Attack on Titan Au S.Fic [Levi x Eren] -- BiOS : another story B : 01--


Attack on Titan Au S.Fic [Levi x Eren]  -- BiOS : another story B : 01--

: Attack on Titan AU Fanfiction
: Levi x Eren
: Action  Horrors
: NC-17


คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ





ลูกธนูพุ่งแหวกอากาศไปปักลงที่กลางแป้นอย่างแม่นยำและนั่นก็ทำให้คันธนูสีดำค่อยๆลดระดับลง

ท่วงท่าที่สง่างามในชุดฮากามะของศิลปะการยิงธนูแบบญี่ปุ่นหรือ Kyudo ส่งให้ร่างที่ไม่ได้สูงใหญ่ทว่าแข็งแกร่งยิ่งกว่าใครยิ่งน่ามองมากกว่าที่เป็นอยู่แล้วหลายเท่า แขนกิโมโนสีดำสนิทซึ่งถูกปลดลงข้างหนึ่งเผยให้เห็นหัวไหล่ที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามรวมไปถึงกล้ามเนื้ออันสวยงามที่เป็นลอนอยู่บนหน้าท้องและแผงอก

สายตานิ่งสนิทมองผลงานของตัวเองโดยที่ใบหน้าไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่นิด ทั้งๆที่การจะยิงธนูได้ในระดับนี้มันไม่ใช่เรื่องที่ใครจะทำได้ง่ายๆเลย


รีไว....


เพราะชื่อของเขาเป็นแบบนั้น มันเลยทำให้จำเป็นต้องเก่งยิ่งกว่าใคร ต้องพยายามมากกว่าคนอื่นเป็นไหนๆ...เพื่อให้เป็นที่ยอมรับในตระกูลเก่าแก่ที่มีแต่คนหัวโบราณและสืบสานความเป็นญี่ปุ่นจากรุ่นสู่รุ่นมาได้อย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง

กับตระกูลที่ทุกคนยังใส่แต่กิโมโนแบบนี้ เขานึกไม่ออกเลยจริงๆว่าวันที่พ่อของเขาพาแม่ที่ไม่ใช่คนญี่ปุ่นเข้าบ้านมา....บรรยากาศมันจะน่ากลัวขนาดไหน

แล้วชีวิตที่เต็มไปด้วยความกดดัน...มันก็ถูกถ่ายทอดมายังเขา

กว่าจะทำให้คนในบ้านยอมรับได้ ก็ต้องผ่านการเลี้ยงดูมาอย่างเข้มงวดยิ่งกว่าใครๆ เขาไม่เคยได้วิ่งเล่นเหมือนเด็กทั่วไป เพราะตั้งแต่จำความได้....ของเล่นชิ้นเดียวที่มีก็คือ...ธนู

นัยน์ตาสีขี้เถ้าเหลือบมองห้องฝึกเรียบโล่งที่ปราศจากเงาของใคร...ที่นี่เคยเป็นโรงฝึกธนูมาก่อน...ก่อนที่จะปิดตัวไปเพราะไม่มีคนคอยดูแล เพราะทายาทเพียงคนเดียวอย่างเขายังมีหน้าที่อื่นที่สำคัญกว่าให้ต้องไปทำ

ร่างในชุดกิโมโนสีดำวางธนูลงบนแท่นก่อนจะก้าวขาออกไปจากห้อง...ก้าวไปตามระเบียงทางเดินของบ้านญี่ปุ่นเก่าแก่ที่ไม่มีใครอยู่แม้แต่คนเดียว


หึ...ไม่รู้ว่าเมื่อก่อนเขาพยายามไปเพื่ออะไรกันนะ...เพราะในท้ายที่สุดแล้วบ้านหลังนี้มันก็ตกเป็นของเขา...มีเพียงเขาเท่านั้นที่ยังอยู่ที่นี่


มือเลื่อนประตูกรุกระดาษสาเข้าหากันเมื่อฝ่าเท้าก้าวเข้าไปยืนอยู่ในห้องของตัวเอง...เครื่องแบบสีเขียวเข้มของกองกำลังป้องกันตนเองทางอากาศของญี่ปุ่นแขวนโดดเด่นอยู่ภายในห้องเรียบโล่ง

ใช่...นั่นคือหน้าที่สำคัญที่ว่า....

ถึงแม้ว่าชื่อมันจะไม่ได้ยิ่งใหญ่ แต่กองกำลังป้องกันตนเองทางอากาศของญี่ปุ่นหรือ JAPAN Air Self-Defense Force...มันก็คือกองทัพอากาศดีๆนี่เอง


เขาเป็นหัวหน้าทหารซึ่งประจำการอยู่ในฝูงบินโจมตีของกองบินที่ 6 ฐานทัพอากาศโคมัตสึ


เพราะติดยศพันเอกตั้งแต่อายุแค่สามสิบ ทำให้จำต้องละทิ้งโรงฝึกธนูของที่บ้านไปโดยปริยาย...ชุดฮากามะสีดำถูกวางเอาไว้ก่อนจะเปลี่ยนมาใส่เครื่องแบบของทหารเต็มยศ ดาบญี่ปุ่นที่มีไว้เป็นแค่เครื่องประดับเสียบลงไปที่ข้างเอวก่อนที่ร่างซึ่งไม่ได้สูงใหญ่ทว่าแข็งแกร่งยิ่งกว่าใครจะก้าวขาออกมาจากห้อง รองเท้าบูทสูงถึงเข่าถูกสวมลงไปก่อนที่ประตูไม้ของบ้านญี่ปุ่นหลังใหญ่จะถูกปิดลง

ทั้งๆที่คิดว่าเย็นนี้ก็คงได้กลับมา....ทว่า......












