KHR Au S.Fic HBD.Yama [8059] -- BiOS : 09 : END --


KHR Au S.Fic HBD.Yama [8059]  -- BiOS : 09 : END --

: KHR AU Fanfiction
: 8059
: Action  Horrors
: NC-17

คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ




ในที่สุดรั้วสูงตระหง่านของกรมทหารก็มองเห็นอยู่ไกลๆ ได้ยินเสียงสึกิชิม่าปลุกคาริยะให้ตื่นก่อนที่อาวุธจะถูกจับขึ้นมาโดยมือของพวกเราอีกครั้ง


และเมื่อเบนซ์สปอร์ตแล่นโฉบไปที่ประตูทางเข้า ดวงตาของพวกเราก็ต้องเบิกกว้างกับภาพที่เห็น


คนในนั้นกลายเป็นซอมบี้ไปหมดแล้ว....


เพราะศพที่ลุกขึ้นมาเดินเพ่นพ่านไปมาอยู่ภายในรั้วทหารนั้นล้วนแต่งกายด้วยชุดของรั้วแห่งชาติหรือไม่ก็ชุดของหน่วยวิจัย


ต้องยอมรับว่าผมเริ่มจะหายใจไม่ทั่วท้อง เพราะปกติแล้วเราจะเลี่ยงที่จะปะทะกับซอมบี้กลุ่มใหญ่ขนาดนี้ แต่นี่....มันไม่มีเวลาแล้ว....


“ ทุกคน...ฟังให้ดีนะ...”      กัปตันพูดออกมาในขณะที่ดวงตาภายใต้กรอบแว่นยังคงจ้องเขม็งไปที่ภาพตรงหน้า


“ ตึก A เป้าหมายของเราคือตึกที่กำลังมีการก่อสร้างต่อเติมนั่น พอคาซาโนริขับรถเข้าไปที่ใต้ตึกให้พวกนาย 4 คนลงไปจัดการเรื่องแอนตี้ไวรัสตามแผนซะ ส่วนฉันกับคาซาโนริจะขับรถวนล่อพวกมันอยู่ข้างล่าง อย่างน้อยๆก็น่าจะพอดึงความสนใจของพวกมันออกมาจากตึกนั่นได้บ้าง”      ผมรู้ว่าสึกิชิม่ากับคาริยะอยากจะคัดค้านแผนเสี่ยงตายของกัปตันเช่นเดียวกับผม แต่ก็รู้ดีว่าถ้าไม่มีตัวล่อ เราคงฝ่าฝูงซอมบี้ทั้งหมดนั่นไปไม่ได้แน่


“ สึกิชิม่า ถือไอ้นี่ไหวไหม?”      กัปตันส่งปืนเอ็ม16ให้สึกิชิม่าที่มีเพียงมือเปล่า


“ แล้วกัปตันล่ะครับ?”


“ ฉันเอาปืนพกไว้ก็พอ...ที่เหลือก็แค่เชื่อใจหมอนี่”      ใบหน้ามนหันมายิ้มน้อยๆพร้อมกับชี้นิ้วโป้งไปที่ประธานชมรมต่อรถที่ยังคงหน้าตายไม่ได้สะทกสะท้านอะไรกับดงซอมบี้ที่ตัวเองต้องเอาตัวเข้าไปล่อพวกมัน  กัปตันส่งปืนพกอีกกระบอกให้คาริยะ


“ ฝากด้วยนะ”


นั่นคือคำพูดสุดท้ายก่อนที่สายตาของพวกเราทุกคู่จะจับจ้องไปยังตึกที่อยู่เยื้องไปเบื้องหลัง เสียงเบนซ์สปอร์ตดังกระหึ่มจนไอ้พวกซอมบี้หันมามองทางเราเป็นตาเดียว มันเริ่มเคลื่อนไหวเช่นเดียวกับรุ่นพี่คาซาโนริที่เร่งเครื่องเป็นสัญญาณเตรียมพร้อม


“ เอาละ....ลุย!!


ล้อบดถนนเสียงดังแสบแก้วหูก่อนที่เบนซ์สปอร์ตสีขาวจะพุ่งทะยานเข้าไปในดงซอมบี้ที่ต่างยื่นแขนยื่นมือเพื่อไขว่คว้าตัวพวกเรา ผมยกแขนขึ้นป้องกันแผ่นหลังบางของโกคุเดระที่ถูกจับให้ซุกตัวอยู่ที่หน้าตัก พวกเราต่างก็ก้มหัวให้ต่ำที่สุดเพราะ


ตุบ ตุบ โครม!!!


ซากศพแล้วศพเล่าลอยข้ามหัวไปด้วยแรงปะทะที่หน้ากระโปรงรถ ผมหรี่ตามองไมค์ซึ่งค้างอยู่ที่ 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมงพรางยิ้มแหยๆ ถ้าเป็นสภาวะปกติผมไม่มีวันนั่งรถไปกับรุ่นพี่คาซาโนริแน่!


แต่ก็เพราะแบบนั้นแหละมันทำให้ยังไม่ทันที่จะกระพริบตา ประตูทางเข้าตึก A ก็มาอยู่ตรงหน้า


เอี๊ยดดด!!!


รถหมุนตัวกลับทันทีก่อนที่อีกไม่กี่วินาทีจะชนเข้ากับผนังตึก


“ โดดลงไปเลย!!”      สิ้นเสียงกัปตัน ผมก็คว้าตัวโกคุเดระก่อนจะพาเขาก้าวขากระโดดลงจากรถมา สึกิชิม่ากับคาริยะโดดลงที่อีกฝั่ง แล้วเบนซ์สปอร์ตก็พุ่งทะยานกลับเข้าไปในฝูงซอมบี้อีกครั้ง เสียงดังกระหึ่มนั่นทำให้เหล่าซากศพเดินได้ตะเกียกตะกายตามไปโดยไม่สนใจคนเป็นๆอีก 4 คนที่ยืนเงียบกริบอยู่ตรงนี้เลยสักนิด


สายตาคมกล้าของพวกเราได้แต่มองตามหลังรถคันนั้นไปด้วยความมุ่งมั่น ว่าจะไม่ทำให้ความตั้งใจนี้ของกัปตันทั้งสองคนสูญเปล่าอย่างแน่นอน


ผมพยักหน้าให้สึกิชิม่าก่อนจะหันตัวกลับไปหาประตูทางเข้าตึก สองมือพยายามผลักให้มันเปิดออกแต่แล้วมันก็ยังคงนิ่งสนิท


“ ล็อคเอาไว้หรอเนี่ย?”     สึกิชิม่าก้มตัวลงไปจ้องที่รูลูกบิดประตู ถึงแม้ที่ด้านข้างจะมีแผงคีย์การ์ดและปุ่มตัวเลขกรอกรหัสอยู่ แต่ที่นี่ไม่ใช่สถาบันวิจัยของพ่อโกคุเดระ เพราะงั้นร่างบางๆที่ยืนอยู่ข้างๆผมจึงช่วยอะไรไม่ได้


“ เอาปืนยิงเลยเป็นไง?”     สึกิชิม่าหันมาถามความเห็นผมซึ่งผมก็ได้แต่พยักหน้า มีเพียงโกคุเดระเท่านั้นที่ยกมือขึ้นห้ามเอาไว้


“ นายลองเอาด้ามปืนกระแทกกระจกดูก่อน”     ผมงงกับสิ่งที่เขาบอกแต่ก็พยักหน้าให้สึกิชิม่าลองดู ด้ามปืนเอ็มสิบหกกระแทกลงไปที่บานกระจกติดตายที่อยู่ด้านบนของบานประตู


“ เอ๋?”      แต่แทนที่มันจะแตกแหลกละเอียด มันกลับเด้งให้ด้ามปืนกระดอนออกมาหน้าตาเฉย


“ เป็นประตูกันกระสุนจริงๆด้วย....”     โกคุเดระยืนกอดอกมองประตูอย่างใช้ความคิด ผมกับสึกิชิม่าได้แต่ยืนมองเขาอย่างอึ้งๆ


“ แบบนี้คงต้องหาทางเข้าอื่น...”      ใบหน้าสวยตัดใจง่ายๆแล้วหันไปมองหาทางเข้าอื่นอย่างที่ว่าจริงๆ แต่ไม่ว่าจะประตูหน้าต่างบานไหนต่างก็ถูกปิดเอาไว้และไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันจะไม่ใช่บานกันกระสุน


“ บางที...ข้างในตึกที่ปิดตายหลังนี้ มันอาจจะมีซอมบี้ที่ถูกขังอยู่ก็ได้นะ...”      ผมพูดออกไปพรางนึกถึง อาคารเก็บตัวอย่างการทดลองของสถาบันวิจัย


“ นี่....แล้วถ้าเราไปเข้าที่ตึกข้างๆนั่นล่ะ?”       ในที่สุดเจ้าคาริยะก็ทำให้ผมรู้ว่ามันยังตื่นอยู่หลังจากที่พูดประโยคนั้นออกมา ผมหันไปมองตามสายตาเหม่อๆของหมอนั่นที่ยืนมองประตูทางเข้าตึก B ที่เปิดอ้าอยู่


