Attack on Titan. Au S.Fic [Levi x Eren] ในห้อง...ที่แสงส่องไม่ถึง : 06


Attack on Titan. Au S.Fic [Levi x Eren]   ในห้อง...ที่แสงส่องไม่ถึง : 06

: Attack on Titan Fanfiction  AU
: Levi x Eren
: Dark Romance
: NC-17


คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ






ใครจะไปคิด....ว่าศัตรูที่ต่อสู้กันมาหลายร้อยปี....จะมีวันถูกกำจัดจนหมดไป....

ใครจะไปคิด....ว่ามนุษย์ที่อาศัยอยู่แต่ในกำแพง....จะมีวันได้ก้าวขาออกมา....





ปี คศ.855

คือปีที่มนุษย์ได้รับชัยชนะเหนือไททันโดยสมบูรณ์


เป็นเพราะว่าสามารถใช้พลังของไททันในการต่อกรกับไททันด้วยกันเอง รวมไปถึงความสามารถในการวิเคราะห์การศึกษาเกี่ยวกับไททันและการหาวิธีกำจัดมันถูกพัฒนาไปอย่างรวดเร็วจากตัวอย่างไททันในรูปแบบมนุษย์ที่มีอยู่

ทำให้ในที่สุด....มนุษย์....ก็ได้ก้าวข้ามกำแพงที่เคยล้อมกรอบชีวิตออกไปยังโลกภายนอกที่กว้างใหญ่ได้สำเร็จ





กองสัมภาระและขบวนม้าที่ถูกนำออกมาเช็คสภาพต่างกระจายกันอยู่ที่หน้ากองบัญชาการทหาร....อีกไม่นานทีมสำรวจก็กำลังจะออกไปนอกกำแพงอีกครั้งพร้อมๆกับผู้คนกลุ่มหนึ่งซึ่งสมัครใจว่าจะออกไปตั้งรกรากอยู่ภายนอก

ที่จริงนี่ไม่ใช่ครั้งแรก....แต่การที่ทีมสำรวจเปลี่ยนบทบาทหน้าที่จากที่เคยออกไปต่อสู้กับไททันเพื่อชิงดินแดนคืนมา  ตอนนี้กลับกลายเป็นว่ามีหน้าที่พามนุษย์ที่อยู่ในนี้ให้ออกไปสร้างที่อยู่อาศัยภายนอกได้อย่างปลอดภัย

หน้าที่ของพวกเขาคือพาผู้คนออกไปพร้อมกัน....หาดินแดนที่จะไม่มีอันตรายให้....จากนั้นก็กลับมาพาคนกลุ่มใหม่ออกไปอีก

การทำแบบนี้นอกจากจะทำให้มนุษย์สามารถออกไปอยู่ข้างนอกได้โดยมีความรู้สึกอุ่นใจแล้ว พวกเขาเองก็ยังมีโอกาสสอดส่องพื้นที่นอกกำแพงว่าไททันพวกนั้น....มันจะไม่กลับมาอีก

ทว่า...

ในขณะที่ทุกคนต่างกำลังวุ่นวายกับการเตรียมออกผจญภัยครั้งใหม่....กลับมีใครคนหนึ่งซึ่งต้องนั่งเหงาอยู่คนเดียว

นัยน์ตาสีมรกตเซื่องซึมได้แต่ทอดมองเพื่อนพ้องอยู่ภายในห้องบนชั้นสองของกองบัญชาการ ในใจนึกอิจฉาเพื่อนที่ต่อสู้ร่วมกันมาซึ่งกำลังจะได้ออกไปนอกกำแพงกันอีกแล้ว

ทั้งๆที่ตัวเขา....ตั้งแต่กำจัดไททันจนหมดไป.....ก็ไม่เคยได้ออกนอกกำแพงอีกเลย...


เสียงฝีเท้าของกลุ่มคนที่เดินใกล้เข้ามาทำให้ใบหน้าซังกะตายของ เอเลน เยเกอร์ หันไปมองอย่างมีความหวัง

“ หัวหน้าเอลวิน! ตกลงว่าครั้งนี้ผมออกไปด้วยได้ใช่ไหมครับ?!”       เขาลุกขึ้นไปเผชิญหน้ากับชายผมทองรูปร่างสูงใหญ่ด้วยความตื่นเต้นกับคำตอบ....ทว่า....ผู้เป็นหัวหน้ากลับส่ายหน้าช้าๆเป็นเชิงบอกว่า....ครั้งนี้ร่างโปร่งบางก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปนอกกำแพงกับทีมสำรวจคนอื่นๆ

สองมือถึงกับกำแน่นอย่างไม่เข้าใจ

“ ทำไมล่ะครับ?! ทำไมไม่ให้ผมออกไปด้วยสักทีละครับ? ผมก็เป็นคนของทีมสำรวจนะครับ หัวหน้า!”       ร่างโปร่งบางตะโกนถามอย่างไม่สนใจเรื่องของมารยาทที่ลูกน้องพึงปฏิบัติกับผู้เป็นนาย....เป็นเพราะว่าร่วมเป็นร่วมตายกันมาไม่รู้กี่ครั้ง เรื่องแบบนั้นจึงแทบจะไม่มีความจำเป็นระหว่างพวกเขาอีก

“ ทำไมล่ะครับ? ทำไมไม่ให้ผมไปด้วย?!”       นัยน์ตาสีมรกตจ้องลึกลงไปในดวงตาของผู้เป็นหัวหน้าที่ไม่เคยตอบอะไรกลับมา....

ไม่หรอก...

ที่จริง....คำตอบมันก็มีอยู่แล้ว

ว่าทำไม....เขาถึงได้ถูกขังอยู่แต่ในกำแพงแบบนี้....

เพราะพลังไททันในตัวเขามันไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้วน่ะสิ....

ไม่มีความจำเป็นต่อมนุษยชาติอีกต่อไปแล้ว....ในเมื่อไม่มีไททันที่ไหนให้เขาต้องไปกำจัด...ไม่มีความลับอะไรของไททันที่จะต้องใช้เขาเป็นตัวทดลองอีก...ไม่มี.....เขามันไม่มีประโยชน์อีกต่อไปแล้ว...

เบื้องบนจึงตั้งใจจะเก็บเขาเอาไว้ที่นี่...

ให้กำแพงที่ครั้งหนึ่งเคยปกป้องผู้คนจากไททันที่จะลุกล้ำเข้ามา....กักขังเขาเอาไว้ไม่ให้ออกไปทำร้ายผู้คนที่อยู่ภายนอก....

ขังเขาเอาไว้.....

ในฐานะไททันตัวสุดท้าย....ที่คงจะถูกกำจัดเข้าสักวัน


พวกนั้นไม่เคยมองว่าเขาเป็นมนุษย์มาตั้งแต่แรกแล้ว....


“ เอเลน...ใจเย็นๆก่อน”       หัวหน้าเอลวินได้แต่ใช้น้ำเย็นเข้าลูบคนที่ยังคงกัดฟันกรอด นัยน์ตาสีมรกตแข็งกร้าวราวกับจะคลุ้มคลั่งขึ้นมาให้ได้

“ ใจเย็น?...จะให้ผมใจเย็นอะไรได้อีกหรอครับหัวหน้า?! ที่ผมยอมให้พวกคุณใช้ราวกับหมาจนตรอกแบบนี้มันไม่ใช่เพราะความตั้งใจที่จะออกไปข้างนอกนั่นให้ได้ของผมหรอครับ?! แล้วสุดท้าย....ทั้งๆที่ความฝันนั้นมันอยู่ตรงหน้าแต่ผมกลับคว้ามันไว้ไม่ได้เพราะกรงขังบ้าๆนี่ แล้วจะให้ผมใจเย็นได้อีกหรอครับ!



ผลั๊วะ!!


