KHR Au S.Fic HBD.Yama [8059] -- BiOS : 09 : END --
: KHR AU Fanfiction
: 8059
: Action Horrors
: NC-17
คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
ในที่สุดรั้วสูงตระหง่านของกรมทหารก็มองเห็นอยู่ไกลๆ ได้ยินเสียงสึกิชิม่าปลุกคาริยะให้ตื่นก่อนที่อาวุธจะถูกจับขึ้นมาโดยมือของพวกเราอีกครั้ง
และเมื่อเบนซ์สปอร์ตแล่นโฉบไปที่ประตูทางเข้า ดวงตาของพวกเราก็ต้องเบิกกว้างกับภาพที่เห็น
คนในนั้นกลายเป็นซอมบี้ไปหมดแล้ว....
เพราะศพที่ลุกขึ้นมาเดินเพ่นพ่านไปมาอยู่ภายในรั้วทหารนั้นล้วนแต่งกายด้วยชุดของรั้วแห่งชาติหรือไม่ก็ชุดของหน่วยวิจัย
ต้องยอมรับว่าผมเริ่มจะหายใจไม่ทั่วท้อง เพราะปกติแล้วเราจะเลี่ยงที่จะปะทะกับซอมบี้กลุ่มใหญ่ขนาดนี้ แต่นี่....มันไม่มีเวลาแล้ว....
“ ทุกคน...ฟังให้ดีนะ...” กัปตันพูดออกมาในขณะที่ดวงตาภายใต้กรอบแว่นยังคงจ้องเขม็งไปที่ภาพตรงหน้า
“ ตึก A เป้าหมายของเราคือตึกที่กำลังมีการก่อสร้างต่อเติมนั่น พอคาซาโนริขับรถเข้าไปที่ใต้ตึกให้พวกนาย 4 คนลงไปจัดการเรื่องแอนตี้ไวรัสตามแผนซะ ส่วนฉันกับคาซาโนริจะขับรถวนล่อพวกมันอยู่ข้างล่าง อย่างน้อยๆก็น่าจะพอดึงความสนใจของพวกมันออกมาจากตึกนั่นได้บ้าง” ผมรู้ว่าสึกิชิม่ากับคาริยะอยากจะคัดค้านแผนเสี่ยงตายของกัปตันเช่นเดียวกับผม แต่ก็รู้ดีว่าถ้าไม่มีตัวล่อ เราคงฝ่าฝูงซอมบี้ทั้งหมดนั่นไปไม่ได้แน่
“ สึกิชิม่า ถือไอ้นี่ไหวไหม?” กัปตันส่งปืนเอ็ม16ให้สึกิชิม่าที่มีเพียงมือเปล่า
“ แล้วกัปตันล่ะครับ?”
“ ฉันเอาปืนพกไว้ก็พอ...ที่เหลือก็แค่เชื่อใจหมอนี่” ใบหน้ามนหันมายิ้มน้อยๆพร้อมกับชี้นิ้วโป้งไปที่ประธานชมรมต่อรถที่ยังคงหน้าตายไม่ได้สะทกสะท้านอะไรกับดงซอมบี้ที่ตัวเองต้องเอาตัวเข้าไปล่อพวกมัน กัปตันส่งปืนพกอีกกระบอกให้คาริยะ
“ ฝากด้วยนะ”
นั่นคือคำพูดสุดท้ายก่อนที่สายตาของพวกเราทุกคู่จะจับจ้องไปยังตึกที่อยู่เยื้องไปเบื้องหลัง เสียงเบนซ์สปอร์ตดังกระหึ่มจนไอ้พวกซอมบี้หันมามองทางเราเป็นตาเดียว มันเริ่มเคลื่อนไหวเช่นเดียวกับรุ่นพี่คาซาโนริที่เร่งเครื่องเป็นสัญญาณเตรียมพร้อม
“ เอาละ....ลุย!!”
ล้อบดถนนเสียงดังแสบแก้วหูก่อนที่เบนซ์สปอร์ตสีขาวจะพุ่งทะยานเข้าไปในดงซอมบี้ที่ต่างยื่นแขนยื่นมือเพื่อไขว่คว้าตัวพวกเรา ผมยกแขนขึ้นป้องกันแผ่นหลังบางของโกคุเดระที่ถูกจับให้ซุกตัวอยู่ที่หน้าตัก พวกเราต่างก็ก้มหัวให้ต่ำที่สุดเพราะ
ตุบ ตุบ โครม!!!
ซากศพแล้วศพเล่าลอยข้ามหัวไปด้วยแรงปะทะที่หน้ากระโปรงรถ ผมหรี่ตามองไมค์ซึ่งค้างอยู่ที่ 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมงพรางยิ้มแหยๆ ถ้าเป็นสภาวะปกติผมไม่มีวันนั่งรถไปกับรุ่นพี่คาซาโนริแน่!
แต่ก็เพราะแบบนั้นแหละมันทำให้ยังไม่ทันที่จะกระพริบตา ประตูทางเข้าตึก A ก็มาอยู่ตรงหน้า
เอี๊ยดดด!!!
รถหมุนตัวกลับทันทีก่อนที่อีกไม่กี่วินาทีจะชนเข้ากับผนังตึก
“ โดดลงไปเลย!!” สิ้นเสียงกัปตัน ผมก็คว้าตัวโกคุเดระก่อนจะพาเขาก้าวขากระโดดลงจากรถมา สึกิชิม่ากับคาริยะโดดลงที่อีกฝั่ง แล้วเบนซ์สปอร์ตก็พุ่งทะยานกลับเข้าไปในฝูงซอมบี้อีกครั้ง เสียงดังกระหึ่มนั่นทำให้เหล่าซากศพเดินได้ตะเกียกตะกายตามไปโดยไม่สนใจคนเป็นๆอีก 4 คนที่ยืนเงียบกริบอยู่ตรงนี้เลยสักนิด
สายตาคมกล้าของพวกเราได้แต่มองตามหลังรถคันนั้นไปด้วยความมุ่งมั่น ว่าจะไม่ทำให้ความตั้งใจนี้ของกัปตันทั้งสองคนสูญเปล่าอย่างแน่นอน
ผมพยักหน้าให้สึกิชิม่าก่อนจะหันตัวกลับไปหาประตูทางเข้าตึก สองมือพยายามผลักให้มันเปิดออกแต่แล้วมันก็ยังคงนิ่งสนิท
“ ล็อคเอาไว้หรอเนี่ย?” สึกิชิม่าก้มตัวลงไปจ้องที่รูลูกบิดประตู ถึงแม้ที่ด้านข้างจะมีแผงคีย์การ์ดและปุ่มตัวเลขกรอกรหัสอยู่ แต่ที่นี่ไม่ใช่สถาบันวิจัยของพ่อโกคุเดระ เพราะงั้นร่างบางๆที่ยืนอยู่ข้างๆผมจึงช่วยอะไรไม่ได้
“ เอาปืนยิงเลยเป็นไง?” สึกิชิม่าหันมาถามความเห็นผมซึ่งผมก็ได้แต่พยักหน้า มีเพียงโกคุเดระเท่านั้นที่ยกมือขึ้นห้ามเอาไว้
“ นายลองเอาด้ามปืนกระแทกกระจกดูก่อน” ผมงงกับสิ่งที่เขาบอกแต่ก็พยักหน้าให้สึกิชิม่าลองดู ด้ามปืนเอ็มสิบหกกระแทกลงไปที่บานกระจกติดตายที่อยู่ด้านบนของบานประตู
“ เอ๋?” แต่แทนที่มันจะแตกแหลกละเอียด มันกลับเด้งให้ด้ามปืนกระดอนออกมาหน้าตาเฉย
“ เป็นประตูกันกระสุนจริงๆด้วย....” โกคุเดระยืนกอดอกมองประตูอย่างใช้ความคิด ผมกับสึกิชิม่าได้แต่ยืนมองเขาอย่างอึ้งๆ
“ แบบนี้คงต้องหาทางเข้าอื่น...” ใบหน้าสวยตัดใจง่ายๆแล้วหันไปมองหาทางเข้าอื่นอย่างที่ว่าจริงๆ แต่ไม่ว่าจะประตูหน้าต่างบานไหนต่างก็ถูกปิดเอาไว้และไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันจะไม่ใช่บานกันกระสุน
“ บางที...ข้างในตึกที่ปิดตายหลังนี้ มันอาจจะมีซอมบี้ที่ถูกขังอยู่ก็ได้นะ...” ผมพูดออกไปพรางนึกถึง อาคารเก็บตัวอย่างการทดลองของสถาบันวิจัย
“ นี่....แล้วถ้าเราไปเข้าที่ตึกข้างๆนั่นล่ะ?” ในที่สุดเจ้าคาริยะก็ทำให้ผมรู้ว่ามันยังตื่นอยู่หลังจากที่พูดประโยคนั้นออกมา ผมหันไปมองตามสายตาเหม่อๆของหมอนั่นที่ยืนมองประตูทางเข้าตึก B ที่เปิดอ้าอยู่
“ จริงด้วย!” ไม่ใช่ว่าตึกทั้งสองมันจะมีทางเชื่อมกันอยู่หรอกนะ แต่ก็ต้องบอกว่าเหมือนสวรรค์เป็นใจ อย่างที่บอกในตอนแรกว่าตึก A กำลังมีการก่อสร้างต่อเติมอาคารอยู่ เพราะงั้นที่ว่างระหว่างสองตึกนี้จึงมี ทาวเวอร์เครน ขนาดใหญ่ตั้งอยู่...และตอนนี้ที่ปลายทั้งสองข้างของทาวเวอร์เครนก็หยุดค้างอยู่ที่ตึกทั้งสองฝั่งพอดี....ราวกับเป็นสะพานเชื่อมต่อที่ลอยอยู่กลางอากาศ
แถมประตูที่เปิดอ้าอยู่แบบนั้นมันก็บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าตึก B นั้นปลอดภัยกว่า เพราะซอมบี้ข้างในคงจะออกมากันหมดแล้ว
ถึงจะบอกดั่งสวรรค์เป็นใจอย่างนั้นก็เถอะ แต่ตอนนี้ผมก็รู้สึกว่าอยู่ใกล้กับสวรรค์แค่เอื้อม นัยน์ตาเหลือบลงไปมองพื้นดินเบื้องล่างที่อยู่ห่างจากจุดที่ผมยืนอยู่ไม่รู้กี่สิบเมตร ในเมื่อตัวเลขที่ติดอยู่ที่ข้างผนังตึก B คือชั้นที่ 6
สายตาเหลือบขึ้นมามองโครงทรัสเหล็กที่สานกันจนกลายเป็นคานของทาวเวอร์เครน ที่ปลายอีกข้างเหยียดไปยังผนังซึ่งมีหน้าต่างของตึก A อยู่ ถึงจะบอกว่ามันเชื่อมถึงกัน แต่มันก็ไม่ได้ยึดติดอาคารทั้งสองหลังอยู่ด้วยกัน...ทาวเวอร์เครนนั้นหมุนไปมาได้แล้วแต่การบังคับ และมันก็ยืนอยู่ด้วยขาเหล็กสูงเป็นทาวเวอร์ของมันเอง...ไม่ได้เชื่อมต่อกับอะไรใดๆทั้งนั้น
ผมลอบกลืนน้ำลายเมื่อมายืนจ้องมองมันอยู่ใกล้ๆ....นี่พวกเราต้องเดินไปบนโครงเหล็กที่ไม่มีแม้แต่ราวกันตกแบบนี้น่ะหรอ?