“ จริงด้วย!”        ไม่ใช่ว่าตึกทั้งสองมันจะมีทางเชื่อมกันอยู่หรอกนะ แต่ก็ต้องบอกว่าเหมือนสวรรค์เป็นใจ อย่างที่บอกในตอนแรกว่าตึก A กำลังมีการก่อสร้างต่อเติมอาคารอยู่ เพราะงั้นที่ว่างระหว่างสองตึกนี้จึงมี ทาวเวอร์เครน ขนาดใหญ่ตั้งอยู่...และตอนนี้ที่ปลายทั้งสองข้างของทาวเวอร์เครนก็หยุดค้างอยู่ที่ตึกทั้งสองฝั่งพอดี....ราวกับเป็นสะพานเชื่อมต่อที่ลอยอยู่กลางอากาศ


แถมประตูที่เปิดอ้าอยู่แบบนั้นมันก็บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าตึก B นั้นปลอดภัยกว่า เพราะซอมบี้ข้างในคงจะออกมากันหมดแล้ว





ถึงจะบอกดั่งสวรรค์เป็นใจอย่างนั้นก็เถอะ แต่ตอนนี้ผมก็รู้สึกว่าอยู่ใกล้กับสวรรค์แค่เอื้อม นัยน์ตาเหลือบลงไปมองพื้นดินเบื้องล่างที่อยู่ห่างจากจุดที่ผมยืนอยู่ไม่รู้กี่สิบเมตร ในเมื่อตัวเลขที่ติดอยู่ที่ข้างผนังตึก B คือชั้นที่ 6


สายตาเหลือบขึ้นมามองโครงทรัสเหล็กที่สานกันจนกลายเป็นคานของทาวเวอร์เครน ที่ปลายอีกข้างเหยียดไปยังผนังซึ่งมีหน้าต่างของตึก A อยู่ ถึงจะบอกว่ามันเชื่อมถึงกัน แต่มันก็ไม่ได้ยึดติดอาคารทั้งสองหลังอยู่ด้วยกัน...ทาวเวอร์เครนนั้นหมุนไปมาได้แล้วแต่การบังคับ และมันก็ยืนอยู่ด้วยขาเหล็กสูงเป็นทาวเวอร์ของมันเอง...ไม่ได้เชื่อมต่อกับอะไรใดๆทั้งนั้น


ผมลอบกลืนน้ำลายเมื่อมายืนจ้องมองมันอยู่ใกล้ๆ....นี่พวกเราต้องเดินไปบนโครงเหล็กที่ไม่มีแม้แต่ราวกันตกแบบนี้น่ะหรอ?


สวรรค์ช่างเป็นใจให้ไปหาสิ้นดี....


“ ไป...กันเถอะ!”       ถึงจะกลัวไปยังไงก็เปล่าประโยชน์ ในเมื่อตอนนี้มีเพียงทางเดียวที่จะเข้าไปยังตึก A ได้


ผมกระโดดลงไปยืนโงนเงนอยู่บนคานเหล็ก เสียงเอี๊ยดอ๊าดดังขึ้นมาทันทีที่มันต้องรับน้ำหนัก โกคุเดระที่จะต้องโดดเป็นคนต่อมาได้แต่ยืนนิ่งไม่ยอมขยับ....ผมรู้ว่าเขากลัว....เพราะงั้นผมจึงมองเขาด้วยรอยยิ้มแล้วยื่นมือไปให้


เขายื่นมือมาจับมือผมไว้อย่างกล้าๆกลัวๆแล้วหย่อนขาตามลงมา คานเหล็กเอียงวูบไปเล็กน้อย แต่ถ้าเทียบน้ำหนักของผมสองคนแล้วมันยังไม่ได้หนึ่งในสิบของซีเมนต์หรือแท่งเหล็กที่เครนอันนี้ต้องขนย้ายเลยสักนิด เพราะงั้นมันจึงค่อยๆปรับระดับกลับไปตรงดังเดิม


ผมก้าวขาค่อยๆเดินออกไปด้วยใจเต้นระรัว สมาธิจดจ่ออยู่กับโครงทรัสเพื่อไม่ให้เหยียบพลาดจนร่วงลงไป มือของโกคุเดระกำมือผมแน่น


เครนวูบไหวเล็กน้อยทำให้รู้ว่าสึกิชิม่ากับคาริยะกำลังหย่อนตัวและเดินตามมา ผมก้าวต่อไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนในที่สุดบานหน้าต่างของตึก A ก็อยู่ห่างอีกไม่ถึงเมตร


ผมจะโล่งใจตอนนี้มันยังง่ายไป ในเมื่อผมคงต้องหาทางเปิดมันให้ได้เสียก่อน


“ ไม่น่าจะเป็นบานกันกระสุน...ใช้ปืนยิงกระจกให้แตกได้เลย”     บางทีผมก็สงสัยนะว่า โกคุเดระแยกแยะกระจกและอาวุธสงครามพวกนี้ได้ยังไง ?


ผมรับปืนพกมาจากคาริยะ ก่อนจะเล็งมันไปที่กระจกฝ้าของหน้าต่าง ผมรู้ว่าแรงถีบของปืนนั้นมหาศาลขนาดไหน เพราะงั้นจึงย่อตัวลงไปนั่งอยู่บนคานเหล็ก อย่างน้อยถ้าจะหงายหลังจะได้ไม่พากันร่วงลงไป


และเพราะว่านั่งลงไปแบบนั้น...มันเลยทำให้ผมรอดมาได้อย่างหวุดหวิด


ปัง!!!


เสียงปืนดังพร้อมกระจกฝ้าที่แตกละเอียด แต่ใครจะรู้ว่าสิ่งที่สวนกระสุนปืนออกมาหาพวกเราจะคือมือหลายสิบคู่!!


“ เหว๋อ!!!”       แขนซีดเซียวแทรกรอยแตกของกระจกออกมากวาดอากาศอยู่บนหัวผมให้พวกเราทุกคนได้แต่ตะลึงงัน โกคุเดระดึงแขนลากตัวผมถอยออกมาจนพ้นระยะที่พวกมันจะเอื้อมถึงได้อย่างหวุดหวิด


ในตึก A เต็มไปด้วยซอมบี้อย่างที่คิดจริงๆด้วย!


“ ทะ ทำไงดี...”     พวกเราได้แต่นิ่งค้างมองฝูงซากศพที่ตะเกียกตะกายหน้าต่างพยายามจะยื่นตัวมาหาพวกเราที่ได้แต่ยืนคว้างลอยอยู่กลางอากาศ จะเดินหน้าต่อไปก็ทำไม่ได้ จะถอยหลังกลับไปที่ตึก B ก็.....


ทำไม่ได้แล้วตอนนี้!!


“ เฮ้ย! สึกิชิม่า!!”      ผมตะโกนเรียกสึกิชิม่าด้วยใจที่แทบจะหล่นลงไปที่ตาตุ่ม เพราะมัวแต่จดจ่อจะไปยังตึก A จึงไม่ได้ระวังหลัง ถึงได้เพิ่งเห็นว่ามีซอมบี้นับสิบตัวกำลังเดินโงนเงนมาออกันอยู่ที่ประตูที่เราออกมา


โดนต้อนโดยสมบูรณ์แบบ....


“ นายสองคนปีนขึ้นบนกันสาดนั่นไหวไหม?!”        คาริยะเงยหน้ามองชั้นที่สูงขึ้นไปของตึก A ก่อนที่จะบอกกับผมและโกคุเดระ ดูเหมือนนั่นจะเป็นกันสาดของชั้นที่สูงที่สุดของตึก A...ที่ที่มีปืนเป้าหมายของเราอยู่


“ ไม่ไหวก็ต้องไหวละ....”    สายตาของผมจดจ้องไปที่ Slab คอนกรีตของกันสาด อย่างผมเทคตัวขึ้นไปบนนั้นจากพื้นที่ไม่มั่นคงนี่ยังแทบจะหืดขึ้นคอ...แล้วโกคุเดระจะไหวไหมเนี่ย? แต่ตอนนี้คงไม่มีเวลาให้คิดมากนัก ผมโยนดาบขึ้นไปก่อนจะเหลือบตามองมือหลายสิบคู่ที่เอื้อมออกมาจากหน้าต่าง...ถ้าพลาดไปนิด...ไม่ตกลงไปก็คงเสร็จไอ้พวกนั้นแน่ๆ


ผมสูดหายใจก่อนจะก้าวขาวิ่งไปบนโครงเหล็กเพื่อเป็นแรงส่ง ขายาวก้าวกระโดดเทคตัวขึ้นไปก่อนที่แขนแข็งแรงจะเท้าปลายกันสาดแล้วดีดตัวขึ้นไปกลิ้งอยู่บนนั้นได้สำเร็จ ปลายนิ้วซีดเซียวของพวกซอมบี้เฉียดลำตัวของผมไปไม่ถึงคืบ  อีกสามคนที่ยืนลุ้นอยู่นั้นแทบจะหยุดหายใจ


“ มาสิโกคุเดระ...จับมือฉันไว้ ไม่ต้องกลัวนะ”       เขายืนแหงนหน้ามองผมด้วยสายตาเหมือนลูกนกที่น่าสงสาร ใบหน้าสวยหันกลับไปมองทางข้างหลังซึ่งพวกซอมบี้เริ่มจะไต่โครงทรัสของเครนมาแล้วก็หันกลับมาก่อนจะมีดวงตาที่แน่วแน่ขึ้น ขาเรียวเดินมาตามเครนอย่างไม่มั่นคงนัก นัยน์ตาสีมกรตมองสลับระหว่างมือของผมกับมือของฝูงซอมบี้ที่อยู่ใกล้ตัวกว่าไปมา


“ อย่าเพิ่งโดดนะ!!”     แต่แล้วในขณะที่มือของโกคุเดระจะยื่นมาหามือผม สึกิชิม่าก็ตะโกนบอกก่อนที่เสียงกระสุนปืนเอ็มสิบหกจะดังรัว


ปังๆๆๆๆๆๆๆๆๆ


ซอมบี้ที่ไต่ตามเครนมาจนใกล้จะถึงตัวถูกสอยร่วงไปยังพื้นเบื้องล่าง


“ อ๊ะ?!”      โกคุเดระอุทานออกมาเบาๆเมื่อรู้สึกได้ว่า พื้นที่ไม่มั่นคงอยู่แล้วเริ่มจะขยับไปมา


ใช่....ตอนนี้เครนกำลังเริ่มจะหมุน....เพราะแรงสั่นสะเทือนจากปากกระบอกปืนเมื่อครู่!!


