?)ให้คนอ่านฟิน(?)ตาย (รู้สึกอันนี้จะไม่ใช่ประเด็นของการกรี๊ดคู่นี้5555) อะไรคือการรู้ว่าคนที่ตัวเองเล็ง(?)เป็นโรคหัวใจแล้วห่วงเรื่องการมีเซ็กส์เป็นอย่างแรก(?)หือออออ แล้วอะไรคือการเข้าห้องสมุดไปค้นข้อมูลเพื่อจะออกกำลังกายในร่ม(?)กับคนป่วยโรคหัวใจ #หล่อนอย่าแหกโค้งงงง #ถถถถถถ #เบสบอลในร่ม(?)มีไหมนะ โฮกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ไม่ตายก็ต้องตายยยยย(?)นะคะแบบเน้~~~~ บอกตรงๆว่าตอนนี้อุ่นจนร้อน(?) 55555555 > ___ <
ฟิคกวางซามะ ทำเราตายไปเลิกตลอดเบย ฮืออออ ขอกอดแน่นๆๆๆเลย
#กอดหนุบหนับ(?)แล้วจรลีไปอ่านพาร์ทสอง
โอ๊ยตายค่ะ มุ้งมิ้งมาก เอเลนอารมณ์สาวน้อยการ์ตูนตาหวานสุดๆ
ตอบลบยังกะกำลังอ่านการ์ตูนK-Book รึหมึกจีนอยู่เลย (บ่งบอกอายุมาก)
แต่เอเลนป่วยป้อแป้แบบนี้ เฮยฺโจวก็ตบตีมากไม่ได้สินะ XD
ได้เวลาทำตัวเป็นพระเอกแสนดีแล้วล่ะค่ะ จุ๊บุ
จะว่าไปเอเลน หน้าที่นายคือผู้จัดการชมรมรึศรีภรรยาน่ะห๊ะ?!!! นนายจะเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวเรอะะะ!!!
พี่กวางงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
ตอบลบมันมุ้งมิ้ง มันวิ้งวับ มันซาบซ่า(?)มากฮะ
ทำเอานึกถึงวันวานหวานอยู่สมัย ม.ปลาย เลยยยยย
สองคนนี้มุ้งมิ้งอ่ะ มันแบบนุ่มนวล ละมุนๆ ยังไงไม่รู้
ตอนแรกที่อ่านพี่กวางบรรยายนี่ นึกภาพเอเลนเนิร์ดเลย ใส่แว่นกรอบครึ่งหน้ากะผมเรียบๆ แต่จริงๆ ผมกระเซิงเหรอเนี่ย อ่านไปก็คิดเล่นๆว่าที่ให้ใส่แว่นนี่คงเพราะจะพรางความน่ารัก(และความเคะ)ไว้แน่ๆ ดันเป็นจริงซะงั้น อยากรู้ว่าประธานชมรมเชียร์นี่แจนป่ะฮะ?
น่าโมโหจริงๆ น่ะแหละ บางคนอยากเข้าแทบตายแต่ไม่ได้เข้าเพราะพวกนี้มากันที่ นิสัยไม่ดี แล้วจะเข้าไปทำไมถ้าไม่ได้ชอบแต่แรก
ลองเดาเล่นๆ ว่าเอเลนต้องเป็นโรคหัวใจ เพราะดูเหมือนจะทำอะไรที่ทำให้เหนื่อยไม่ได้ ดันถูกอีก (ซื้อหวยทำไมไม่ถูกแบบนี้บ้างนะ) อะไรก็ไม่ขำเท่ากับเฮย์โจวถามว่ามีเซ็กส์ได้รึเปล่า คือฮามาก ต้องสื่ออะไรบางอย่างสินะฮะ ไม่คิดนะว่าจะถามอะไรแบบนี้
ฉากปั่นจักรยานนั่นว่าละมุนแล้ว ที่เฮียยอมเข้าห้องสมุดไปหาข้อมูลนั่นละมุนกว่าหลายเท่า เขินแทนเอเลนฮะ คนๆ นึงจะทำได้ขนาดนั้นเลยเหรอ ถึงขนาดมานั่งหาข้อมูลแบบนี้ ฮืออออออ เขินนนนนนนนนนน
อิจฉาเอเลนฮะ ได้แนบชิดกับกล้ามเฮย์โจว แต่ให้อภัยได้ มีความรู้สึกว่าเฮย์โจวจงใจหาแว่นไม่เจอตรงริมแม่น้ำนั่นใช่มั้ยฮะ หลังเห็นเอเลนเวอร์ชั่นไร้แว่น เพื่อนร่วมชมรมก็น่ารักจริงน้า เจ้าเล่ห์มิใช่น้อย แถมหวง ผจก. มาก คิดว่าถ้าใครมาจีบนี่ต้องผ่านด่านเจ้าพวกนี้ไม่น้อยแน่ๆ ...ถ้าโค้ชจีบจะเป็นยังไงกันนะ?
ปล.เพลงเพราะฮะ เข้ากันมาก
ปลล.สารภาพ..........รู้สึกว่ามันดักแก่อย่างไรพิกล ยิ่งพออ่านเนื้อแล้วนึกทำนองเสียงร้องออกยิ่งรู้สึกชัดอย่างไรพิกลฮะ
คือมันหวานอ่ะ
ตอบลบแหม่
ที่แท้พ่อให้เอเลนใส่แว่นทำผมกระเซิงเพื่อพลางความโมเอะนั่นเอง
พอถอดแว่นออกเท่านั้น
ฮือฮากันทั้งโรงเรียน
ส่วนรีไวล์เรื่องนี้อบอุ่นอ่ะ
โหดกับคนอื่นแต่ใจดีกับเอเลนคนเดียว
แล้วที่วิ่งผ่านหน้าบ้านเอเลนตลอดนี่เพราะต้องการจะสื่อความหมายอะไรบางอย่างสินะ
แล้วอารมณ์ทุกอย่างพีคมากตอนที่เอเลนบอกว่าตัวเองเป็นโรคหัวใจ
กำลังจะเกิดดราม่า
พอเจอประโยค“ แบบนี้...นายก็มีเซ็กส์ไม่ได้น่ะสิ?” เข้าไปเท่านั้นแหละ
หลุดกร๊ากเลยค่ะ
ไม่นึกว่าพี่ท่านจะหวดลูกทำสไตรค์ได้โหดขนาดนี้
*กลับมาสครีมรอบ2* อ้ากกกกกกกกกกโค้ชชชชชชชชชชชชฮืออออออออออออฟินทำดีค่ะทำดีอ๊ากกกกกกก
ตอบลบ