สวรรค์ช่างเป็นใจให้ไปหาสิ้นดี....
“ ไป...กันเถอะ!” ถึงจะกลัวไปยังไงก็เปล่าประโยชน์ ในเมื่อตอนนี้มีเพียงทางเดียวที่จะเข้าไปยังตึก A ได้
ผมกระโดดลงไปยืนโงนเงนอยู่บนคานเหล็ก เสียงเอี๊ยดอ๊าดดังขึ้นมาทันทีที่มันต้องรับน้ำหนัก โกคุเดระที่จะต้องโดดเป็นคนต่อมาได้แต่ยืนนิ่งไม่ยอมขยับ....ผมรู้ว่าเขากลัว....เพราะงั้นผมจึงมองเขาด้วยรอยยิ้มแล้วยื่นมือไปให้
เขายื่นมือมาจับมือผมไว้อย่างกล้าๆกลัวๆแล้วหย่อนขาตามลงมา คานเหล็กเอียงวูบไปเล็กน้อย แต่ถ้าเทียบน้ำหนักของผมสองคนแล้วมันยังไม่ได้หนึ่งในสิบของซีเมนต์หรือแท่งเหล็กที่เครนอันนี้ต้องขนย้ายเลยสักนิด เพราะงั้นมันจึงค่อยๆปรับระดับกลับไปตรงดังเดิม
ผมก้าวขาค่อยๆเดินออกไปด้วยใจเต้นระรัว สมาธิจดจ่ออยู่กับโครงทรัสเพื่อไม่ให้เหยียบพลาดจนร่วงลงไป มือของโกคุเดระกำมือผมแน่น
เครนวูบไหวเล็กน้อยทำให้รู้ว่าสึกิชิม่ากับคาริยะกำลังหย่อนตัวและเดินตามมา ผมก้าวต่อไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนในที่สุดบานหน้าต่างของตึก A ก็อยู่ห่างอีกไม่ถึงเมตร
ผมจะโล่งใจตอนนี้มันยังง่ายไป ในเมื่อผมคงต้องหาทางเปิดมันให้ได้เสียก่อน
“ ไม่น่าจะเป็นบานกันกระสุน...ใช้ปืนยิงกระจกให้แตกได้เลย” บางทีผมก็สงสัยนะว่า โกคุเดระแยกแยะกระจกและอาวุธสงครามพวกนี้ได้ยังไง ?
ผมรับปืนพกมาจากคาริยะ ก่อนจะเล็งมันไปที่กระจกฝ้าของหน้าต่าง ผมรู้ว่าแรงถีบของปืนนั้นมหาศาลขนาดไหน เพราะงั้นจึงย่อตัวลงไปนั่งอยู่บนคานเหล็ก อย่างน้อยถ้าจะหงายหลังจะได้ไม่พากันร่วงลงไป
และเพราะว่านั่งลงไปแบบนั้น...มันเลยทำให้ผมรอดมาได้อย่างหวุดหวิด
ปัง!!!
เสียงปืนดังพร้อมกระจกฝ้าที่แตกละเอียด แต่ใครจะรู้ว่าสิ่งที่สวนกระสุนปืนออกมาหาพวกเราจะคือมือหลายสิบคู่!!
“ เหว๋อ!!!” แขนซีดเซียวแทรกรอยแตกของกระจกออกมากวาดอากาศอยู่บนหัวผมให้พวกเราทุกคนได้แต่ตะลึงงัน โกคุเดระดึงแขนลากตัวผมถอยออกมาจนพ้นระยะที่พวกมันจะเอื้อมถึงได้อย่างหวุดหวิด
ในตึก A เต็มไปด้วยซอมบี้อย่างที่คิดจริงๆด้วย!
“ ทะ ทำไงดี...” พวกเราได้แต่นิ่งค้างมองฝูงซากศพที่ตะเกียกตะกายหน้าต่างพยายามจะยื่นตัวมาหาพวกเราที่ได้แต่ยืนคว้างลอยอยู่กลางอากาศ จะเดินหน้าต่อไปก็ทำไม่ได้ จะถอยหลังกลับไปที่ตึก B ก็.....
ทำไม่ได้แล้วตอนนี้!!
“ เฮ้ย! สึกิชิม่า!!” ผมตะโกนเรียกสึกิชิม่าด้วยใจที่แทบจะหล่นลงไปที่ตาตุ่ม เพราะมัวแต่จดจ่อจะไปยังตึก A จึงไม่ได้ระวังหลัง ถึงได้เพิ่งเห็นว่ามีซอมบี้นับสิบตัวกำลังเดินโงนเงนมาออกันอยู่ที่ประตูที่เราออกมา
โดนต้อนโดยสมบูรณ์แบบ....
“ นายสองคนปีนขึ้นบนกันสาดนั่นไหวไหม?!” คาริยะเงยหน้ามองชั้นที่สูงขึ้นไปของตึก A ก่อนที่จะบอกกับผมและโกคุเดระ ดูเหมือนนั่นจะเป็นกันสาดของชั้นที่สูงที่สุดของตึก A...ที่ที่มีปืนเป้าหมายของเราอยู่
“ ไม่ไหวก็ต้องไหวละ....” สายตาของผมจดจ้องไปที่ Slab คอนกรีตของกันสาด อย่างผมเทคตัวขึ้นไปบนนั้นจากพื้นที่ไม่มั่นคงนี่ยังแทบจะหืดขึ้นคอ...แล้วโกคุเดระจะไหวไหมเนี่ย? แต่ตอนนี้คงไม่มีเวลาให้คิดมากนัก ผมโยนดาบขึ้นไปก่อนจะเหลือบตามองมือหลายสิบคู่ที่เอื้อมออกมาจากหน้าต่าง...ถ้าพลาดไปนิด...ไม่ตกลงไปก็คงเสร็จไอ้พวกนั้นแน่ๆ
ผมสูดหายใจก่อนจะก้าวขาวิ่งไปบนโครงเหล็กเพื่อเป็นแรงส่ง ขายาวก้าวกระโดดเทคตัวขึ้นไปก่อนที่แขนแข็งแรงจะเท้าปลายกันสาดแล้วดีดตัวขึ้นไปกลิ้งอยู่บนนั้นได้สำเร็จ ปลายนิ้วซีดเซียวของพวกซอมบี้เฉียดลำตัวของผมไปไม่ถึงคืบ อีกสามคนที่ยืนลุ้นอยู่นั้นแทบจะหยุดหายใจ
“ มาสิโกคุเดระ...จับมือฉันไว้ ไม่ต้องกลัวนะ” เขายืนแหงนหน้ามองผมด้วยสายตาเหมือนลูกนกที่น่าสงสาร ใบหน้าสวยหันกลับไปมองทางข้างหลังซึ่งพวกซอมบี้เริ่มจะไต่โครงทรัสของเครนมาแล้วก็หันกลับมาก่อนจะมีดวงตาที่แน่วแน่ขึ้น ขาเรียวเดินมาตามเครนอย่างไม่มั่นคงนัก นัยน์ตาสีมกรตมองสลับระหว่างมือของผมกับมือของฝูงซอมบี้ที่อยู่ใกล้ตัวกว่าไปมา
“ อย่าเพิ่งโดดนะ!!” แต่แล้วในขณะที่มือของโกคุเดระจะยื่นมาหามือผม สึกิชิม่าก็ตะโกนบอกก่อนที่เสียงกระสุนปืนเอ็มสิบหกจะดังรัว
ปังๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ซอมบี้ที่ไต่ตามเครนมาจนใกล้จะถึงตัวถูกสอยร่วงไปยังพื้นเบื้องล่าง
“ อ๊ะ?!” โกคุเดระอุทานออกมาเบาๆเมื่อรู้สึกได้ว่า พื้นที่ไม่มั่นคงอยู่แล้วเริ่มจะขยับไปมา
ใช่....ตอนนี้เครนกำลังเริ่มจะหมุน....เพราะแรงสั่นสะเทือนจากปากกระบอกปืนเมื่อครู่!!