“ บัดซบ!!”      สึกิชิม่าสบถออกมาท่ามกลางดวงตาที่เบิกกว้างของผม


“ คาริยะ ถือนี่ไว้ที!”     หมอนั่นส่งเอ็มสิบหกให้คาริยะ ก่อนจะก้าวพรวดๆมายังตัวของโกคุเดระ


“ โทษทีนะ”      และชั่วพริบตาที่เครนกำลังจะเคลื่อนห่างออกไปจากกันสาดที่ผมนั่งรออยู่ สึกิชิม่าก็อุ้มร่างของโกคุเดระขึ้นแล้วออกแรงเหวี่ยงจนตัวบางๆนั่นลอยหวือผ่านมือของฝูงซอมบี้ให้ผมยื่นแขนไปรับไว้แทบไม่ทัน


“ อุก...”    ทั้งน้ำหนักและแรงเหวี่ยงทำให้ทั้งผมทั้งร่างในอ้อมแขนต่างหงายหลังล้มลงกันพื้นกันสาดด้วยกันทั้งคู่ แขนที่กอดลำตัวของโกคุเดระเอาไว้ยังสั่นระริก


ตอนนี้ใจของผมมันหายวูบไปไหนแล้วก็ไม่รู้


“ ไอ้บ้าสึกิชิม่า!!!”       ผมชะโงกหน้าไปตะโกนด่าไอ้คนที่ทำเรื่องแผลงๆ หมอนั่นยังคงยืนยิ้มอยู่บนเครนที่หมุนห่างออกไปจากตึกทั้งสองฝั่ง


“ อย่าส่งเสียงดังสิฟ๊ะ! ที่เหลือก็ฝากด้วยล่ะพ่อสุดหล่อ”      หมอนั่นยังคงยิ้มแย้ม ปืนเอ็มสิบหกที่รับคืนมาจากคาริยะถูกลั่นไกออกไปอีกสองสามนัด...เสียงที่เกิดนั้นดังพอที่จะทำให้ฝูงซอมบี้ที่อยู่ในตึก A หันมาสนใจได้จนหมด....


ผมมองสองคนที่ยังติดอยู่บนเครนด้วยสายตาเจ็บปวด ถึงจะดูว่าน่าจะปลอดภัยตราบใดที่ไม่ตกลงไป....แต่ใครจะรู้ว่า....เครนจะไปหยุดอีกทีที่ตรงไหน....


แถมสองคนนั่นยังจงใจส่งเสียงดังราวกับว่าจะช่วยล่อซอมบี้พวกนี้เอาไว้ให้อีก


“ โธ่เว้ย!”     ผมได้แต่สบถเบาๆ


“ รีบไปจัดการให้จบก่อนที่เครนจะหยุดลงอีกทีกันเถอะ”      มือบางของโกคุเดระวางลงมาบนมือผม


“ อืม”      ผมพยักหน้ารับแล้วจับมือของเขาไว้ ....รอหน่อยนะทั้งสองคน!


ผมยื่นหน้าไปมองทางเดินที่เงียบกริบ  ดูท่าว่าพวกซอมบี้จะอยู่ชั้นข้างล่างนี้กันหมดจึงไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆบนชั้นนี้เลย  ผมค่อยๆเลื่อนหน้าต่างบานเลื่อนที่เปิดแง้มไว้ก่อนจะโหนตัวเข้าไปในอาคาร ในที่สุดผมกับโกคุเดระก็มาถึงห้องเพียงห้องเดียวบนชั้นสูงสุดของตึก A ของหน่วยวิจัยขีปนาวุธจนได้


ประตูที่ปิดอยู่ตรงหน้าชวนให้คิดว่าถ้ามันเป็นประตูกันกระสุนหรือต้องใช้รหัสในการเปิดแล้วพวกผมจะทำยังไง เพราะดูท่าว่ามันจะแน่นหนาพอสมควร....ยังไงที่นี่ก็ทำวิจัยเกี่ยวกับขีปนาวุธนี่นะ จะปล่อยให้คนนอกเข้าออกได้ง่ายๆก็กระไรอยู่


ครึก....


เสียงปลดล็อคของลูกบิดดังให้ผมอ้าปากค้าง เมื่อมือของโกคุเดระหมุนมันและเปิดออกได้หน้าตาเฉย...บทจะง่ายทำไมมันง่ายขนาดนี้!


“ มันไม่ได้ล็อค สงสัยตอนที่เกิดเรื่องคงไม่มีใครมัวมาใส่ใจล็อคห้องละมั้ง”      เขายังคงพูดด้วยเสียงนิ่งๆ


ผมก้าวขาเดินตามเขาเข้าไปในห้องที่ยังคงสว่างไสวด้วยแสงไฟที่ยังเปิดอยู่ครบทุกดวง ไม่อยากจะคิดเลยว่าตอนกลางคืนห้องนี้จะอันตรายขนาดไหน โต๊ะที่เต็มไปด้วยเครื่องมือทดลองถูกวางติดผนังทั้งสองข้าง กองเอกสารที่อยู่บนโต๊ะปลิวกระจัดกระจาย บนพื้นมีสายไฟพาดไปมามากมายจนอดกลัวไม่ได้ว่าถ้าผมไปเดินสะดุดสายไหนเข้ามันจะพาลทำให้ข้อมูลของขีปนาวุธหายวูบไปหรือเปล่า เสียงติ้ดๆดังมาจากจอคอมพิวเตอร์ที่ไม่มีใครใช้ นี่มันเปิดอยู่แบบนี้มากี่วันแล้วเนี่ย


ในขณะที่ผมมัวแต่สนใจอุปกรณ์หน้าตาแปลกๆรอบๆตัว โกคุเดระก็เดินตรงดิ่งไปที่แท่นซึ่งตั้งอยู่กลางห้อง มือบางของเขากดแป้นคีบอร์ดตรงหน้าโดยไม่กลัวว่าจะมีสัญญาณกันขโมยดังขึ้นมาเลยสักนิด


“ ไอ้นี่น่ะหรอ ปืนไมโครอิเล็คตรอน RX อะไรที่ว่านั่น”      ผมขยับเข้าไปยืนข้างๆเขา สายตาจับจ้องเข้าไปในหลอดแก้วตรงกลางซึ่งข้างในมีวัตถุหน้าตาจะว่าคล้ายปืนก็ไม่เชิง แต่มันมีขนาดเล็กกว่าที่ผมคิดเอาไว้มากทีเดียว


“ ไม่ใช่...ดูเหมือนกับว่ามันจะเป็นโมเดลต้นแบบหัวจรวดนำวิถีซึ่งที่นี่กำลังพัฒนาขึ้นมา”     เขาตอบผมด้วยใบหน้าเรียบเฉย....เฮ้ย!!...เดี๋ยวสิ!....แล้วไอ้ของอันตรายแบบนั้นนายจะไปกดเล่นสุ่มสี่สุ่มห้าได้ง๊าย!


“ น่าจะเก็บเอาไว้ที่อื่น...”      ในขณะที่ผมกำลังจะเอ่ยห้าม เขาก็ละความสนใจจากขีปนาวุธตรงหน้าไปให้ผมโล่งอก เขานี่มันตัวอันตรายจริงๆ...ในหลายๆความหมายเลย


“ ตรงนี้มีประตูอยู่ด้วย แต่ว่ามันล็อคอยู่แหะ”     ผมลองผลักประตูดูแต่ก็ไม่มีทีท่าว่ามันจะยอมเปิดออกแต่โดยดี มันไม่มีลูกบิดจึงคิดได้ว่ามันคงใช้ระบบเซ็นเซอร์อะไรสักอย่าง แปลว่ามันต้องเก็บของสำคัญเอาไว้แน่ๆ


“ แย่ละสิ”      โกคุเดระยื่นหน้าไปจ้องมอนิเตอร์ขนาดเล็กที่ติดอยู่ข้างประตู ใบหน้าสวยมีแววกังวลจนผมสังเกตได้


“ มีอะไรหรอ?”     เขาหันมามองผมก่อนจะเอ่ยประโยคที่ทำเอาร่างของเราทั้งคู่นิ่งงัน


“ มันเป็นระบบสแกนลายนิ้วมือ....”



