KHR Au S.Fic HBD.Yama [8059] -- BiOS : 08 --


KHR Au S.Fic HBD.Yama [8059]  -- BiOS : 08 --

: KHR AU Fanfiction
: 8059
: Action  Horrors
: NC-17

คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ






เคร้ง........


น้ำลายฝืดเหนียวถูกกลืนลงคอ ก่อนที่ผมจะค่อยๆหันหน้ากลับไปมองข้างหลังช้าๆ....เพื่อให้เห็นเต็มตาว่าสิ่งที่เป็นต้นเสียงนั้นคือ....




ดาบ....ที่ผมใช้มันมาหลายต่อหลายวันนั่นเอง


ถึงกับถอนหายใจอย่างโล่งอก เป็นเพราะต้องอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ไม่ว่าเสียงอะไรจึงทำให้ตกใจได้เกือบหมด....ผมย่อตัวลงไปหยิบดาบโดยที่ในอ้อมแขนก็ยังมีเจ้าซอมบี้หลับปุ๋ยอยู่....เห็นใบหน้าที่หลับพริ้มสบายใจแล้วมันนึกหมั่นเขี้ยวขึ้นมาตะหงิดๆ


ผมก้าวขาลงไปตามขั้นบันไดอย่างรวดเร็ว...จริงๆต้องบอกว่าผมไม่รู้หรอกว่าทางไหนคือทางไหน เพราะผมไม่เคยมาที่นี่มาก่อน แต่เท่าที่ได้ฟังพ่อของโกคุเดระบอก...ว่าโรงรถมันจะอยู่ข้างล่างที่ด้านหลัง เพราะงั้นตอนนี้ผมจึงทำได้แค่ตั้งหน้าตั้งตาวิ่งลงมาให้ถึงชั้นล่างก่อนก็แล้วกัน


ตึกๆๆๆ


เสียงฝีเท้าหลายคู่ดังเข้าหูมาทำให้ขาที่ตั้งใจจะก้าวออกไปจากมุมบันไดต้องหยุดชะงัก สายตามองตรงไปที่ประตูหนีไฟซึ่งเปิดอ้าอยู่อย่างนึกเจ็บใจ  แค่ข้ามทางเดินนี่ไปได้ ก็จะออกนอกตัวตึกได้อยู่แล้วแท้ๆ


ผมจำต้องย่อตัวหลบเข้าไปอยู่ที่ใต้บันไดซึ่งมืดพอสมควรก่อนจะจ้องขาที่ก้าวผ่านไปมาเขม็ง....เมื่อไหร่พวกนี้จะวิ่งไปให้หมดซะที


“ ทำไมเราต้องมาวิ่งวุ่นเพราะไอ้เด็กไม่กี่คนด้วยเนี่ย?”       บทสนทนาผ่านเข้ามาในหูของผม


“ ก็ถ้ามันไม่เอาแอนตี้ไวรัสไปด้วย คุณทาเคดะคงไม่สั่งให้พลิกแผ่นดินหาขนาดนี้หรอก...แล้วก็นะ เวลาคนคนนั้นโกรธขึ้นมา ใครจะไปกล้าขัด”     ขาสองคู่วิ่งหายไปแล้ว แต่ผมก็ยังคงได้แต่นิ่งคิด


แปลว่าพวกนั้นรู้แล้ว....ว่าเขาไปขโมยเอาแอนตี้ไวรัสมา.....ไม่ได้การละ....ถ้าไม่รีบออกไปจากที่นี่มีหวังโดนจับตัวได้ก่อนแน่ๆ


“ อืม...”       แต่ก่อนที่ผมจะอุ้มโกคุเดระขึ้นอีกครั้ง เสียงงึมงำก็ดังขึ้นมาจากคนที่หลับมาตลอดทาง


“ โกคุเดระ?   ตื่นแล้วหรอ?”        ผมกระซิบถามเขาที่ใบหู ใบหน้าสวยที่อยู่ตรงปลายคางของผมหันไปหันมาและเมื่อเงยหน้าขึ้นมามองผม หน้าใสนั่นก็ถึงกับแดงแจ๋....คงจะจำได้สินะ...ว่าเมื่อไม่นานมานี้ เขาทำอะไรเอาไว้กับผมบ้าง


“ ระ เราต้องรีบออกไปจากที่นี่...ใช่ไหม?”     เขายังคงเสหน้าไปมองอย่างอื่นโดยไม่ยอมมองหน้าผมเวลาพูด....นี่ถ้าไม่ติดว่ารีบจริงๆละก็นะ.....


“ นายเดินไหวไหม?”


“ อืม”


“ ฉันนัดเจอกับสี่คนนั้นที่โรงจอดรถ นายพอรู้ไหมว่าไปทางไหน?”       เขาพยักหน้าแทนคำตอบก่อนเราสองคนจะค่อยๆคลานออกมาจากใต้บันได   สองแขนของเขากอดกล่องใส่ยาเอาไว้ ส่วนสองมือของผมจับดาบเพื่อปกป้องเขาอีกที


ในที่สุดขาของผมก็ก้าวออกมาจากตึกจนได้ ทั้งๆที่เป็นยามบ่ายแต่แสงแดดกลับไม่ได้เจิดจ้าอย่างที่คิด และเมื่อผมเงยหน้ามองท้องฟ้าก็ถึงกับต้องอ้าปากค้าง....ที่มันไม่สว่างเพราะว่าตอนนี้ผมโผล่ออกมายังลานสนามหญ้าที่ล้อมรอบเอาไว้ด้วยตึกสูงทั้งสี่ด้านเลยน่ะสิ....ก็ที่นี่มันสถาบันวิจัยนี่นะ จะมีตึกมากกว่าตึกเดียวก็ไม่เห็นแปลก......