แล้วยังไม่ทันที่ความอัดอั้นในใจจะถูกระบายออกไป ฝ่าเท้าหนักๆในรองเท้าบูทก็ฟาดเข้ามาที่ใบหน้าของเขาจนหันไปอีกทาง ร่างทั้งร่างล้มลงไปตามแรงหวดที่ไม่ได้เบามือเลยสักนิด กลิ่นคาวเลือดลอยคลุ้งเต็มปาก แก้มด้านซ้ายรู้สึกชาจนนัยน์ตาได้แต่เบิกกว้าง

“ ใครสอนให้แกลามปามแบบนี้ ไอ้หนู”       น้ำเสียงนิ่งๆนั่นไม่ต้องหันไปดูก็รู้ว่าเป็นใคร

แต่กระนั้นนัยน์ตาสีมรกตก็หันไปจ้องผู้ชายร่างเล็กที่เพิ่งจะเตะปากตนด้วยสายตาสั่นพร่า ในใจรู้สึกเจ็บแปลบกว่าแผลที่ได้รับตั้งไม่รู้กี่เท่า

ถ้าเป็นในสภาวะที่จิตใจเป็นปกติ เขาคงจะยอมรับความผิดแล้วก็ยอมรับการลงโทษในครั้งนี้ได้

ทว่า....สิ่งที่อัดแน่นอยู่ในใจมาตลอดกลับทำให้ความรู้สึกกลับมาอยู่เหนือทุกสิ่ง

รู้ทั้งรู้ว่าทหารต้องมีระเบียบ ห้ามปล่อยให้หัวใจอยู่เหนือหน้าที่

แต่ว่า....

ตอนนี้เขาไม่สามารถจะกักเก็บความน้อยใจเอาไว้ได้อีก....ทั้งๆที่ผู้ชายร่างเล็กคนนั้นควรจะเป็นคนที่คอยปกป้องเขาไม่ใช่หรือไง

หัวหน้ารีไวควรจะเป็นคนที่เข้าใจเขาดีกว่าใครไม่ใช่หรือไง....แล้วทำไม.....


ฝ่ามือยกขึ้นมาเช็ดเลือดที่ริมฝีปากก่อนจะลุกขึ้นยืนช้าๆ....แล้วเดินออกจากห้องมาโดยไม่พูดอะไรอีก....



“ จะไม่ตามไปหรอ?”        ร่างสูงใหญ่ของหัวหน้าทีมสำรวจหันไปถามอีกคนที่ยืนอยู่ในห้อง ถึงแม้ว่าใบหน้าไม่สบอารมณ์ของรีไวจะยังนิ่งเฉย แต่กับคนที่อยู่ด้วยกันมานานมีหรือที่จะไม่รู้ว่าในดวงตาสีขี้เถ้านั่นมันกำลังเจ็บปวดกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไป

“ ไม่จำเป็นหรอก เดี๋ยวตอนเย็นก็เจอกัน”      ใบหน้าเฉยชาสะบัดไปทางอื่นราวกับว่าไม่ได้ใส่ใจเรื่องตรงหน้ามากนัก

“ เฮ้อ....นายมันก็เป็นแบบนี้ตลอด....จะบอกอะไรให้นะรีไว....หัวใจของคนเราน่ะมันไม่ได้แข็งแกร่งนักหรอกนะ ต่อให้ที่ผ่านมาเขาจะทนได้....แต่ก็ใช่ว่าในอนาคตมันจะเป็นแบบนี้ไปตลอด...อย่างน้อย...นายก็ควรจะยืนยันหัวใจของนายกับเขาให้ชัดเจน อย่าลืมว่าเด็กนั่นก็เป็นแค่เด็ก ไอ้เรื่องเหตุผลน่ะ บางครั้งเด็กมันก็คิดไม่ถึงหรอก....ปล่อยเอาไว้แบบนี้ ถ้าถึงจุดที่ทนไม่ได้ขึ้นมา....นายอาจจะต้องเสียเขาไปทั้งๆที่ไม่เคยบอกอะไรเขาเลยก็ได้นะ”

“ พูดมาก.....ฉันจะลงไปดูทหารล่ะ”      ใบหน้านิ่งเฉยทำเป็นไม่สนใจแล้วเดินออกไป ปล่อยให้ผู้เป็นทั้งเพื่อนและหัวหน้ายืนยิ้มหน่ายๆอยู่ตามลำพัง....ถ้าไม่สนใจก็คงไม่ขอถอนตัวจากการออกไปนอกกำแพงในครั้งนี้หรอก...จริงไหมรีไว?







สองขาพาร่างโปร่งบางของเอเลน เยเกอร์ ลงมาถึงโถงชั้นล่างได้ในที่สุด จากที่พยายามสกัดกลั้นอารมณ์ไม่ให้เผลอวิ่ง แต่ว่าตอนนี้ดูเหมือนจะถึงจุดสิ้นสุดของความอดทนแล้ว ความรู้สึกที่ถาโถมเข้ามาทำให้สองขาออกวิ่ง....วิ่ง.....วิ่งออกไปอย่างไม่มีเป้าหมาย.....วิ่งออกไปอย่างไม่รู้แม้แต่ปลายทาง

ได้แต่หลับหูหลับตาวิ่งหนีมา....ถึงแม้จะรู้ว่ามันเป็นความเอาแต่ใจ แต่เขาก็ทนไม่ไหวแล้ว

ที่ผ่านมาเขาทำไปเพื่ออะไร....ยอมให้ใช้งานราวกับหมูกับหมา....ต่อให้ร่างกายจะเจ็บปวดแค่ไหนเขาก็ไม่เคยปริปากบ่น....เขายอมทนก็เพื่อความฝันที่จะกำจัดไททันให้หมดแล้วออกไปเห็นโลกภายนอกสักครั้งก็เท่านั้นเอง

แต่ตอนนี้

ไม่มีแม้แต่ความฝัน...ไม่มีความมุ่งมั่นที่จะทำสิ่งใด........แล้วเขาจะอยู่ไปเพื่ออะไร.....

ไม่รู้.....ไม่รู้เลย......

ริมฝีปากได้แต่ขบเม้มแน่นอย่างพยายามห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลลงมา สองขายังคงวิ่งต่อไปราวกับว่ามันคือหนทางเดียวที่จะระบายสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจออกมาได้


อยากให้ใครสักคนคอยรับฟัง

อยากได้อ้อมแขนของใครสักคนคอยปลอบโยน....

แต่เขาก็คงจะหวังมากเกินไป....เพราะหัวหน้ารีไวคงไม่มีทางทำแบบนั้น


“ ฮึก....”      หลังมือยกขึ้นปาดน้ำตาที่ห้ามไม่อยู่....จะมีใครรู้บ้างไหม ว่าไททันอย่างเขาก็ร้องไห้เป็น….


สองขาวิ่งมาเรื่อยๆจนกระทั่งได้รับแรงปะทะจากแผ่นอกของคนที่เดินสวนมาถึงได้ทำให้สองขาหยุดลง

“ เดินดีๆหน่อยสิไอ้เด็ก.....!!!”       เสียงด่าทอหยุดลงพร้อมๆกับใบหน้าตื่นตะลึงของคนที่เขาไปชนเข้า ถึงสติจะมีไม่มากพอแต่เขาก็พร้อมที่จะขอโทษ....แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้ต้องการมันอีกแล้ว...ชายชาวเมืองตรงหน้าทำหน้าหวาดกลัวก่อนจะถอยหลังแล้ววิ่งหนีไป

ใบหน้ามนได้แต่เหม่อมองอย่างทอดอาลัย

กลัวเขางั้นหรอ?

นัยน์ตาสีมรกตที่ขอบตาบวมแดงค่อยๆเหลือบไปมองรอบกาย บัดนี้เขายืนอยู่ท่ามกลางสายตามากมายที่มองมาที่เขาเป็นตาเดียว

สายตาหวาดหวั่นพรั่นพรึง.....มันถูกส่งมาถึงเขา....

“ ฮึ....”       หัวเราะน้อยๆในลำคออย่างนึกสมเพชตัวเอง....นี่สินะ....การกระทำต่อคนที่หมดประโยชน์ไปแล้วแบบเขา

จากวีรบุรุษกลับกลายเป็นที่จับตามองในฐานะตัวอันตราย.....

เพราะไม่มีใครเชื่อใจเขาสักคน.....ไม่มีใครเชื่อว่าเขาจะควบคุมไททันในตัวเองได้ถึงเมื่อไหร่

ในเมื่อหมดประโยชน์ไปแล้วก็ควรจะกำจัดทิ้ง....กับสิ่งที่เป็นอันตรายแบบเขา


สองขาก้าวเดินต่อไปช้าๆ ท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายลงมา ทั้งหัวใจทั้งร่างกายรู้สึกเหนื่อยล้าเกินกว่าที่จะคิดอะไรได้

ช่างมันเถอะ.....ก็แค่กลับไปใช้ชีวิตที่ต้องถูกขัง ถูกซุกซ่อนเอาไว้....เหมือนตอนแรกที่ถูกตัดสินให้มีชีวิตอยู่ต่อไปในฐานะอาวุธของมนุษยชาติ

กลับไปใช้ชีวิตอยู่ในคุกใต้ดินที่ไม่ต้องพบเจอกับสายตาของใคร ไม่ต้องออกไปไหน....แค่นั้นก็พอ


มีชีวิต....อยู่แค่ในนั้นก็พอ......







