KHR Au.fic HBD.Hayato [8059] Lipstick : 05
: KHR Fanfiction AU
: 8059
: E+Ro+man+tic [เรทเชี่ยไรของมันเนี่ย?]
: NC-17
: AU โคตรๆเลยนะคะ *w*
คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
“ คึหึหึ....แค่ชื่อเสียงคุณฉาวโฉ่ไปซักคนสองคนเนี่ย ไม่ได้ทำให้วงของเราสะเทือนหรอกนะครับ ตราบใดที่ยังมีมือกีต้าสุดหล่ออย่างผมอยู่”
“ แกจะเป็นจะตายฉันไม่สนหรอกนะ ฉันอยู่วงนี้เพื่อขย้ำไอ้บ้านั่นอย่างเดียว”
“ ฉันก็ไม่คิดว่าการที่นายจะมีคนรักมันจะเป็นเรื่องที่เลวร้ายหรอกนะยามาโมโตะ เพราะเพลงของนายช่วงหลังๆมันอบอุ่นจนฉันรู้สึกได้เลยละ”
ถึงแม้ว่าคนในวงของผมจะเคยพูดเอาไว้แบบนั้นแต่พอเอาเข้าจริง ใจก็เริ่มเต้นไม่เป็นส่ำ ผมกับเจ้ากระต่ายรีบวิ่งเข้าไปในคอนโดก่อนจะพุ่งพรวดเข้าไปในห้องทันที่ที่ลิฟท์จอดลง มือที่เปิดโทรทัศน์นั้นไม่ค่อยจะมั่นคงนัก มืออีกข้างของผมจับมือของเขาเอาไว้แน่
และถึงแม้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมาผมก็จะไม่มีวันปล่อยมือข้างนั้นไปเด็ดขาด
ผมจะเลือกเขา...มากกว่าอนาคตในวงการดนตรี....
ผมยอมรับว่าผมรักจนกลายเป็นความหลงใหล....หลงใหลไปกับความงดงามของ “ลิปสติก” ที่เคลือบบางๆอยู่บนร่างกายของเขา....มันเปลี่ยนสีไปมาจนผมไม่รู้สึกเบื่อ และหากลบมันออกไปเมื่อไหร่...ยามเมื่อความหลงใหลนั้นหายไป....เขาก็ยังมีใบหน้าใสๆให้ผมหลงรักอยู่อีก
ใบหน้าสวยก้มลงราวกับว่าไม่อยากเห็น เมื่อภาพข่าวของช่อง N นั้นฉายวาบขึ้นมา นัยน์ตาของผมจ้องมองที่หน้าจอด้วยใจเต้นระทึก
“ ยินดีต้อนรับมิสเตอร์ริชาร์ดสู่เกาะญี่ปุ่นอีกครั้งนะคะ....” แต่มันก็ไม่ได้มีภาพของผมกับเขาเลยแม้แต่เงา หรือว่าข่าวมันจะผ่านไปแล้ว? แต่ถ้าเป็นข่าวของผมกับเขา แน่ใจได้เลยว่ามันต้องไม่จบอยู่ที่การฉายเพียงครั้งเดียวแน่ๆ
“ อ๊า!!!!” แต่แล้วเสียงอุทานอย่างตื่นตระหนกของเจ้ากระต่ายก็ทำให้ผมสะดุ้งโหยง เมื่อผมหันไปมองก็เห็นเจ้ากระต่ายชี้นิ้วไปยังคนที่อยู่ในจอทีวีพร้อมด้วยปากอ้าพะงาบๆเหมือนอยากจะพูดอะไร
“ โกคุเดระ?” ผมเรียกอีกฝ่ายเบาๆด้วยความสงสัย แต่ก็ดูเหมือนเจ้ากระต่ายจะหลุดเข้าสู่โลกที่ผมไม่รู้จักไปแล้วเรียบร้อยเมื่อร่างบอบบางนั่งตัวแข็งทื่อ...ผมจึงเงี่ยหูฟังเสียงของผู้ประกาศข่าวต่อไป...รู้สึกว่า.....คนในภาพข่าวจะเป็นนักเปียโนชื่อดังระดับโลก ที่มาเยือนญี่ปุ่นแบบสายฟ้าแล่บเพื่อมาแถลงข่าวการจัดคอนเสิร์ตในช่วงหลังปีใหม่....และเขาให้สัมภาษณ์ว่า....
มีแขกรับเชิญที่อยากจะเชิญมาร่วมงานนี้ด้วยเป็นอย่างมาก......เด็กที่เขาสอนเปียโนให้มากับมือ.....
การสัมภาษณ์จบลงและภาพข่าวเปลี่ยนไปเป็นข่าวพยากรณ์อากาศตามปกติ...
แต่เจ้ากระต่ายที่นั่งอยู่ข้างๆยังมองจอโทรทัศน์ตาค้างอย่างไม่ปกติสุดๆ ผมเอื้อมมือไปเขย่าไหล่บางจนเจ้าตัวสะดุ้งโหยง
“ เป็นอะไรไป? นายรู้จักคนคนนั้นหรอ?” รู้จักแน่ๆ ผมมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์
“ หมอนั่น....คืออาจารย์ของฉันเอง....” ห๋า?....เจ้ากระต่ายนี่มีอาจารย์ชื่อดังขนาดนั้นเลยหรอเนี่ย?!....ผมตกใจจนมองเขาตาค้าง.....ก็คิดอยู่หรอกนะว่าคงไม่ได้มีเชื้อสายญี่ปุ่นล้วนๆ....แบบนี้แสดงว่าคงเคยอยู่ที่ต่างประเทศมาก่อน?.....รู้สึกแย่จัง....นี่ผมเป็นคนรักที่ไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับตัวเขาเลยหรอเนี่ย...
ผมทำท่าทางอ่อนเพลียจนคนข้างๆคงจะรู้สึกได้ นัยน์ตาสีมรกตใสแจ๋วหันมามองผมตาปริบๆ.....แต่ก็นะ....พอรู้ว่าข่าวที่ว่านั่นไม่ใช่เรื่องของเรา ผมก็รู้สึกโล่งใจราวกับยกภูเขาออกจากอก....มือจึงคว้าไปที่ลำตัวของเขาก่อนจะอุ้มเจ้ากระต่ายขึ้น
“ เล่ามาให้หมด....เรื่องของนาย...ตั้งแต่เกิดจนถึงตอนนี้ ฉันอยากรู้ทุกเรื่อง”
และแน่นอนว่าผมคงไม่นอนหนุนตักฟังเขาเล่าเรื่อง ราวกับเล่านิทานแบบนั้นหรอก...