นัยน์ตาสีขี้เถ้าจ้องมองท้องฟ้าลอดผ่านแนวเสาของทางเดินที่เชื่อมต่อไปยังอาคารศูนย์บัญชาการ ถึงแม้จะแปลกใจในความนิ่งงันของมันแต่เรียวขาก็ยังก้าวต่อไปไม่หยุด

อะไรกันนะที่ทำให้รู้สึกติดใจขนาดนี้?

เป็นเพราะเมฆไม่เคลื่อนที่? เป็นเพราะไม่มีนกบินสักตัว? หรือเป็นเพราะอะไรกันแน่ ที่ทำให้ท้องฟ้าธรรมดาๆกลับดูต่างไปจากทุกๆวัน

ใบหน้านิ่งสะบัดกลับมามองที่ทางเดินก่อนจะพยายามสลัดความสงสัยในหัวออกไป...เพราะที่ไหล่จู่ๆก็รับรู้ได้ถึงน้ำหนักของใครบางคน

“ ถ้าไม่อยากถูกขังลืมก็เอาแขนแกออกไปซะ ยังไงชั้นก็เป็นผู้บังคับบัญชาของแกนะ พันโท โนเสะ ยู”  มือแข็งแรงปัดท่อนแขนที่พาดลงมาที่บ่าอย่างสนิทสนมนั่นออกไปอย่างไม่ไยดี

“ ฮ่าๆๆ นายนี่มันยังโหดร้ายเหมือนเดิมเลยนะรีไว ลืมไปแล้วหรอไงว่าสมัยก่อนใครเคยให้นายลอกการบ้านน่ะ?”   ร่างสูงใหญ่ที่มีใบหน้าหล่อเหลาและเข้ากับเครื่องแบบทหารอย่างไม่น่าเชื่อหัวเราะร่าอย่างไม่ถือสาใบหน้านิ่งสนิทติดจะรำคาญของเขา

“ คนที่ลอกน่ะมันแกไม่ใช่หรือไง ห๋า?”   แล้วท่อนขาของคนที่เตี้ยกว่าก็หันไปยันผนังไว้เพราะร่างสูงใหญ่หลบได้อย่างรู้ทัน...ก็เพราะเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ชั้นประถมและไม่ว่าจะเรียนจบมัธยมหรือแม้แต่ตอนที่ตัดสินใจว่าจะเป็นทหารหมอนั่นก็ยังอยู่ด้วยกันตลอด


เป็นเพื่อนเพียงคนเดียวที่เขามีบนโลกใบนี้...


“ ฮ่าๆๆ ใจเย็นน่า...เอ้า! มีคนฝากมาให้”   แล้วถุงใส่คุกกี้ก็ถูกโยนใส่มือของเขา พอส่งสายตาแทนคำถามว่าของใคร เจ้าคนที่ทำตัวเยี่ยงบุรุษไปรษณีย์ก็ได้แต่ยักไหล่เป็นเชิงว่าไม่ต้องใส่ใจ

ก็ใช่...ไม่ต้องใส่ใจ...เพราะเรื่องแบบนี้มันก็เกิดขึ้นเป็นประจำ...

ถึงแม้ผู้ชายที่ชื่อ รีไว จะมีใบหน้าบอกบุญไม่รับและนิสัยไม่น่าคบ แต่กลับป๊อปปูล่าในหมู่สาวๆอย่างไม่น่าเชื่อ...อาจจะเป็นเพราะบุคคลิกที่ดูแบดบอยซ้ำยังมาจากตระกูลเก่าแก่ที่มีทั้งฐานะและชื่อเสียง มันเลยทำให้เป็นที่จับตามองของสาวๆมากมายที่อยากมีชีวิตดั่งในนิยายที่มีนางเอกแสนดีกับพระเอกตัวร้ายอะไรประมาณนั้น...เพราะงั้นทั้งขนมทำมือและจดหมายรักเลยถูกฝากมาให้อยู่เรื่อยๆ ตั้งแต่ประถมจนถึงตอนนี้

“ ถ้านายรำคาญก็น่าจะหาตัวจริงแล้วแต่งงานไปซะก็สิ้นเรื่อง อายุก็ไม่ใช่น้อยๆแล้วนา...ว่าที่คู่หมั้นของนายนั่นก็ได้”  คนตรงหน้าพยายามจะหาทางช่วย ทั้งๆที่ตัวเองก็ไม่ได้ต่างกันสักเท่าไหร่เลย

“ เอาคำแนะนำของแกไปใช้กับตัวเองเถอะ”   เขาหัวเราะในลำคอก่อนที่จะเดินจากมา ปล่อยให้ไอ้บ้านั่นยืนโวยวายอยู่คนเดียว


ว่าที่คู่หมั้นอย่างงั้นหรอ...