สายฝนยังคงกระหน่ำลงมาราวกับจะช่วยชำระความบ้าคลั่งในจิตใจของเขาให้เบาบางลง

ฝ่ามือเย็นเฉียบผลักประตูไม้หนาหนักเข้าไปในปราสาทที่กลายเป็นที่พักพิงของเขาตั้งแต่เข้ามาอยู่ในทีมสำรวจ ประกายฟ้าที่แล่บแปลบปลาบทำให้รู้ว่าข้างในมันมืดขนาดไหน....ไม่มีเสียงใดๆ ไม่มีกลิ่นไอว่าจะมีใครอยู่

ร่างโปร่งบางเดินใจลอยเข้าไป ทิ้งหยดน้ำเอาไว้เป็นทาง รองเท้าบูทถูกถอดกองอยู่ที่หน้าประตู

ต่อให้ทำเลอะเทอะแค่ไหนก็คงไม่เป็นไร....เพราะคืนนี้หัวหน้ารีไวคงไม่กลับมา....

ร่างโปร่งบางเดินโซเซลงไปยังคุกใต้ดิน กลิ่นอับชื้นที่คุ้นเคยลอยมาแตะจมูก...จริงๆตอนนี้เขาได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปนอนข้างบนได้แล้ว...ทว่า....เขากลับรู้สึกปลอดภัย...รู้สึกถูกปกป้อง...หากอยู่ในห้องๆนี้

ร่างทั้งร่างทิ้งตัวนอนลงไปบนเตียงก่อนจะกอดเข่าคุดคู้โดยไม่สนใจว่าร่างกายจะยังเปียกโชก....ไม่เห็นเป็นไร....ตั้งแต่กลายเป็นไททันเขาก็ไม่เคยเป็นหวัดอีกเลย....แค่นี้คงไม่ตายง่ายๆหรอก

แล้วเปลือกตาก็ปิดลงไปด้วยความเหนื่อยล้า....





แสงเทียนสาดกระทบผนังห้องแล้วห้องเล่า แต่ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของคนที่เฝ้าตามหา

ใบหน้าเย็นชาเริ่มจะหงุดหงิดขึ้นมาเพราะในใจมันกำลังนึกด่าตัวเอง....ว่าทำไมไม่ตามเด็กนั่นไป....

นัยน์ตาสีขี้เถ้ากวาดมองไปในความมืดเท่าที่จะมองได้...ทั้งๆที่คิดว่าเด็กนั่นน่าจะอยู่ที่ห้องบนชั้นสองแต่พอไปถึงมันกลับว่างเปล่า....ทั้งห้องอาบน้ำ ห้องอาหาร ห้องเอกสาร ที่ไหนๆก็ว่างเปล่า....จนถึงตอนนี้เขาถึงได้รู้ตัวว่าหัวใจมันเจ็บแปลบแค่ไหน...กับสิ่งที่ตัวเองทำลงไป

เรียวขาที่ยังอยู่ในชุดทหารเต็มยศก้าวเดินลงไปตามบันไดที่เชื่อมไปยังคุกใต้ดิน....ถ้าที่นี่ก็ยังไม่มีอีก....เขาจะทำยังไง....ฝนที่ตกราวกับพายุเข้าแบบนี้เขาจะไปหาเด็กนั่นได้ที่ไหน

ไม่รู้.....ไม่รู้เลย.....ไม่รู้อะไรเลยนอกจากความกังวลใจที่มันคับแน่นอยู่ในอก

ประตูห้องขังถูกเปิดออกช้าๆด้วยความหวังว่าจะเห็นใบหน้ามนยิ้มให้จากในนั้น

แต่แล้วแสงเทียนที่สาดส่องเข้าไปกระทบพื้นเตียงก็มีแต่จะทำให้หัวใจเจ็บแปลบมากขึ้นกว่าเดิม


เอเลน เยเกอร์ นอนอยู่บนนั้น....


นอนอยู่ในสภาพที่ไม่ว่าใครก็คงทนไม่ได้หากจะต้องเห็นคนที่ตนรักต้องอยู่ในสภาพแบบนี้

ตะเกียงถูกวางลงไปบนโต๊ะข้างเตียงช้าๆก่อนที่เขาจะย้ายมายืนอยู่ข้างๆร่างที่ยังหลับสนิท...ปลายนิ้วยกขึ้นไปเกลี่ยคราบน้ำตาที่ไหลลงมาตามแก้ม...รอยช้ำยังคงเน้นย้ำสิ่งที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี

“ เอเลน...”      เสียงทุ้มเรียกอีกฝ่ายให้นัยน์ตาสีมรกตค่อยๆเปิดขึ้นมา ใบหน้าที่ดูเหนื่อยล้ามองมาที่เขาด้วยสายตาลอยๆ....เมื่อก่อน...ต่อให้โดนซ้อม โดนบังคับ โดนทำร้าย โดน...แม้แต่ข่มขืน...ก็ไม่เคยมีสายตาแบบนี้

“ ..........หัว...หน้า...?”      ร่างโปร่งที่ดูเปราะบางค่อยๆลุกขึ้นมานั่งอยู่บนเตียงช้าๆ....ที่เขาไม่เห็นร่องรอยว่าเอเลนกลับมาที่นี่คงจะเป็นเพราะเขาขี่ม้าเข้ามาทางประตูหลัง

“ ทำไมมานอนอยู่ที่นี่?”     พอเห็นสภาพที่ไม่ดูแลตัวเองของเด็กตรงหน้าทำให้เผลอดุออกไปทั้งๆที่ตั้งใจจะปลอบโยน  ใบหน้าเหม่อลอยเลยก้มลงก่อนจะพูดออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา

“ .......ผม...นึกว่าคุณจะ....ออกไปกับพวกทีมสำรวจ....”       


แล้วเขาก็ได้แต่ถอนหายใจ....


“ นายอยู่ในสภาพแบบนี้แล้วฉันจะไปได้ยังไง ไอ้เด็กเหลือขอ”       ร่างกายนั่งลงไปบนเตียงเพื่อให้ใบหน้าอยู่ระดับเดียวกับอีกฝ่าย

มือยื่นออกไปจับคางมนเอาไว้ก่อนจะจับหันไปหันมาเพื่อดูแผลที่มุมปาก


แตกแล้วก็บวมช้ำขนาดนี้คงไม่ต้องถาม...ว่าเจ็บมากไหม....


เขาเดินออกจากห้องไปก่อนจะกลับมาอีกครั้งพร้อมกับกล่องยา มือข้างหนึ่งจับคางมนเอาไว้ก่อนที่อีกข้างจะใช้สำลีชุบยาทาลงไป...บางครั้งแผลของเด็กนี่ก็ไม่สมานตัวด้วยตัวเอง...

ราวกับว่าเป็นเพราะตัวเองไม่ได้ใส่ใจจะให้มันหายดี

ผ้าชุบน้ำเย็นเฉียบถูกประคบลงไปบนแก้มที่บวมช้ำ นัยน์ตาสีมรกตมองตามมือที่ทำแผลให้ด้วยสายตาเหม่อลอยเหมือนเดิม ห้องทั้งห้องมีเพียงเสียงของผ้าที่เสียดสีไปกับผิวเนื้อเท่านั้น ไม่มีเสียงพูดคุยใดๆทั้งๆที่ปกติแล้วเจ้าเด็กตรงหน้าจะหาเรื่องมาคุยกับเขาได้ไม่ขาดปาก

ความช่างสงสัย ความที่ไม่คิดอะไร ทำให้เอเลนมักจะมีคำถามมากมายมาถามให้เขารู้สึกรำคาญอยู่เสมอ....แต่ถึงจะรำคาญ....เขาก็ยังตอบกลับไปทุกครั้ง

พอเงียบไปแบบนี้.....มันทำให้เขารู้สึกไม่ดี....