ไม่มีทางเลือก...ถึงแม้จะน่าสะอิดสะเอียดแค่ไหนผมก็ต้องทำ....ผมมองหน้าเขาก่อนที่จะพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ


ขาก้าวลงบันไดไปช้าๆโดยมีโกตุเดระเดินตามลงมาติดๆ สายตาของผมจ้องเขม็งไปยังทางเดินที่มีเงาวูบไหว


“ ปืนนั่นจะใช้ได้เลยไหมนะ....”     เพราะหากเอาลายนิ้วมือไปได้ก็คงไม่มีเวลาอีกมากนัก


“ ฉัน....ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันเลย....”     เสียงของโกคุเดระที่ตอบกลับมาฟังดูไม่มั่นใจต่างไปจากตอนปกติ


“ เอาน่า...มาถึงขั้นนี้แล้ว....คงมีแต่ต้องลุยละนะ”       ผมสูดหายใจเข้าลึกๆก่อนจะก้มลงหยิบเศษกระจกที่ตกอยู่แถวๆนั้นขึ้นมา ก่อนจะปามันออกไปที่อีกฝั่งของทางเดิน


เพล้ง!!!


เสียงกระจกแตกดังก้องกังวาน ผมได้แต่กลืนน้ำลายกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วินาที....ก็นี่มันครั้งแรกเลยนี่นะ ที่ผมบ้าพอจะเรียกซอมบี้เข้ามาหาด้วยตัวเอง


เงาโงนเงนโผล่มาไม่ช้าไม่เร็ว สองมือกระชับดาบมั่นและเมื่อเงานั้นโผล่พ้นมุมผนัง


ฉัวะ!!!


คมดาบก็ตัดสบั้นทั้งแขนทั้งคอของมันออกจากลำตัว


“ ยามาโมโตะ!”      โกคุเดระตะโกนอยู่ข้างหลัง ผมไม่มีเวลาจะมองอะไรได้แต่หลับหูหลับตาคว้าแขนที่ร่วงอยู่ตรงนั้นก่อนจะหันหลังออกวิ่ง


ผมได้ยินเสียงตู้ล้มลงไปตามบันไดไล่หลังมา ผสมผสานไปกับเสียงปืนที่ดังอยู่นอกหน้าต่าง....คงจะเป็นโกคุเดระที่ล้มตู้ขวางซอมบี้ไว้และเป็นสึกิชิม่ากับคาริยะที่ยิงปืนเพื่อล่อพวกซอมบี้ที่เหลือให้ยังคงอยู่ที่เดิม


“ เร็วเข้า!”     โกคุเดระตะโกนเรียก ผมก้าวขาเข้าไปในห้องพร้อมกับเสียงปิดประตูดังโครม ร่างบางๆของเขาช่วนดันโต๊ะเก้าอี้มาขวางประตูไว้อีกที


ผมนั่งลงหอบอยู่กับพื้นก่อนจะวางแขนเน่าเฟะลงอย่างพะอืดพะอม โกคุเดระหยิบผ้ามาหุ้มมันไว้ก่อนจะเอาไปแตะที่เครื่องสแกน ถึงจะเป็นมือที่ไม่มีแรงเต้นของชีพจรแล้ว แต่มันก็ยังใช้เปิดประตูได้


ครืด.....


และเมื่อบานประตูอ้าออก สิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ข้างในก็ได้แต่ทำให้ผมกับโกคุเดระนัยน์ตาเบิกกว้าง


ห้องทั้งห้องเรียบโล่งไม่มีอะไรเลยนอกจากแท่นที่อยู่ตรงกลาง สิ่งที่ตั้งอยู่บนแท่นคือหลอดแก้วขนาดยักษ์ที่รายล้อมไปด้วยแป้นคีย์บอร์ดเป็นวงกลม แค่สภาพภายในห้องก็ว่าน่าตื่นตะลึงแล้ว...แต่ไอ้ของที่อยู่ในหลอดแก้วนั่นยิ่งน่าตื่นตะลึงยิ่งกว่า....เพราะไม่ว่าจะมองจากมุมไหนมันก็คือระเบิดปรมาณูชัดๆ


“ โกคุเดระ...”     แค่จะเรียกเขาผมยังรู้สึกหมดแรง...มือบางกดรัวลงไปบนคีย์บอร์ดอย่างที่ไม่กลัวเลยสักนิดว่าจะเผลอไปกดปล่อยระเบิดเข้า


“ มันไม่ใช่ปรมาณู...แต่ไอ้นี่แหละไมโครอิเล็คตรอน RX”      นัยน์ตาสีมรกตของเขากรอกไปมาตามข้อมูลที่ฉายขึ้นอยู่บนหลอดแก้ว


“ ว่าไงนะ?! ไอ้สิ่งที่หน้าตาเหมือนระเบิดนี่น่ะหรอปืนที่ว่า?!”       ผมได้แต่อ้าปากค้าง


“ ไม่ผิดแน่....เพราะข้อมูลที่ขึ้นอยู่มีแต่เรื่องการแตกตัวเป็นโมเลกุลทั้งนั้น....”       อะไรก็ไม่รู้ละ เอาเป็นว่าถ้าเขาว่างั้นผมก็เชื่อตามนั้น เพราะยังไงเขาก็ถนัดเรื่องการใช้สมองมากกว่าผมเยอะ


ว่าแต่....พ่อของเขาหลอกอะไรพวกนักวิจัยขีปนาวุธอยู่หรือเปล่าเนี่ย?....บอกว่าจะช่วยสร้างระเบิดปรมาณู แต่ที่จริงแล้วเป็นแค่ปืนเอาไว้ฆ่าซอมบี้อย่างงั้นใช่ไหม? หน้าตามันถึงได้ออกมาลวงโลกขนาดนี้!


กึง....กึง......


เสียงกระแทกประตูข้างนอกทำเอาผมสะดุ้งโหยง ใบหน้าหันไปมองอย่างหวาดๆ ดูท่าไอ้พวกซอมบี้บางส่วนจะตามผมมาจนได้สินะ


“ ใส่แอนตี้ไวรัสลงไปเลยได้ไหม?”     ผมหันไปถามเขาพรางกระชับดาบในมือ ใบหน้าสวยยามนี้ดูเครียดจัด


“ ต้องปลดล็อครังกระสุน....แต่จะทำยังไง.....”     เสียงสุดท้ายคล้ายจะบ่นกับตัวเอง ปลายนิ้วเรียวจิ้มรัวไปบนแป้นคีย์บอร์ด ผมมองเขาอย่างเอาใจช่วยก่อนจะละใบหน้ามาที่ประตูข้างนอก ตู้เหล็กอีกหลายใบถูกผมล้มลงมาขวางประตูเอาไว้ ก่อนจะไล่ปิดไฟที่ไม่เป็นจนหมด อะไรที่ผมพอจะทำได้ก็ต้องทำไปก่อน


ผมหันไปมองหน้าใสที่บัดนี้เริ่มมีเหงื่อหยดลงมา ดูท่าว่าการปลดล็อคจะไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เสียงข้างนอกเองก็ยังคงดังกดดันอย่างต่อเนื่องและผมเองก็รู้ดีว่า อีกไม่นานประตูบานนั้นก็คงจะพังลงมา....


“ บ้าเอ้ย!”      ได้ยินโกคุเดระสบถอย่างร้อนลนเป็นครั้งแรก มือบางกระแทกคีย์บอร์ดก่อนจะพยายามถอดรหัสใหม่ มีแต่สมการทางคณิตศาสตร์วิ่งขึ้นมาเต็มไปหมด ผมเดินเข้าไปบีบไหล่เขาอย่างให้กำลังใจ


“ ต้องถอดสมการพวกนี้ให้ได้...แล้วแป้นสำหรับกดรหัสถึงจะโผล่ขึ้นมา”    เขาพูดเบาๆพรางคำนวณตัวเลขพวกนั้นแบบที่ผมเองก็ดูไม่ทัน...หมอนี่เป็นเด็กมัธยมปลายเหมือนผมหรือเปล่าเนี่ย?! ผมได้แต่ยืนมองเขาอย่างทึ่งๆ สลับกับมองสมการที่วิ่งอยู่บนหลอดแก้ว เชื่อแล้วละว่าคนที่จะปลดล็อคระเบิดปรมาณูได้จะต้องไม่ใช่คนธรรมดาๆ


ติ๊ง!


ดูเหมือนเขาจะทำสำเร็จ เสียงสัญญาณสั้นๆดังขึ้นมาก่อนที่ใบหน้าสวยจะถอนหายใจอย่างผ่อนคลาย แป้นที่มีแต่ตัวหนังสือภาษาอังกฤษโผล่ออกมาจากฐานโดยใช้เวลาไม่นาน


“ เอ๋?”      คราวนี้เป็นเสียงของผมเมื่อมองเห็นแป้นที่ว่า ก็ไอ้ที่เขาถอดสมการหน้าดำหน้าแดงอยู่เมื่อครู่นี่มันก็แค่ใช้ปลดล็อคไอ้แป้นใส่รหัสนี่เท่านั้นเองหรอ? นี่แปลว่าต้องนั่งถอดรหัสที่จะใส่ลงไปอีกหรือเปล่า? มันจะซับซ้อนสมกับที่เป็นการปล่อยระเบิดปรมาณูมากเกินไปไหม?