คืนนั้น....ทุกเรื่องราวของเขาผ่านเข้ามาในหูของผมผสมผสานไปกับเสียงครางจนฟ้าใกล้สว่างเรื่องของเขาก็เล่าจบลงพอดี
โลกแห่งความเป็นจริงกลับมาอีกครั้งเมื่อเช้าวันใหม่มาถึง ผมหยิบโค้ทพาดไหล่ก่อนจะหันไปมองเจ้ากระต่ายที่ซุกตัวคลุมโปงอยู่ในผ้าห่มผืนหนาบนที่นอน มีเพียงใบหน้าท่อนบนและดวงตาเป็นประกายแวววับราวกับแม่เสือดุๆเท่านั้นที่โผล่ออกมาให้เห็น นี่ถ้าผมยื่นมือเข้าไปคงได้ยินเสียงขู่ฟ่อแหงแซะ
สงสัยจะหนักไปหน่อยแหะเมื่อคืน....
“ ฉันออกไปซ้อมนะโกคุเดระ....ถ้าลุกไหวแล้วก็อย่าลืมกินข้าวเช้าด้วยล่ะ วางไว้บนโต๊ะนะ” ผมบอกเจ้ากระต่ายก่อนจะก้มหน้าลงไปจูบที่หน้าผากใสอย่างรวดเร็วจนเล็บที่ตั้งใจจะตะปบผมวืดไปอย่างน่าเสียดาย ได้ยินเสียงฮึ่มๆอยู่ข้างหลังให้ผมอมยิ้มก่อนจะเดินออกจากห้องไป
จริงๆแล้วก็ตั้งใจจะให้นอนต่ออีกซักหน่อยอยู่หรอก แต่คุณผู้จัดการสาวน่ะสิโทรมาตั้งแต่เช้าทั้งๆที่เจ้ากระต่ายเพิ่งจะนอนไปได้ไม่กี่ชั่วโมงเอง....เรื่องที่แจ้งมาก็คือ งานเล็กๆน้อยๆในช่วงนี้ทุกอย่างถูกขอยกเลิกไปเพื่อให้เจ้ากระต่ายได้มีเวลาเตรียมตัวสำหรับงานใหญ่ที่เพิ่งเซ็นต์สัญญากันไปของทางต้นสังกัด....
งานแสดงเปียโนร่วมกับนักเปียโนระดับโลกคนนั้น
ผมจำภาพนัยน์ตาสีมรกตที่ตื่นขึ้นมาฟังอย่างงัวเงียได้ ว่ามันเป็นประกายขนาดไหนเมื่อได้ฟังเรื่องนั้น
ในฐานะที่เป็นนักดนตรีด้วยกัน ผมเข้าใจความรู้สึกของเขาดีเลยละว่ามันน่าภาคภูมิใจแค่ไหน....คิดๆไปแล้วผมก็อยากชวนเขาไปเป็นแขกรับเชิญให้วงของผมบ้างเหมือนกันนะ....ผมขับรถเข้าไปจอดในที่จอดรถของสตูดิโอก่อนจะเดินขึ้นไปยังห้องซ้อม
“ ฮี้!!! วางกีต้าลงครับคุณฮิบาริ!! นี่มันตัวที่ 10 ในรอบปีนี้แล้วนะครับ!! มุคุโร่! นายไสหัวไปนั่งสำนึกผิดตรงมุมนู้นเลยนะ!”
อ่า....แต่พอได้ยินเสียงครื้นเครงที่รอดออกมาจากหลังบานประตูนั่นแล้ว.....ผมว่าให้โกคุเดระเดี่ยวเปียโนด้วยเพลงคลาสสิกแบบนั้นต่อไปนั่นละดีแล้ว....
คืนนี้ผมกลับไวกว่าปกติ....
อย่างน้อยๆเจ้าพวกนั้นมันก็ยังมีสำนึกว่าวันนี้วันคริสต์มาสและตั้งใจซ้อมด้วยเหตุผลที่ว่า....สึนะอยากไปดูซานตาครอสยักษ์ที่ย่านชินจูกุ.....และแน่นอนว่าสองคนนั้นคงตามไปอย่างไม่ต้องสงสัย
ผมไขกุญแจเข้ามาในห้องที่เงียบเชียบและมืดสนิท....เจ้ากระต่ายตัวดีไปอยู่เสียที่ไหนกัน? เท่าที่ผมรู้คือวันนี้ไม่มีงานไม่ใช่หรอ?.....หันซ้ายหันขวาก่อนจะเห็นว่าทั้งกระเป๋า รองเท้า แม้แต่โทรศัพท์ก็ยังอยู่ครบ...ที่หายไปมีแค่....กุญแจห้อง
ผมควานหากุญแจสำรองก่อนจะเดินตรงดิ่งไปที่ประตูห้องที่อยู่ข้างๆ มีแสงไฟลอดออกมาจากช่องที่ใต้ประตูจริงๆด้วย มือบิดลูกบิดประตูอย่างแผ่วเบา เสียงเปียโนแว่วหวานออกมาเป็นระยะๆ
ที่บอกว่าเป็นระยะก็เพราะคนเล่น เล่นไปหยุดไปทำให้เพลงไม่ปะติดปะต่อเอาเสียเลย....ราวกับว่าเจ้ากระต่ายสีขาวกำลังไม่มีสมาธิ....
ผมก้าวขาไปบนพื้นพรมหนานุ่ม....นานๆจะเข้ามาในห้องนี้สักที นั่นก็เพราะว่าเจ้ากระต่ายย้ายตัวเองไปอยู่ที่ห้องของผมมาตั้งนานแล้ว ที่นี่จึงกลายเป็นห้องเก็บของไป....แกรนด์เปียโนตัวใหญ่ตั้งอยู่ที่ฝั่งหนึ่งของห้อง แผ่นหลังบอบบางสีขาวของเขาดูน่าทะนุถนอมเมื่อถูกโอบอุ้มเอาไว้ด้วยเปียโนสีดำ
แขนบางขยับให้เกิดเสียงไปได้สองสามครั้งก็หยุดลงดื้อๆ ใบหน้าสวยก้มลงราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่....ดูเหมือนเขากำลังกดดัน.....