กับผู้หญิงคนนั้น ใครๆต่างก็คิดว่าเราเหมาะสมกัน...ทั้งชาติตระกูล ทั้งฐานะ ทั้งรูปร่างหน้าตา....แต่ที่ยังเป็นแค่ว่าที่คู่หมั้นอยู่จนถึงตอนนี้ ก็เพราะว่าพ่อแม่และผู้ใหญ่ในบ้านของเขาล้มตายกันไปเสียก่อนที่จะได้จัดการเรื่องหมั้นหมาย แล้วเขาที่ไม่ได้สนใจเรื่องนี้ก็เลยไม่คิดที่จะสานต่อ เพราะงั้นเราจึงเป็นแค่คนรู้จักกันธรรมดาๆ

แต่นั่นก็คือความคิดของเขาฝ่ายเดียว เพราะดูเหมือน โยชิดะ ไอโกะ จะไม่ได้คิดแบบนั้น

เธอก็เหมือนกับผู้หญิงทั่วไป...ที่อยากจะมัดใจเขาให้ได้...ถึงได้จงใจใช้เส้นสายเพื่อให้ได้มาทำงานอยู่ที่นี่ ในส่วนออฟฟิศทหารของกองบินที่ 6 แห่งนี้



และเธอก็เหมือนกับผู้หญิงทั่วไป...ที่ไม่มีใครรู้ว่า...หัวใจของเขานั้นมันมีเจ้าของแล้ว...



ถุงคุกกี้ถูกวางไว้บนโต๊ะในห้องปฏิบัติการการขับไล่ทางอากาศ เพราะที่ห้องนี้จะมีทหารอยู่ประจำตลอดเวลาไม่ว่าจะกลางวันหรือกลางคืนเพื่อคอยเตรียมพร้อมหากพบใครก็ตามที่บุกรุกน่านฟ้าของญี่ปุ่นเข้ามา ฝูงบินนี้ก็จะคอยเตือน ขับไล่ รวมไปจนถึงโจมตีถ้าอีกฝ่ายไม่ยอมหยุด...มันคือส่วนที่เป็นหน้าที่รับผิดชอบของเขาและการมาตรวจเยี่ยมลูกน้องในแต่ละวันมันก็คือสิ่งที่เขาต้องทำ

“ วันนี้ก็เรียบร้อยดีครับเฮย์โจว!”   เสียงนายทหารรายงานตามปกติ จะว่าไปก็ไม่บ่อยนักหรอกที่จะมีใครกล้ารุกล้ำน่านฟ้าของญี่ปุ่น  เขาพยักหน้าให้น้อยๆก่อนจะก้าวขาออกมาจากห้อง

และก่อนจะกลับไปที่ห้องทำงาน...สองขามันก็ต้องเดินผ่านสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งมีรั้วรอบขอบชิดอีกชั้น ถึงแม้ว่ามันจะอยู่ในหน่วยทหารแบบนี้ก็ตาม


เพราะมันคือคุกทหาร


สองขาที่น่าจะเดินผ่านมันไปกลับชะลอฝีเท้าลง...ตั้งแต่เมื่อสองปีก่อนการเข้าไปในนี้ก็เป็นกิจวัตรอีกอย่างหนึ่งของเขาไปโดยไม่รู้ตัว...


ตั้งแต่เมื่อสองปีก่อน....

ที่เด็กนั่นถูกพาตัวมาฝากขังไว้ในคุกทหารแห่งนี้....


เสียงฝีเท้าก้องไปทั่วทางเดินแคบๆที่ขนาบไปด้วยลูกกรงเหล็กของห้องขังซึ่งส่วนใหญ่จะว่างเปล่า...โทษของทหารที่ทำผิดกฎนั้นมันค่อนข้างจะโหดไม่ใช่น้อย ใครต่อใครจึงพยายามที่จะไม่ให้ตัวเองต้องเข้ามาอยู่ที่นี่ เพราะฉะนั้นคุกในชั้นนี้จึงมีเพียงห้องเดียวเท่านั้นที่มีนักโทษอยู่

เขาหยุดยืนหน้าห้องขังห้องในสุดซึ่งมีเพียงแสงสลัวๆส่องให้เห็นว่าคนที่อยู่ในนั้นกำลังหลับสนิทอยู่บนเตียงที่น่าจะเย็นเฉียบ ร่างโปร่งบางถึงได้ขดเข้าหากันด้วยท่าทางราวกับลูกหมาเวลาหนาว


เอเลน เยเกอร์ ถูกขังอยู่ที่นี่มาสองปีแล้ว ทั้งๆที่เด็กนั่นไม่ใช่ทหาร....


ในรายงานเขียนเอาไว้แค่ว่า สาเหตุที่เด็กนั่นต้องถูกพาตัวมาฝากขังคือข้อหาลักเล็กขโมยน้อยซึ่งโทษแค่นั้นไม่น่าจะทำให้ถูกขังลืมไม่มีกำหนดแบบนี้...มันแปลก...ตั้งแต่ที่เด็กนั่นถูกส่งตัวมาที่นี่ซึ่งเป็นคุกของทหารแล้ว

เบื้องบน...กำลังพยายามปกปิดอะไรเกี่ยวกับเด็กนั่นกันแน่?

ไม่เช่นนั้นกับแค่นักโทษที่ไร้ทางสู้คงไม่ต้องเจาะจงให้หัวหน้าทหารรีไวเป็นคนคอยดูแลแบบนี้หรอก

นัยน์ตาสีขี้เถ้าไล่มองไปตามร่างกายโปร่งบางที่นับวันก็จะขาวซีดขึ้นเรื่อยๆ  ใบหน้ามนยามหลับนั้นดูสงบและสวยงามราวกับภาพวาด แพขนตาที่แนบอยู่บนแก้มใสชวนให้รู้สึกอยากลูบไล้....แต่นัยน์ตาที่ปิดสนิทคู่นั้นกลับไม่สะท้อนสิ่งใดเลยยามที่มันลืมตาขึ้นมา...