“ นี่เอเลน”      มือวางผ้าลงไปบนกล่องยาก่อนจะหันหน้ามาเผชิญกับใบหน้ามนตรงๆ

“ นายเกลียดฉันรึเปล่า.....”      เป็นคำถามที่เขาเฝ้าถามทุกครั้ง...ที่เผลอทำเรื่องไม่ดีกับอีกฝ่ายลงไป


แล้วใบหน้ามนก็จะก้มลงไปช้าๆก่อนจะส่ายไปมาเหมือนเดิม





เพราะนายได้แต่ส่ายหน้าตอนที่ฉันถามว่าเกลียดฉันไหม....

ฉันจึงไม่รู้เลยว่าภายในใจของนายคิดอะไรอยู่

ไม่เคยรู้เลยว่านายกำลังหวั่นไหว...กำลังไม่แน่ใจในความรู้สึกของฉันที่มีให้นาย...ว่ามันเป็นความรักหรือว่าเป็นแค่สิ่งที่ทำเพื่อหน้าที่

ตอนนั้น...ฉันไม่เคยรู้เลย....ไม่ได้รู้ตัวเลย....




เพราะไม่เคยรู้...จึงไม่เคยยืนยันเป็นคำพูดออกไปให้นายได้มั่นใจ

เอาแต่คิดไปเองว่า....แค่การกระทำก็เพียงพอ

ทั้งๆที่มันไม่พอ....แต่ฉันก็ไม่เคยรู้เลย....







นัยน์ตาสีมรกตเหลือบมองข้อมือของอีกฝ่าย ปลายนิ้วโป้งของหัวหน้ารีไวยังคงลูบอยู่ที่บาดแผลของเขา....เขาคงจะด้านชาต่อความเจ็บปวดทางกายมานานแล้ว มันจึงไม่รู้สึกเจ็บเลยจนกระทั่งได้ยินคำถามนั้น

“ นายเกลียดฉันรึเปล่า.....”      

มันคือคำถามที่หัวหน้ารีไวใช้แทนคำขอโทษ....ถึงเจ้าตัวอาจจะไม่รู้แต่ว่าเขารู้ดี

และคำคำนี้มันก็เป็นตัวแทนของความห่วงใยจากหัวหน้ารีไวด้วยเช่นกัน....เป็นคำที่ทำให้ร่างกายซึ่งด้านชารู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา

เพราะมันทำให้เขารู้ว่ายังมีคนคนหนึ่งที่ห่วงใยเขาในฐานะของมนุษย์ที่มีความเจ็บปวด มิใช่ไททันที่ไม่มีความรู้สึกรู้สาอะไร


แค่อีกฝ่ายกลับมา....เขาก็รู้สึกราวกับว่าตัวเองมีเลือดเนื้อ มีหัวใจ


ถึงแม้จะไม่แน่ใจ....ว่าที่หัวหน้ารีไวกลับมาอยู่เคียงข้างเขา....ไม่ออกไปนอกกำแพงพร้อมกับทีมสำรวจคนอื่นๆ

มันเป็นเพราะคำสั่ง.....ที่ให้คอยอยู่เพื่อจับตาดูตัวอันตรายอย่างเขาโดยใกล้ชิด....เหมือนกับตอนแรกๆที่เราอยู่ด้วยกันนั่นหรือเปล่า

อยากถามให้มั่นใจแต่ก็พูดออกไปไม่ได้....


ถ้าเป็นก่อนหน้านี้เขาคงไม่เคยสงสัยในความรู้สึกของอีกฝ่าย

แต่ในยามที่จิตใจอ่อนแอและยอมแพ้กับทุกสิ่งทุกอย่างแบบนี้ มันกลับมีแต่ความกังวล คิดไปต่างๆนานาจนกลายเป็นคนน่ารำคาญ หากบอกสิ่งที่รู้สึกในใจออกไปหัวหน้ารีไวคงหมดรักในตัวเขา


เพราะฉะนั้นทางเดียวที่คนไร้ค่าแบบเขาจะฉุดรั้งอีกฝ่ายเอาไว้ได้ ก็คือการส่ายหน้า....เหมือนทุกๆที



ต่อให้โดนทำร้ายแค่ไหน ต่อให้ร่างกายจะเจ็บช้ำเพราะอีกฝ่าย.....เขาก็จะส่ายหน้า

เพราะเขาอยากเป็นมนุษย์....ในสายตาของใครสักคน




ปลายคางที่ถูกมือแข็งแรงข้างนั้นยึดเอาไว้ค่อยๆถูกเชยขึ้นมาให้เงยรับกับริมฝีปากของอีกฝ่ายที่ขยับเข้ามาใกล้ ลมหายใจที่เป่ารดลงมาทำให้เปลือกตาปิดลง

แต่ทว่าริมฝีปากยังไม่ทันจะได้แตะลงมา ฝ่ามือของเขาก็เผลอดันแผงอกของหัวหน้ารีไวออกไป....คงจะเป็นเพราะภายในใจมันยังจมอยู่กับความกังวลและร่างกายเขาก็ไม่พร้อมที่จะปรนนิบัติอีกฝ่ายด้วย

นัยน์ตาสีมรกตเบิกกว้างน้อยๆกับปฏิกิริยาของตัวเอง ใบหน้ามนได้แต่เสลงไปมองพื้น คนที่ถูกปฏิเสธยังคงนิ่งค้างอยู่แบบนั้นก่อนที่มือแข็งแรงจะบีบปลายคางของเขาบังคับให้หันไปสบตากันตรงๆ

นัยน์ตารีขวางมีแววขุ่นมัวเล็กน้อยที่โดนเขาขัดใจ

“ เป็นอะไรไปเอเลน?”       แล้วยิ่งเขาพยายามจะหันหน้าหนีฝ่ามือที่ยึดปลายคางเอาไว้ก็มีแต่จะทำให้อีกฝ่ายรำคาญ

“ อื้อ!”       ริมฝีปากของหัวหน้ารีไวจึงแนบลงมาโดยไม่ฟังคำทัดทานใดๆอีก มือที่บีบปลายคางอยู่ทำให้ริมฝีปากของเขาเผยอออกจากกัน ลิ้นร้อนจึงแทรกผ่านเข้ามาได้อย่างง่ายดาย  ถึงแม้ว่าร่างกายจะคล้อยตามอีกฝ่ายไปแล้ว ทว่า ความรู้สึกลึกๆในใจกลับปฏิเสธ....ไม่อยากทำ.....ไม่อยากทำเลยวันนี้....

และเพราะแบบนั้นมันเลยทำให้ร่างกายที่เคยว่าง่ายกลับต่อต้านอีกฝ่ายขึ้นมา

“ หัวหน้า....ผมเหนื่อย....ไว้พรุ่งนี้ได้ไหมครับ....”       คำขอร้องเอ่ยออกไปด้วยเสียงอ่อนแรง โดยที่ไม่ได้รู้ตัวเลยว่ายิ่งแสดงความอ่อนล้าออกมาก็มีแต่จะยิ่งไปกระตุ้นสัญชาตญาณดิบของอีกฝ่าย

“ หัวหน้า?”      ร่างกายถูกอีกฝ่ายดันให้นอนราบลงกับพื้นเตียง สองแขนถูกกดลงด้วยมือแข็งแรงก่อนที่อีกฝ่ายจะตามขึ้นมาคร่อม นัยน์ตาเห็นเพียงเส้นผมสีดำของคนที่กำลังฝังใบหน้าลงมาที่ซอกคอของเขา

“ หัวหน้า....หยุดเถอะครับ วันนี้ผมไม่ไหวจริงๆ....หัวหน้า....”      ในใจที่กำลังว้าวุ่นทำให้นึกอยากจะดื้อ นึกอยากจะปฏิเสธอีกฝ่ายขึ้นมาจริงๆจังๆ แล้วยิ่งเห็นหัวหน้ารีไวไม่ยอมฟัง มือแข็งแรงยังคงลากไล้ไปตามตะขอกางเกงของเขาก่อนจะปลดมันออกจากกัน มันก็ยิ่งทำให้เขายิ่งต่อต้าน