ผมยืนมองภาพนั้นก่อนจะตัดสินใจก้าวเข้าไปหา....
สองมือยื่นออกไปอย่างไม่ลังเล....
“ โกคุเดระ....” เสียงทุ้มของผมเรียกเขาเบาๆ ก่อนจะสวมกอดลงไป กระชับอ้อมแขนให้แผ่นหลังที่อ้างว้างนั้นแนบชิดมากับแผ่นอกของผม
“ ...........” เจ้ากระต่ายไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่หลับตาแล้วนั่งนิ่งๆรับอ้อมกอดที่ราวกับคำปลอบโยนที่ผมตั้งใจมอบให้อย่างนุ่มนวล....ผมกอดเขา...ให้เขารู้ว่ายังมีผมอยู่.....ผมกอดเขา....ให้ความอบอุ่นมันแผ่ซ่านลงไปในร่างกาย ในหัวใจ เพื่อขับไล่ความกลัวความกดดันพวกนั้นออกไปให้หมด
ผมแนบแก้มลงไปที่แก้มใสของเขาก่อนจะจูบแผ่วเบา มือไล่ไปตามเรียวแขนจนกระทั่งสอดประสานไปยังมือบางที่วางอยู่บนเปียโน...ให้นิ้วของผมสอดเข้าไปแทรกอยู่ระหว่างนิ้วเรียวสวยของเขา...ให้ทุกสัมผัสของผมแทรกซึมอยู่ในร่างกายและหัวใจของเขาจนไม่มีที่ว่างให้กับความรู้สึกอย่างอื่นอีก
“ อยากฟังไหม....” เสียงแผ่วเบาของเขาเอ่ยออกมาเมื่อนัยน์ตาสีมรกตเปิดขึ้นอย่างช้าๆ
“ อืม....” ผมกระซิบที่ข้างใบหูโดยที่ยังกอดเขาเอาไว้
นิ้วเรียวขยับไหวไปบนเปียโน...เชื่องช้า....แผ่วเบา....พลิ้วไหว.....และสวยงาม.....ผมเคยได้ยินเพลงนี้....แต่เสียงที่ออกมาจากปลายนิ้วของเขามันกลับอบอุ่นจนเพลงที่เคยฟังจากที่ไหนๆก็ไม่อาจเทียบเท่า
เพลงของวันคริสต์มาส.....
“ คอนเสิร์ตของพวกนาย...มีวันไหนนะ?” เจ้ากระต่ายฝังตัวเองอยู่บนพรมหนานุ่มสีขาวสะอาดตา โดยใช้ท่อนขาของผมต่างหมอน ผมวางมือลงไปบนเส้นผมสีเงินของเขาก่อนจะลูบไล้มันเล่นอย่างเบามือ ขาอีกข้างชันเข่าพิงผนังกระจกบานใหญ่ที่ภายนอกมองเห็นแสงไฟระยิบระยับของโตเกียวได้อย่างชัดเจน
“ 31....สิ้นปีพอดี...” ผมกับเขาทำใจเอาไว้แล้วละว่า คงจะไม่ได้อยู่ฉลองปีใหม่ด้วยกัน เพราะงั้นอย่างน้อยวันคริสต์มาสแบบนี้ ได้มีเวลาอยู่ด้วยกันก็ยังดี
“ แล้วของนายล่ะ?” นัยน์ตาสีมรกตละจากใบหน้าของผมไปยังแสงไฟเล็กๆมากมายที่ภายนอกก่อนจะตอบออกมาเบาๆ
“ ปลายมกรา” ผมสอดนิ้วเข้าไปที่มือบางของเขาอย่างให้กำลังใจ ผมอยากเป็นพลังให้เขาตอบแทนกับที่เขามอบสิ่งที่เรียกว่าหัวใจให้กับผม
“ นี่โกคุเดระ....” ผมเรียกให้ใบหน้าสวยหันมามองใบหน้าของผมที่ก้มลงไปยิ้มให้ มือดึงกระดาษแผ่นเล็กๆออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วยื่นมันไปตรงหน้าเขา นัยน์ตาสีมรกตเบิกกว้างอย่างเป็นประกายเมื่อเห็นตั๋วที่อยู่ในมือผม
“ อยากไปดูไหม....คอนเสิร์ตของฉัน.......”
ผมนึกถึงสภาพเจ้ากระต่ายที่ดูจะตื่นเต้นสุดๆเมื่อเช้านี้ก่อนที่ผมจะออกจากบ้านมา น่าจะเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่เขาจะได้ไปคอนเสิร์ตของคนอื่น ผู้จัดการสาวที่มาช่วยแปลงโฉมเจ้ากระต่ายตัวดีไม่ให้ขาวเด่นอยู่ตัวเดียวท่ามกลางสีดำทะมึนของคอนเสิร์ตวงร็อคก็ดูจะตื่นเต้นไม่ได้แพ้กันเพราะเป็นอีกคนที่ได้รับตั๋วไปจากผม
เสียงฉีกขาดของอะไรบางอย่างเรียกให้ผมกลับมาสนใจสภาพภายในห้องที่ตอนนี้มันเละจนแทบไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นห้องแต่งตัวของกลุ่มคนที่กำลังจะก้าวขึ้นบนเวทีอยู่รอมร่อ แต่คราวนี้มันแปลกตรงที่ว่าไม่มีเสียงห้ามของสึนะนี่สิ...
“ คึหึหึ...คุณนี่มันไม่เข้าใจความงดงามของแฟชั่นเสียเลยนะครับ”
“ เลือดของแกเท่านั้นที่เป็นความงดงามของชั้น ไอ้พืชไร่!”