นี่ดีนะที่โกคุเดระตื่นขึ้นมาพอดี...ไม่งั้นผมจะต้องไปทางไหนต่อ คงไม่มีทางรู้เลยแน่ๆ


“ ทางนี้”      เขาเรียกให้ผมวิ่งตามไป เราวิ่งตัดผ่านสนามหญ้าเพื่อมุ่งหน้าไปยังตึกฝั่งตรงข้าม


“ ต้องวิ่งทะลุตึกเก็บตัวอย่างการทดลองข้างหน้าไป แล้วก็จะถึงโรงจอดรถ”      โกคุเดระพูดออกมาพร้อมกับเสียงหอบน้อยๆ ถึงจะเพิ่งวิ่งได้ไม่เท่าไหร่ แต่คนที่ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงแบบเขามันก็คงจะเกินกำลัง


ปัง!!!


จู่ๆเสียงปืนก็ดังขึ้นมาพร้อมกับหญ้าบนพื้นที่อยู่ด้านหน้าของเราฉีกกระจุยกระจาย ทั้งผมทั้งเขาต่างชะงักเท้าพร้อมกับสันหลังที่เย็นวาบ


“ หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ...ถ้ายอมเป็นเด็กดี ส่งแอนตี้ไวรัสมา...หัวพวกเธอก็จะไม่กระจุยเหมือนหญ้าพวกนั้น”       น้ำเสียงที่จำได้ดีทำให้ผมถึงกับกัดฟันกรอด....เงยหน้ามองทางเข้าตึกที่อยู่ไม่ไกลแล้วก็นึกเจ็บใจ...อีกแค่นิดเดียวก็จะเข้าไปได้แล้วแท้ๆ


“ ส่งมันมาสิ ฮายาโตะคุง”       เจ้าทาเคดะยังคงพูดเสียงเย็นอยู่เบื้องหลัง ผมหันกลับไปมองหมอนั่นแล้วก็พบว่ามันยืนอยู่ที่หน้าต่างบนชั้นสอง


มันคงไม่มีทางตามผมทันแน่....ถ้าแค่มันจะไม่มีปืนอยู่ในมือ


ในขณะที่สมองกำลังครุ่นคิดว่าจะทำยังดี โกคุเดระก็กระซิบให้ได้ยินเบาๆแค่เราสองคน


“ พอฉันบอกให้วิ่ง ก็วิ่งตรงไปที่ทางเข้าเลยนะ...เข้าใจไหม?”      ผมพยักหน้าน้อยๆรับทั้งๆที่สายตายังจับจ้องอยู่ที่ทาเคดะ....โกคุเดระคงจะมีแผนอะไรสักอย่างสินะ  เขายืนเยื้องอยู่ข้างหลัง ทำให้ผมไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่


“ ถ้าอยากได้ก็เอาไปสิ!”       แล้วอยู่ๆเขาก็ตะโกนบอกออกไปแบบนั้น เล่นเอาผมทำหน้าเหว๋อขึ้นมาทันที แถมไม่ใช่แค่พูดอย่างเดียว กล่องยาที่เคยอยู่ในอ้อมแขนของเขาตอนนี้มันก็กำลังลอยหวือขึ้นไปในอากาศจนผมได้แต่ใจหายวาบ เจ้าทาเคดะเองก็เช่นกัน หมอนั่นกระวีกระวาดพยายามตะเกียกตะกายจะมาคว้าไปให้ได้ แต่เพราะอยู่ชั้นสองเลยไม่ง่ายอย่างที่คิด ได้ยินเสียงโวยวายดังออกมาแล้วในที่สุดพวกนั้นก็วิ่งหายไปจากระเบียงตรงนั้นและยอมละสายตาจากพวกผมจนได้


จริงสิ....ผมยังไม่มีเวลาพอที่จะเล่าแผนการทั้งหมดให้โกคุเดระฟังนี่นะ....เขาก็เลยอาจจะยังไม่รู้ว่าไอ้ของในกล่องนั่นมันสำคัญแค่ไหน


ตายๆๆๆๆ


“ วิ่งเร็ว!”       ในขณะที่ผมกำลังจะเป็นบ้าเพราะแผนการพังทลายไปต่อหน้าต่อตา มือเล็กของเขาก็คว้าแขนผมให้ออกวิ่ง


“ ปิดประตู!”     ผมได้แต่ทำตามคำสั่งเขาด้วยสติที่เลื่อนลอย....แล้วทีนี้จะมีหน้าไปหาอีกสี่คนที่เหลือได้ไงล่ะ แน่นอนว่าผมเข้าหน้าพ่อเขาไม่ติดแล้วด้วยตอนนี้


โธ่ที่รัก....จะทำอะไรทำไมไม่ปรึกษาว่าที่สามีคนนี้บ้าง....