สองมือพยายามสะบัดให้หลุดพ้นจากการจับกุม แต่แรงกดก็ทำให้มันไม่อาจจะขยับไปไหนได้ ที่เรียวขารู้สึกได้ว่ากางเกงถูกดึงผ่านลงไป ท่อนล่างคงจะเปลือยเปล่าไปแล้ว หัวเข่าที่เสียดสีอยู่ที่ส่วนอ่อนไหวกลางลำตัวมีแต่จะทำให้นัยน์ตาดื้อดึงปิดแน่น น่าโมโหร่างกายของตัวเองที่ไม่ยอมเชื่อฟังจิตใจแต่กลับไปเชื่อฝ่ามือของหัวหน้ารีไว

“ อึก.....อย่า...ครับ....”      เสียงห้ามสั่นพร่าดังออกมาพร้อมลมหายใจหอบถี่ ต่อให้ร่างกายปฏิเสธอีกฝ่ายไม่ได้ แต่หัวใจยังคงต่อต้าน เพราะงั้นน้ำตาเลยไหลลงมาโดยที่ไม่รู้ตัว

“ ฮึก....อย่า....”       ไหล่สั่นสะท้านตามแรงสะอื้น ในใจได้แต่ตัดพ้อคนที่ยังฝังใบหน้าเอาไว้กับซอกคอของเขา

ทำไมถึงไม่ยอมฟังกันบ้าง

“ หัวหน้า..........ฮึก....”       ทำนบน้ำตาค่อยๆพังทลายลงช้าๆ ถึงแม้ว่าข้างล่างจะปลดปล่อยออกไปด้วยมือของอีกฝ่าย แต่ความรู้สึกที่ถูกบีบบังคับจากคนรอบกายไม่เว้นแม้แต่คนที่น่าจะเข้าใจเขามากที่สุดกำลังทำให้เขาใกล้จะหายใจไม่ออก

ร่างกายจึงได้แต่แน่นิ่งไป....อยากจะทำอะไรกับมันก็เชิญ....เขาจะไม่หนี...ไม่ต่อสู้ดิ้นรนอะไรอีก...


ได้ยินเสียงถอนหายใจดังมาจากใบหน้าที่ยังฝังอยู่ที่ลาดไหล่  หัวหน้ารีไวทิ้งร่างกายทาบทับลงมาบนลำตัวของเขาก่อนจะกระซิบแผ่วเบา

“ มีอะไรก็พูดออกมาสิ เอเลน....สิ่งที่อยู่ในใจของนาย...พูดมันออกมา”       นัยน์ตาเบิกกว้างไปกับคำพูดที่กระซิบอยู่ที่ใบหู....นั่นคือวิธีการปลอบโยนของหัวหน้ารีไวงั้นหรอ?

ใช้กำลังบังคับ....ทำให้เขาต่อต้าน ทำให้เขาร้องไห้ ทำให้เขาด่าทอ....เพื่อระบายสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจออกไป....

ตอนนี้หัวหน้ารีไวถึงได้ทำเพียงแค่ทิ้งตัวลงมากอดเขาเอาไว้เท่านั้น....

สองมือที่ถูกปล่อยให้เป็นอิสระค่อยๆโอบไปที่แผ่นหลังซึ่งเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ...แล้วกอดกระชับจนแน่น....ใบหน้าของเขาฝังลงไปที่ไหล่แข็งแรง....ก่อนจะปล่อยน้ำตาให้ไหลลงมา....ปล่อยเสียงร้องไห้โฮราวกับเด็กๆออกไปให้หัวหน้ารีไวซับน้ำตาให้

ความอัดอั้นในใจดูเหมือนจะระบายออกไปพร้อมๆกับน้ำตา....ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่ได้แต่ร้องไห้อยู่ในอ้อมแขนของอีกฝ่าย....จำได้แค่ว่าคำพูดสุดท้ายที่เอ่ยถามหัวหน้ารีไวไปก็คือ

“ ผม....จะมีวัน....ได้ออกไปจากที่นี่...ไหมครับ.....”



ไม่มีเสียงใดๆตอบกลับมา

ไม่มีสัญญาที่รู้ว่าทำไม่ได้

หัวหน้ารีไวเพียงแค่กอดเขาเอาไว้เท่านั้นเอง.....








นัยน์ตาสีมรกตเหม่อมองท้องฟ้าใสจากหน้าต่างชั้นสอง

ถึงแม้จะพยายามครั้งแล้วครั้งเล่าที่จะเรียกกำลังใจให้กลับคืนมา เพื่อจะบอกกับใครๆว่าเขาก็เป็นเพียงแค่มนุษย์คนหนึ่งที่ยังสามารถทำประโยชน์ในฐานะมนุษย์ได้.....แต่สุดท้ายเขาก็ต้องเป็นฝ่ายถอนหายใจออกมาเอง

กำลังใจน้อยนิดถูกแทนที่ด้วยความอึมครึมในจิตใจเพราะเขายังจำสายตาที่ทุกๆคนมองมาที่เขาได้ดี

ไม่มีใครไว้ใจตัวอันตรายอย่างเขาง่ายๆหรอก....

แล้วร่างกายก็รู้สึกหมดแรงขึ้นมาทันที......

วันๆที่ไม่ต้องทำอะไรมันยิ่งทำให้ความรู้สึกแบบนี้วนไปเวียนมาตั้งไม่รู้ว่ากี่รอบ

ฮึ....คงไม่ต้องให้ใครมากำจัดไททันตัวสุดท้ายอย่างเขาหรอก...เพราะปล่อยเอาไว้แบบนี้....สักวันเขาก็คงจะเป็นบ้าไม่ก็ตรอมใจตายไปเอง....








ใบหน้ามนที่โผล่พ้นกรอบหน้าต่างชั้นสองออกมาทำให้คนที่เพิ่งกลับมาถึงได้แต่มองด้วยหัวใจที่ปวดหนึบ

เจ้าเด็กนั่นมันจะรู้บ้างไหมว่าตอนนี้หน้าตาตัวเองเป็นยังไง มันไร้ความสดใสจนแทบจะไม่ใช่ เอเลน เยเกอร์ที่เขารู้จัก

นัยน์ตาสีมรกตที่เคยแข็งกร้าวกลับล่องลอยอย่างไร้จุดหมาย

เขาได้แต่ถอนหายใจก่อนจะขยับเข้าไปใกล้ผนังฝั่งนั้น


“ เอเลน!”       ใบหน้ามนยังคงเหม่อไปไกลราวกับไม่ได้ยินเสียงของเขา  สติที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวของอีกฝ่ายทำเอาหัวใจของเขารู้สึกเจ็บปวด



เมื่อก่อนถึงเอเลนจะรู้ตัวว่าถูกคนอื่นๆมองด้วยสายตายังไง แต่เป็นเพราะเด็กนั่นยังมีเป้าหมายอยู่จึงยังคงยืนหยัดสู้ได้ทุกครั้ง

แต่คราวนี้มันไม่เหมือนกัน...ในเมื่อถูกริบเอาความฝันไปแล้ว....ความมุ่งมั่นที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปมันก็ไม่เหลืออยู่อีก

เขาต้องทำ....ต้องทำอะไรสักอย่าง....

ไม่เช่นนั้นคงได้เสียเด็กนั่นไปอย่างที่เอลวินพูดไว้จริงๆ....



“ เอเลน!”       เสียงทุ้มตะโกนเรียกให้ดังกว่าเดิม และคราวนี้ร่างที่ยังนั่งเหม่อก็ถึงกับสะดุ้งเฮือก

“ อ๊ะ! หัวหน้า! กลับมาแล้วหรอครับ?! มีอะไรหรือเปล่า?”      ใบหน้าเลิ่กลั่กตะโกนถามลงมา....ก็นับว่ายังดีที่ปฏิกิริยาตอนอยู่กับเขามันยังเหมือนเดิม 

“ ลงมาเก็บผ้า”      เขาเอ่ยออกมาพรางชี้ไปที่ราวตากผ้า ใบหน้ามนยิ้มแห้งๆก่อนจะพยักหน้ารับแล้ววิ่งหายไปจากหน้าต่าง

ไม่นานร่างโปร่งบางก็มาโผล่อยู่ที่ประตูปราสาทพร้อมด้วยตะกร้าผ้า เอเลนยังคงใส่ชุดทหารอยู่เหมือนเดิมทั้งๆที่ไม่มีคำสั่งให้ต้องไปทำงานที่ไหนตั้งแต่ที่ทีมสำรวจส่วนใหญ่ออกไปนอกกำแพง