อ่า....ผมพอจะเข้าใจแล้วละ ว่าทำไมนักร้องนำร่างเล็กของเราถึงไปนั่งจิบชาสบายใจอยู่บนโซฟานู่น...ก็ไอ้แฟชั่นยุคหลุยส์ที่14 ซึ่งอยู่ในมือของเจ้ามุคุโร่น่ะสิ ที่ออกแนวมีปัญหา...นี่คงกะว่าจะให้ทุกคนในวงใส่ชุดแบบนั้นขึ้นคอนเสิร์ตสินะ....โอเค...คราวนี้ฉันสนับสนุนการทำลายล้างของนายเต็มที่เลยฮิบาริ
ผมกลับมาสนใจกีต้าโปร่งที่วางนิ่งสนิทอยู่ตรงหน้าพรางอมยิ้ม มือเผลอลูบมันเบาๆเมื่อนึกถึงอนาคตที่กำลังจะเกิดขึ้นกับมันในไม่ช้า
ปกติผมเล่นเบส....แต่ก็ใช่ว่ากีต้าผมจะเล่นไม่เป็น....
คอนเสิร์ตผ่านไปด้วยดีโดยที่มือกีต้าของวงไม่ตีกันตายกลางเวทีอย่างที่ใครๆกังวล...จบไปแล้วกว่าครึ่งหนึ่งของเพลงทั้งหมดที่พวกผมเตรียมเอาไว้...และในขณะที่สามคนนั่นเข้ามาพัก ผมก็หยิบกีต้าโปร่งที่วางเอาไว้ออกไปหน้าเวที...เพียงลำพัง
มันคือช่วงโซโล่ที่ผมขอเจ้าสามคนนั้นมาเป็นพิเศษ
มันคือช่วงโซโล่ที่ผมจะเล่นเพียงคนเดียวและจะมีแค่ในคอนเสิร์ตครั้งนี้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น
เพราะมันคือช่วงที่ผมตั้งใจจะมอบให้เขา....เจ้ากระต่ายสีขาวที่หล่นลงมาจากฟากฟ้าของผม
ผมนั่งลงไปที่เก้าอี้เพียงตัวเดียวที่ตั้งอยู่กลางเวที ขายาวยกขึ้นมาไขว่ห้างก่อนที่กีต้าโปร่งสีดำสนิทจะถูกวางลงไปบนหน้าขา แสงไฟสาดส่องมาที่ผมเป็นจุดเดียว เช่นเดียวกับเสียงกรี๊ดดังสนั่น...แต่ท่ามกลางคนมากมาย จุดหมายของสายตาผมกลับอยู่ที่คนเพียงคนเดียว
ราวกับว่า ณ ที่นี้มีเพียงผมกับเขา...
เจ้ากระต่ายยืนมองนิ่งสนิท หากอยู่ใกล้กว่านี้ผมเชื่อว่าผมคงมองเห็นแววตาที่สั่นไหวของเขาได้...เพราะเพลงที่ผมเล่นอยู่ในตอนนี้ มันคือเพลงที่ผมแต่งให้เขา คือเพลงที่เขาเป็นคนเกลาทำนองของมันด้วยมือของเขาเอง....ผมรู้ว่าเขาจำได้ดี....เช่นเดียวกับผมที่คงจะจดจำเพลงนี้ไปจนวันตาย
.....กระต่ายในสายลม.......
ในที่สุดเสียงเพลงสุดท้ายของค่ำคืนนี้ก็จบลงพร้อมกับคำว่า “สวัสดีปีใหม่!!” อย่างน้อยๆผมกับเจ้ากระต่ายก็ได้อยู่ด้วยกันในวันสิ้นปีและชั่วโมงแรกของปีที่กำลังจะมาถึง
ในขณะที่สึนะกำลังหงายหลังอย่างหมดสภาพอยู่บนโซฟา โดยมีมือกีต้าที่เรี่ยวแรงยังเหลือเฟือถึงได้ยังคงเผื่อแผ่รังสีตบตีข้ามหัวสีน้ำตาลฟูๆไปมาอยู่ใกล้ๆ ผมตัดสินใจไปแอบดูที่ประตูทางออกทั้งๆที่ไม่คิดหรอกว่าจะเจอ
“ กลับเถอะค่ะ...คุณอยู่ที่นี่นานกว่านี้ไม่ได้แล้วนะคะ...เดี๋ยวสต๊าฟหรือนักข่าวมาเจอเข้าจะยุ่ง....” เสียงผู้หญิงที่คุ้นเคยดังอยู่ไม่ไกลทำให้ผมต้องรีบจ้ำอ้าวเข้าไปหา....อย่าบอกนะว่าเจ้ากระต่ายตัวดียังอยู่ที่นี่น่ะ?
“ ไม่ไป...” ชัดเลย! เสียงเอาแต่ใจแบบนี้มีอยู่คนเดียวในความทรงจำของผม
“ โกคุเดระ!” เจ้ากระต่ายหันควับมาตามเสียงเรียก ฮูดของเสื้อคลุมสีดำที่คลุมหัวอยู่หลุดออกไปเผยให้เห็นเส้นผมสีเงินชัดเจน เขาก้าวเข้ามาหาพร้อมกับกำลังควานหาอะไรบางอย่างในถุงใบใหญ่ที่ถืออยู่
‘ เดี๋ยวทั้ง 4 คนเค้าจะออกมาทางไหนกันนะ ต้องตามถ่ายรูปกลุ่มแฟนเพลงที่ยังรอส่งพวกเค้าด้วย’ แต่แล้วเสียงที่แว่วเข้ามาทำเอาผมสะดุ้งเฮือก ประโยคพูดคุยที่ลอยเข้ามานั่นไม่น่าจะเป็นสต๊าฟของผม แต่ทว่าน่าจะเป็น
“ นักข่าว!” ผู้จัดการสาวอุทานเบาๆ ก่อนจะผลักเจ้ากระต่ายให้เข้ามาอยู่ในอ้อมแขนของผมที่กำลังจะเอื้อมออกไปดึงตัวเข้ามาพอดี
“ มานี่ โกคุเดระ” ผมลากเขาเข้ามาตามทางเดิน แต่ดูเหมือนจะไม่ทันแล้ว เมื่อเสียงของนักข่าวสองสามคนนั่นต่างตะโกนเป็นเสียงเดียวกันว่า
“ นั่นโกคุเดระ ฮายาโตะหรือเปล่า?! ตามไปเร็ว!”