ผมนึกอยากจะร้องไห้ขึ้นมาทันที


“ อย่ามัวแต่โอ้เอ้สิ ไปกันได้แล้ว”       เขาพูดเสียงห้วนก่อนจะก้าวขาเดินไปตามทางเดินที่มีเพียงแสงไฟสลัวๆ ผมได้แต่เดินคอตกตามเขาไป...ใจจริงก็อยากจะกระชากตัวบางๆนั่นมาตะคอกใส่ว่าทำอะไรลงไปให้สมกับความดาร์กที่ผมมี แต่อีกใจก็คิดว่าใครจะกล้าหือกับเขากันล่ะ


“ เอาเถอะ...ยังไงซะถ้านายยังอยู่ พ่อนายคงหาทางทำอะไรได้บ้างแหละ”      ผมบ่นงึมงำกับตัวเอง นัยน์ตาสีมรกตได้แต่หันมามองผมด้วยใบหน้าสงสัย


“ อะไรของนะ อ๊ะ?!”    แต่ทว่า...เขาก็พูดออกมาได้แค่นั้น เมื่อมือของผมคว้าตัวของเขากระชากเข้ามากระแทกกับแผงอกของผมอย่างแรง


เปล่านะ....ผมไม่ได้ทำเพราะจะดุด่าว่ากล่าวอะไรเขา แต่ที่ต้องกระชากเขาเข้ามานั่นก็เพราะว่า….


ฉั๊วะ!!!   


ดาบในมือตวัดเฉียดใบหน้าสวยจนเขาได้แต่นิ่งค้าง ก่อนที่ประกายวาววับจะสับลงไปที่คอของใครอีกคนจนในที่สุดมันก็ขาดกระเด็น เส้นเลือดที่ขาดออกจากกันทำให้เลือดพุ่งออกไปเป็นสาย ร่างกายที่ไร้หัวได้แต่ค่อยๆล้มพับลงไป...


ไม่ใช่....ผมไม่ได้โหดร้ายขนาดจะฆ่าคนเป็นๆได้


ทั้งผมทั้งโกคุเดระต่างมองร่างไร้วิญญาณตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่ชาวาบ


เพราะสิ่งที่ผมเพิ่งตัดหัวมันไปนั้นไม่ใช่มนุษย์.....


แต่เป็นซอมบี้!!


“ มะ มันเข้ามาในนี้ได้ไง?”       โกคุเดระพูดออกมาอย่างที่ยังคงไม่อยากจะเชื่อสายตา...นั่นก็เพราะว่าที่นี่คือ “ปราการเหล็ก” ซึ่งก็เห็นได้ชัดตอนก่อนที่พวกผมจะเข้ามายังสถาบันวิจัยแห่งนี้ได้นั้น ว่ามันยากเย็นแค่ไหน


“ โกคุเดระ....ดูให้ดีๆสิ...นั่นมัน....”       ผมชี้ไปที่เสื้อผ้าที่เจ้าศพคืนชีพนั้นสวมใส่อยู่ ทำให้นัยน์ตาสีมรกตยิ่งเบิกกว้างเข้าไปใหญ่


“ นั่นมันเสื้อกราวด์ของนักวิจัยนี่?!”      ผมได้แต่มองภาพตรงหน้าอย่างตะลึงงัน....มันเกิดอะไรขึ้นที่นี่กัน? ทำไมถึงมีซอมบี้มาเดินเพ่นพ่านอยู่ในนี้ได้? ดูจากความเข้มงวดแล้วผมคิดว่าไม่น่าจะมีทางเป็นไปได้เลยว่าจะมีใครเข้า-ออกไปจากที่นี่ได้ตั้งแต่เกิดเรื่องไวรัสระบาดขึ้นมา


กึง...กึง.......


เสียงอะไรบางอย่างที่ดังมาจากประตูที่เรียงรายอยู่ตรงหน้าทำให้ผมกับโกคุเดระเงยหน้าขึ้นไปมองทันที ประตูที่ขนาบทางเดินทั้งสองข้างอยู่กำลังสั่นไหว...ราวกับว่าคนที่อยู่ในนั้นกำลังพยายามที่จะออกมา.....


อึก....


ผมได้แต่กลืนน้ำลายฝืดๆลงคอก่อนจะหันไปมองหน้าโกคุเดระ....ยังไงซะเราก็ต้องออกไปจากที่นี่....โดยเดินผ่านไปตามทางเดินนี้!


ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม....


ถึงจะว่างั้นก็เถอะ....แต่ตอนนี้ผมกำลังหายใจไม่ทั่วท้อง เมื่อเหลือบมองไปที่ประตูห้องที่อยู่รอบๆตัว


นี่มันอะไรกันเนี่ย....?!


ทุกห้องที่เดินผ่านล้วนแล้วแต่มีอะไรบางอย่างอยู่...มันกำลังพยายามที่จะออกมา....และถ้าบานประตูห้องไหนมีกระจก....ผมก็จะเห็นได้ทันทีว่าข้างในนั้นมีสิ่งที่เรียกว่า “ซอมบี้” อยู่เต็มไปหมด


หน้าตาของพวกมันไม่ได้เละเทะเหมือนอย่างซอมบี้ที่ถูกกัดซึ่งอยู่ข้างนอกสถาบันวิจัยพวกนั้น...แต่ทุกตัวในนี้ล้วนยังมีร่างกายครบสมบูรณ์ มีเพียงใบหน้าซีดเซียวและริมฝีปากแยกเขี้ยวแสยะอยู่ตลอดเวลาเท่านั้นที่ทำให้รู้ว่าพวกนั้นไม่ใช่ “มนุษย์ปกติ”  พวกมันไม่มีสติ ไม่มีการรับรู้ ไม่มีความทรงจำ ไม่มีลมหายใจ


และทุกตัวล้วนแล้วแต่ใส่เสื้อกราวด์...