ร่างบางเขย่งตัวขึ้นไปเก็บผ้าที่อยู่บนราวโดยมีสายตาของเขาเฝ้ามองอยู่ตลอด ซึ่งเจ้าเด็กนั่นก็คงจะเคยชิน ใบหน้ามนถึงได้อมยิ้มโดยไม่มีท่าทางหวาดกลัว

ช่วงแรกๆที่อยู่ด้วยกัน เขายอมรับว่ามองเอเลนด้วยสายตาจับผิด...คิดอยู่ตลอดว่าเจ้าคนพิเศษตรงหน้ามันจะแปลงเป็นไททันมาเล่นงานพวกเขาเมื่อไหร่.....แต่พอนานๆไป....ความไร้เดียงสาในดวงตาสีมรกตคู่นั้นมันก็ทำให้สายตาที่เขาเฝ้ามองอีกฝ่ายเปลี่ยนไป.....เขาไม่ได้มองเจ้าเด็กนั่นว่าเป็นไททันอีก แต่กลับมองทะลุผ่านเสื้อผ้าลงไปถึงร่างกายที่เป็นมนุษย์....ตั้งแต่กล้ามเนื้อที่ยังไม่ทันจะแตกหนุ่มดี ไล่ไปถึงไหปลาร้าที่ชัดเจน หน้าท้องแบนเรียบ สะโพกมนเหมาะมือ บั้นท้ายกระชับ ไปจนถึงขาที่เรียวยาว.....เขามองมันแบบนั้นมาตลอด

“ เอเลน”       ริมฝีปากเอ่ยเรียกเมื่อมองเห็นผ้าในตะกร้า

“ ครับ?”     

“ ไปซื้อเสื้อใหม่ได้แล้ว  พรุ่งนี้เข้าไปในเมืองกับฉัน”       เขาปรายตามองผ้าที่พับไว้ มันดูเปื่อยๆแต่ก็ไม่ถึงกับจะใส่ไม่ได้.....ที่จริงเขาอยากพาเจ้าเด็กตรงหน้าออกไปเปิดหูเปิดตาข้างนอกบ้าง แทนที่จะอุดอู้อยู่แต่ในปราสาทแบบนี้

แต่ใบหน้ามนกลับผงะไป นัยน์ตาสีมรกตที่เคยสดใสอยู่จนถึงเมื่อครู่ จู่ๆก็ดูขุ่นมัวเหมือนกับหวาดกลัวอะไรบางอย่าง

“ มะ ไม่ต้องหรอกครับ....นี่ก็ยังใส่ได้อยู่เลย....เดี๋ยวผม...ไปเตรียมอาหารนะครับหัวหน้า”      แล้วร่างโปร่งบางก็เดินเลี่ยงไป

ไม่อยากไปกับเขา?

ไม่หรอก....ไม่น่าใช่....

ไม่อยากออกไปพบเจอใคร....ที่จะมองตนด้วยสายตาราวกับว่ามองปิศาจแบบนั้นอีกสินะ


เขาได้แต่มองตามแผ่นหลังบางที่กำลังหายเข้าไปในปราสาท.....คงจะปล่อยเอาไว้แบบนี้ไม่ได้.....เขาคงต้องทำอะไรสักอย่างจริงๆ






ถ้วยชากรุ่นๆถูกยกจรดริมฝีปากก่อนจะวางลงบนโต๊ะข้างเตียง นัยน์ตาสีขี้เถ้ากวาดมองแผนที่ที่ถูกเขียนด้วยมือคร่าวๆ ก่อนจะเอามาเขียนใหม่ในแบบของตัวเอง

แผนที่พวกนี้เป็นแผนที่ที่ทีมสำรวจเขียนเอาไว้ทุกครั้งที่ออกไปนอกกำแพง เพื่อให้รู้ว่าอะไรอยู่ตรงไหน คนกลุ่มไหนตั้งรกรากอยู่ยังไง

แกร่ก....

เสียงประตูเปิดทำให้เขาเหลือบตาขึ้นไปมอง ร่างโปร่งบางเดินเข้ามาด้วยท่าทางเหมือนลูกหมาก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียงที่เขานั่งอยู่

“ ทำอะไรอยู่ครับหัวหน้า?”       ร่างโปร่งพลิกกายนอนคว่ำก่อนจะเกยคางเอาไว้กับเข่าของเขา นัยน์ตาสีมรกตสุกใสจ้องมองแผนที่ในมือด้วยความสงสัย....ท่าทางแบบนั้นมันทำให้เขาเบาใจ...ว่าอย่างน้อยๆเวลาที่อยู่ด้วยกันเจ้าเด็กนี่ก็ยังไม่ซึมเศร้าเหงาหงอย

ยังอ้อนเขาแบบไม่รู้ตัวอยู่เหมือนเดิม

“ ฉันจะพานายออกไปนอกกำแพง”        แล้วสิ่งที่เขาพูดออกไปก็ทำให้นัยน์ตาสีมรกตเบิกกว้าง ร่างโปร่งบางเด้งตัวลุกขึ้นนั่งก่อนจะจ้องเขาด้วยดวงตาเป็นประกาย

“ หัวหน้า! พูดจริงๆ....หรอครับ?!”      ความดีใจในดวงตาสีมรกตนั่นมันแทบล้นทะลักออกมาจนเขาเผลอหัวเราะในลำคอ

“ ฉันเคยโกหกด้วยหรือไง...แต่ว่า....เรื่องนี้ทางกองทัพไม่ได้เห็นชอบ...แต่ฉันจะพานายแอบหนีออกไป”      นัยน์ตาสีมรกตเบิกกว้าง ปากอ้าค้างน้อยๆอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าคนอย่างเขาจะยอมทำเรื่องแบบนี้

ใช่...ขนาดตัวเขาเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่า ความคิดแบบนี้มันจะมีอยู่ในหัวของเขาด้วย

“ ฟังให้จบก่อน....เราไม่ได้จะหนีออกไปเป็นการถาวร เพราะเรื่องนั้นมันจะทำให้นายถูกกองทัพตามล่าแน่นอน....จะพูดให้ถูกก็คือฉันแค่พานายออกไปเที่ยวเล่น....เราจะออกไปในช่วงที่ทีมสำรวจไม่อยู่ซึ่งมันเป็นเวลาที่ชั้นจะว่างและไม่มีใครจับตามอง....แล้วเราก็จะกลับมาในช่วงเวลาที่ทีมสำรวจใกล้ๆจะกลับ....แบบนี้ตกลงไหม? ถ้าทำตามเงื่อนไขนี้ได้ฉันก็จะพาออกไป”       ไหนๆพวกเขาทั้งคู่ก็เป็นพวกไม่เข้าสังคมอยู่แล้ว หายไปช่วงเวลาสั้นๆก็คงไม่มีใครรู้หรอก....ที่เหลือก็แค่ว่าเจ้าเด็กตรงหน้าจะรับได้แค่ไหน กับการหนีออกไปแค่ช่วงสั้นๆแบบนี้

“ หัวหน้า.....”       เสียงสั่นพร่ากับนัยน์ตาสั่นระริกนั่นคงแทนคำตอบได้เป็นอย่างดีว่าเจ้าเด็กนี่ตกลงจะทำตามเงื่อนไขทุกอย่าง

ร่างโปร่งบางโผเข้ามากอดเอวของเขาเอาไว้แน่น ท่าทางดีใจเหมือนเด็กๆทำให้เขาเผลอยิ้มออกไป

“ ขอบคุณมากครับ! รักหัวหน้าที่สุด!!”      นัยน์ตาสีมรกตหลับพริ้มก่อนจะเอาหน้ามาถูไถอกเสื้อเขาราวกับลูกหมา...นี่ถ้าไม่ติดว่ากำลังเขียนแผนที่อยู่ละก็นะ....

“ นอนได้แล้วนายน่ะ พรุ่งนี้ต้องเช็คอุปกรณ์เคลื่อนที่สามมิตินะ เพราะเราจะใช้มันปีนข้ามกำแพงออกไป...ใช้ม้าออกทางประตูหน้าไม่ได้เข้าใจไหม”      คนถูกสั่งให้นอนทำหน้ายู่

“ ผมไม่ใช่เด็กๆแล้วนะ จะได้นอนตั้งแต่หัวค่ำ....ขอดูแผนที่ด้วยคนนะครับหัวหน้า”      ดูเหมือนการได้ออกไปคราวนี้จะทำให้ประกายตาที่หายไปของเอเลนกลับคืนมา ความกระตือรือร้นที่ถูกชิงไปพร้อมๆความฝันเองก็ค่อยๆกลับคืนมาเช่นกัน

เขาปล่อยให้ใบหน้ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ดูแผนที่ด้วยกันอยู่แบบนั้น....ช่วยกันวางแผน....ว่าจะหนีออกไปที่ไหนกันบ้าง....