ผมลากให้เขาวิ่งตามมาสุดแรง... หากโกคุเดระ ฮายาโตะ จะมาดูคอนเสิร์ตอาจจะไม่เป็นเรื่องใหญ่เท่ากับ....ตอนนี้เขาอยู่กับผม!!!
ผู้จัดการสาววิ่งไปอีกทาง เพราะอย่างน้อยถ้าทั้งคู่ไม่ได้อยู่ด้วยกันก็อาจจะพอแก้ข่าวได้ว่าคนที่เห็นนี้ไม่ใช่โกคุเดระแต่เป็นการเข้าใจผิด แต่ทางที่ดีที่สุดคือผมต้องไม่ให้นักข่าวพวกนั้นถ่ายภาพได้!
มือใหญ่เอื้อมไปโอบเอวบางก่อนจะตวัดให้เจ้ากระต่ายหลบเข้ามาในซอกระหว่างตึก....ตอนนี้ผมจะพาเขากลับไปที่ห้องพักหลังเวทีไม่ได้ เพราะถ้านักข่าวตามไปก็จะรู้ได้ทันที ว่าอย่างน้อยๆ โกคุเดระ ฮายาโตะน่าจะมีความสัมพันธ์บางอย่างกับ หนึ่งในสี่คนที่อยู่ในห้องพักนี้ และถ้าสืบต่อไปเรื่องที่พักก็จะไม่ยากเลยที่จะระบุตัวได้ว่าเป็นผม
ผมตัดสินใจดึงมือให้เขาวิ่งตามไปที่ลานจอดรถ นับว่าโชคดีที่ผมพกกุญแจรถมาด้วย ผมจึงยัดร่างบอบบางของเขาเข้าไปที่เบาะข้างคนขับได้ทันท่วงที ก่อนที่ผมจะกระโดดเข้าไปอีกฝั่งแล้วขับรถออกไปราวกับพายุ
“ สึนะหรอ....อื้อ....ฉันจะกลับก่อน ฝากนายเก็บกระเป๋าให้ด้วยนะ....อ่า....ขอบคุณมาก” ผมวางสายแล้วหันไปมองคนข้างๆอย่างคาดโทษ
“ ฉันบอกนายแล้วไม่ใช่หรอ ว่าไม่ต้องรอน่ะ...เพราะเราเจอกันมันถึงได้วุ่นวายแบบนี้ไง” เพราะต้องใช้พลังงานไปกับคอนเสิร์ตจนแทบหมดก๊อกแล้วยังต้องมาวิ่งหนีนักข่าวแบบนี้อีก ทำให้ตอนนี้ผมรู้สึกเหนื่อยจนอยากจะดุให้เขารู้สำนึกซะบ้าง
“ ถ้าแกไม่อยากเจอฉันขนาดนั้นก็จอดรถซะ! เดี๋ยวนักข่าวตามมาเจอเราอยู่ด้วยกันมันจะลำบากอีก!” ผมหันไปมองเสี้ยวใบหน้าบูดบึ้งก่อนจะหันมามองถนนต่อ....เจ้ากระต่ายตัวดีนี่จะเอาแต่ใจมากเกินไปแล้ว
“ บอกให้จอดไง!” ไม่ว่าเปล่า เขายังส่งมือมาก่อกวนพวงมาลัยรถผมอีกต่างหาก
“ ทำอะไรน่ะ โกคุเดระ! หยุด!” แต่เจ้ากระต่ายจอมดื้อก็ไม่ฟัง ผมจึงต้องเบี่ยงรถลงจอดที่ข้างทาง
“ โกคุเดระ!” เจ้ากระต่ายตัวดีกระโดดลงจากรถก่อนจะปิดประตูเสียงดังสนั่น....ผมมองตามแผ่นหลังที่เดินไปตามข้างทางอย่างรู้สึกเหนื่อยใจนิดๆ....เขาเป็นฝ่ายผิดนะ....แล้วทำไมถึงต้องเป็นผมทุกครั้งที่ต้องไปง้อ
ผมถอนหายใจพรางเอนหลังลงกับเบาะ ก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นถุงอะไรบางอย่างถูกวางทิ้งเอาไว้แทนร่างกายของเขา มือของผมเอื้อมไปหยิบมันแล้วชะโงกหน้าเข้าไปดูของในถุงอย่างถือวิสาสะ....สิ่งที่ผมมองเห็นเล่นเอานัยน์ตาเบิกกว้าง
.....ช่อดอกไม้.....
ปกติแล้วจะมีช่อดอกไม้จากคนที่เกี่ยวข้องส่งมาแสดงความยินดีกับคอนเสิร์ตเป็นเรื่องที่เห็นกันทั่วไปอยู่แล้ว และนี่เขาเองก็คงอยากจะส่งมาให้บ้างแต่ก็ไม่สามารถจะทำได้ เลยแอบเอามาให้ผมเป็นการส่วนตัวแบบนั้นสินะ
และที่ช่อดอกไม้ก็มีคำแสดงความยินดีสั้นๆด้วยลายมือของเขาว่า ‘ยินดีด้วยที่การแสดงผ่านไปด้วยดี...ฉันชอบเพลงนั้น...มากๆ’
ผมสบถกับตัวเองก่อนจะวางช่อดอกไม้ไว้ที่เบาะอย่างแผ่วเบา มืออีกข้างเปิดประตูรถแล้ววิ่งตามออกไป
“ โกคุเดระ!!!”