“ มีความเป็นไปได้ว่าแอนตี้ไวรัสจะถูกทดลองมาตลอด....ก่อนที่พวกเราจะมา....”       และหนูทดลองที่ถูกจับฉีดไวรัสเข้าไปเพื่อเอาไว้ทดลองแอนตี้ไวรัสก็คือนักวิจัยบางส่วนที่อยู่ที่นี่นั่นเอง แล้วอาคารแห่งนี้ก็เป็นสถานที่เก็บ “ตัวอย่างการทดลอง” เสียด้วยสิ


แค่คิดว่าใครช่างทำลงไปได้ ผมก็ถึงกับขนลุก....


กึง....กึง......


เสียงกระแทกประตูยังคงดังอยู่ตลอดเวลาที่ขาก้าวเดินผ่านไป ไม่รู้ว่าพวกนั้นทำการทดลองมามากแค่ไหน และมีคนจำนวนเท่าไหร่ที่ต้องกลายมาเป็นเหยื่อ


ผมดันหลังให้โกคุเดระมาเดินอยู่ข้างหน้า เพราะว่าผมเริ่มสังหรณ์ใจไม่ค่อยดี ก็ไอ้ช่วงเวลาแบบนี้แหละที่มักจะมีเรื่องให้หวาดเสียวอยู่ตลอด....ช่วงเวลาที่เราเดินใกล้ประตูทางออกเข้าไปเรื่อยๆแบบนี้นี่แหละ!


แอ้ด......


เอาแล้วไง....


ผมถึงกับตาเบิกโพลง...ในเมื่อเราสองคนยังก้าวไปไม่ทันจะถึงประตูดี แล้วเสียงประตูเปิดนี่จะดังขึ้นมาได้ไง?


ใบหน้าที่เริ่มมีเหงื่อเกาะค่อยๆหันไปมองข้างหลังช้าๆ ก่อนจะพบว่ามีบานประตูที่อยู่ถัดไปสองสามบานที่แง้มเปิดออก


แย่แน่ๆงานนี้....


ผมพยักหน้าให้โกคุเดระที่หันมามองเช่นกัน จากนั้นขาของเราสองคนก็เร่งสปีดวิ่งตรงดิ่งไปยังบานประตูก่อนจะพบว่า....มันล็อคอยู่!!!


แย่สุดๆไปเลยงานนี้!


โกคุเดระหันไปจิ้มรหัสอะไรบางอย่างที่เครื่องสำหรับรูดคีย์การ์ดที่ติดอยู่ข้างประตู ส่วนผมก็หันหน้ากลับไปสองมือจับดาบมั่นเพื่อเผชิญกับอะไรก็ตามที่กำลังจะออกจากประตูบานนั้นมา


มือซีดเซียวข้างหนึ่งโผล่ออกมาจากบานประตูช้าๆ ก่อนจะตามมาด้วยร่างกายที่ไม่ได้เดินด้วยวิญญาณค่อยๆขยับโซเซๆออกมา....มันไม่ได้มีแค่ตัวเดียว....แต่ยังตามออกมาอีกเป็นสิบ


“ โกคุเดระ....”        ผมครางเรียกชื่อเขาอย่างฝากความหวัง ลำพังแค่ซอมบี้สิบกว่าตัวมันไม่ใช่ปัญหาของผมหรอก แต่ทางเดินนี้ใช่ว่าจะกว้าง อีกอย่างการต่อสู้ก็จะยิ่งเกิดเสียง ยิ่งไปกระตุ้นให้ไอ้พวกที่ยังอยู่ในห้องอีกนับร้อยนั่นให้มันพยายามพังประตูออกมามากกว่าเดิม....ซึ่งถ้ามันออกมาได้หมดเมื่อไหร่.....งานนี้ผมคงต้องลาโลกไปทั้งๆที่ยังไม่ได้มีอะไรกับเขาแน่


แค่คิดก็น้ำตาจะไหลพราก...

ใครจะไปยอมกันเล่า!


ตาผมจ้องเขม็งไปยังคอหอยของพวกมัน ก่อนมือจะกระชับดาบมั่น ขาค่อยๆก้าวออกไปจากช้าๆก็ค่อยๆเร่งสปีดให้เร็วขึ้นเรื่อยๆจนฝ่าซอมบี้ที่อยู่หน้าสุดเข้าๆไปอยู่ที่ใจกลางของพวกมัน สองมือยกปลายดาบขึ้นก่อนจะเทคตวัดตัวเป็นวงกลมราวกับเป็นใจกลางของพายุที่จะตัดทำลายทุกสิ่งที่อยู่รอบๆตัวในรวดเดียว เสียงเลือดพุ่งกระฉูดกับเสียงหัวหลุดกระเด็นดังขึ้นมาพร้อมกับเสียง  “ติ้ด” ที่บานประตู


“ วิ่งเร็ว!”      โกคุเดระตะโกนบอกผม เพราะไม่ใช่แค่เขาที่ปลดล็อคประตูได้....ไอ้พวกซอมบี้ที่อยู่ในห้อง มันก็พังประตูออกมาได้เช่นกัน!