“ ไม่ต้องห่วง...จากนี้ไปน่าจะเป็นการวางระบบของไอ้พ่อบ้านั่นเพราะงั้น....”      โกคุเดระพูดด้วยความมั่นใจก่อนที่ปลายนิ้วจะกดลงไปบนแป้นช้าๆ เป็นคำว่า....HAYATO....


อืม...ถ้าเป็นคนอื่นนอกจากพ่อลูกคู่นี้คงไม่มีวันปลดล็อคมันได้แน่ๆ...


ครืดดด.....


“ รังกระสุนปลดล็อค....”    เสียงดิจิตอลดังขึ้นมาให้ผมสะดุ้งน้อยๆพร้อมกับแผ่นเหล็กที่ฐานของปืนเปิดออกช้าๆ ในนั้นมีช่องคล้ายลูกโม่ของปืนเพียงแต่ขนาดมันช่างพอดีกับหลอดทดลองเหลือเกิน


“ โกคุเดระ!”     ผมเรียกชื่อเขาอย่างตื่นเต้น ก็ในเมื่อสิ่งที่เหนื่อยยากทำมาทั้งหมดมันใกล้จะสำเร็จอยู่แค่เอื้อม มือบางหยิบแอนตี้ไวรัสออกมาจากอกเสื้อก่อนจะวางมันลงไปในรังกระสุน มือดันล็อคให้เข้าที่ก่อนที่แผ่นเหล็กจะปิดลงอีกครั้ง


เสียงการทำงานของระบบภายในดังขึ้นมาให้เราถอนหายใจ ใบหน้าทั้งเขาและผมดูโล่งใจจนบอกไม่ถูก


แต่แล้วเสียงดิจิตอลที่ดังตามออกมากลับฉุดกระชากความรู้สึกของเราให้จมหายลงไปในหลุมที่มืดมิดอีกครั้ง


“ กรุณาปลดล็อคลำปืน...”


ทั้งผมทั้งโกคุเดระได้แต่ยืนนิ่งค้าง.....หมายความว่าไงกัน......


“ ต้องปลดล็อคอีกชั้นนึง.....”     เสียงของโกคุเดระเบาหวิวในขณะที่พูดออกมา


โครม!!!


เสียงประตูและตู้ที่ขวางอยู่ล้มลง ไอ้พวกซอมบี้คงพังมันเข้ามาได้แล้วสินะ....ผมกับโกคุเดระได้แต่หันไปมองประตูที่ปิดซ้อนอยู่อีกชั้นด้วยสายตาที่เลื่อนลอย.....








“ เหลือกระสุนอีกแค่แถวเดียวแล้วละ...คาริยะ”      ร่างสูงของสึกิชิม่ายังคงพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม


“ อยากนอนจัง....”     ร่างที่เล็กกว่านั่งห้อยขาพรางหาวหวอดอยู่บนโครงทรัสเหล็ก


“ อีกเดี๋ยว...ก็ได้นอนแล้วน่า...”     ร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างๆกันหันหน้าไปมองท้องฟ้า


ใช่....อีกเดี๋ยว....ทุกอย่างก็กำลังจะจบแล้ว....เหมือนกับเครนที่ขยับช้าลงเรื่อยๆและอีกไม่นานมันก็คงจะหยุดหมุนลง....ที่ตรงประตูกับหน้าต่างซึ่งมีมือมากมายยื่นออกมาพอดี.....







“ ไปทางไหนต่อดีล่ะวาตะจัง...”       เสียงเนิบนาบเอ่ยออกมาจากคนที่กุมพวงมาลัยอยู่ข้างๆ


“ ขับไปกลางสนามหญ้านั่นก็แล้วกัน”     มือบางขยับแว่นจนกลายเป็นนิสัยเมื่อต้องใช้ความคิด....แต่ตอนนี้ก็คิดอะไรไม่ออกแล้วจริงๆ....


“ เมื่อไหร่จะบอกให้ขับกลับบ้านซักที ฉันยังมีรถที่ต้องต่ออยู่อีกหลายคันนะ”     ถึงจะพูดแบบนั้นแต่คาซาโนริก็ยังขับเบนซ์สปอร์ตพุ่งฝ่าฝูงซอมบี้ตรงดิ่งไปที่กลางสนามหญ้าตามคำสั่ง


“ ขับไปเถอะน่า อีกเดี๋ยวก็ได้กลับแล้ว”     ....ถ้ารถมันจะขับกลับไปถึงละก็นะ....


ดวงตาภายใต้กรอบแว่นมองไปที่สัญญาณไฟแดงเล็กๆที่หน้ารถ....สัญญาณเตือนที่กระพริบมาได้ซักพักเพื่อบอกว่า...


น้ำมันกำลังจะหมด....และรถก็กำลังจะหยุดวิ่ง.....










ติ้ด...ติ้ด....ติ้ดดดดดดด.................




เสียงสัญญาณลากยาวและทำให้สายตาทั้งหกคู่ของพวกเราจ้องมองไปที่จุดเดียว จากความหวังที่ริบหรี่เต็มทีกลับฉายวาบขึ้นมาอีกครั้งพร้อมๆกับแสงสว่างที่พุ่งออกมาจากทุกทิศทุกทางรอบปืนไมโครอิเล็คตรอน RX ที่จู่ๆหลอดแก้วซึ่งครอบมันอยู่ก็เลื่อนหายลงไปในแท่นเหลือไว้แต่ปืนรูปร่างคล้ายระเบิดปรมาณูเท่านั้นที่ยังตั้งอยู่ที่เดิม


“ กะ เกิดอะไรขึ้นน่ะโกคุเดระ?”      ผมหันไปถามเขาในขณะที่เท้าก็ยันซอมบี้ที่กำลังจะง้างปากขึ้นกัดผม รู้สึกว่าเรายังไม่ทันจะได้ปลดล็อคลำปืนเลยนี่นา


“ มะ ไม่รู้เหมือนกัน แต่ดูเหมือน...ปืนนี่จะพร้อมยิงแล้วนะ....แปลว่ามีใครสักคนปลดล็อคมันจากที่อื่น...หรือว่า!


“ พ่อของนายไง!!”    ผมตะโกนบอกเขาด้วยความดีใจ เสียงสัญญาณยังคงดังต่อเนื่อง ปุ่มสีแดงที่ใหญ่พอกับฝ่ามือถูกเลื่อนขึ้นมาบนแท่นแทนคีย์บอร์ด


“ กดเลยโกคุเดระ!!”     สิ้นเสียงของผมมือบางของเขาก็กระแทกลงไปทันที


ฝาผนังทั้งสามด้านถูกเปิดออกเช่นเดียวกับเพดานด้านบนซึ่งค่อยๆเลื่อนหายไป แล้วไม่นานแสงสว่างวาบก็ฉายไปทั่ว รังสีสีทองแผ่ขยายออกไปเป็นวงกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา


ในที่สุดก็ทำสำเร็จจนได้สินะ....


ผมหันไปยิ้มให้ใบหน้าใสที่ยังคงอยู่ในแสงสว่าง




ซอมบี้ที่ถูกไวรัสเข้าครอบงำร่างกายค่อยๆสลายกลายเป็นผุยผงเมื่อถูกรังสีนั้นพาดผ่าน


ส่วนคนที่แค่โดนกัดแต่ยังไม่ตายก็มีเพียงเชื้อไวรัสเท่านั้นที่โดนขจัดออกไป ส่วนร่างกายและลมหายใจนั้นยังคงอยู่


แอนตี้ไวรัสที่สมบูรณ์แบบ กำลังชำระล้างโลกใบนี้อีกครั้ง แล้วนำมันให้กลับมาสงบสุขดังเดิม...


.
.
.
.
.
.
.
.
.


คืนวันที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ผ่านไปโดยที่มันจะไม่มีวันหายไปจากความทรงจำของผม...


ตอนนี้ทุกอย่างเริ่มกลับเข้าสู่สภาวะปกติ ทางการกำลังเร่งฟื้นฟูเมืองขนาดหนัก ถึงแม้คนที่เหลืออยู่จะมีไม่มากนัก แต่สักวันเราคงกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนได้แน่ๆ


ไม่มีซอมบี้หลงเหลืออยู่อีกต่อไปแล้ว.....





ซะที่ไหนกันล่ะ?!




“ เฮ้...โกคุเดระ?”     ในขณะที่ผมกำลังลงมือแร่ปลาเพื่อทำอาหารเย็นให้เขากินอยู่นั้น จู่ๆก็รับรู้ได้ถึงแรงชนเบาๆที่แผ่นหลัง เมื่อหันไปก็มองเห็นกลุ่มผมสีเงินกำลังเอาหัวชนมาที่หลังของผม ก่อนที่ใบหน้าสวยจะเงยขึ้นมาช้าๆ นัยน์ตาสีมรกตนั่นมีแววอ้อนนิดๆอย่างที่ผมจะไม่ได้เห็นแน่ในสภาวะปกติ


“ เดี๋ยวสิ กำลังทำกับข้าวอยู่นะ”      ริมฝีปากนิ่มกำลังไล่งับไปตามท่อนแขนของผมช้าๆ


หึหึ.....ใครว่าซอมบี้หมดไปจากโลกนี้แล้วกันล่ะ....ในเมื่อยังเหลือซอมบี้ตัวเป็นๆอยู่ตรงนี้อีกทั้งคน!