เด็กนั่น...ไม่มีความทรงจำ...ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นใคร....


ช่วงเวลาก่อนที่จะถูกส่งมาที่นี่ ดูเหมือนความทรงจำจะไม่มีเหลืออยู่เลย เพราะไม่ว่าเขาจะถามยังไง สิ่งที่เด็กนั่นตอบได้ก็มีเพียง...ชื่อ...ของตัวเองเท่านั้น

เขาละสายตาจากใบหน้าที่ยังหลับสนิทลงไปมองที่รอยจ้ำเขียวช้ำที่ข้อพับของแขนขวา....รอย...จากการถูกจับฉีดยา...


ร่างกายหมุนตัวกลับก่อนจะเดินย้อนไปตามทางที่เดินเข้ามา ถึงแม้ใบหน้าของเขาจะยังนิ่งเฉย แต่ในหัวก็เฝ้าคิดแต่เรื่องของเด็กนั่น

ทั้งๆที่เขามีผู้หญิงให้เลือกมากมายแต่ทำไมถึงได้ติดใจนัยน์ตาสีมรกตที่ไม่สะท้อนสิ่งใดคู่นั้นกันได้นะ 





ใช่....





เขาหลงรัก...นักโทษของตัวเอง





อยากจะเหยียดยิ้มให้ผู้ชายที่ชื่อรีไวตั้งไม่รู้กี่ครั้ง ทั้งๆที่มีของสมบูรณ์แบบมาให้เลือกไม่ขาดสาย แต่เขากลับเลือกตุ๊กตาพังๆที่ใช้การไม่ได้และไม่สมประกอบ....ไม่มีอะไรที่เรียกได้ว่าเหมาะสมกันเลยสักอย่าง...ทั้งสถานะผู้คุมกับนักโทษ ทั้งเบื้องหลังของเด็กนั่นที่ไม่มีอะไรชัดเจนต่างจากเขาที่มาจากตระกูลที่มีชื่อเสียง ทั้งอายุที่ห่างกันกว่าครึ่ง ทั้งยังเป็นผู้ชายเหมือนกัน ทั้งๆที่รู้ว่าปล่อยไปแบบนี้คงมีปัญหาตามมาแน่....แต่เขาก็ไม่อาจจะละสายตาไปจากเด็กนั่นได้

ชีวิตที่มีแต่ความเพอร์เฟค เขาคงจะเบื่อมันเต็มที




เรียวขาก้าวเข้าไปในตัวอาคารกองบัญชาการการบินอย่างตั้งใจจะกลับไปยังห้องทำงานของตัวเอง แต่แล้วเสียงห้ามปรามที่ดังมาจากประตูด้านทิศตะวันตกก็ทำให้ใบหน้าหันไปมองโดยอัตโนมัติ

" เข้าไปไม่ได้นะครับ!"   ทหารที่รักษาการณ์อยู่ที่ประตูกำลังพยายามห้ามชายสองคนที่ทำท่าจะฝ่าเข้ามา......ไม่รู้หรือไงว่าที่นี่มันค่ายทหาร เดี๋ยวก็โดนเป่ากบาลแยกหรอก

ทั้งๆที่ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะต้องใส่ใจ แต่สองขากลับไม่ยอมขยับไปไหน เพราะสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่างของชายสองคนนั่น...จะว่าเหมือนคนเมาที่พูดจาไม่รู้เรื่องก็ไม่ใช่ จะว่าไม่มีสติก็ไม่เชิง แล้วยิ่งสภาพร่างกายที่มีแต่คราบเลือดซ้ำหน้าตายังบิดเบี้ยว...เมาแล้วถูกใครซ้อมมาหรือไง? แล้วสภาพแบบนั้นก็ยังอุตส่าห์เดินไหวอีกนะ?

ทหารรักษาการณ์พยายามยันแผ่นอกของผู้ชายสองคนนั้นเอาไว้ ทว่า จู่ๆใบหน้าที่บิดเบี้ยวก็อ้าปากกว้าง...ก่อนจะกัดลงไปที่ท่อนแขนของทหารจนเนื้อหลุดเลือดกระจาย!

“ อ๊ากกกก!!”  เสียงร้องอย่างเจ็บปวดทำให้ทหารหลายคนเข้าไปช่วยกันรวบตัวผู้ชายคนนั้นเอาไว้ แต่ริมฝีปากที่หิวกระหายกลับกระโจนเข้าใส่ลำคอของทหารที่ไม่ทันระวังจนล้มลง

ทหารที่เดินอยู่แถวนั้นต่างวิ่งกรูกันเข้าไปหมายจะตะครุบตัวผู้ชายสองคนนั้นเอาไว้ให้ได้ แต่ดูเหมือนเหตุการณ์จะยิ่งเลวร้ายลงเพราะไม่ว่าจะทุบจะตียังไง ผู้ชายสองคนนั้นกลับไม่รู้สึกรู้สาอะไร ปากที่ยังมีเลือดไหลย้อยนั่นก็ยังไล่กัดทหารต่อไป...ราวกับว่าเลือดและเนื้อสดๆจะช่วยดับความหิวกระหายของมันได้...


นั่นมัน....อะไรกันน่ะ?