“ โกคุเดระ!! หยุดก่อน!” ผมสาวเท้าเข้าใกล้ตัวเขามากยิ่งขึ้น เอื้อมมือออกไปคว้าท่อนแขนเล็กเอาไว้ ก่อนจะกระชากลำตัวบางให้หันหน้ามาคุยกัน ริมฝีปากที่เคลือบเอาไว้ด้วย “ลิปสติก” ของเจ้ากระต่ายเม้มแน่น ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความผิดหวังและนัยน์ตาก็กำลังเอ่อคลอไปด้วยน้ำใสๆ
“ ปล่อย! ถ้าใครมาเห็นเข้ามันจะไม่ดีใช่ไหมล่ะ เพราะอย่างงั้นก็ไม่ต้องมายุ่ง!” โกคุเดระสะบัดตัวหนีพร้อมกับตะโกนออกมาทั้งน้ำตา ณ เวลานั้นผมเข้าใจแล้วว่าเขารู้สึกยังไง แค่อยากจะแสดงความยินดีกับคนที่ตัวเองรักก็ยังทำไม่ได้ ตอนนั้นผมรู้แล้วว่าเขาเจ็บปวดแค่ไหน
“ ปล่อยนะ!” ผมดึงตัวเจ้ากระต่ายมากอดเอาไว้ทั้งๆที่เจ้าตัวดียังดิ้นขลุกขลัก มือเล็กๆนั่นยังทุบแผ่นอกของผมไม่ได้หยุด
“ โกคุเดระ” กระซิบเรียกเขาทั้งๆที่เจ้ากระต่ายยังออกฤทธิ์และยังพยายามจะดิ้นหนี “ ขอโทษ...” ผมพยายามจะใช้อ้อมแขนกอดเขาเอาไว้แต่ก็ดูเหมือนกับว่าเจ้ากระต่ายจะสติแตกจนไม่ยอมฟังอะไรผมอีก นัยน์ตาสีมรกตหลับแน่นและสองมือก็ยังรัวกำปั้นมาที่ตัวผม ผมรวบข้อมือเล็กๆนั่นเอาไว้ก่อนจะตัดสินใจยกลำตัวบางขึ้นพาดบ่า
“ ไอ้บ้า ปล่อยชั้นลงไปนะ!!” และคราวนี้กำปั้นพวกนั้นก็กระหน่ำลงมาที่แผ่นหลังของผมแทน....ถ้าจะดื้อและไม่ฟังอะไรแบบนี้ละก็....
ผมก็มีวิธีจัดการกับกระต่ายดื้อตามประสาของผมเหมือนกัน!
ประตูหลังของรถถูกเปิดออกก่อนที่ผมจะโยนเจ้ากระต่ายเข้าไปแล้วตามขยับกายตามไปคร่อมเอาไว้ สองมือกดข้อมือเล็กร้ายกาจที่กำลังพยายามประทุษร้ายผมให้นิ่งอยู่ที่พื้นเบาะ เขายังคงดิ้นกุกกักอยู่ภายในพื้นที่แคบๆอย่างที่เบาะหลังแถมยังอยู่ใต้ร่างของผมอีก
“ ไอ้บ้า! แกจะทำอะไรในที่แบบนี้ห๊ะ?! ไม่เอานะ! ปล่อยสิ!” เจ้ากระต่ายสะดุ้งเฮือกเมื่อผมกดริมฝีปากลงไปที่ซอกคอของเขา
“ ถ้างั้นจะยอมฟังฉันดีๆหรือยัง?” ผมเงยหน้าขึ้นมามองเขาด้วยแววตาจริงจัง
“ ฟะ ฟังก็ได้” ใบหน้าสวยยังคงงอง้ำ แต่ร่างกายก็ยอมอยู่นิ่งได้เสียที
“ .....ขอโทษนะ” เจ้ากระต่ายเบิกตากว้างก่อนจะเสหน้าไปที่อื่น
“ ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากอยู่กับนาย...ฉันน่ะ...อยากจะประกาศให้ใครต่อใครรู้ว่านายเป็นของฉันใจจะขาด อยากจะกอดนาย อยากจะจูบนายให้ใครๆได้เห็น....แต่ก็เพราะว่าฉันอยากอยู่กับนายนั่นแหละ มันเลยทำให้ฉันทำอย่างงั้นไม่ได้...นายเองก็เข้าใจสถานะของเราสองคนดี...ถึงได้เลือกที่จะเอาดอกไม้มาให้เป็นการส่วนตัว...ใช่ไหมล่ะ”
“ เพราะงั้น....เรามาดีกันนะ...นะ...โกคุเดระ” ผมกระซิบบอกเขา ใบหน้าของเจ้ากระต่ายที่เสมองไปทางอื่นกำลังมีสีแดงระเรื่อขึ้นเรื่อยๆ
“ ฮึ...เห็นว่าแกรู้ตัวว่าผิดแล้วยอมมาง้อฉันก่อนหรอกนะ...จะยอมยกโทษให้ก็ได้” ริมฝีปากสีแดงนั่นบ่นขมุบขมิบ ถึงผมจะไม่ได้เป็นคนผิดแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เจอเจ้ากระต่ายเอาแต่ใจเข้าไปแบบนี้ผมก็มีแต่ต้องอมยิ้ม
ทำไมผมถึงได้เห็นอาการเอาแต่ใจของเจ้ากระต่ายนี่ ว่ามันน่ารักดีไปได้กันนะ....
“ จะนอนทับอีกนานแค่ไหนเล่า...ลุกออกไปได้แล้ว!” มือเล็กของเขาพยายามผลักผมออกไป แต่มาถึงขั้นนี้แล้วมีรึผมจะยอมง่ายๆ
“ ขอมัดจำไว้ก่อนได้ไหม?”