“ ตามใจ...”      ผมวางมือจากมีดก่อนจะหันไปมองปลาตัวน้อยที่ถูกแร่ค้างไว้อย่างพอใจ...กลิ่นเลือดปลามากุโร่ก็เป็นอีกอย่างที่เขาแพ้อย่างนั้นสินะ....


ความจริงซอมบี้ในโลกนี้ยังเหลืออยู่อีกสามตัว....คาริยะ...กัปตัน...และโกคุเดระ


เพราะทั้งสามคนนี้ได้รับแอนตี้ไวรัสตัวที่ไม่สมบูรณ์และฤทธิ์มันดันแรงกว่าตัวที่สมบูรณ์ แต่ก็ช่างเถอะ เพราะผมก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรที่จะใช้ชีวิตอยู่กับเจ้าซอมบี้ที่เซ็กซี่ตัวนี้ เพียงแต่เจ้าพวกลูกครึ่งซอมบี้แต่ละคนก็จะแพ้กลิ่นเลือดที่ไม่เหมือนกัน


อย่างเจ้าคาริยะจะแพ้กลิ่นเลือดของสึกิชิม่า....


ผมก็แค่ค่อยๆหาว่าโกคุเดระแพ้กลิ่นเลือดของอะไรบ้างจะได้เก็บไว้เป็นจุดอ่อน เอ้ย! เก็บไว้เป็นข้อมูลไม่ให้เขาเข้าใกล้กลิ่นพวกนี้




ผมอุ้มเจ้าซอมบี้ไปนั่งลงที่เตียงบนชั้นสอง....ในที่สุดก็ได้เวลาเอาคืนให้สาสมกับที่เขาทรมานผมเอาไว้แล้วสินะ หึหึ...


มือปลดกระดุมเสื้อของตัวเองออก ใบหน้าสวยขยับเข้ามาใกล้ก่อนจะอ้าปากแดงระเรื่อกัดลงไปที่ลาดไหล่ของผม....เอาเลย...เชิญกัดให้พอใจ...เพราะยังไงคืนนี้นายก็ไม่รอดแน่โกคุเดระ


ผมล้วงมือเข้าไปนวดคลึงส่วนอ่อนไหวของเขาที่ยังอยู่ในกางเกง เจ้าซอมบี้ครางอื้อๆแต่ก็ยังไม่ยอมละริมฝีปากออกจากไหล่ผม สองมือค่อยๆโอบกอดเขาให้ล้มตัวลงไปบนที่นอนก่อนจะจับร่างขาวผ่องนั่นถอดเสื้อผ้าออกจนหมด


“ อะ อื้อ”      เขามองมาด้วยสายตาเว้าวอน คงคิดจะอ้อนให้ผมส่งหัวไหล่ไปให้เขางับละสิ  ได้ตามคำบัญชา...


ผมขยับลำตัวเข้าไปใกล้ให้เขากัดไหล่ผมอย่างที่ต้องการ ส่วนมือข้างหนึ่งก็วนไล้ไปทั่วท้องน้อยของเขาให้เจ้าซอมบี้กระตุกเล่น เสียงครางครือฟังดูเคลิบเคลิ้มทำให้ผมตัดสินใจจับเรียวขาขาวแยกออกจากกัน แต่ก่อนที่ได้จะสอดปลายนิ้วเข้าไปนั้น






ผลั๊วะ!!!!



ม้วนกระดาษของบทละครก็ถูกตีลงมาบนหัวผมอย่างแรงจนได้แต่หันไปมองใบหน้าสวยที่งอหงิกของเจ้ากระต่ายซึ่งยืนอยู่ข้างๆ


“ แกจะดูฉากน่าอายนี่ไปอีกกี่ร้อยรอบกันห๊ะ มาซ้อมได้แล้ว!”      เจ้ากระต่ายตัวดีกดรีโมตปิดฉากสุดท้ายของหนังที่ผมกำลังตั้งใจดูไปต่อหน้าต่อตา


“ อ๊า...โกคุเดระใจร้าย....ก็นั่นมันเป็นฉากที่ทุกคนตั้งใจรอคอยเลยไม่ใช่หรอ...แล้วนี่ก็เป็นหนังทำเงินสูงสุดในรอบปี ที่เราสองคนแสดงร่วมกันเป็นเรื่องแรกเลยนะ”    


“ หนังเฉพาะทางขนาดนี้ก็ยังอุตส่าห์ทำเงินได้ด้วยนะ ชั้นละไม่อยากจะเชื่อ”     เจ้ากระต่ายทำแก้มป่องเดินออกจากห้องนอนไป


นั่นสิ....หนังเฉพาะทางแบบนี้ไม่มีทางทำเงินเป็นอันดับหนึ่งได้แน่ ถ้าไม่ใช่เพราะคนแสดงนำคือผมกับเจ้ากระต่าย....เมื่อตอนที่มันประกาศฉายครั้งแรกเรียกเสียงฮือฮาไปทั่วทั้งเกาะญี่ปุ่น เพราะโกคุเดระ ฮายาโตะ เจ้าหญิงแห่งเสียงเปียโน ไอดอลคนดังยอมแสดงหนังโฮโมเป็นเรื่องแรก....แล้วยิ่งคนที่มาแสดงคู่กันคือผม...ยามาโมโตะ ทาเคชิ มือเบสแห่งวงร็อคชื่อดังที่ไม่เคยรับงานแสดงที่ไหนมาก่อนด้วยแล้ว....ดังเป็นพลุแตกเลยละสำหรับหนังแหวกๆเรื่องนี้


ก็นะ....ที่ผมรับแสดงเพราะเจ้ากระต่ายตัวดีนี่แหละ....เห็นบทออกมาถึงเนื้อถึงตัวขนาดนี้จะให้ใครมาแสดงแทนได้ไง


“ จะมาซ้อมได้รึยัง!!”      เสียงเจ้ากระต่ายตะโกนมาจากข้างนอกทำให้ผมได้แต่อมยิ้มแล้วก้มลงหยิบบทละครเวทีที่เขียนชื่อบนปกเอาไว้ว่า “โฉมงามกับเจ้าชายอสูร” แล้วเดินตามเขาออกไป


ก็นะ....ตอนนี้พวกผมกำลังจะขึ้นเวทีแสดงเรื่องนี้กันอยู่ละ



ใครที่ยังไม่ได้ซื้อบัตรก็รีบๆเข้านะ เพราะผมก็ไม่แน่ใจว่ามันจะหมดไปรึยัง



แล้วเจอกัน!


.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

FIN




จบแล้วววววว ยะฮู้ววววววววววว สำหรับใครที่ไม่เข้าใจตอนจบก็หาอ่านได้ในเรื่อง   Lipstick  นะก๊ะ ฮ่าๆๆๆ

จบแล้วเป็นไงบ้าง แหะแหะ ขอบคุณทุกๆคนที่ตามอ่านกันมาจนถึงตอนที่ 9 นี้นะคะ ไม่มีอะไรจะบอกนอกจากซึ้งใจมาก เวลาที่มีคนถามว่า Bios ตอนต่อไปลงหรือยังคะ =w= แบบว่าอยากจะรีบกลับมาปั่นให้มันเสร็จให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยอ่ะ ขอบคุณมากๆๆนะค้า m(_ _)m

มีข่าวแอบประกาศนิดๆ แต่ว่าตอนนี้ยังไม่เสร็จนะ แต่เรื่องที่จะลงในเล่มนี้ก็มีทั้งหมด 6 เรื่องนี่แหละค่ะ นั่นก็คือ.... รวมเล่ม รัตติกาลไม่หวนกลับ : หมายเลขสอง ค่ะ เล่มนี้ต้องขอบอกว่าทำขึ้นมาด้วยความเอาแต่ใจของตัวเองล้วนๆเลย ฮ่าๆๆ เพราะจะเห็นได้ว่าคัดเอามาเฉพาะฟิคที่ดาร์กดราม่าหนักๆแทบทั้งนั้นเลย ที่สำคัญ...ปกมีเซอร์ไพรส์แน่ค่ะ คึหึหึ...




เป็นหน้าคู่สารบัญ แต่ว่าเลขหน้าอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยนะ เพราะว่าตอนนี้ตัดสินใจจะรวม Kizuna Second Story กับ  “จะรักตลอดไป” Special Part เข้าไปด้วย

เล่มนี้อาจจะทำน้อยเพราะแม่งมีแต่ฟิคแรร์อย่างที่เห็น555 และขายทางไปรษณีย์เท่านั้นค่า


ก่อนจากไป....มีใครยังไม่เห็น 8059 เวอร์ชั่นคนแสดง(?)บ้าง *w*


สุดยอดเรียลเลยเว้ยค่า คุณอิจิคุณอิโนะ โฮกกกกกกกกกกกกกกกก นี่มันไม่ใช่แค่นักพากย์อย่างเดียวแล้ว!! กรี๊ซซซซซซ

สะบัดหัวแล้วไปปั่นเรื่องต่อไปดีกว่า เหอ....

ปล.ตอนนี้ติดอนิเมะมากมาย หนึ่งในนั้นก็คือ..... Naruto SD - Rock Lee no Seishun Full-Power Ninden….