เขามองภาพตรงหน้าด้วยร่างกายที่นิ่งงัน กลุ่มควันไฟลอยอยู่ข้างหลังทำให้พอจะเดาได้ว่าน่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในเมืองแน่ๆ และจากมุมที่เขายืนอยู่นี้ทำให้เห็นว่ายังมีคนที่ท่าทางเหมือนชายสองคนนั้นกำลังเดินขึ้นเนินมาอีกหลายคน


ไม่ดีแน่แบบนี้...


สองขาจึงสาวเท้ายาวๆเข้าไป...ปืนพกซึ่งเหน็บไว้ที่เอวถูกดึงออกมาโดยสายตายังคงจับจ้องไปที่ชายสองคนนั้นเขม็ง


ปังๆ!!!


กระสุนที่ฝังลงไปทำให้ขาของชายสองคนนั้นระเบิดกระจายไปพร้อมๆกับร่างกายของมันที่ลอยกระเด็นออกไป

“ ปิดประตู!!”   สิ้นเสียงตะโกนของเขาประตูรั้วเหล็กโปร่งก็ถูกเลื่อนปิดเข้าหากันทันที

แต่แล้วภาพที่อยู่นอกรั้วก็ทำให้ทั้งเขาทั้งทหารที่ยืนอยู่ตรงนั้นหายใจแทบจะไม่ทั่วท้อง


เพราะชายบ้าคลั่งที่เพิ่งถูกเขาเป่าจนขากระจุย....กลับยังลุกขึ้นมายืนได้อีก....



น้ำลายเหนียวๆถูกกลืนลงคอ....





เพราะใครจะไปคิด....ว่าในอีกไม่กี่ชั่วโมงให้หลัง....หายนะ....จะมาเยือนกองบินที่ 6 ฐานทัพอากาศโคมัตสึของเขา













รถจีปทหารวิ่งผ่านถนนที่มีแต่ควันลอยคลุ้ง ล้อที่หนากว่ารถทั่วไปเหยียบลงไปบนเศษกระจกที่แตกกระจายด้วยความเร่งรีบ


เอี๊ยด!!!!


รถสีเขียวขี้ม้าหักเลี้ยวไปตามเสียงปืนรัวสนั่น เพราะนั่นหมายความว่าที่ตรงนั้นยังมีคนที่รอดชีวิตอยู่

“ ขึ้นมา!!”   เขาตะโกนออกไปเมื่อเห็นว่าทหารสองสามคนยังคงยืนหยัดสู้ถึงแม้ว่ารั้วกั้นถนนที่ใช้แทนบังเกอร์กำลังจะพังลงมาก็ตาม และหนึ่งในทหารพวกนั้นเป็นคนที่คุ้นหน้าคุ้นตาเขาเป็นอย่างดี

“ แฮ่ก...แฮ่ก...นี่มันอะไรกันวะ โธ่โว้ย!!!”   โนเสะ ยู ยกสองมือขึ้นมาขยี้หัวตัวเองหลังจากที่กระโดดขึ้นมาบนรถได้สำเร็จ


เอี๊ยด!!!


รถจีปทหารพุ่งทยานออกไปอีกครั้งโดยไม่สนใจว่ามันจะไปทับขาหรือว่าหัวของใคร

เพราะตรงนี้....มีเพียงแค่พวกเขาเท่านั้นที่ยังเป็นมนุษย์...มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่ยังมีชีวิต....



“ ถอยไปสิวะ ไอ้เวรเอ้ย!!


ปัง!!


เสียงปืนดังขึ้นพร้อมๆกับร่างที่ร่วงหล่นลงไปเพราะกระสุนที่ยิงแสกหน้า

เพื่อนสนิทร่างสูงใหญ่ของเขาทิ้งตัวนั่งพิงผนังของรถจีปอย่างหมดแรง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังสบถอย่างหงุดหงิดออกมาอีกเป็นชุด...เขาเข้าใจความรู้สึกนั้นเป็นอย่างดี ถึงแม้ใบหน้าจะยังเฉยชาอยู่ก็ตาม

จะไม่ให้โมโหได้ยังไง....ในเมื่อทหารอย่างพวกเขาถูกเรียกตัวออกมาจากค่ายเพื่อปกป้องผู้คน...แต่ในท้ายที่สุดกลับทำได้แค่หันปืนเข้าใส่คนเหล่านั้นที่เคยเห็นอยู่ว่าเป็นพวกเดียวกัน


แค่ถูกกัดเพียงครั้งเดียวเท่านั้น

พวกมันถึงได้แพร่เชื้อกระจายตัวอย่างรวดเร็ว จนเมืองทั้งเมืองมีแต่ซากศพที่เดินได้อย่างที่เห็น


นัยน์ตาสีขี้เถ้าเหลือบไปมองทหารที่นั่งเอามือกุมหน้าอย่างสิ้นหวัง ลมหายใจหอบถี่ที่ดูหนักหน่วงกว่าปกติทำให้รู้ว่ากำลังหวาดกลัว

เป็นใครก็คงจะกลัว...


เพราะคงไม่มีใครคิดหรอกว่า วันหนึ่งจะต้องมาเผชิญหน้ากับสิ่งที่ไม่คิดว่าจะมีจริงอย่าง



....ซอมบี้....