“ บัดซบ!!” สึกิชิม่าสบถออกมาท่ามกลางดวงตาที่เบิกกว้างของผม
“ คาริยะ ถือนี่ไว้ที!” หมอนั่นส่งเอ็มสิบหกให้คาริยะ ก่อนจะก้าวพรวดๆมายังตัวของโกคุเดระ
“ โทษทีนะ” และชั่วพริบตาที่เครนกำลังจะเคลื่อนห่างออกไปจากกันสาดที่ผมนั่งรออยู่ สึกิชิม่าก็อุ้มร่างของโกคุเดระขึ้นแล้วออกแรงเหวี่ยงจนตัวบางๆนั่นลอยหวือผ่านมือของฝูงซอมบี้ให้ผมยื่นแขนไปรับไว้แทบไม่ทัน
“ อุก...” ทั้งน้ำหนักและแรงเหวี่ยงทำให้ทั้งผมทั้งร่างในอ้อมแขนต่างหงายหลังล้มลงกันพื้นกันสาดด้วยกันทั้งคู่ แขนที่กอดลำตัวของโกคุเดระเอาไว้ยังสั่นระริก
ตอนนี้ใจของผมมันหายวูบไปไหนแล้วก็ไม่รู้
“ ไอ้บ้าสึกิชิม่า!!!” ผมชะโงกหน้าไปตะโกนด่าไอ้คนที่ทำเรื่องแผลงๆ หมอนั่นยังคงยืนยิ้มอยู่บนเครนที่หมุนห่างออกไปจากตึกทั้งสองฝั่ง
“ อย่าส่งเสียงดังสิฟ๊ะ! ที่เหลือก็ฝากด้วยล่ะพ่อสุดหล่อ” หมอนั่นยังคงยิ้มแย้ม ปืนเอ็มสิบหกที่รับคืนมาจากคาริยะถูกลั่นไกออกไปอีกสองสามนัด...เสียงที่เกิดนั้นดังพอที่จะทำให้ฝูงซอมบี้ที่อยู่ในตึก A หันมาสนใจได้จนหมด....
ผมมองสองคนที่ยังติดอยู่บนเครนด้วยสายตาเจ็บปวด ถึงจะดูว่าน่าจะปลอดภัยตราบใดที่ไม่ตกลงไป....แต่ใครจะรู้ว่า....เครนจะไปหยุดอีกทีที่ตรงไหน....
แถมสองคนนั่นยังจงใจส่งเสียงดังราวกับว่าจะช่วยล่อซอมบี้พวกนี้เอาไว้ให้อีก
“ โธ่เว้ย!” ผมได้แต่สบถเบาๆ
“ รีบไปจัดการให้จบก่อนที่เครนจะหยุดลงอีกทีกันเถอะ” มือบางของโกคุเดระวางลงมาบนมือผม
“ อืม” ผมพยักหน้ารับแล้วจับมือของเขาไว้ ....รอหน่อยนะทั้งสองคน!
ผมยื่นหน้าไปมองทางเดินที่เงียบกริบ ดูท่าว่าพวกซอมบี้จะอยู่ชั้นข้างล่างนี้กันหมดจึงไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆบนชั้นนี้เลย ผมค่อยๆเลื่อนหน้าต่างบานเลื่อนที่เปิดแง้มไว้ก่อนจะโหนตัวเข้าไปในอาคาร ในที่สุดผมกับโกคุเดระก็มาถึงห้องเพียงห้องเดียวบนชั้นสูงสุดของตึก A ของหน่วยวิจัยขีปนาวุธจนได้
ประตูที่ปิดอยู่ตรงหน้าชวนให้คิดว่าถ้ามันเป็นประตูกันกระสุนหรือต้องใช้รหัสในการเปิดแล้วพวกผมจะทำยังไง เพราะดูท่าว่ามันจะแน่นหนาพอสมควร....ยังไงที่นี่ก็ทำวิจัยเกี่ยวกับขีปนาวุธนี่นะ จะปล่อยให้คนนอกเข้าออกได้ง่ายๆก็กระไรอยู่
ครึก....
เสียงปลดล็อคของลูกบิดดังให้ผมอ้าปากค้าง เมื่อมือของโกคุเดระหมุนมันและเปิดออกได้หน้าตาเฉย...บทจะง่ายทำไมมันง่ายขนาดนี้!
“ มันไม่ได้ล็อค สงสัยตอนที่เกิดเรื่องคงไม่มีใครมัวมาใส่ใจล็อคห้องละมั้ง” เขายังคงพูดด้วยเสียงนิ่งๆ
ผมก้าวขาเดินตามเขาเข้าไปในห้องที่ยังคงสว่างไสวด้วยแสงไฟที่ยังเปิดอยู่ครบทุกดวง ไม่อยากจะคิดเลยว่าตอนกลางคืนห้องนี้จะอันตรายขนาดไหน โต๊ะที่เต็มไปด้วยเครื่องมือทดลองถูกวางติดผนังทั้งสองข้าง กองเอกสารที่อยู่บนโต๊ะปลิวกระจัดกระจาย บนพื้นมีสายไฟพาดไปมามากมายจนอดกลัวไม่ได้ว่าถ้าผมไปเดินสะดุดสายไหนเข้ามันจะพาลทำให้ข้อมูลของขีปนาวุธหายวูบไปหรือเปล่า เสียงติ้ดๆดังมาจากจอคอมพิวเตอร์ที่ไม่มีใครใช้ นี่มันเปิดอยู่แบบนี้มากี่วันแล้วเนี่ย
ในขณะที่ผมมัวแต่สนใจอุปกรณ์หน้าตาแปลกๆรอบๆตัว โกคุเดระก็เดินตรงดิ่งไปที่แท่นซึ่งตั้งอยู่กลางห้อง มือบางของเขากดแป้นคีบอร์ดตรงหน้าโดยไม่กลัวว่าจะมีสัญญาณกันขโมยดังขึ้นมาเลยสักนิด
“ ไอ้นี่น่ะหรอ ปืนไมโครอิเล็คตรอน RX อะไรที่ว่านั่น” ผมขยับเข้าไปยืนข้างๆเขา สายตาจับจ้องเข้าไปในหลอดแก้วตรงกลางซึ่งข้างในมีวัตถุหน้าตาจะว่าคล้ายปืนก็ไม่เชิง แต่มันมีขนาดเล็กกว่าที่ผมคิดเอาไว้มากทีเดียว
“ ไม่ใช่...ดูเหมือนกับว่ามันจะเป็นโมเดลต้นแบบหัวจรวดนำวิถีซึ่งที่นี่กำลังพัฒนาขึ้นมา” เขาตอบผมด้วยใบหน้าเรียบเฉย....เฮ้ย!!...เดี๋ยวสิ!....แล้วไอ้ของอันตรายแบบนั้นนายจะไปกดเล่นสุ่มสี่สุ่มห้าได้ง๊าย!
“ น่าจะเก็บเอาไว้ที่อื่น...” ในขณะที่ผมกำลังจะเอ่ยห้าม เขาก็ละความสนใจจากขีปนาวุธตรงหน้าไปให้ผมโล่งอก เขานี่มันตัวอันตรายจริงๆ...ในหลายๆความหมายเลย
“ ตรงนี้มีประตูอยู่ด้วย แต่ว่ามันล็อคอยู่แหะ” ผมลองผลักประตูดูแต่ก็ไม่มีทีท่าว่ามันจะยอมเปิดออกแต่โดยดี มันไม่มีลูกบิดจึงคิดได้ว่ามันคงใช้ระบบเซ็นเซอร์อะไรสักอย่าง แปลว่ามันต้องเก็บของสำคัญเอาไว้แน่ๆ
“ แย่ละสิ” โกคุเดระยื่นหน้าไปจ้องมอนิเตอร์ขนาดเล็กที่ติดอยู่ข้างประตู ใบหน้าสวยมีแววกังวลจนผมสังเกตได้
“ มีอะไรหรอ?” เขาหันมามองผมก่อนจะเอ่ยประโยคที่ทำเอาร่างของเราทั้งคู่นิ่งงัน
“ มันเป็นระบบสแกนลายนิ้วมือ....”