เสียงประตูเปิดออกดังไล่หลังผมมา ก่อนที่ขาจะก้าวเหยียบออกไปข้างนอกได้อย่างหวุดหวิด สองมือบางของโกคุเดระดันประตูปิดได้แบบเส้นยาแดงผ่าแปด มีมือซีดเซียวข้างหนึ่งถูกหนีบจนขาดร่วงอยู่ตรงหน้าของพวกผม หัวใจของผมเต้นรุนแรงราวกับจะหลุดออกไปกลิ้งคู่กับแขนนั่นอยู่รอมร่อ


“ ไปดันตู้นั่นมาหน่อยสิ”        โกคุเดระสั่งผมในขณะที่สองมือของเขายังคงดันบานประตูเอาไว้


“ อะ อืม”      ผมพยักหน้ารับแบบใจยังไม่อยู่กับเนื้อกับตัวดีนัก ตู้เหล็กและโต๊ะเก้าอี้ที่วางอยู่แถวๆนั้นถูกผมดันมาปิดประตูบานนั้นไว้จนหมด....เป็นความจริงที่ผมจะปล่อยให้พวกซอมบี้หลุดออกมาจากตึกหลังนั้นไม่ได้ ที่สถาบันวิจัยแห่งนี้ยังมีคนอยู่อีกเยอะ...ที่สำคัญพ่อของเขาก็ยังอยู่ที่นี่ด้วย


“ หัวใจจะวาย...”      ผมเดินเคียงข้างเขาไปยังโรงจอดรถ มือยังคงยกขึ้นมากุมหัวใจที่ค่อยๆกลับไปเต้นตามปกติ โกคุเดระก็ยังคงมีท่าทางตื่นๆอยู่เล็กน้อยเช่นกัน


จะว่าไป...ทำไมคราวนี้เขาถึงไม่มีปฏิกิริยาอะไรกับกลิ่นเลือดของพวกซอมบี้นั่น?  หรือว่าจะมีแค่กลิ่นเลือดของตัวเขาเองที่ไปกระตุ้นให้เกิดอาการกำเริบได้?


จะยังไงก็แล้วแต่ แต่ว่าตอนนี้ขอผมพิสูจน์อะไรบางอย่างสักหน่อยเถอะ


“ โกคุเดระ”      ผมเรียกเขาพร้อมกับมือเอื้อมไปจับแขนบางเอาไว้ข้างหนึ่ง


“ อ๊ะ?!”        ส่วนมืออีกข้างล้วงเข้าไปในเสื้อเชิ้ตตัวบางของเขา ก่อนจะค่อยๆลูบผิวกายเนียนจากหน้าท้องเรียบทางขวาลากไล้ไปจนถึงเอวคอดด้านซ้าย ใบหน้าใสแดงก่ำไปตามมือของผม เขาก้มหน้าลงไปดูก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองผมด้วยแววตาสงสัย ผมลากมือขึ้นมาแถวๆยอดอกจนเขาเผลอสะดุ้งโหยง สองแขนพยายามผลักตัวผมออก


“ เจอแล้ว!”       ในที่สุดผมก็เจอกับสิ่งของต้องสงสัย เพราะเมื่อตอนที่ผมกระชากตัวเขาหลบซอมบี้เมื่อกี้ มันมีอะไรบางอย่างแข็งๆซ่อนอยู่ในเสื้อของเขา


และเมื่อเอาออกมา ผมก็แทบจะไชโยโห่ร้อง


มันคือหลอดทดลองที่มีแอนตี้ไวรัสอยู่อันนั้นนั่นเอง!


“ อะ ไอ้บ้า! มันอยู่ในกระเป๋าหน้า แกจะมาล้วงเสื้อฉันทำไม?!”      โกคุเดระก้มหน้าแดงระเรื่อก่อนจะด่าออกมาชุดหนึ่ง แน่นอนว่าผมหัวเราะเนียนๆรับ เพราะยิ่งเขาด่าผมมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่าเขาเริ่มจะเชื่อใจและให้ความเป็นกันเองกับผมมากขึ้นเท่านั้น


เจ้าชายเย็นชาเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น กลายเป็นคนอารมณ์ร้อนและเอาแต่ใจเมื่ออยู่ในสายตาของผม....แบบนั้นมันก็ไม่เลวนักหรอก


“ ไปกันเถอะ...ถ้าพวกเจ้าทาเคดะรู้ว่าในกล่องนั่นไม่มีแอนตี้ไวรัส พวกมันต้องยิ่งบ้าคลั่งและตามล่าตัวเรามากกว่าเดิมแน่”       ผมหันไปบอกเขาด้วยสายตาชื่นชม เขาพยักหน้าน้อยๆก่อนจะเดินตามผมเข้าไปในโรงจอดรถ


สายตากวาดมองหาเบนซ์สปอร์ตสีขาว แล้วก็มองเห็นเงาของใครบางคนกำลังก้มๆเงยๆอยู่ที่ฝากระโปรงรถที่ถูกเปิดขึ้น......รุ่นพี่คาซาโนริ?


ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก ที่อย่างน้อยก็มีคู่หนึ่งละที่มาจนถึงที่นี่


“ ยามาโมโตะ?!”      เป็นเสียงของกัปตันที่เอ่ยทักออกมา


“ กัปตัน?! ไม่เป็นอะไรมากใช่ไหมครับ?”       ผมยังจำเสียงร้องอย่างเจ็บปวดของกัปตันได้ ดูจากท่าทางที่ยังอิดโรยก็เดาได้ว่าคงเจอมากหนักไม่ใช่น้อย


“ นี่....วาตะจัง....ชั้นบอกให้นายนั่งอยู่เฉยๆบนรถไง...ไปเดินเพ่นพ่านที่ไหนมาเนี่ย?”       เสียงยานคางดังมาจากทางหน้ารถ สงสัยว่ารุ่นพี่คาซาโนริกำลังเช็คเครื่องอยู่


“ ก็ถ้าเราจะออกไปข้างนอก มันจำเป็นต้องมีอาวุธ ดูนี่สิว่าฉันได้อะไรมาจากรถทหารนั่น”      กัปตันก็ยังคงสมที่เป็นกัปตัน ถึงจะหมดเรี่ยวหมดแรงขนาดไหนเขาก็ยังคงคิดการณ์ไกลไปล่วงหน้าและวางแผนได้อย่างเนี้ยบเสมอ  ปืนพกสองกระบอกถูกวางลงไปในรถ ตามมาด้วยเอ็มสิบหกอีกกระบอก


“ ดูเหมือน M3S ของเราก็ยังถูกทิ้งไว้อยู่ในรถนี่”      กัปตันยื่นมือไปตบกระบอกปืนลูกซองของพ่อโกคุเดระที่วางอยู่บนเบาะข้างคนขับ


“ พวกนายโอเคกันใช่ไหม?”       กัปตันถามขึ้นก่อนจะนั่งอย่างหมดแรงลงไปที่พื้นข้างประตูรถ


“ ครับ....แล้วกัปตันล่ะ?”


“ ไม่ต้องห่วง ยาที่พวกนั้นฉีดให้มันทำให้ร้าวไปทั้งตัวก็จริง แต่ดูเหมือนแอนตี้ไวรัสที่โกคุเดระคุงฉีดให้ฉันมันจะเหนือกว่านะ”      แสดงว่าพวกนั้นคงจับรุ่นพี่ฉีดแอนตี้ไวรัสที่ยังไม่สมบูรณ์พวกนั้นสินะ


“ แล้วสึกิชิม่ากับคาริยะล่ะ?”      


“ นั่นสิ....ผมเองก็ไม่ได้เจอกับพวกนั้นเลย”      ผมมองไปรอบๆกายอย่างนึกเป็นห่วง ผมเล่าเรื่องที่ผมกับโกคุเดระไปเจอมาระหว่างทางให้กัปตันฟัง ใบหน้ามนมีแววเครียดขึ้นมาทันที


“ ไม่ได้การณ์ละ...ถ้ารออยู่แบบนี้ พวกทาเคดะอาจจะมาเจอเราเข้าซะก่อนนะ”      กัปตันพูดพรางครุ่นคิด


“ ฉันมีแผน......”     และแล้วก็เป็นโกคุเดระ ที่ทำให้ผมกับกัปตันหันไปมองเป็นตาเดียว....






เสียงเบนซ์สปอร์ตสีขาวดังกระหึ่มอยู่ไม่นาน มันก็วิ่งทะยานออกไปจากโรงจอดรถ


“ เลี้ยวซ้ายตรงมุมตึกนั่น แล้วเหยียบเข้าไปเลย”     โกคุเดระนั่งบอกรุ่นพี่คาซาโนริอยู่บนกระโปรงหลังของรถข้างๆผม โดยมีกัปตันที่ยังทำหน้างงนั่งอยู่ที่เบาะข้างคนขับ จะไม่ให้งงได้ไง ในเมื่อโกคุเดระยังไม่ยอมบอกเลยว่า....แผนการที่ว่านั่น มันเป็นยังไง


“ โอ้สสสสส”      ถึงจะเป็นเสียงตอบรับ แต่ก็ยานคางจนหาความกระตือรือร้นหรือแรงปลุกใจไม่ได้ซักนิด รุ่นพี่คาซาโนริเหยียบคันเร่งออกไปตามคำบัญชาของคนที่อยู่ด้านหลัง


ทำไมเวลาผมเห็นสองคนนี้ร่วมมือกันแล้วมันต้องรู้สึกเหมือนจะมีเหงื่อหยดที่ขมับยังไงชอบกล


เอี๊ยด!!!


นั่นไง...อย่างน้อยวิธีขับรถก็เหมือนกันเปี๊ยบ....รุ่นพี่คาซาโนริหักพวงมาลัยให้รถเลี้ยวซ้ายก่อนจะพุ่งตัวออกไปจนคนที่นั่งอยู่ข้างหลังอย่างผมแทบจะปลิวตกลงไป


แล้วแค่เห็นว่าข้างหน้านั้นมีอะไรผมกับกัปตันก็ได้แต่อ้าปากค้าง....