“ รีไว! แล้วจากนี้จะเอายังไง?! กองบินอื่นติดต่อมาบ้างหรือเปล่า?”   ยูก้าวขามานั่งลงข้างๆพลางก้มหัวหลบศพเดินได้ที่ถูกเขาชนกระเด็นลอยข้ามหลังคารถไป

“ ชั้นไม่รู้...ยังไงก็กลับไปที่ค่ายก่อนแล้วกัน”   เขายังคงตอบออกไปด้วยใบหน้านิ่งทั้งๆที่ในใจนั้นกำลังร้อนเป็นไฟ....อยากกลับ....อยากกลับไปที่กองบินที่ 6 ของเขามาตั้งนานแล้ว แต่หน้าที่ของทหารที่ต้องคอยปกป้องประชาชนก็ทำให้ทำแบบนั้นไม่ได้...เขาจึงต้องคอยอยู่อพยพผู้คน...จนไม่มีประชาชนเหลือให้ต้องคอยปกป้องอีก...ทหาร...ถึงได้สามารถกลับไปจัดการเรื่องของตัวเองได้...


เอเลนยังอยู่ที่นั่น....

ยังอยู่ในคุกทหารซึ่งไม่รู้ว่าจะต้านทานพวกซอมบี้ได้แค่ไหน ในเมื่อแทบจะไม่มีทหารเหลืออยู่ในค่ายเลย



แล้วสภาพของกองบินที่ 6 ฐานทัพอากาศโคมัตสึที่ปรากฏแก่สายตายามเมื่อลูกล้อบดเบียดถนนเข้าไปใกล้ก็ทำให้ขนทั่วทั้งร่างลุกชันขึ้นมา

รั้วด้านหน้าที่ล้มลงไปและรอยเลือดเป็นทางที่พื้นทำให้รู้ว่าที่นี่ถูกซอมบี้บุกเข้าไปได้เรียบร้อยแล้ว ปืนทุกกระบอกถูกกระชับในฝ่ามือของคนที่อยู่บนรถ

ทั้งๆที่ควรจะเลี้ยวกลับเพราะดูก็รู้ว่าที่นี่ไม่ปลอดภัยอีกต่อไป...ทว่า...รถจีปกลับยิ่งแล่นเข้าไปด้วยความไวยิ่งกว่าเดิม

ถึงแม้ว่าทหารที่มาด้วยกันจะทำหน้าเหมือนอยากจะกระโดดลงมันซะตรงนี้ก่อนที่จะเข้าไปใกล้หมู่ตึกของกองบินมากกว่านี้ แต่คนที่นั่งอยู่ข้างๆเขากลับไม่แหกปากคัดค้าน...หมอนั่นมองภาพตรงหน้าด้วยดวงตาตกตะลึงไม่แพ้เขา ริมฝีปากเอ่ยออกมาเบาๆเป็นชื่อที่เขาเองก็คุ้นเคย

ฮิโนะ...”



เอี๊ยดดดดด!!!



ถึงไม่รู้ว่าจากนี้จะทำยังไง ไม่รู้ว่าต่อไปจะต้องไปที่ไหน แต่ทั้งเขาทั้งยูต่างกระโดดลงจากรถที่ยังไม่ทันจะจอดดีด้วยซ้ำ

“ รีไว!! ถ้ายังไงไปเจอกันที่โรงจอดเครื่องบิน! ตามหาเธอให้เจอล่ะ!”  ร่างสูงใหญ่ตะโกนออกมาก่อนจะวิ่งหายไปยังทางที่เชื่อมต่อไปยังกองช่างทหาร...หมอนั่น...คิดว่าเขากำลังจะไปตามหาว่าที่คู่หมั้นหรือไงกันถึงได้ใช้คำว่าเธอ?

ทั้งๆที่ส่วนสำนักงานทหารจะเป็นยังไง...เขายังไม่คิดจะชายตาแลด้วยซ้ำ

M-16 กระชับแน่นอยู่ในมือก่อนที่สองขาจะวิ่งต่อไป โดยมีเป้าหมายอยุ่ที่คุกทหาร...

เสียงฝ่าเท้าที่ก้าวเหยียบกระดาษที่ปลิวเกลื่อนอยู่เต็มทางเดินทำให้ถึงกับต้องกัดริมฝีปาก คราบเลือดที่ผนังกับหน้าต่างกระจกที่แตกละเอียดบ่งบอกได้เป็นอย่างดีถึงสภาพอันเลวร้ายถึงขีดสุดของที่นี่...เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมาคงจะมีแต่เสียงกรีดร้องราวกับอยู่ในนรก...ทั้งๆที่ที่นี่คือเขตการปกครองของเขา...ทุกคนคือลูกน้องของเขา...แต่เขากลับช่วยใครเอาไว้ไม่ได้เลย

มือที่จับด้ามปืนบีบแน่นอย่างพยายามระงับอารมณ์


เอเลน...

อย่างน้อยก็ขอให้นายปลอดภัย...

ไม่อย่างงั้นฉันคงให้อภัยตัวเองไม่ได้ไปตลอดชีวิต...



ทหารที่ติดรถมาด้วยกันแยกตามเขากับยูไปทางละคน ใบหน้าหวาดหวั่นของหมอนั่นทำให้เขารู้ได้ว่าผู้เป็นลูกน้องกำลังรู้สึก...กลัว

ประตูทางออกที่จะเชื่อมต่อไปยังคุกทหารถูกเปิดเอาไว้ด้วยสภาพพังยับ เขาพิงหลังอยู่กับผนังข้างประตูก่อนจะชะโงกหน้าออกไปดูที่ระเบียงทางเดิน....แค่ข้ามมันไป....แค่ข้ามมันให้ได้เท่านั้น....ที่ปลายอีกฝั่งก็คือประตูสู่คุกทหาร!