ไม่มีทางเลือก...ถึงแม้จะน่าสะอิดสะเอียดแค่ไหนผมก็ต้องทำ....ผมมองหน้าเขาก่อนที่จะพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ
ขาก้าวลงบันไดไปช้าๆโดยมีโกตุเดระเดินตามลงมาติดๆ สายตาของผมจ้องเขม็งไปยังทางเดินที่มีเงาวูบไหว
“ ปืนนั่นจะใช้ได้เลยไหมนะ....” เพราะหากเอาลายนิ้วมือไปได้ก็คงไม่มีเวลาอีกมากนัก
“ ฉัน....ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันเลย....” เสียงของโกคุเดระที่ตอบกลับมาฟังดูไม่มั่นใจต่างไปจากตอนปกติ
“ เอาน่า...มาถึงขั้นนี้แล้ว....คงมีแต่ต้องลุยละนะ” ผมสูดหายใจเข้าลึกๆก่อนจะก้มลงหยิบเศษกระจกที่ตกอยู่แถวๆนั้นขึ้นมา ก่อนจะปามันออกไปที่อีกฝั่งของทางเดิน
เพล้ง!!!
เสียงกระจกแตกดังก้องกังวาน ผมได้แต่กลืนน้ำลายกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วินาที....ก็นี่มันครั้งแรกเลยนี่นะ ที่ผมบ้าพอจะเรียกซอมบี้เข้ามาหาด้วยตัวเอง
เงาโงนเงนโผล่มาไม่ช้าไม่เร็ว สองมือกระชับดาบมั่นและเมื่อเงานั้นโผล่พ้นมุมผนัง
ฉัวะ!!!
คมดาบก็ตัดสบั้นทั้งแขนทั้งคอของมันออกจากลำตัว
“ ยามาโมโตะ!” โกคุเดระตะโกนอยู่ข้างหลัง ผมไม่มีเวลาจะมองอะไรได้แต่หลับหูหลับตาคว้าแขนที่ร่วงอยู่ตรงนั้นก่อนจะหันหลังออกวิ่ง
ผมได้ยินเสียงตู้ล้มลงไปตามบันไดไล่หลังมา ผสมผสานไปกับเสียงปืนที่ดังอยู่นอกหน้าต่าง....คงจะเป็นโกคุเดระที่ล้มตู้ขวางซอมบี้ไว้และเป็นสึกิชิม่ากับคาริยะที่ยิงปืนเพื่อล่อพวกซอมบี้ที่เหลือให้ยังคงอยู่ที่เดิม
“ เร็วเข้า!” โกคุเดระตะโกนเรียก ผมก้าวขาเข้าไปในห้องพร้อมกับเสียงปิดประตูดังโครม ร่างบางๆของเขาช่วนดันโต๊ะเก้าอี้มาขวางประตูไว้อีกที
ผมนั่งลงหอบอยู่กับพื้นก่อนจะวางแขนเน่าเฟะลงอย่างพะอืดพะอม โกคุเดระหยิบผ้ามาหุ้มมันไว้ก่อนจะเอาไปแตะที่เครื่องสแกน ถึงจะเป็นมือที่ไม่มีแรงเต้นของชีพจรแล้ว แต่มันก็ยังใช้เปิดประตูได้
ครืด.....
และเมื่อบานประตูอ้าออก สิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ข้างในก็ได้แต่ทำให้ผมกับโกคุเดระนัยน์ตาเบิกกว้าง
ห้องทั้งห้องเรียบโล่งไม่มีอะไรเลยนอกจากแท่นที่อยู่ตรงกลาง สิ่งที่ตั้งอยู่บนแท่นคือหลอดแก้วขนาดยักษ์ที่รายล้อมไปด้วยแป้นคีย์บอร์ดเป็นวงกลม แค่สภาพภายในห้องก็ว่าน่าตื่นตะลึงแล้ว...แต่ไอ้ของที่อยู่ในหลอดแก้วนั่นยิ่งน่าตื่นตะลึงยิ่งกว่า....เพราะไม่ว่าจะมองจากมุมไหนมันก็คือระเบิดปรมาณูชัดๆ
“ โกคุเดระ...” แค่จะเรียกเขาผมยังรู้สึกหมดแรง...มือบางกดรัวลงไปบนคีย์บอร์ดอย่างที่ไม่กลัวเลยสักนิดว่าจะเผลอไปกดปล่อยระเบิดเข้า
“ มันไม่ใช่ปรมาณู...แต่ไอ้นี่แหละไมโครอิเล็คตรอน RX” นัยน์ตาสีมรกตของเขากรอกไปมาตามข้อมูลที่ฉายขึ้นอยู่บนหลอดแก้ว
“ ว่าไงนะ?! ไอ้สิ่งที่หน้าตาเหมือนระเบิดนี่น่ะหรอปืนที่ว่า?!” ผมได้แต่อ้าปากค้าง
“ ไม่ผิดแน่....เพราะข้อมูลที่ขึ้นอยู่มีแต่เรื่องการแตกตัวเป็นโมเลกุลทั้งนั้น....” อะไรก็ไม่รู้ละ เอาเป็นว่าถ้าเขาว่างั้นผมก็เชื่อตามนั้น เพราะยังไงเขาก็ถนัดเรื่องการใช้สมองมากกว่าผมเยอะ
ว่าแต่....พ่อของเขาหลอกอะไรพวกนักวิจัยขีปนาวุธอยู่หรือเปล่าเนี่ย?....บอกว่าจะช่วยสร้างระเบิดปรมาณู แต่ที่จริงแล้วเป็นแค่ปืนเอาไว้ฆ่าซอมบี้อย่างงั้นใช่ไหม? หน้าตามันถึงได้ออกมาลวงโลกขนาดนี้!
กึง....กึง......
เสียงกระแทกประตูข้างนอกทำเอาผมสะดุ้งโหยง ใบหน้าหันไปมองอย่างหวาดๆ ดูท่าไอ้พวกซอมบี้บางส่วนจะตามผมมาจนได้สินะ
“ ใส่แอนตี้ไวรัสลงไปเลยได้ไหม?” ผมหันไปถามเขาพรางกระชับดาบในมือ ใบหน้าสวยยามนี้ดูเครียดจัด
“ ต้องปลดล็อครังกระสุน....แต่จะทำยังไง.....” เสียงสุดท้ายคล้ายจะบ่นกับตัวเอง ปลายนิ้วเรียวจิ้มรัวไปบนแป้นคีย์บอร์ด ผมมองเขาอย่างเอาใจช่วยก่อนจะละใบหน้ามาที่ประตูข้างนอก ตู้เหล็กอีกหลายใบถูกผมล้มลงมาขวางประตูเอาไว้ ก่อนจะไล่ปิดไฟที่ไม่เป็นจนหมด อะไรที่ผมพอจะทำได้ก็ต้องทำไปก่อน
ผมหันไปมองหน้าใสที่บัดนี้เริ่มมีเหงื่อหยดลงมา ดูท่าว่าการปลดล็อคจะไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เสียงข้างนอกเองก็ยังคงดังกดดันอย่างต่อเนื่องและผมเองก็รู้ดีว่า อีกไม่นานประตูบานนั้นก็คงจะพังลงมา....
“ บ้าเอ้ย!” ได้ยินโกคุเดระสบถอย่างร้อนลนเป็นครั้งแรก มือบางกระแทกคีย์บอร์ดก่อนจะพยายามถอดรหัสใหม่ มีแต่สมการทางคณิตศาสตร์วิ่งขึ้นมาเต็มไปหมด ผมเดินเข้าไปบีบไหล่เขาอย่างให้กำลังใจ
“ ต้องถอดสมการพวกนี้ให้ได้...แล้วแป้นสำหรับกดรหัสถึงจะโผล่ขึ้นมา” เขาพูดเบาๆพรางคำนวณตัวเลขพวกนั้นแบบที่ผมเองก็ดูไม่ทัน...หมอนี่เป็นเด็กมัธยมปลายเหมือนผมหรือเปล่าเนี่ย?! ผมได้แต่ยืนมองเขาอย่างทึ่งๆ สลับกับมองสมการที่วิ่งอยู่บนหลอดแก้ว เชื่อแล้วละว่าคนที่จะปลดล็อคระเบิดปรมาณูได้จะต้องไม่ใช่คนธรรมดาๆ
ติ๊ง!
ดูเหมือนเขาจะทำสำเร็จ เสียงสัญญาณสั้นๆดังขึ้นมาก่อนที่ใบหน้าสวยจะถอนหายใจอย่างผ่อนคลาย แป้นที่มีแต่ตัวหนังสือภาษาอังกฤษโผล่ออกมาจากฐานโดยใช้เวลาไม่นาน
“ เอ๋?” คราวนี้เป็นเสียงของผมเมื่อมองเห็นแป้นที่ว่า ก็ไอ้ที่เขาถอดสมการหน้าดำหน้าแดงอยู่เมื่อครู่นี่มันก็แค่ใช้ปลดล็อคไอ้แป้นใส่รหัสนี่เท่านั้นเองหรอ? นี่แปลว่าต้องนั่งถอดรหัสที่จะใส่ลงไปอีกหรือเปล่า? มันจะซับซ้อนสมกับที่เป็นการปล่อยระเบิดปรมาณูมากเกินไปไหม?