อ๊ากกกกก เนจิน่ารักมว๊ากกกกกกก เนจิมันให้ความรู้สึกเหมือนซึระยังไงไม่รู้ แบบว่าเป็นคุณชายดูดีที่เก่งสารพัด แต่ส่วนใหญ่จะถูกลากไปทำอะไรที่รั่วไม่สมกับหน้าตาอ่ะ น่าร้ากกกกกก ในเรื่องจะมีฉากที่เนจิพูดว่า “นี่ฉันกำลังทำอะไอยู่เนี่ย?” เยอะสุดๆ แต่ก็ยังอุตส่าห์ให้ความร่วมมือด้วยใบหน้ายิ้มแย้มซะขนาดนั้นนะพ่อคุณ 555

9 ความคิดเห็น:

  1. อึ้ง !!! ค่ะ ในหลาย ๆ ความหมาย
    เดี๋ยวนะนี่เค้าอ่านเรื่องอะไรอยู่ ตอนแรกเห็นคำว่าเจ้ากระตายแอบคิดไปถึง กระต่ายอลิส
    อ๊ากกกกก พี่กวาง (ถ้าอยู่ใกล้ ๆ อยากจะเข้าไปเขย่าแรง ๆ สักหลาย ๆ ที)
    ไม่ใช่อะไร แต่ทำไมไม่ปล่อยให้ยามะมันดูฉากนั้นจนจบหล่ะคะ ฮ่าๆๆๆๆ
    อ่านตอนนี้แล้วตื่นเต้นดีจริง ๆ ชอบมาก ๆ เลยค่ะ
    โดยเฉพาะฉากบนเครน (เริ่มเข้าใจในภาพประกอบ)

    ตอบลบ
  2. คุ คุ ดีนะที่อยู่ไกล ไม่งั้นอาจจะคอหลุดจากบ่าได้นะเราเนี่ย เหอเหอ

    ขอบคุณค่าบารินนี่ซัง >w<

    ตอนจบมัน feat.ฟิคเรื่อง Lipstick น่ะก๊ะ เรื่องนั้นก็ใช้คำแทนตัวก๊กว่าเจ้ากระต่ายเหมือนกัน *w*

    ตอบลบ
  3. ไม่ได้ติดตามมานานกลับมาอ่านตอนต่อแล้วถึงกับกรี๊ดเลยค่ะคุณกวาง
    อ่าน2ตอนติดแล้วตื่นเต้นมากกกกก ลุ้นสุดๆเลยยยยยยยย

    เค้าอยากดูตอนจบอ้ะ อยาดูๆๆ*งอแง*//โดนตบกระเด็น5555555
    ไม่มีบีไฮน์เดอซีนหรอค้าาาาาา ฮะฮะ

    จำไม่ได้ว่าอ่านลิปสติกไปถึงไหนแล้วสงสัยต้องตามกลับไปอ่านโดยด่วนค่ะ

    ปล.คุณกวางอย่าลืมฟิคตัวประกอบนะค้า*ไซโค*

    ตอบลบ
  4. เฮือก!! กะว่าจะเนียนๆลืมสองคู่ออรินั่นซักหน่อย ดันมีคนจำได้มาทวงอีกแน่ะ

    ขอบคุณค่าพีเคซัง เพื่อพีเคซัง เดี๋ยวเค้าจัดให้ ฮี่ๆ

    ตอบลบ
  5. แอร๊ยยย เค้าจะรออออ

    ตอบลบ
  6. อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
    ตอนจบนี่มันอะร๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
    //สกรีมกรีดร้องกรี๊ดกร๊าดดังไปสามบ้านแปดบ้าน = ='
    ฮือออออออออออออออออ ไอ้เรารึอุตส่าห์นั่งลุ้น
    นั่งหน้าหงาย ขนลุกตามแต่ละตอนที่ซอมบี้โผล่
    สุดท้าย .. ดันเป็นแค่การถ่ายละครของไอดอลสุดสวย (?) กับมือเบสเจอมเนียนเนี่ยนะ !!?
    What da fffffffffffffff !!!!!!!!!!!!! =[]=^^^
    แง้ !!!!!!!!!!!!! เอาฝันสวยหรูของหนูคืนม๊าาาาาาาาา
    ตอนจบนี่ก็แบบ .. อุตส่าห์อยากให้ยามะกดก๊กแบบจริงๆ จังๆ ซักหน่อย
    ก็ดันตัดฉับๆๆๆๆ ไปซะได้ ฮือออออออออออออออ
    (เสียใจอย่างสุดพลังที่อดอ่านฉากนั้น T^T)
    ปล. อีกนิดที่อยากบอก คือๆๆๆๆ
    เก๊าอยากอ่านตอนพิเศษของ สึกิชิม่า x คาริมะ อ่าาาาาา อั๊ยยย -/-
    ดูคู่นี้แล้วฟินแปลกๆ ช๊อบชอบบบบบบ 55555555555555
    //ถ้ามีตอนพิเศษคู่นี้จริงๆ หนูจะฟินมากมายเลยล่ะค่ะ อุฮิ ♥

    ตอบลบ
  7. คือ....เค้ามาแล้ว~~ (โดนโบก จะบอกเพื่อ(?) 5555)
    เอาใหม่ คือ เค้าจะบอกว่า ฟิคเรื่องนี้มัน......โคตรบุพการีโดนใจ!!!!!!!!!!!!!!!!
    แม่เจ้าาาาาา ฉันไปเสียเวลาทำอะไรอยู่ถึงไม่มาอ่านนะหืออออออ O [ ] O (<< _ <
    เค้าชอบคาริยะเป็นพิเศษ(?)มากมาย คืออะไรหลายๆอย่างมันให้ความรู้สึก….ทำไมมันเหมือนชีวิตตูจังเว๊
    ไอ้การโดนบอกว่า “เฮ้ย ตื่น” เนี่ย…โดนทั้งชีวิต 555555 - _ - (คนมันง่วงทำไมไม่เข้าใจกันนะหืออ)
    แล้วแบบเหมือนจะเป็นแค่เพื่อนสนิทที่ตัวติดกันเพราะอะไรหลายๆอย่าง คนนึงร่าเริงตามสไตล์ คนนึงขี้เซาเอาแต่นอน
    เค้าชอบฉากที่สึกิชิม่าดันหัวให้คาริยะที่เอาแต่สัปหงกให้ลงไปนอนดีๆที่ท่อนขามากกกกก > ___ <
    แล้วยิ่งพอมารู้ว่าสึกิชิม่านี่ไม่ได้รู้ตัวเองเลยว่าคาดสายตาจากคาริยะไม่ได้เท่านั้นล่ะ โฮกกกกกกกกกกกกกกกก
    ทำไมไอ้คู่ออริมันถึงได้แอคแทคขนาดเน้~~~
    ส่วนอีกคู่ กัปตันวาตะจังถูกปู(?)มาให้เป็นบุคคลที่ชอบโดนแกล้ง(?) ไม่รู้ว่าถูกปูมาแบบนี้หรือเปล่า
    อะไรหลายๆอย่างเลยทำให้เรารู้สึกกลัวว่าวาตะจังจะถูกลากเข้าดง(?)อยู่บ่อยครั้งมากมาย 55555
    แล้ววาตะจังก็กลายเป็นตัวละครที่ชอบไปพร้อมๆกับไอ้บุคคลที่มันมาเนียนๆ ไอ้บุคคลที่มันดูเหมือนมันจะไม่เด่น(?)
    ไอ้บุคคคที่ดูจะกระเซอะกระเซิง(?)หน้าตาหมองคล้ำไม่ต่างกับซอมบี้(?)
    ไอ้บุคคลที่ดูมันไม่น่าจะสนใจอะไรนอกจากเครื่องยนต์……
    แต่ไอ้การที่มันมาเปิดเผยตอนท้ายว่ามันสโตรกเกอร์วาตะจังผู้แสนจะจริงจังตลอดเวลาซะเนียนด้วยรถบังคับติดกล้องนั่น
    โคตะระโฮกฮากกกกก นี่มันอาร๊ายยยยยยย > ___ <
    หลายๆฉากของคู่ออริเลยค่ะที่มันก๊าวใจ เอาจริงๆก็ก๊าวใจมันทุกฉากอ่ะ !!!!
    ทั้งฉากที่สึกิชิม่าขอยอมตายไปพร้อมๆกับคาริยะที่โดนซอมบี้กัด ไหนจะวาตะจังทั้งๆที่โดนกัดแล้วแต่ยังสู้สุดใจเพียงเพราะต้องการจะปกป้องคาซาโนริที่สลบไป
    T __ T ฟิคกวางซามะสุดยอดเสมอ ขนาดคู่ออริเรายังบ้า(?)ขนาดนี้ ฮือออออ


    กลับมา (กลับมาอะไรของหล่อนนนน หล่อนออกทะเลไปนอกโลกแล้วววววนะนั่น 5555) กลับมาค่ะกลับมา
    กลับมาพูดถึงยามะก๊กที่เป็นpointสำคัญก่อนนน > _ < คอนเซปเรื่องนี้เป็นอะไรที่แบบ
    กระแทกกลางใจนอนตายฟินาเล่มากๆ ถึงแม้ว่าตามหลักการ(?)มันไม่น่าเป็นเรื่องที่จะมีวี่แวว(?)โผล่ออกมาให้หวานฉ่ำอะไรกันในยามซอมบี้บุกแบบนี้เลยก็เถอะ แต่กวางซามะทำได้ บันซายยยยย 555555
    แต่!!!! คอนเฟิร์ม!!!! แค่ได้มองก็ตกหลุมรักได้ค่ะ!!!!! ชีวิตรักคนบ้าแบบเรามักเป็นอารมณ์ อยากมองเธอเท่านั้นเอง(?)ตลอด(?)เบย T _ T (จะไปบอกเค้าเพื่ออะไรคะคุณ 5555 ปล่อยคนบ้าไปค่ะ)
    อาจจะด้วยความที่เราเป็นเมนหนูก๊ก(?) พอเจอฟีลยามะชอบก๊กก่อนแบบนี้ยิ่งบ้าค่ะ คือมันคู่ควร(?)ที่จะเป็นแบบนั้น(?) 5555