“ เฮย์โจว....”   พลทหารถึงกับครางด้วยเสียงสั่นเครือเมื่อมองตามสายตาและรู้ว่าเขากำลังจะไปไหน...หมอนั่นคงนึกอยากห้ามใจจะขาด เพราะถึงแม้ทางเดินจะไม่ได้ยาวไกลแต่ลานกว้างที่ขนาบทางเดินอยู่มันเต็มไปด้วยฝูงซอมบี้น่ะสิ!!

“ ถ้านายไม่ไปก็รออยู่ตรงนี้”  และพลทหารก็ส่ายหน้าทันทีที่เขาพูดจบ

ด้ามปืนที่มีเหงื่อเปียกชื้นถูกกำแน่น นัยน์ตาสีขี้เถ้าจ้องเขม็งไปที่ประตูก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อทำให้หัวใจที่กำลังเต้นระรัวสงบลง

“ ไป!!”  สิ้นคำสั่ง ทั้งร่างของเขาและพลทหารต่างวิ่งทยานออกไปด้วยความรวดเร็ว

แรงปะทะจากฝ่ามือเละๆที่พยายามจะจับตัวพวกเขาเอาไว้กระแทกเข้ามาตลอดทาง...สองขาวิ่งฝ่าไปก่อนจะกระโดดเทคตัวข้ามซากรั้วเหล็กเข้าไปด้านในของกำแพง


โครม!!


ฝ่าเท้ายกขึ้นยันประตูจนมันเปิดออกโดยที่ไม่ต้องไขกุญแจ พลทหารกระโจนตามเข้ามาพร้อมๆกับฝ่ามือนับสิบที่ถูกเขาปิดประตูใส่ได้ทันแบบเส้นยาแดงผ่าแปด

“ เลื่อนตู้นั่นมา!”   กว่าพวกเขาจะได้หายใจหายคอก็ต่อเมื่อประตูถูกตู้ช่วยดันปิดเอาไว้อีกชั้นหนึ่ง

“ แฮ่ก...แฮ่ก...เฮย์โจว..คุณ...มาทำอะไรที่นี่กันครับ?...”  พลทหารนั่งหอบอย่างหมดแรงอยู่ที่พื้น...เป็นใครก็คงสงสัย...ว่าในสภาวะแบบนี้ยังจะมีใครสนใจด้วยหรือไงว่าคุกที่ขังคนเลวๆซึ่งสมควรตายอยู่แล้วมันจะเป็นยังไง...ปล่อยให้พวกมันถูกซอมบี้กัดตายอยู่ในนี้ก็ยังได้

เขาเองก็คงจะคิดแบบนั้น ถ้ามันจะไม่มีนักโทษที่ชื่อ เอเลน เยเกอร์ อยู่ในนี้ด้วย...

“ นายรออยู่บนนี้ เฝ้าประตูให้ดี...ชั้นจะลงไปข้างล่าง”  คำสั่งที่ได้ฟังทำให้พลทหารถึงกับดวงตาเบิกค้าง หมอนั่นคงไม่ได้กลัวที่จะต้องอยู่ตัวคนเดียวมากไปกว่าความสงสัยที่เพิ่มขึ้นกว่าเดิม....เพราะคุกชั้นใต้ดินนั้นมันเอาไว้ขังนักโทษชั้นร้ายแรง...เป็นกลุ่มคนอันตรายที่สมควรปล่อยให้ตายอยู่ที่นี่มากที่สุด!


สองขาก้าวลงไปตามทางเดินซึ่งบัดนี้มีเพียงแสงไฟจากหลอดที่กระพริบติดๆดับๆทำให้บรรยากาศดูน่าหวั่นวิตกยิ่งกว่าเดิม คราบเลือดที่ผนังทำเอาเขาเริ่มจะหายใจไม่ทั่วท้อง ยิ่งเข้าใกล้ชั้นที่เด็กนั่นอยู่มากเท่าไหร่ก็มีแต่จะยิ่งกังวลมากขึ้นเท่านั้น

เศษซากเสื้อผ้าขาดวิ่นที่กองอยู่ตามทางยิ่งทำให้เหงื่อไหลลงมาตามหน้าผาก...นั่นมันชุดของนักโทษ....สภาพแบบนั้นคงโดนซอมบี้รุมกัดตายอยู่ที่นี่ ก่อนจะฟื้นขึ้นมาเป็นศพเดินได้แล้วไปกัดคนอื่นต่อ


เอี๊ยด....


เสียงเสียดสีของเหล็กทำให้เขาถึงกับผงะก่อนจะหันไปดู....ประตูห้องขังเปิดอ้าค้างเอาไว้ก่อนจะโยกไหวไปมา....บางที...อาจจะมีคนมาปล่อยนักโทษพวกนี้ก็ได้

ถึงจะผิดระเบียบ...แต่ตอนนี้เขาก็ได้แต่หวัง...ว่าจะมีใครสักคนจำได้...แล้วลงไปไขกุญแจห้องของเด็กนั่น...ซึ่งอยู่ชั้นใต้ดินที่ลึกที่สุด



แต่ดูเหมือนสิ่งที่เขาหวังมันจะไม่เป็นจริง...

ร่างกายได้แต่ชาวาบกับภาพที่เห็นเมื่อเขาลงมาถึงชั้นล่างสุด...