“ ไม่ต้องห่วง...จากนี้ไปน่าจะเป็นการวางระบบของไอ้พ่อบ้านั่นเพราะงั้น....” โกคุเดระพูดด้วยความมั่นใจก่อนที่ปลายนิ้วจะกดลงไปบนแป้นช้าๆ เป็นคำว่า....HAYATO....
อืม...ถ้าเป็นคนอื่นนอกจากพ่อลูกคู่นี้คงไม่มีวันปลดล็อคมันได้แน่ๆ...
ครืดดด.....
“ รังกระสุนปลดล็อค....” เสียงดิจิตอลดังขึ้นมาให้ผมสะดุ้งน้อยๆพร้อมกับแผ่นเหล็กที่ฐานของปืนเปิดออกช้าๆ ในนั้นมีช่องคล้ายลูกโม่ของปืนเพียงแต่ขนาดมันช่างพอดีกับหลอดทดลองเหลือเกิน
“ โกคุเดระ!” ผมเรียกชื่อเขาอย่างตื่นเต้น ก็ในเมื่อสิ่งที่เหนื่อยยากทำมาทั้งหมดมันใกล้จะสำเร็จอยู่แค่เอื้อม มือบางหยิบแอนตี้ไวรัสออกมาจากอกเสื้อก่อนจะวางมันลงไปในรังกระสุน มือดันล็อคให้เข้าที่ก่อนที่แผ่นเหล็กจะปิดลงอีกครั้ง
เสียงการทำงานของระบบภายในดังขึ้นมาให้เราถอนหายใจ ใบหน้าทั้งเขาและผมดูโล่งใจจนบอกไม่ถูก
แต่แล้วเสียงดิจิตอลที่ดังตามออกมากลับฉุดกระชากความรู้สึกของเราให้จมหายลงไปในหลุมที่มืดมิดอีกครั้ง
“ กรุณาปลดล็อคลำปืน...”
ทั้งผมทั้งโกคุเดระได้แต่ยืนนิ่งค้าง.....หมายความว่าไงกัน......
“ ต้องปลดล็อคอีกชั้นนึง.....” เสียงของโกคุเดระเบาหวิวในขณะที่พูดออกมา
โครม!!!
เสียงประตูและตู้ที่ขวางอยู่ล้มลง ไอ้พวกซอมบี้คงพังมันเข้ามาได้แล้วสินะ....ผมกับโกคุเดระได้แต่หันไปมองประตูที่ปิดซ้อนอยู่อีกชั้นด้วยสายตาที่เลื่อนลอย.....
“ เหลือกระสุนอีกแค่แถวเดียวแล้วละ...คาริยะ” ร่างสูงของสึกิชิม่ายังคงพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ อยากนอนจัง....” ร่างที่เล็กกว่านั่งห้อยขาพรางหาวหวอดอยู่บนโครงทรัสเหล็ก
“ อีกเดี๋ยว...ก็ได้นอนแล้วน่า...” ร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างๆกันหันหน้าไปมองท้องฟ้า
ใช่....อีกเดี๋ยว....ทุกอย่างก็กำลังจะจบแล้ว....เหมือนกับเครนที่ขยับช้าลงเรื่อยๆและอีกไม่นานมันก็คงจะหยุดหมุนลง....ที่ตรงประตูกับหน้าต่างซึ่งมีมือมากมายยื่นออกมาพอดี.....
“ ไปทางไหนต่อดีล่ะวาตะจัง...” เสียงเนิบนาบเอ่ยออกมาจากคนที่กุมพวงมาลัยอยู่ข้างๆ
“ ขับไปกลางสนามหญ้านั่นก็แล้วกัน” มือบางขยับแว่นจนกลายเป็นนิสัยเมื่อต้องใช้ความคิด....แต่ตอนนี้ก็คิดอะไรไม่ออกแล้วจริงๆ....
“ เมื่อไหร่จะบอกให้ขับกลับบ้านซักที ฉันยังมีรถที่ต้องต่ออยู่อีกหลายคันนะ” ถึงจะพูดแบบนั้นแต่คาซาโนริก็ยังขับเบนซ์สปอร์ตพุ่งฝ่าฝูงซอมบี้ตรงดิ่งไปที่กลางสนามหญ้าตามคำสั่ง
“ ขับไปเถอะน่า อีกเดี๋ยวก็ได้กลับแล้ว” ....ถ้ารถมันจะขับกลับไปถึงละก็นะ....
ดวงตาภายใต้กรอบแว่นมองไปที่สัญญาณไฟแดงเล็กๆที่หน้ารถ....สัญญาณเตือนที่กระพริบมาได้ซักพักเพื่อบอกว่า...
น้ำมันกำลังจะหมด....และรถก็กำลังจะหยุดวิ่ง.....
ติ้ด...ติ้ด....ติ้ดดดดดดด.................
เสียงสัญญาณลากยาวและทำให้สายตาทั้งหกคู่ของพวกเราจ้องมองไปที่จุดเดียว จากความหวังที่ริบหรี่เต็มทีกลับฉายวาบขึ้นมาอีกครั้งพร้อมๆกับแสงสว่างที่พุ่งออกมาจากทุกทิศทุกทางรอบปืนไมโครอิเล็คตรอน RX ที่จู่ๆหลอดแก้วซึ่งครอบมันอยู่ก็เลื่อนหายลงไปในแท่นเหลือไว้แต่ปืนรูปร่างคล้ายระเบิดปรมาณูเท่านั้นที่ยังตั้งอยู่ที่เดิม
“ กะ เกิดอะไรขึ้นน่ะโกคุเดระ?” ผมหันไปถามเขาในขณะที่เท้าก็ยันซอมบี้ที่กำลังจะง้างปากขึ้นกัดผม รู้สึกว่าเรายังไม่ทันจะได้ปลดล็อคลำปืนเลยนี่นา
“ มะ ไม่รู้เหมือนกัน แต่ดูเหมือน...ปืนนี่จะพร้อมยิงแล้วนะ....แปลว่ามีใครสักคนปลดล็อคมันจากที่อื่น...หรือว่า!”
“ พ่อของนายไง!!” ผมตะโกนบอกเขาด้วยความดีใจ เสียงสัญญาณยังคงดังต่อเนื่อง ปุ่มสีแดงที่ใหญ่พอกับฝ่ามือถูกเลื่อนขึ้นมาบนแท่นแทนคีย์บอร์ด
“ กดเลยโกคุเดระ!!” สิ้นเสียงของผมมือบางของเขาก็กระแทกลงไปทันที
ฝาผนังทั้งสามด้านถูกเปิดออกเช่นเดียวกับเพดานด้านบนซึ่งค่อยๆเลื่อนหายไป แล้วไม่นานแสงสว่างวาบก็ฉายไปทั่ว รังสีสีทองแผ่ขยายออกไปเป็นวงกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา
ในที่สุดก็ทำสำเร็จจนได้สินะ....
ผมหันไปยิ้มให้ใบหน้าใสที่ยังคงอยู่ในแสงสว่าง
ซอมบี้ที่ถูกไวรัสเข้าครอบงำร่างกายค่อยๆสลายกลายเป็นผุยผงเมื่อถูกรังสีนั้นพาดผ่าน
ส่วนคนที่แค่โดนกัดแต่ยังไม่ตายก็มีเพียงเชื้อไวรัสเท่านั้นที่โดนขจัดออกไป ส่วนร่างกายและลมหายใจนั้นยังคงอยู่
แอนตี้ไวรัสที่สมบูรณ์แบบ กำลังชำระล้างโลกใบนี้อีกครั้ง แล้วนำมันให้กลับมาสงบสุขดังเดิม...
.
.
.
.
.
.
.
.
.
คืนวันที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ผ่านไปโดยที่มันจะไม่มีวันหายไปจากความทรงจำของผม...
ตอนนี้ทุกอย่างเริ่มกลับเข้าสู่สภาวะปกติ ทางการกำลังเร่งฟื้นฟูเมืองขนาดหนัก ถึงแม้คนที่เหลืออยู่จะมีไม่มากนัก แต่สักวันเราคงกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนได้แน่ๆ
ไม่มีซอมบี้หลงเหลืออยู่อีกต่อไปแล้ว.....
ซะที่ไหนกันล่ะ?!
“ เฮ้...โกคุเดระ?” ในขณะที่ผมกำลังลงมือแร่ปลาเพื่อทำอาหารเย็นให้เขากินอยู่นั้น จู่ๆก็รับรู้ได้ถึงแรงชนเบาๆที่แผ่นหลัง เมื่อหันไปก็มองเห็นกลุ่มผมสีเงินกำลังเอาหัวชนมาที่หลังของผม ก่อนที่ใบหน้าสวยจะเงยขึ้นมาช้าๆ นัยน์ตาสีมรกตนั่นมีแววอ้อนนิดๆอย่างที่ผมจะไม่ได้เห็นแน่ในสภาวะปกติ
“ เดี๋ยวสิ กำลังทำกับข้าวอยู่นะ” ริมฝีปากนิ่มกำลังไล่งับไปตามท่อนแขนของผมช้าๆ
หึหึ.....ใครว่าซอมบี้หมดไปจากโลกนี้แล้วกันล่ะ....ในเมื่อยังเหลือซอมบี้ตัวเป็นๆอยู่ตรงนี้อีกทั้งคน!