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ฟิคนี้เป็นแนวมุมมองของฝั่งยามะ แต่แค่มุมมองฝั่งยามะก็ฟินแล้วค่ะ ฟินโฮกกกกกกกกกกกกกกกก
      ก๊กสวยมากกกกกกก น่าทะนุถนอมมากกกก และน่ากดโฮกกกกกกกกกกกกกกกกกก
      ไม่แปลกถ้าจะเอาแต่ถูกตะล่อมจากตาเนียนโดยอาศัยสถานการณ์ตายเอาดาบหน้า(?)ฝ่าซอมบี้อีกแบบนั้น
      (เป็นตู ตูก็ทำ……ห่ะ!! 55555)
      แต่ยามะจริงจังปกป้องหนูก๊กด้วยทั้งชีวิตที่มีแบบนี้สื่อไม่ถึงก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้วววเนอะ > __ <
      แล้วด้วยความที่มันเป็นฟิคซอมบี้เลือดสาด ฟาดกันหัวเบะ ฟัดชิ้นส่วนกระเด็นกระจัดกระจุย(?)
      อดคิดไม่ได้ว่าตาเนียนหื่นจะเนียนกดก๊กเอาตอนไหน แต่แม่เจ้า(?)!!!!!!! สถานการณ์แบบนี้พ่อคุณสามารถค่ะ!!!!!
      สารภาพว่าลงไปกลิ้งม้วนที่เตียงด้วยความฟิน > __ < คือถ้าหนูก๊กเป็นซอมบี้ที่เซะซี่(?)ยั่วยวนได้ขนาดเน้~~~!!!
      ก็พอดีเอาแต่อ่านวน(?)จนมาเม้นท์ช้าแบบนี้ล่ะค่ะ > ____ <
      สารภาพว่าเค้าเอาแค่ อ่าน-วน-ฉาก-หื่น(?) หลายรอบโคตรรรรรร 55555
      ไอ้อาการซอมบี้กำเริบ กำเริบโดยการอยากกัด กัดยามะ แถมขยายความการกัดที่ว่านั่นคือการกัดแบบ “งับ”
      งับไปทั่ว!!!!!!!!! งับไปทั่ววววววแบบนี้นี่มันอะไรค๊า!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
      ตายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย ตายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
      ตายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยอย่างเดียว > [ ] <
      คือ ถ้ากวางซามะจะสามารถทำให้ซอมบี้ก๊าวใจได้ขนาดนี้ ฮืออออออ(พับเพียบ(?)กอดขากวางซามะแนบแน่น(?)เป็นการชาบู(?))
      ยิ่งตอนที่ไปช่วยหนูก๊กที่ห้องวิจัย แล้วทูนหัวของพ่อเนียน
      (บอกตรงๆว่าเค้ากรี๊ดคำนี้มากๆๆๆเลยค่ะ > __ < โอ้ยยยย ยามะ อย่ามาเรียกให้แอคแทคขนาดเน้ได้ม้ายยย)
      อาการกำเริบนี่ตบเข่าฉาด(?) คือถ้าฟิคแนวไบโอจะพาไปฮัดช่า(?)อิอั๊งฮะฮิ้งฮุ้งฮิ้ง(นี่หล่อนอยู่เผ่าไหน)ขนาดนี้ละก็นะ
      กวางซามะรวมเล่มมินิ(?)เถอะค่ะ T ___ T เค้าจะเอาไว้อ่านก่อนนอน(?)สลับกับเล่มรัตติกาลฯ
      (รู้สึกจะไม่ใช่ประเด็นของการคอมเม้นท์ฟิคเลยแม้แต่น้อย 555555)
      รู้สึกผิดที่เค้ามาคอมเม้นท์เอารวมๆที่ตอนสุดท้ายแบบนี้ ต้องโทษที่มัวแต่ไปอ่านวน(?)เลยพาจะทำให้ตาจะเจ็บอีกแล้ว
      แต่ว่าเค้าชอบฟิคเรื่องนี้จริงจังนะคะ คือรู้ตัวเลยว่าถ้าเค้าอ่านในช่วงที่กวางซามะยังแต่งไม่จบ
      คงต้องลงแดงกันไปข้าง(?) คือมันตื่นเต้นทุกชอตเลย ฉากแม่ของคาริยะก็สะเทือนสุดๆเลยค่ะ ตอนนั้นพาลคิดถึงพ่อยามะอยู่ตลอด
      แต่ไม่รู้ทำไมถึงคิดว่ายังไงพ่อยามะก็จะต้องเอาตัวรอดได้ หรือเพราะฟีลหน้าพ่อกับลูกมันเหมือนกัน(?) (เกี่ยวอะไรกับหน้าว่ะนั่น 5555)
      และก็ดีใจที่พ่อยามะรอด T^T ที่เขียนฝากข้อความไว้นั่นก็เท่โฮกอ่ะ ชอบจริงชอบจัง
      ฟิคเรื่องนี้ยิ่งอ่านยิ่งมันส์ คือมันอยากรู้ตลอดว่า ก้าวต่อไปจะเจออะไร แล้วท้ายที่สุดแล้วจะสามารถทำภารกิจสำเร็จมั้ย
      ทุกอย่างลงตัวมากจริงจัง ไม่ว่าจะเรื่องของตัวร้ายที่ลงเอยอย่างไร หรือจะความลับของหนูก๊กที่ทำไมต้องฉีดยาแบบนั้น แล้วยังจะเป็นยาแอนตี้ไวรัสพอดีอีก ไหนจะพ่อหนูก๊กที่รู้ความลับของเบื้องหลังของการมีซอมบี้เละๆมาเดินหง่อกแหง่ก(?)กันให้ทั่วเมือง แล้วท้ายที่สุดแล้วไปจบลงที่เรื่องนี้กลายเป็นการแสดงของคู่รักในเรื่อง Lipstick !!!!!!! แม่เจ้าาาา!!!!! และเพราะแบบนั้นอิคนบ้าคนนี้ก็ต้องตามไปอ่านลิปสติคก่อนที่จะถึงคิวท่านท่อนขา 5555555 (คาดว่าคงจะได้อวยพรให้ท่านท่อนขาไม่เกินเดือนหน้า(?)…..อะไรมันจะต้องใช้เวลานานขนาดนั้นกันละหือออ!!!!) และสุดท้ายก็ทำให้วางมือจากไอพอตง่อกง่อย(?)น้อยๆของเราไม่ได้เลยค่ะ อ่านจนลืมหิวข้าว!!!!

      ปล. ซอมบี้ก๊กก๊าวใจจริงจังนะคะ ฮืออออ อ่านวน!!!! > __ < ชอบบบบบบบบบจริงจัง
      ปล.อีกรอบ คาริยะอาการซอมบี้กำเริบเพราะกลิ่นเลือดสึกิชิม่าาาาา …..นี่ตาเนียน นายน่าลองเลือดนายบ้างนะ(?) ถ้ามันได้ผล ซอมบี้น้อยคง..........$#$#@$@%#@$@#!!!!!!!
      (ลงวันที่พิมพ์ไว้ในword(?)เสร็จเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2014 เวลา ตีหนึ่ง เก้านาทีโดยประมาณ)

      ลบ
  8. ไม่ระบุชื่อ20 กรกฎาคม 2557 เวลา 07:56

    ระทึกกันจนตอนสุดท้ายจริงๆ
    ฉากเครนหมุนๆและซอมบี้ที่โผล่จากตึกทำเอาหายใจไม่ทั่วท้อง
    ทั้งกลัวบรรดาผู้รอดชีวิตจะตกลงไปไหนจะกลัวซอมบี้อีก
    บรื๋ออออออ
    แต่คุณพ่อของก๊กนี่ไม่ธรรมดาสุดๆ
    หลอกล่อให้กองขีปนาวุธทำของดีๆให้
    แถมยังปลดล๊อคจากระยะไกลได้อีก
    พระเอกเงามากค่ะ
    ถ้าไม่มีท่านพ่อ
    ต่อให้ยามะกับก๊กแกร่งแค่ไหนก็ไม่ไหวอ่ะงานนี้

    นี่เลือดปลามาคุโร่ก็กระตุ้นต่อมซอมบี้เรอะ
    ยามะรวบรวมข้อมูลมาดีจริงๆ
    กะโกยเต็มที่
    แต่ที่เงิบก็คือตอนจบแหละค่ะ
    หักมุมสุดๆ
    ไม่คิดว่านี่จะเป็นภาพยนตร์ที่ทั้งสองร่วมแสดง
    สงสัยคงได้ไปตามอ่าน Lipstick แล้วล่ะค่ะ
    ขอบคุณค่ะสำหรับฟิคสนุกๆตื่นเต้นเซ็ดซี่เร้าใจเรื่องนี้

    ตอบลบ