“ อยากเห็นทะเลจัง........”       แล้วเสียงงึมงำก็ดังออกมาจากปากของคนที่หลับคอพับคาแผนที่

เขาได้แต่ส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม สองมือสอดเข้าไปที่แผ่นหลังและลำคอของคนตรงหน้าก่อนจะขยับให้นอนดีๆ


แค่คิดถึงรอยยิ้มและประกายสดใสในดวงตาสีมรกตยามที่ได้เห็นโลกภายนอก....เขาเองก็รู้สึกสุขใจยังไงบอกไม่ถูก

มือลูบใบหน้าที่หลับพริ้ม ก่อนจะล้มตัวลงนอนข้างๆ ใบหน้าหันไปตั้งใจจะดับไฟที่ตะเกียง



ทว่า.....





เสียงฝีเท้าม้าที่วิ่งมาอย่างเร่งรีบก็ทำให้เขาต้องเด้งตัวขึ้นมาจากที่นอน

เกิดอะไรขึ้น?

ขาก้าวออกมาจากห้องพร้อมกับตะเกียงก่อนจะไปยืนรอม้าที่น่าจะเป็นทหารมาแจ้งข่าวอยู่ที่ประตูหน้าปราสาท


“ หัวหน้าทหารรีไวครับ!”       ม้าที่วิ่งฮ่อเข้ามาหยุดลงและทหารที่อยู่บนหลังม้าก็กระโดดลงมารายงานทั้งๆที่ยังหอบแฮ่ก....มีอะไรที่ต้องเร่งรีบขนาดนี้หรือไงกัน

“ เอ่อ....ท่านผู้บัญชาการสูงสุดให้ผมมาถามว่า....เอเลน เยเกอร์.....อยู่ที่นี่ตลอดเวลาหรือเปล่าครับ?!!”       น้ำเสียงแข็งขันกับท่าทางตื่นๆทำให้เขาถึงกับทำสีหน้าสงสัย...มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเอเลนด้วยหรือยังไง?

“ อยู่สิ.....นั่นไง.....”       เขาตอบพร้อมกับชี้ไปที่ร่างโปร่งบางซึ่งยืนขยี้ตาอยู่ที่ระเบียงชั้นสอง....เด็กนั่นคงได้ยินเสียงดังเลยตื่นขึ้นมาดู

“ เอ่อคือ....อยู่กับหัวหน้าทหารรีไวตลอดเวลาใช่ไหมครับ?!!”      คำถามยิ่งพาให้มึนงง

“ ใช่...ตลอดเวลา....เกิดอะไรขึ้น?”      เขาถามออกไปด้วยใบหน้านิ่ง สายตาดุดันที่มองอีกฝ่ายทำให้นายทหารถึงกับสั่นกลัวและยอมรายงานออกมาแต่โดยดี

เป็นรายงาน....ที่ทำเอาทั้งเขาทั้งคนที่ยืนอยู่บนระเบียงถึงกับตัวชา....



“ มีไททันบุกไปถล่มหมู่บ้านทางใต้ครับ! และใครๆต่างก็คิดกันว่า...ไททันตัวนั้น....คือเอเลน เยเกอร์!!!




.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.


To be Con.





เอ่อ...เผื่อใครงง ตอนนี้กับตอนที่ 7 จะเป็นภาพในอดีตทั้งตอนเลยนะก๊ะ แหะแหะ เป็นช่วงสุดท้ายก่อนที่เฮย์โจวจะหายสาบสูญ ส่วนเอเลนก็ไปเกิดใหม่ =[ ]=!!

ตอนนี้นี่....ถึงจะอ่านแล้วอาจจะไม่ค่อยรู้สึกเพราะคนเขียนมันเขียนมึนๆ....แต่เป็นตอนที่แต่งไปน้ำตาไหลพรากไปเลยค่ะ สงสารเอเลนอ่ะ T^T  เคยเห็นโดที่เกี่ยวกับช่วงหลังจากที่ไททันหมดไปแล้วเฮย์โจวต้องเป็นคนฆ่าเอเลนในฐานะไททันตัวสุดท้ายด้วยตัวเองแล้วมันน้ำตาไหลพรากเลยอ่ะ ฮืออออ เศร้าเนอะ

มีคอมเม้นต์ถามมาว่าฟิคเรื่องนี้จะจบแบบ Bad End ไหม.....ไม่หรอกน่า ตอนจบนี่แฮปปี้จนน่าถีบ(?)เลยแหละ5555 เก๊าไม่ชอบแต่งฟิคเศร้า (แบดเอนสามเรื่องที่เคยแต่งมายังคาใจอยู่จน ณ บัดนี้ ดีที่สองในสามมีทางจบแบบแฮปปี้เอนอยู่ด้วยเลยไม่สะเทือนใจตัวเองเท่าไหร่  ^ ^”) จริงๆฟิคดราม่าก็ไม่ได้ชอบแต่งนะ ฮ่าๆๆ

อ่ะ พูดถึงคอมเม้นต์...ต้องขอบคุณคอมเม้นต์จากตอนที่แล้วๆมากๆๆเลยนะค้า อ่านที่ทุกคนส่งมาแล้วไฟพุ่งมากอ่ะ >w< ดีใจ อิอิ



แต่ดูเหมือนจะได้ยินเสียงเพรียกจากดวงดาว(?)แล้วค่ะ ฮือออออ ทำยังไงจะแต่งฟิคได้ไวๆกะเค้าบ้างเว้~~~  หลายคนอาจจะงงว่ามันพูดถึงอะไรแต่คิดว่ามีหลายคนเข้าใจ 555

กำลังทำรวมเล่มดาวตกอยู่ค่ะ (ฟิครีบอร์น ชื่อเรื่อง Ryuusei ที่แปลว่า ดาวตก) แล้วตอนนี้ทั้งคนวาดปก ทั้งคนวาด Illus ประกอบข้างในเล่มกำลังตั้งหน้าตั้งตาวาดกันมากเลยค่ะ เห็นแล้วเล่นเอาอยู่เฉยไม่ได้เบย ไม่ควรอยู่เฉยเลยอ่ะแก เพราะตอนพิเศษก็ยังไม่เสร็จแถมรูป Architecture ที่แกต้องวาดใส่ลงไปในเล่มอีกอ่ะ มันคววรต้องลงมือได้แล้ว!!

แอบแปะให้ดูดีก่า...อย่าไปบอกคนวาดนะ ว่าแอบเอามาลง555 เพราะจริงๆมันยังไม่เสร็จดีค่ะ น่าจะได้เห็นในเฟสกันไปบ้างแล้วอ่ะเนอะ

อันนี้เป็น Illus ในเล่มซึ่งข้าพเจ้าแอบตัดไปทำปกเฟส *w* วาดโดยพี่จอม Iarladiel ค่ะ (แค่เส้นร่างก็งามโฮกแล้วอ่ะ ฮือออ)




พ่อเจ้าประคุณรุนช่องฮิบาริ หล่อลากกระชากกรวยไตมากอ่ะ สมเป็นแม่ทัพแห่งคามาคุระจริงๆ (มันเป็นฟิคพีเรียดค่ะ555)

ต่อไปแอบตัดมาจากปก วาดโดยน้องสโนว์ Snow_fredel ....แปะมากกว่าในเฟสอีกนิดดดดนึง อิอิ






สายตาทูน่าแม่งโคตรนายหญิงอ่ะ ฮืออออออออ แค่ตัวอย่างบางส่วนค่ะ ตัวเต็มซากุระจะสะพรั่งกว่านี้อีก

สองคนนี้เป็นคู่รองค่ะ....ส่วนคู่หลักของเราขออุ๊บอิ๊บเอาไว้ก่อน ฮี่ๆ (โดนกระซวก)


ชะ! ชักจะเวิ่นยาว แล้วเจอกันตอนหน้าค่ะ ^ ^






8 ความคิดเห็น:

  1. อ่านตอนนี้แล้ว.... เตรียมทิชชูสำหรับตอนต่อไปในบัดดล....
    มันต้องน้ำตาแตกแน่ๆ
    แค่ตอนนี้ก็รู้สึกว่ามันช่างเคล้าน้ำตาเหลือเกิน
    ลูกหมาน้อยเอเลนน่าสงสารอ่ะ...เฮย์โจดูแลเอเลนให้ดีๆนะ//กัดผ้าเช็ดหน้า
    ตอนนี้ไม่ขอพูดอะไรมากครับ...เศร้า

    ตอบลบ
  2. ปูเสื่อรอตอนต่อไปค่ะ อิ๊ๆ =..= ไม่จบแบบ Bad End ฮุเร่ กระโดดหมุนฮุราฮุป//ได้ข่าวว่าที่บ้านไม่มี
    ถึงคนเขียนจะแต่งแบบมึนๆแต่ก็เอาน้ำตาข้าน้อยร่วงอีกแล้ว คราวนี้ร่วงไม่ถึง10 หยด เย้ๆๆ ภูมิคุ้มกันเพิ่มมาแว้วววว (แต่เราคิดว่าตอนหน้าถ้าเราอ่านแล้วมันจะต้องทำให้เรากลับไปสร้างภูมคุ่มกันขึ้นมาใหม่สินะ)
    ตอนนี้ช่วงหลังเอเลนน่ารักมาก อ้อนเชียวนอนตักหัวหน้า หัวหน้าก็...โฮ้ย...แคร์ความรู้สึกของเจ้าเด็กบ่ามากกว่าเดิม เป็นช่วงเวลาที่โมเอะจริงๆ แต่แล้ว...ทหารพวกนั้นทำเสียบรรยากาสสวีตวี้ดวิ่วซึ่งหาได้น้อยนิดของสองคนนี้พังทลายหมด!!! // วิ่งไล่ตื้บทหาร 555

    ไม่ว่าจะมองกี่ครั้งเอเลนนี่ก็ทำให้เราหลงได้ตลอดเลยสิน่า ชักอยากจะเอามาปู้ยี่ปู้ยำเองซะแล้วสิ // โดนรีไวตามมาเจื๋อนทิ้ง
    ขอบคุณจ้า ที่แต่งเรื่องสนุกๆออกมาให้ได้อ่าน เสพความฟิน ที่สำคัญเอ็นซีกระจาย (กร๊ากกกกก! O.,o!!!)

    ตอบลบ
  3. เมื่อคืนแอบอ่านเงียบๆ น้ำตาคลอ ฮือออ มันแซดนะคะ ความจริงก็คิดเหมือนกันว่าในมังงะหรืออนิเมะเมื่อไททันหมดไป แล้วทุกคนจะทำยังไงกับเอเลน มันชวนหวั่นใจไงไม่รู้ ส่วนตัวแล้วไบแอสเอเลนมากๆ รักน้องอ่ะแบบว่าใจร้อน เลือดร้อน แต่ตาใสๆนั่นเหมือนไม่ได้ทำผิดอะไร เห็นหน้าทีไรมันรู้สึกว่าตัวเองเอ็นดูและเข้าข้างแบบสุดๆ อั่ก..หัวหน้าถีบ
    ตอนนี้แล้วเห็นใจสงสารทั้งคู่เลย ทำไมทุกคนทำเหมือนเอเลนไม่มีจิตใจใช้แล้วก็ขับไล่ไสส่งซะงั้น
    ความฝันอยู่ใกล้แค่เอื้อมแต่ก็คงไม่มีทางเป็นไปได้ อ่านตอนที่หัวหน้าส่องไฟตามหาแล้วใจแปล๊บๆ เหมือนกัน
    สองคนเข้าใจความหมายการแสดงออกของแต่ละคนแต่ไม่พูดออกมาซะงั้น โอ้ม่ายยยย มิน่าล่ะหัวหน้าที่ยังอยู่ในปราสาทถึงได้คอยรำพึงแบบนั้น

    ปล. โมเม้นอ้อนน่ารักๆแบบนั้นมันอะไร อ่านแล้วมันเห็นภาพเลย อร้ายยยยย อิจฉาเฮย์โจวววว
    ขอบคุณนะค้า

    ตอบลบ
  4. (คนเดียวกับ wanachan _pen ค่า//.. คิดว่าใช่เมล์เมนท์เอาสะดวกกว่าจะนั่งพิมพ์ชื่อทุกครั้ง (ฮา))

    อ่านแล้วร้องไห้แต่ก็ยังอ่านซ้ำหลายๆรอบอ่ะ แงงง..
    เศร้าแต่ก็ชอบ ฮือออออ.. วายะซัง แต่งออกมาได้ฟีลเกินไปแล้ว//พาล(?)

    ทั้งๆที่ปกติเราไม่ชอบอ่านอะไรเศร้าๆแท้ๆ ตอนเศร้าๆงี้อ่านรอบเดียวแล้วลาก่อนเลย แต่นี่... (//อ่านซ้ำรอบที่ 5 orz.)

    ตอนเอเลนเก็บผ้า.. กำลังจะซึ้งกับความคิดเฮย์โจว แต่พอท่อนหลังๆนี่ขำออกมาเลยค่ะ เฮย์โจว.. แอบหื่นนี่นา //โดนเสย

    จะว่าไงดีล่ะ.. คือยังไงก็รู้อยู่แล้วว่าเอเลนกับเฮย์โจวในอดีตต้องจากกันแบบเศร้าๆแน่
    แต่ก็ยังอดหวังให้สองคนนั้นมีความสุขไม่ได้ล่ะค่ะ //น้ำตาไหลพรากกกก

    เอาเป็นว่า รอขอให้สองคนนี้มีความสุขกันในอนาคตแทนล่ะกันนะคะ orz.


    ปล.หัวใจมันแอบปวดหน่วงๆเบาๆตอนทหารโผล่มานตอนท้าย ทั้งๆที่บรรยากาศกำลังจะมีความสุขแท้ๆ ฮือออออ ..

    ตอบลบ
  5. อ่ะจะอ้ะ... ไม่ย์นะ... แบบนี้มัน... //เริ่มเห็นเหตุการ์ณตอนหน้าขึ้นมารำไร การี้ดดดด ถึงไรท์จะบอกว่าจบแฮปปี้เอ็นก็เถอะ แต่แอบปวดใจเบา ๆเหมือนกันนะ ;w;3

    ตอบลบ
  6. อ่านแล้วสงสารเอเลนมากจากเนื้อเรื่องในตอนนี้และในมังงะของจริงที่ยังไม่รู้ข้อมูลอะไรมาก ถ้าไททันโดนกำจัดหมดแล้วเอเลนจะทำยังไง หน่วงมากตอนนี้ สงสารรีไวด้วยตอนนี้อ่านแล้วมันหน่วงจริง การเห็นคนที่ตัวเองรักเป็นทุกข์มันก็ทุกข์กว่าอยู่แล้ว
    รักมากเลยสินะถึงขนาดจะพาออกไป บรรยากาศกำลังดี ทหารคนนั้นจะมาทำไมกันนะ

    ตอบลบ
  7. แอบน้ำตาไหลเลยอ่ะ
    สงสารเอเลน อยู่ๆก็โดนเข้าใจผิดอีก
    ก็นะพวกผู้คนต่างคิดถึงแต่เรื่องของตัวเองกันหมด
    จนหน่วงจิตอดสงสารเอเลนไม่ได้
    ตอนหน้าอย่าบอกเอเลนตายแล้วนะ
    อุตส่าได้รักกัน จะได้ออกกำแพงไปฮันนีมูน
    ชีวิตต้องมาจบสิ้นเพราะดันมีไททันอีกตัวมาทำลาย ; w ;
    เศร้ามากกกกกกกก
    ตื่นมาค่อยมาอ่านต่อตอนนี้ไปนอนก่อน

    ตอบลบ
  8. ไม่ระบุชื่อ7 สิงหาคม 2556 เวลา 10:08

    ..
    เป็นฟิคเรื่องแรก...ที่อ่านแล้วร้องไห้... T^T
    ไม่เคยอ่านฟิคเรื่องไหนแล้วร้องไห้มาก่อนเลย โฮ~~~
    เอเลนน่าสงสาร...แง~

    ภาวนาขอให้จบแบบมีความสุขค่ะ...

    ตอบลบ