“ มะ มัดจำอะไร...” ดูท่าทางเจ้ากระต่ายจะเริ่มรู้ตัว จึงพยายามจะถอยหนี...แต่ก็อย่าลืมว่าที่นี่คือเบาะหลังของรถ...เพราะงั้นไม่มีที่ให้เขาหนีได้หรอก
“ ก็มัดจำว่า...นายยกโทษให้ฉันแล้วไง” ผมส่งยิ้มไปให้ แต่ในสายตาเขามันคงจะเป็นยิ้มที่อันตรายสุดๆ เจ้ากระต่ายถึงได้เริ่มดิ้นอีกครั้ง
“ อ๊า~~ ฉะ ฉันไม่ได้โกรธอะไรทั้งนั้น ยะ ยกโทษให้หมดเลยเพราะงั้น ยะ อ๊ะ” ถึงจะพูดรัวออกมาแต่ก็ไม่ทันมือใหญ่ของผมที่ล้วงเข้าไปในกางเกงของเขาแล้วละ ผมบีบคลึงแกนกายของเขาทั้งๆที่ยังอยู่ในกางเกง
“ ยะ....อ้า....” ทั้งร่างกายทั้งน้ำเสียงของเขาเริ่มจะสั่นสะท้านตามความต้องการที่พุ่งสูงขึ้น ผมขยับมือไปมา ให้ทั้งเนื้อผ้าทั้งฝ่ามือช่วยกันเสียดสีจนตอนนี้สติของเขาเริ่มจะหลุดลอย
“ อึก...อื้อ...” ผมสอดลิ้นเข้าไปในริมฝีปากของเขา ปลุกเร้าความเร่าร้อนให้มากขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ เสียงลมหายใจของเจ้ากระต่ายเริ่มจะหนักหน่วง และเมื่อละริมฝีปากออกมาเสียงครางหวานใสก็ดังก้องไปทั่วรถพร้อมๆกับน้ำสีขาวขุ่นที่ฉีดรดเต็มมือ
“ แฮ่ก...แฮ่ก....ยะ...หยุดเลยนะ...” เจ้ากระต่ายส่งสายตาราวกับแม่เสือมาให้ ราวกับจะบอกว่าถ้าผมทำอะไรไปมากกว่านี้ในที่แบบนี้ผมจะต้องโดนเขากัดตายแน่...แต่ก็นะ...ถึงที่จริงเขาอาจจะเป็นเสือ แต่ในสายตาของผม เขาก็ยังคงเป็นแค่กระต่ายสีขาวตัวน้อยอยู่ดี
“ หึหึ...” ผมซุกใบหน้าไปที่ซอกคอของเขาก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ มืออีกข้างยกสะโพกเขาขึ้นเล็กน้อยก่อนที่มือที่ยังคงเลอะคราบคาวจะล้วงเข้าไปด้านหลังของกางเกงที่เขาสวมอยู่ ปลายนิ้วแกล้งคลึงวนเล่นอยู่ที่หน้าช่องทางให้นัยน์ตาสีมรกตถึงกับปิดตาแน่น สองแขนบางยกขึ้นกอดรอบลำคอของผมโดยที่ไม่รู้ตัว
“ คาดเข็มขัดนิรภัยให้ดีๆล่ะ จากนี้ฉันคงจะเหยียบเป็นร้อยแน่...” ผมกระซิบบอกเจ้ากระต่ายก่อนจะละมือออกมาแล้วก้าวขาไปประจำตำแหน่งคนขับ โดยมีหมอนอิงปาตามมาจากคนที่ยังนั่งหอบอยู่ที่เบาะหลัง
เสียงบ่นงำงึมทำให้ผมอมยิ้ม และเมื่อหันไปอีกที เจ้ากระต่ายก็นอนขดตัวหลับปุ๋ยอยู่ที่เบาะหลังไปแล้ว
ให้ตายเหอะ...เขาน่ารักขนาดนี้ แล้วจะไม่ให้ผมอยากประกาศกับชาวโลกได้ยังไง...ว่าเขาเป็นของผม!
ผมกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนพื้นพรมหนานุ่มในห้องของเจ้ากระต่าย ก่อนจะมาหยุดลงที่ท่าเท้าคางแล้วจ้องมองแผ่นหลังของเขาที่ยังคงซ้อมเปียโนอย่างตั้งอกตั้งใจ...ดูเหมือนเขาจะมีไฟมากขึ้นหลังจากที่กลับมาจากการไปดูคอนเสิร์ตของผม
เหลือเวลาอีกไม่นานก็ใกล้จะถึงคอนเสิร์ตของเขา ถึงผมจะไม่ถนัดเพลงคลาสสิกแต่แค่ฟังผมก็รู้แล้วว่าเขาน่าจะพร้อมแล้ว
เสียงเปียโนหยุดลงดื้อๆ พร้อมกับใบหน้าของเจ้ากระต่ายที่หันมามองอย่างหาเรื่อง....หื๋อ?...ผมไปทำอะไรให้เขาอีกล่ะ?...เมื่อคืนก็ไม่ได้ทำนี่นา....ไม่น่า....ผมคงไม่ได้ละเมอลุกขึ้นมากดเขาหรอกนะ?
เจ้ากระต่ายหันควับกลับไปเล่นเปียโนต่อ ทำให้ผมเผลอถอนหายใจ แล้วไม่นานเขาก็หันมาด้วยใบหน้างอหงิกเหมือนเดิม
“ กะ โกคุเดระ?” แล้วกล่องใบเล็กๆใบหนึ่งก็ถูกปามาที่หน้าของผม
“ หะ ให้แล้วนะ...จะมาหรือไม่มามันก็เรื่องของแก” แล้วเจ้ากระต่ายตัวดีก็วิ่งพรวดออกไปจากห้องทั้งอย่างนั้น ผมก้มลงมองกล่องในมือก่อนที่จะเปิดมันออกดู
แล้วผมก็ต้องยิ้มกว้าง เมื่อข้างในนั้นมันคือ...บัตรคอนเสิร์ตที่น่าจะขายหมดเกลี้ยงไปแล้วของเขา
เป็นอีกครั้งที่ผมถูกเจ้ามือกีต้าหัวสัปป้าจับแต่งตัวอย่างสนุกสนาน ในเมื่อมันเป็นคอนเสิร์ตดนตรีคลาสสิก เพราะฉะนั้นผมจึงมาในแบบรกรุงรังไม่ได้ เส้นผมสีดำสั้นที่ปกติจะพันกันยุ่งเหยิง วันนี้ก็ถูกเซตมาอย่างดี ไหนจะสูทเข้ารูปที่คลุมทับเสื้อเชิ้ตคอตั้ง ทั้งกางเกงแสลคทั้งรองเท้าต่างดำสนิท....ผมจำได้ว่าผมบอกเจ้ามุคุโร่ว่าจะมาคอนเสิร์ตดนตรีคลาสสิกนะ ไม่ได้จะไปดูดเลือดใครที่ไหน...