จะอะไรได้ล่ะ ก็ไอ้สถานที่ที่โกคุเดระสั่งให้รถวิ่งตรงเข้าไปคือกลางลานสนามหญ้าที่ผมเคยวิ่งผ่านมาน่ะสิ...เพราะงั้นตอนนี้เบนซ์สปอร์ตจึงมาจอดลงอยู่ท่ามกลางตึกที่ล้อมรอบเอาไว้ทั้งสี่ด้าน!


ยัง...แค่นี่มันยังบ้าระห่ำไม่พอ....เมื่อจู่ๆเจ้าคนที่นั่งอยู่ข้างหลังรุ่นพี่คาซาโนริ ก็ยื่นตัวเข้าไปก่อนจะกระแทกฝ่ามือลงไปที่กลางพวงมาลัยแล้วกดค้างเอาไว้


ปรี๊นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน......


เสียงแตรรถลากยาวดังก้องไปทั่วทั้งสถาบันวิจัย และไม่ว่าใครต่อใครต่างก็โผล่หน้าออกมาจากตึกทั้งสี่...ไม่สิ...จะว่าไปก็น่าจะมีแค่สามด้าน....เพราะอาคารเก็บตัวอย่างมัน....ไม่น่าจะมี “คน” อยู่แล้ว


ผมได้แต่ยิ้มแห้งให้กับกัปตันที่หันมามองอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา....


เอาน่า....อย่างน้อยการกระทำอันบ้าระห่ำของเขามันก็ทำให้เราหาตัวสึกิชิม่ากับคาริยะได้ง่ายขึ้น


เพราะตอนนี้ผมมองเห็นแล้วว่าเจ้าสึกิชิม่ากำลังยื่นหน้าออกมาจากชั้นสองของตึกที่อยู่ตรงข้ามกับอาคารเก็บตัวอย่าง  บนไหล่ของหมอนั่นมีเจ้าคาริยะที่สลบสไลถูกพาดเอาไว้อยู่....เอาเป็นว่าผมไม่จินตนาการแล้วกันนะว่าสึกิชิม่าทำยังไงให้หมอนั่นหลับไปแบบนั้น


“ เฮ้!! หยุดนะเจ้าเด็กบ้า!!”       แต่แล้วเสียงที่คุ้นหูของเจ้าทาเคดะก็ดังขึ้นมาจากตึกฝั่งตรงข้าม และเมื่อผมหันไปดูจึงเพิ่งรู้ว่าหมอนั่นกำลังเข้าไปตามหาผมกับโกคุเดระอยู่ใน ….. ‘อาคารเก็บตัวอย่างการทดลอง


ผมลอบกลืนน้ำลายเมื่อนึกถึงความหมายของมัน....บางที เจ้าทาเคดะอาจจะยังไม่รู้....ว่าที่ประตูอีกฝั่งของตึก มีอะไรอยู่....


“ คาซาโนริ!”      กัปตันกระตุ้นบอกประธานชมรมต่อรถ ใบหน้าซังกะตายพยักหน้าหน่อยๆก่อนจะเหยียบคันเร่งจนมิด เบรกมือถูกดึงขึ้นพร้อมกับเท้าที่เหยียบคลัช


เอี๊ยด!!!!


รถที่กำลังพุ่งไปข้างหน้าหมุนตัวกลับทันที...นี่ก็บ้าระห่ำไม่แพ้กัน...ทำไมถึงกล้าดริฟเบนซ์สปอร์ตบนสนามหญ้าหน้าตาเฉยแบบนี้!


“ สึกิชิม่า!! โดดลงมา!!”     ผมตะโกนบอกสึกิชิม่าที่ยืนอยู่บนขอบหน้าต่างของชั้นสอง...เอาเถอะ...ผมรู้ว่าคนที่มากับรถคันนี้ก็มีความบ้าพอตัวอยู่ทุกคน


ปัง! ปัง! ปัง!


เสียงปืนดังไล่อยู่ข้างหลัง รุ่นพี่คาซาโนริเองก็หมุนพวงมาลัยให้รถส่ายไปมา


“ หนอย...แบบนี้เจอไอ้นี่หน่อย ยามาโมโตะ หลบ!”      กัปตันขยับแว่นพรางไล่ให้ผมหลบไปให้พ้นทาง


ปังๆๆๆๆๆๆๆ


เสียงปืนรัวดังติดต่อกันเมื่อกัปตันหันปากกระบอกเอ็มสิบหกเข้าใส่ไอ้พวกที่ยิงไล่เราอยู่ และดูเหมือนพวกนั้นจะวิ่งหลบกันให้จ้าละหวั่น ใครจะคิดล่ะว่านักเรียนอย่างพวกเราจะมีอาวุธสงครามแบบนั้นพกมาด้วย


ผมกอดเอวโกคุเดระเอาไว้เพื่อไม่ให้เขากลิ้งตกลงไป อีกอย่างพื้นที่ของเราก็มีจำกัด ผมเงยหน้าขึ้นมองบนตึกและกะระยะก่อนจะตะโกนบอกสึกิชิม่าที่อยู่ข้างบน


“ โดดเลย!!”       ชั่ววินาทีที่ตะโกนออกไป รุ่นพี่คาซาโนริก็เหยียบเบรกให้


ตึง!!


รถที่หยุดนิ่งรองรับสึกิชิม่าที่กระโดดลงมาได้อย่างพอดิบพอดี


เอี๊ยด!!!