“ ตามใจ...” ผมวางมือจากมีดก่อนจะหันไปมองปลาตัวน้อยที่ถูกแร่ค้างไว้อย่างพอใจ...กลิ่นเลือดปลามากุโร่ก็เป็นอีกอย่างที่เขาแพ้อย่างนั้นสินะ....
ความจริงซอมบี้ในโลกนี้ยังเหลืออยู่อีกสามตัว....คาริยะ...กัปตัน...และโกคุเดระ
เพราะทั้งสามคนนี้ได้รับแอนตี้ไวรัสตัวที่ไม่สมบูรณ์และฤทธิ์มันดันแรงกว่าตัวที่สมบูรณ์ แต่ก็ช่างเถอะ เพราะผมก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรที่จะใช้ชีวิตอยู่กับเจ้าซอมบี้ที่เซ็กซี่ตัวนี้ เพียงแต่เจ้าพวกลูกครึ่งซอมบี้แต่ละคนก็จะแพ้กลิ่นเลือดที่ไม่เหมือนกัน
อย่างเจ้าคาริยะจะแพ้กลิ่นเลือดของสึกิชิม่า....
ผมก็แค่ค่อยๆหาว่าโกคุเดระแพ้กลิ่นเลือดของอะไรบ้างจะได้เก็บไว้เป็นจุดอ่อน เอ้ย! เก็บไว้เป็นข้อมูลไม่ให้เขาเข้าใกล้กลิ่นพวกนี้
ผมอุ้มเจ้าซอมบี้ไปนั่งลงที่เตียงบนชั้นสอง....ในที่สุดก็ได้เวลาเอาคืนให้สาสมกับที่เขาทรมานผมเอาไว้แล้วสินะ หึหึ...
มือปลดกระดุมเสื้อของตัวเองออก ใบหน้าสวยขยับเข้ามาใกล้ก่อนจะอ้าปากแดงระเรื่อกัดลงไปที่ลาดไหล่ของผม....เอาเลย...เชิญกัดให้พอใจ...เพราะยังไงคืนนี้นายก็ไม่รอดแน่โกคุเดระ
ผมล้วงมือเข้าไปนวดคลึงส่วนอ่อนไหวของเขาที่ยังอยู่ในกางเกง เจ้าซอมบี้ครางอื้อๆแต่ก็ยังไม่ยอมละริมฝีปากออกจากไหล่ผม สองมือค่อยๆโอบกอดเขาให้ล้มตัวลงไปบนที่นอนก่อนจะจับร่างขาวผ่องนั่นถอดเสื้อผ้าออกจนหมด
“ อะ อื้อ” เขามองมาด้วยสายตาเว้าวอน คงคิดจะอ้อนให้ผมส่งหัวไหล่ไปให้เขางับละสิ ได้ตามคำบัญชา...
ผมขยับลำตัวเข้าไปใกล้ให้เขากัดไหล่ผมอย่างที่ต้องการ ส่วนมือข้างหนึ่งก็วนไล้ไปทั่วท้องน้อยของเขาให้เจ้าซอมบี้กระตุกเล่น เสียงครางครือฟังดูเคลิบเคลิ้มทำให้ผมตัดสินใจจับเรียวขาขาวแยกออกจากกัน แต่ก่อนที่ได้จะสอดปลายนิ้วเข้าไปนั้น
ผลั๊วะ!!!!
ม้วนกระดาษของบทละครก็ถูกตีลงมาบนหัวผมอย่างแรงจนได้แต่หันไปมองใบหน้าสวยที่งอหงิกของเจ้ากระต่ายซึ่งยืนอยู่ข้างๆ
“ แกจะดูฉากน่าอายนี่ไปอีกกี่ร้อยรอบกันห๊ะ มาซ้อมได้แล้ว!” เจ้ากระต่ายตัวดีกดรีโมตปิดฉากสุดท้ายของหนังที่ผมกำลังตั้งใจดูไปต่อหน้าต่อตา
“ อ๊า...โกคุเดระใจร้าย....ก็นั่นมันเป็นฉากที่ทุกคนตั้งใจรอคอยเลยไม่ใช่หรอ...แล้วนี่ก็เป็นหนังทำเงินสูงสุดในรอบปี ที่เราสองคนแสดงร่วมกันเป็นเรื่องแรกเลยนะ”
“ หนังเฉพาะทางขนาดนี้ก็ยังอุตส่าห์ทำเงินได้ด้วยนะ ชั้นละไม่อยากจะเชื่อ” เจ้ากระต่ายทำแก้มป่องเดินออกจากห้องนอนไป
นั่นสิ....หนังเฉพาะทางแบบนี้ไม่มีทางทำเงินเป็นอันดับหนึ่งได้แน่ ถ้าไม่ใช่เพราะคนแสดงนำคือผมกับเจ้ากระต่าย....เมื่อตอนที่มันประกาศฉายครั้งแรกเรียกเสียงฮือฮาไปทั่วทั้งเกาะญี่ปุ่น เพราะโกคุเดระ ฮายาโตะ เจ้าหญิงแห่งเสียงเปียโน ไอดอลคนดังยอมแสดงหนังโฮโมเป็นเรื่องแรก....แล้วยิ่งคนที่มาแสดงคู่กันคือผม...ยามาโมโตะ ทาเคชิ มือเบสแห่งวงร็อคชื่อดังที่ไม่เคยรับงานแสดงที่ไหนมาก่อนด้วยแล้ว....ดังเป็นพลุแตกเลยละสำหรับหนังแหวกๆเรื่องนี้
ก็นะ....ที่ผมรับแสดงเพราะเจ้ากระต่ายตัวดีนี่แหละ....เห็นบทออกมาถึงเนื้อถึงตัวขนาดนี้จะให้ใครมาแสดงแทนได้ไง
“ จะมาซ้อมได้รึยัง!!” เสียงเจ้ากระต่ายตะโกนมาจากข้างนอกทำให้ผมได้แต่อมยิ้มแล้วก้มลงหยิบบทละครเวทีที่เขียนชื่อบนปกเอาไว้ว่า “โฉมงามกับเจ้าชายอสูร” แล้วเดินตามเขาออกไป
ก็นะ....ตอนนี้พวกผมกำลังจะขึ้นเวทีแสดงเรื่องนี้กันอยู่ละ
ใครที่ยังไม่ได้ซื้อบัตรก็รีบๆเข้านะ เพราะผมก็ไม่แน่ใจว่ามันจะหมดไปรึยัง
แล้วเจอกัน!
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
FIN
จบแล้วววววว ยะฮู้ววววววววววว สำหรับใครที่ไม่เข้าใจตอนจบก็หาอ่านได้ในเรื่อง Lipstick นะก๊ะ ฮ่าๆๆๆ
จบแล้วเป็นไงบ้าง แหะแหะ ขอบคุณทุกๆคนที่ตามอ่านกันมาจนถึงตอนที่ 9 นี้นะคะ ไม่มีอะไรจะบอกนอกจากซึ้งใจมาก เวลาที่มีคนถามว่า Bios ตอนต่อไปลงหรือยังคะ =w= แบบว่าอยากจะรีบกลับมาปั่นให้มันเสร็จให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยอ่ะ ขอบคุณมากๆๆนะค้า m(_ _)m
มีข่าวแอบประกาศนิดๆ แต่ว่าตอนนี้ยังไม่เสร็จนะ แต่เรื่องที่จะลงในเล่มนี้ก็มีทั้งหมด 6 เรื่องนี่แหละค่ะ นั่นก็คือ.... รวมเล่ม รัตติกาลไม่หวนกลับ : หมายเลขสอง ค่ะ เล่มนี้ต้องขอบอกว่าทำขึ้นมาด้วยความเอาแต่ใจของตัวเองล้วนๆเลย ฮ่าๆๆ เพราะจะเห็นได้ว่าคัดเอามาเฉพาะฟิคที่ดาร์กดราม่าหนักๆแทบทั้งนั้นเลย ที่สำคัญ...ปกมีเซอร์ไพรส์แน่ค่ะ คึหึหึ...
เป็นหน้าคู่สารบัญ แต่ว่าเลขหน้าอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยนะ เพราะว่าตอนนี้ตัดสินใจจะรวม Kizuna Second Story กับ “จะรักตลอดไป” Special Part เข้าไปด้วย
เล่มนี้อาจจะทำน้อยเพราะแม่งมีแต่ฟิคแรร์อย่างที่เห็น555 และขายทางไปรษณีย์เท่านั้นค่า
ก่อนจากไป....มีใครยังไม่เห็น 8059 เวอร์ชั่นคนแสดง(?)บ้าง *w*
สุดยอดเรียลเลยเว้ยค่า คุณอิจิคุณอิโนะ โฮกกกกกกกกกกกกกกกก นี่มันไม่ใช่แค่นักพากย์อย่างเดียวแล้ว!! กรี๊ซซซซซซ
สะบัดหัวแล้วไปปั่นเรื่องต่อไปดีกว่า เหอ....
ปล.ตอนนี้ติดอนิเมะมากมาย หนึ่งในนั้นก็คือ..... Naruto SD - Rock Lee no Seishun Full-Power Ninden….