ซอมบี้กว่าครึ่งร้อยกำลังยืนเบียดเสียดตะกุยตะกายกันอยู่เต็มทางเดิน ลูกกรงเหล็กทั้งสองฝั่งยังคงปิดสนิท...แน่นอนว่ามันแทบจะไม่เสียหาย เพราะข้างในนั้นไม่มีคนอยู่...ไม่มีสิ่งมีชีวิตที่มีเลือดมีเนื้อ...อย่างที่ไอ้พวกศพเดินได้นั่นมันหิวกระหาย

แต่กับห้องขังห้องสุดท้ายนั้นมันไม่ใช่....

ลูกกรงเหล็กส่งเสียงเอี๊ยดๆไปตามแรงโถมของฝูงซอมบี้ที่พยายามเอื้อมมือเข้าไป พวกมันกำลังตะกุยตะกายเพื่อให้ได้กัดกินคนที่อยู่ในนั้น

ถึงแม้จะเป็นภาพที่น่าสะอิดสะเอียนจนอยากจะยกมือขึ้นมาปิดปาก แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้เขารู้...ว่าเอเลนยังมีชีวิตอยู่


มือวางปืน M-16พิงกับผนังเอาไว้อย่างที่รู้ว่ากระสุนมันคงไม่พอ ร่างที่ไม่ได้สูงใหญ่ทว่าแข็งแกร่งยิ่งกว่าใครหันไปเผชิญหน้ากับฝูงซอมบี้กว่าครึ่งร้อยด้วยใบหน้าที่ไร้ซึ่งความหวาดกลัว นัยน์ตาสีขี้เถ้ายังคงจ้องเขม็งมองไปที่หัวของพวกมันก่อนที่มือจะค่อยๆชักดาบญี่ปุ่นซึ่งเหน็บอยู่ข้างเอวออกมา...จากวินาทีนี้...มันจะไม่ใช่ของประดับอีกต่อไป

สองขาสาวเท้าเข้าไปหาช้าๆก่อนจะเร่งความเร็วขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนกลายเป็นวิ่ง

คมดาบที่ถูกหันออกไปส่งประกายแวววับรับกับดวงตาแข็งกร้าว



อย่าหวังเลยว่าพวกแกจะได้กินคนของชั้น ไอ้พวกผีไม่มีหลุม!!




.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

To be Con.





อ่านมาถึงนี่ก็น่าจะรู้แล้วอ่ะเนอะว่าฟิคเรื่องนี้เป็นฟิคสปีชี่ไหน 555 ฟิครักโฟ้ย มันเป็นฟิครัก!!!  เมนหลักของฟิคเรื่องนี้คือ BiOS ภาค 8059 ค่ะ  ส่วน another story B นี่คืออีกเรื่องราวหนึ่งของอีกกลุ่มผู้รอดชีวิตที่ดำเนินไปพร้อมๆกับเหตุการณ์ที่เกิดในมืองนามิโมริของภาค 8059ค่ะ  ซึ่งไม่จำเป็นต้องไปอ่านเวอร์ชั่นต้นฉบับก็ได้อ่ะนะ แต่ถ้าอ่านก็จะเข้าใจมากยิ่งขึ้นว่าไวรัสมันเกิดขึ้นมายังไงและกลุ่มนั้นทำยังไงถึงกำจัดมันไปได้...เช่นเดียวกับภาคนี้ another story B ที่จะช่วยเสริมให้ชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีกเกี่ยวกับต้นกำเนิดไวรัสที่แท้จริงค่ะ ^ ^ พ่อหนูก๊กโกหกหรอก ที่บอกว่าไวรัสเกิดขึ้นมาเองในสถาบันวิจัย เพราะที่จริงแล้วน่ะมัน....

ส่วนที่ว่าทำไมภาคนี้ถึงเป็น story B ...ก็นะ....จริงๆมันมี story A อยู่ค่ะ...เป็นของมุคุคุมันค่ะ แต่ว่ามันยังไม่เสร็จค่ะ กร๊ากกกก เป็น 6927 เรื่องราวของอีกกลุ่มผู้รอดชีวิตจากในโรงพยาบาลค่ะ หมอกับคนไข้

แล้วก็...ไม่ต้องสงสัยนะค้าว่า  โนเสะ ยู  กับ  โนเสะ ฮิโนะ  มาจากการ์ตูนเรื่องไหน ^ ^” เป็นตัวละครออริจินัลของคุณกวางเองค่ะ ก็อย่างที่รู้ว่า BiOS จะสร้างตัวละครขึ้นมาใหม่ เผื่อเชือดได้โดยไม่ดราม่าค่ะ แล้วแต่งไปแต่งมาก็ฆ่าไม่ลงจนได้คู่วายมาอีกสองคู่ซะงั้น = =


ลงพร้อมกันสองตอนนะก๊า เพราะว่าวันนี้เป็นทั้งวันคริสต์มาสและวันเกิดใครบางคน หึหึหึ....





2 ความคิดเห็น:

  1. กรี๊ดดดดด อยากอ่านมุคุคุด้วยอ่ะค่ะคุณกวางงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง โหยหวนนนนนนนน

    ตกลงเอเลนเป็นตัวแพร่ไวรัสรึเปล่านี่ /ถ้าไวรัสแพร่จากเอเลนมันต้องเป็นซอบบี้มุ้งมิ้งสิ /โดนคุณกวางยันออกจากฟิค

    ตอบลบ
  2. อยากได้รวมเล่มของเรื่องนี้บ้างค่ะ ย้อนกลับมาอ่านหลายรอบแล้ว หนุกมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ฟิน

    ตอบลบ