แล้วเบนซ์สปอร์ตก็ออกตัวด้วยความเร็วอีกครั้ง


“ พวกแกจะไปไหน!! บอกให้หยุด!!”       ทาเคดะยังคงตะโกนออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว และก่อนที่พวกนั้นจะกระโดดข้ามขอบหน้าต่างชั้นหนึ่งออกมา เสียงอะไรบางอย่างก็ดังก้องกังวานไปทั่วสถาบันวิจัย


หว๋อ....หว๋อ......หว๋อ..........


เสียงเตือนภัยนั้นยิ่งทำให้ใบหน้าของเจ้าทาเคดะบิดเบี้ยวหนักกว่าเดิม หมอนั่นตะโกนออกมาอย่างโกรธจัด


“ ใครล่มระบบรักษาความปลอดภัย...ใคร!!...กลับไปกู้เดี๋ยวนี้!! ไปสิใครที่อยู่แถวนั้น!!”       ผมยิ้มกว้างขึ้นมาทันทีก่อนจะบอกคนที่นั่งซ้อนอยู่บนหน้าตัก


“ พ่อของนายไงโกคุเดระ...”      เขาหันหน้ามามองผมด้วยดวงตาสั่นไหว เพราะผมยังไม่ทันจะเล่าเรื่องของพ่อเขาให้ฟัง


ครืดดดด.......


หลังสัญญาณดังไม่นาน จู่ๆม้วนประตูเหล็กกล้าที่ดูหนาหนักก็ค่อยๆปิดลงมาที่หน้าต่างและประตูทุกบาน....ของอาคารเก็บตัวอย่างการทดลอง....


พวกผมทั้งหกคนได้แต่มองภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้าด้วยความตะลึงงัน....ทั้งๆที่อาคารอีกสามด้านก็ยังคงเป็นปกติ....มีแต่อาคารหลังนั้นที่กำลังจะถูกปิดตาย


ปึ้ง!!!


แผ่นเหล็กปิดลงกักขังคนและอะไรก็ตามที่อยู่ในนั้น พวกผมได้แต่ขนลุกชัน


“ เปิดสิวะ!!”        ได้ยินเสียงเจ้าทาเคดะตะโกนลอดออกมา พวกผมได้แต่มองหน้ากัน.....ครั้งนี้มันก็คงเป็นผลกรรมที่หมอนั่นควรจะได้รับเช่นกัน


ในเมื่อหมอนั่นคือคนที่สั่งให้สร้างซอมบี้จากนักวิจัยพวกนั้นขึ้นมาเอง....


“ ไปกันเถอะ”       เพราะอีกไม่นาน อาคารหลังนั้นก็จะเต็มไปด้วยเสียงร้องโหยหวนชวนหดหู่...







เบนซ์สปอร์ตสีขาววิ่งออกนอกเมือง


เพราะเขตทหารซึ่งมีหน่วยวิจัยขีปนาวุธอยู่ด้วยนั้นตั้งห่างไกลออกไปจากเขตชุมชนพอสมควร แต่ยิ่งห่างไกลมากเท่าไหร่ พวกผมก็ยิ่งวางใจได้ว่าอย่างน้อยตลอดระยะทางที่รถกำลังวิ่งไปนี้ เราจะได้มีเวลาพักกันบ้าง


“ คาริยะเป็นไงมั่ง?”        ผมหันไปถามสึกิชิม่า เนื่องด้วยคนที่ถูกพาดพิงนั้นยังหลับเป็นตาย


“ เอ่อ....หมอนี่หลับง่ายอยู่แล้วล่ะ เพราะงั้น ชะ ชั้นไม่ได้ทำอะไรเลย...”      ดูก็รู้ว่าโกหก ผมยกยิ้มมุมปากอย่างรู้ทันก่อนจะหันหน้าไปทางอื่นทำเป็นไม่สนใจ


“ ว่าแต่แอนตี้ไวรัสปลอดภัยดีใช่ไหม?”       ผมพยักหน้าและคิดว่ามันคงถึงเวลาแล้วที่ผมจะเล่าแผนการทั้งหมดให้โกคุเดระกับกัปตันฟัง


เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไปถึงหน่วยวิจัยขีปนาวุธแล้ว....จะมีอะไรรอเราอยู่....





.
.
.
.
.
.
.

To be Con.




ขออนุญาตหั่นเป็นสองตอนนะก๊ะ เพราะลงรวดเดียวกลัวจะยาวเกิน ^ ^”



2 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ10 ตุลาคม 2556 เวลา 03:09

    >w< ตื่นเต้นๆๆๆๆ เมะทั้งหลายในเรื่องนี้ไม่ใช่ย่อยเลยจริงๆ

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ20 กรกฎาคม 2557 เวลา 07:16

    ยิ่งใกล้จบเรื่องยิ่งตื่นเต้นอ่ะ
    ปริศนาของเรื่องเริ่มคลี่คลายลง
    ตึกเก็บตัวอย่างทดลองชวนสยองมากกกก
    ไม่คิดว่าจะมีซอมบี้ยั้วเยี้ยขนาดนั้น

    อะแฮ่มมมมม
    ยามะ
    ถ้าอยากรู้ว่าแอนตี้ไว้รัสอยู่ตรงไหน
    ถามเอาก็ได้
    ไม่ต้องเนียนค้นตัวขนาดนั้น

    ตอบลบ