อ๊ากกกกก เนจิน่ารักมว๊ากกกกกกก เนจิมันให้ความรู้สึกเหมือนซึระยังไงไม่รู้ แบบว่าเป็นคุณชายดูดีที่เก่งสารพัด แต่ส่วนใหญ่จะถูกลากไปทำอะไรที่รั่วไม่สมกับหน้าตาอ่ะ น่าร้ากกกกกก ในเรื่องจะมีฉากที่เนจิพูดว่า “นี่ฉันกำลังทำอะไอยู่เนี่ย?” เยอะสุดๆ แต่ก็ยังอุตส่าห์ให้ความร่วมมือด้วยใบหน้ายิ้มแย้มซะขนาดนั้นนะพ่อคุณ 555
อึ้ง !!! ค่ะ ในหลาย ๆ ความหมาย
ตอบลบเดี๋ยวนะนี่เค้าอ่านเรื่องอะไรอยู่ ตอนแรกเห็นคำว่าเจ้ากระตายแอบคิดไปถึง กระต่ายอลิส
อ๊ากกกกก พี่กวาง (ถ้าอยู่ใกล้ ๆ อยากจะเข้าไปเขย่าแรง ๆ สักหลาย ๆ ที)
ไม่ใช่อะไร แต่ทำไมไม่ปล่อยให้ยามะมันดูฉากนั้นจนจบหล่ะคะ ฮ่าๆๆๆๆ
อ่านตอนนี้แล้วตื่นเต้นดีจริง ๆ ชอบมาก ๆ เลยค่ะ
โดยเฉพาะฉากบนเครน (เริ่มเข้าใจในภาพประกอบ)
คุ คุ ดีนะที่อยู่ไกล ไม่งั้นอาจจะคอหลุดจากบ่าได้นะเราเนี่ย เหอเหอ
ตอบลบขอบคุณค่าบารินนี่ซัง >w<
ตอนจบมัน feat.ฟิคเรื่อง Lipstick น่ะก๊ะ เรื่องนั้นก็ใช้คำแทนตัวก๊กว่าเจ้ากระต่ายเหมือนกัน *w*
ไม่ได้ติดตามมานานกลับมาอ่านตอนต่อแล้วถึงกับกรี๊ดเลยค่ะคุณกวาง
ตอบลบอ่าน2ตอนติดแล้วตื่นเต้นมากกกกก ลุ้นสุดๆเลยยยยยยยย
เค้าอยากดูตอนจบอ้ะ อยาดูๆๆ*งอแง*//โดนตบกระเด็น5555555
ไม่มีบีไฮน์เดอซีนหรอค้าาาาาา ฮะฮะ
จำไม่ได้ว่าอ่านลิปสติกไปถึงไหนแล้วสงสัยต้องตามกลับไปอ่านโดยด่วนค่ะ
ปล.คุณกวางอย่าลืมฟิคตัวประกอบนะค้า*ไซโค*
เฮือก!! กะว่าจะเนียนๆลืมสองคู่ออรินั่นซักหน่อย ดันมีคนจำได้มาทวงอีกแน่ะ
ตอบลบขอบคุณค่าพีเคซัง เพื่อพีเคซัง เดี๋ยวเค้าจัดให้ ฮี่ๆ
แอร๊ยยย เค้าจะรออออ
ตอบลบอ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
ตอบลบตอนจบนี่มันอะร๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
//สกรีมกรีดร้องกรี๊ดกร๊าดดังไปสามบ้านแปดบ้าน = ='
ฮือออออออออออออออออ ไอ้เรารึอุตส่าห์นั่งลุ้น
นั่งหน้าหงาย ขนลุกตามแต่ละตอนที่ซอมบี้โผล่
สุดท้าย .. ดันเป็นแค่การถ่ายละครของไอดอลสุดสวย (?) กับมือเบสเจอมเนียนเนี่ยนะ !!?
What da fffffffffffffff !!!!!!!!!!!!! =[]=^^^
แง้ !!!!!!!!!!!!! เอาฝันสวยหรูของหนูคืนม๊าาาาาาาาา
ตอนจบนี่ก็แบบ .. อุตส่าห์อยากให้ยามะกดก๊กแบบจริงๆ จังๆ ซักหน่อย
ก็ดันตัดฉับๆๆๆๆ ไปซะได้ ฮือออออออออออออออ
(เสียใจอย่างสุดพลังที่อดอ่านฉากนั้น T^T)
ปล. อีกนิดที่อยากบอก คือๆๆๆๆ
เก๊าอยากอ่านตอนพิเศษของ สึกิชิม่า x คาริมะ อ่าาาาาา อั๊ยยย -/-
ดูคู่นี้แล้วฟินแปลกๆ ช๊อบชอบบบบบบ 55555555555555
//ถ้ามีตอนพิเศษคู่นี้จริงๆ หนูจะฟินมากมายเลยล่ะค่ะ อุฮิ ♥
คือ....เค้ามาแล้ว~~ (โดนโบก จะบอกเพื่อ(?) 5555)
ตอบลบเอาใหม่ คือ เค้าจะบอกว่า ฟิคเรื่องนี้มัน......โคตรบุพการีโดนใจ!!!!!!!!!!!!!!!!
แม่เจ้าาาาาา ฉันไปเสียเวลาทำอะไรอยู่ถึงไม่มาอ่านนะหืออออออ O [ ] O (<< _ <
เค้าชอบคาริยะเป็นพิเศษ(?)มากมาย คืออะไรหลายๆอย่างมันให้ความรู้สึก….ทำไมมันเหมือนชีวิตตูจังเว๊
ไอ้การโดนบอกว่า “เฮ้ย ตื่น” เนี่ย…โดนทั้งชีวิต 555555 - _ - (คนมันง่วงทำไมไม่เข้าใจกันนะหืออ)
แล้วแบบเหมือนจะเป็นแค่เพื่อนสนิทที่ตัวติดกันเพราะอะไรหลายๆอย่าง คนนึงร่าเริงตามสไตล์ คนนึงขี้เซาเอาแต่นอน
เค้าชอบฉากที่สึกิชิม่าดันหัวให้คาริยะที่เอาแต่สัปหงกให้ลงไปนอนดีๆที่ท่อนขามากกกกก > ___ <
แล้วยิ่งพอมารู้ว่าสึกิชิม่านี่ไม่ได้รู้ตัวเองเลยว่าคาดสายตาจากคาริยะไม่ได้เท่านั้นล่ะ โฮกกกกกกกกกกกกกกกก
ทำไมไอ้คู่ออริมันถึงได้แอคแทคขนาดเน้~~~
ส่วนอีกคู่ กัปตันวาตะจังถูกปู(?)มาให้เป็นบุคคลที่ชอบโดนแกล้ง(?) ไม่รู้ว่าถูกปูมาแบบนี้หรือเปล่า
อะไรหลายๆอย่างเลยทำให้เรารู้สึกกลัวว่าวาตะจังจะถูกลากเข้าดง(?)อยู่บ่อยครั้งมากมาย 55555
แล้ววาตะจังก็กลายเป็นตัวละครที่ชอบไปพร้อมๆกับไอ้บุคคลที่มันมาเนียนๆ ไอ้บุคคลที่มันดูเหมือนมันจะไม่เด่น(?)
ไอ้บุคคคที่ดูจะกระเซอะกระเซิง(?)หน้าตาหมองคล้ำไม่ต่างกับซอมบี้(?)
ไอ้บุคคลที่ดูมันไม่น่าจะสนใจอะไรนอกจากเครื่องยนต์……
แต่ไอ้การที่มันมาเปิดเผยตอนท้ายว่ามันสโตรกเกอร์วาตะจังผู้แสนจะจริงจังตลอดเวลาซะเนียนด้วยรถบังคับติดกล้องนั่น
โคตะระโฮกฮากกกกก นี่มันอาร๊ายยยยยยย > ___ <
หลายๆฉากของคู่ออริเลยค่ะที่มันก๊าวใจ เอาจริงๆก็ก๊าวใจมันทุกฉากอ่ะ !!!!
ทั้งฉากที่สึกิชิม่าขอยอมตายไปพร้อมๆกับคาริยะที่โดนซอมบี้กัด ไหนจะวาตะจังทั้งๆที่โดนกัดแล้วแต่ยังสู้สุดใจเพียงเพราะต้องการจะปกป้องคาซาโนริที่สลบไป
T __ T ฟิคกวางซามะสุดยอดเสมอ ขนาดคู่ออริเรายังบ้า(?)ขนาดนี้ ฮือออออ
กลับมา (กลับมาอะไรของหล่อนนนน หล่อนออกทะเลไปนอกโลกแล้วววววนะนั่น 5555) กลับมาค่ะกลับมา
กลับมาพูดถึงยามะก๊กที่เป็นpointสำคัญก่อนนน > _ < คอนเซปเรื่องนี้เป็นอะไรที่แบบ
กระแทกกลางใจนอนตายฟินาเล่มากๆ ถึงแม้ว่าตามหลักการ(?)มันไม่น่าเป็นเรื่องที่จะมีวี่แวว(?)โผล่ออกมาให้หวานฉ่ำอะไรกันในยามซอมบี้บุกแบบนี้เลยก็เถอะ แต่กวางซามะทำได้ บันซายยยยย 555555
แต่!!!! คอนเฟิร์ม!!!! แค่ได้มองก็ตกหลุมรักได้ค่ะ!!!!! ชีวิตรักคนบ้าแบบเรามักเป็นอารมณ์ อยากมองเธอเท่านั้นเอง(?)ตลอด(?)เบย T _ T (จะไปบอกเค้าเพื่ออะไรคะคุณ 5555 ปล่อยคนบ้าไปค่ะ)
อาจจะด้วยความที่เราเป็นเมนหนูก๊ก(?) พอเจอฟีลยามะชอบก๊กก่อนแบบนี้ยิ่งบ้าค่ะ คือมันคู่ควร(?)ที่จะเป็นแบบนั้น(?) 5555
ฟิคนี้เป็นแนวมุมมองของฝั่งยามะ แต่แค่มุมมองฝั่งยามะก็ฟินแล้วค่ะ ฟินโฮกกกกกกกกกกกกกกกก
ลบก๊กสวยมากกกกกกก น่าทะนุถนอมมากกกก และน่ากดโฮกกกกกกกกกกกกกกกกกก
ไม่แปลกถ้าจะเอาแต่ถูกตะล่อมจากตาเนียนโดยอาศัยสถานการณ์ตายเอาดาบหน้า(?)ฝ่าซอมบี้อีกแบบนั้น
(เป็นตู ตูก็ทำ……ห่ะ!! 55555)
แต่ยามะจริงจังปกป้องหนูก๊กด้วยทั้งชีวิตที่มีแบบนี้สื่อไม่ถึงก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้วววเนอะ > __ <
แล้วด้วยความที่มันเป็นฟิคซอมบี้เลือดสาด ฟาดกันหัวเบะ ฟัดชิ้นส่วนกระเด็นกระจัดกระจุย(?)
อดคิดไม่ได้ว่าตาเนียนหื่นจะเนียนกดก๊กเอาตอนไหน แต่แม่เจ้า(?)!!!!!!! สถานการณ์แบบนี้พ่อคุณสามารถค่ะ!!!!!
สารภาพว่าลงไปกลิ้งม้วนที่เตียงด้วยความฟิน > __ < คือถ้าหนูก๊กเป็นซอมบี้ที่เซะซี่(?)ยั่วยวนได้ขนาดเน้~~~!!!
ก็พอดีเอาแต่อ่านวน(?)จนมาเม้นท์ช้าแบบนี้ล่ะค่ะ > ____ <
สารภาพว่าเค้าเอาแค่ อ่าน-วน-ฉาก-หื่น(?) หลายรอบโคตรรรรรร 55555
ไอ้อาการซอมบี้กำเริบ กำเริบโดยการอยากกัด กัดยามะ แถมขยายความการกัดที่ว่านั่นคือการกัดแบบ “งับ”
งับไปทั่ว!!!!!!!!! งับไปทั่ววววววแบบนี้นี่มันอะไรค๊า!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
ตายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย ตายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
ตายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยอย่างเดียว > [ ] <
คือ ถ้ากวางซามะจะสามารถทำให้ซอมบี้ก๊าวใจได้ขนาดนี้ ฮืออออออ(พับเพียบ(?)กอดขากวางซามะแนบแน่น(?)เป็นการชาบู(?))
ยิ่งตอนที่ไปช่วยหนูก๊กที่ห้องวิจัย แล้วทูนหัวของพ่อเนียน
(บอกตรงๆว่าเค้ากรี๊ดคำนี้มากๆๆๆเลยค่ะ > __ < โอ้ยยยย ยามะ อย่ามาเรียกให้แอคแทคขนาดเน้ได้ม้ายยย)
อาการกำเริบนี่ตบเข่าฉาด(?) คือถ้าฟิคแนวไบโอจะพาไปฮัดช่า(?)อิอั๊งฮะฮิ้งฮุ้งฮิ้ง(นี่หล่อนอยู่เผ่าไหน)ขนาดนี้ละก็นะ
กวางซามะรวมเล่มมินิ(?)เถอะค่ะ T ___ T เค้าจะเอาไว้อ่านก่อนนอน(?)สลับกับเล่มรัตติกาลฯ
(รู้สึกจะไม่ใช่ประเด็นของการคอมเม้นท์ฟิคเลยแม้แต่น้อย 555555)
รู้สึกผิดที่เค้ามาคอมเม้นท์เอารวมๆที่ตอนสุดท้ายแบบนี้ ต้องโทษที่มัวแต่ไปอ่านวน(?)เลยพาจะทำให้ตาจะเจ็บอีกแล้ว
แต่ว่าเค้าชอบฟิคเรื่องนี้จริงจังนะคะ คือรู้ตัวเลยว่าถ้าเค้าอ่านในช่วงที่กวางซามะยังแต่งไม่จบ
คงต้องลงแดงกันไปข้าง(?) คือมันตื่นเต้นทุกชอตเลย ฉากแม่ของคาริยะก็สะเทือนสุดๆเลยค่ะ ตอนนั้นพาลคิดถึงพ่อยามะอยู่ตลอด
แต่ไม่รู้ทำไมถึงคิดว่ายังไงพ่อยามะก็จะต้องเอาตัวรอดได้ หรือเพราะฟีลหน้าพ่อกับลูกมันเหมือนกัน(?) (เกี่ยวอะไรกับหน้าว่ะนั่น 5555)
และก็ดีใจที่พ่อยามะรอด T^T ที่เขียนฝากข้อความไว้นั่นก็เท่โฮกอ่ะ ชอบจริงชอบจัง
ฟิคเรื่องนี้ยิ่งอ่านยิ่งมันส์ คือมันอยากรู้ตลอดว่า ก้าวต่อไปจะเจออะไร แล้วท้ายที่สุดแล้วจะสามารถทำภารกิจสำเร็จมั้ย
ทุกอย่างลงตัวมากจริงจัง ไม่ว่าจะเรื่องของตัวร้ายที่ลงเอยอย่างไร หรือจะความลับของหนูก๊กที่ทำไมต้องฉีดยาแบบนั้น แล้วยังจะเป็นยาแอนตี้ไวรัสพอดีอีก ไหนจะพ่อหนูก๊กที่รู้ความลับของเบื้องหลังของการมีซอมบี้เละๆมาเดินหง่อกแหง่ก(?)กันให้ทั่วเมือง แล้วท้ายที่สุดแล้วไปจบลงที่เรื่องนี้กลายเป็นการแสดงของคู่รักในเรื่อง Lipstick !!!!!!! แม่เจ้าาาา!!!!! และเพราะแบบนั้นอิคนบ้าคนนี้ก็ต้องตามไปอ่านลิปสติคก่อนที่จะถึงคิวท่านท่อนขา 5555555 (คาดว่าคงจะได้อวยพรให้ท่านท่อนขาไม่เกินเดือนหน้า(?)…..อะไรมันจะต้องใช้เวลานานขนาดนั้นกันละหือออ!!!!) และสุดท้ายก็ทำให้วางมือจากไอพอตง่อกง่อย(?)น้อยๆของเราไม่ได้เลยค่ะ อ่านจนลืมหิวข้าว!!!!
ปล. ซอมบี้ก๊กก๊าวใจจริงจังนะคะ ฮืออออ อ่านวน!!!! > __ < ชอบบบบบบบบบจริงจัง
ปล.อีกรอบ คาริยะอาการซอมบี้กำเริบเพราะกลิ่นเลือดสึกิชิม่าาาาา …..นี่ตาเนียน นายน่าลองเลือดนายบ้างนะ(?) ถ้ามันได้ผล ซอมบี้น้อยคง..........$#$#@$@%#@$@#!!!!!!!
(ลงวันที่พิมพ์ไว้ในword(?)เสร็จเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2014 เวลา ตีหนึ่ง เก้านาทีโดยประมาณ)
ระทึกกันจนตอนสุดท้ายจริงๆ
ตอบลบฉากเครนหมุนๆและซอมบี้ที่โผล่จากตึกทำเอาหายใจไม่ทั่วท้อง
ทั้งกลัวบรรดาผู้รอดชีวิตจะตกลงไปไหนจะกลัวซอมบี้อีก
บรื๋ออออออ
แต่คุณพ่อของก๊กนี่ไม่ธรรมดาสุดๆ
หลอกล่อให้กองขีปนาวุธทำของดีๆให้
แถมยังปลดล๊อคจากระยะไกลได้อีก
พระเอกเงามากค่ะ
ถ้าไม่มีท่านพ่อ
ต่อให้ยามะกับก๊กแกร่งแค่ไหนก็ไม่ไหวอ่ะงานนี้
นี่เลือดปลามาคุโร่ก็กระตุ้นต่อมซอมบี้เรอะ
ยามะรวบรวมข้อมูลมาดีจริงๆ
กะโกยเต็มที่
แต่ที่เงิบก็คือตอนจบแหละค่ะ
หักมุมสุดๆ
ไม่คิดว่านี่จะเป็นภาพยนตร์ที่ทั้งสองร่วมแสดง
สงสัยคงได้ไปตามอ่าน Lipstick แล้วล่ะค่ะ
ขอบคุณค่ะสำหรับฟิคสนุกๆตื่นเต้นเซ็ดซี่เร้าใจเรื่องนี้