แต่จะว่าไปมันก็คงดีกว่าชุดพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ที่หมอนั่นถือติดมือมาด้วยนั่นแหละ
ลอบถอนหายใจให้กับเจ้าเพื่อนตัวดี ก่อนจะหยิบแว่นตากรอบหนามาใส่เอาไว้เพื่อปิดบังหน้าตา แล้วเดินเข้าไปนั่งลงยังที่นั่งของผม มองจากตรงนี้นับว่าเป็นมุมที่ดีทีเดียว...สมแล้วที่เป็นที่นั่งที่คุณผู้จัดการสาวอุตส่าห์ไปหามาให้....ยิ่งใกล้เวลามากเท่าไหร่ ที่นั่งที่อยู่รอบกายก็ค่อยๆถูกเติมเต็มขึ้นเรื่อยๆ
เสียงอื้ออึงที่จู่ๆก็ดังขึ้นเรียกความสนใจของผมให้หันไปมอง กลุ่มคนในชุดสูทดำสนิทเดินเข้ามาราวกับกำลังอารักขาใครบางคน....แล้วผมก็มองเห็นคนที่เดินอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนพวกนั้น
เป็นชายวัยกลางคนชาวต่างชาติที่ดูภูมิฐานและน่าเกรงขามมากทีเดียว ถึงผมจะไม่รู้ว่าเขาเป็นใครแต่คิดว่าต้องยิ่งใหญ่พอสมควร ไม่เช่นนั้นคงไม่ต้องมางานดนตรีโดยมีการ์ดเพียบขนาดนี้ และถึงแม้ว่าผมจะไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร...แต่ผมก็รับรู้ได้ถึงบรรยากาศอันตรายที่อยู่รอบกายเขา
ผมหันกลับมาจ้องมองแกรนด์เปียโนสีขาวสะอาดบนเวทีอีกครั้ง แค่จินตนาการว่าเจ้ากระต่ายจะนั่งเล่นเปียโนตัวนี้ ในหัวใจก็รู้สึกตื่นเต้นอย่างน่าประหลาด...ทั้งๆที่เห็นเขาเล่นเปียโนมาตั้งไม่รู้กี่ครั้ง แต่นี่ก็คือครั้งแรกของผมเช่นกันที่จะได้เห็นเขาอยู่บนเวที
นัยน์ตาสีเปลือกไม้เหลือบลงมองนาฬิกาข้อมือ ใกล้เวลาเริ่มงานเข้าไปทุกทีๆ ในขณะที่แสงไฟสลัวๆก็ยังคงส่องสว่าง
“ ขอโทษนะคะคุณยามาโมโตะ” เสียงกระซิบของใครบางคนทำเอาผมสะดุ้งโหยง ใจหายวูบนึกว่านักข่าวหรือใครสักคนจะจำได้ว่าเป็นผม
“ ช่วยไปด้วยกันหน่อยเถอะค่ะ...” ผมหันหน้าไปมองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังเบาะอย่างกล้าๆกลัวๆ คงจะเป็นเพราะเสียงภายในนี้มันก้องผมจึงเพิ่งรู้ว่าเสียงที่ได้ยินนั้นก็คือเสียงของผู้จัดการสาวนั่นเอง
“ มีอะไรหรอครับ” ผมเดินถอนหายใจตามแผ่นหลังบางของหญิงสาวไป ดูท่าทางเธอจะลุกลี้ลุกลนชอบกล หรือว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเจ้ากระต่ายของผม?
“ ก็....โกคุเดระคุงน่ะสิคะ....” เธอหันมาเผชิญหน้ากับผมด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก....อาการแบบนี้ เจ้ากระต่ายตัวดีคงออกฤทธิ์อะไรกับเธออีกแน่ๆ
“ ...ทำยังไงก็จะไม่ยอมออกไปเล่นเปียโนท่าเดียวเลยค่ะ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทางนี้ถามก็ไม่ยอมบอก จะบังคับจะขอร้องยังไงก็ไม่ยอมท่าเดียว...จนฉันไม่รู้จะทำยังไงแล้วค่ะ....งานนี้ไม่ใช่ว่าจะยกเลิกได้เสียด้วย...ขอร้องละค่ะ....ช่วยกล่อมเขาให้หน่อยเถอะนะคะ!” เธอก้มหัวขอร้องผมอย่างไม่รีรอ ถ้อยคำที่ได้ยินก็ทำเอาผมอึ้งไปไม่ใช่น้อย
ผมไม่ได้นึกตำหนิเจ้ากระต่ายที่เอาแต่ใจจนจะทำให้ใครๆเดือดร้อน เพราะผมรู้ดีว่าโกคุเดระตั้งใจกับงานนี้มากแค่ไหน ซ้อมมายาวนานขนาดไหน.....แต่ว่า....ที่ผมสงสัยคือ มันเกิดอะไรขึ้น? มีอะไรหรือใครไปกวนใจเขาหรือเปล่า?
ขออย่าให้มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับผมเลย ที่ทำให้เขาต้องเป็นแบบนี้
อย่าให้เป็นเพราะผม ที่ทำให้เขาต้องล้มเลิกความตั้งใจทั้งหมดไป
ขายาวก้าวเข้าไปในห้องพักที่เงียบสนิท ผู้จัดการสาวคงจัดการกันทุกๆคนออกไปหมดแล้ว เพราะเรื่องของผมกับเจ้ากระต่ายก็มีเพียงเธอเท่านั้นที่รู้ และเมื่อเปิดประตูเข้าไป ภาพใบหน้าสวยที่มีแต่ความกังวลก็ลอยอยู่ในหัวผม เจ้ากระต่ายในชุดสีขาวนั่งก้มหน้าครุ่นคิดอยู่ที่โซฟาจนไม่ได้รู้เลยว่าผมเข้ามายืนอยู่ใกล้ๆ สองมือบางบีบกันแน่นอยู่ที่ต้นขา ริมฝีปากที่แต่งแต้มไปด้วย “ลิปสติก” สีชมพูอ่อนๆกำลังเม้มแน่นเข้าหากัน
“ โกคุเดระ...” ผมเรียกเขาเบาๆ และเมื่อใบหน้าสวยเงยขึ้นมามันก็เต็มไปด้วยความแปลกใจ
“ นะ...นายมาได้ไงเนี่ย?”
“............” ผมส่ายหน้าบอกเขาว่ามันไม่สำคัญหรอกว่าผมมาที่นี่ได้ยังไง แต่ก่อนที่เจ้ากระต่ายจะได้พูดอะไรต่อ ริมฝีปากของผมก็แนบลงไปที่ริมฝีปากของเขา
วันนี้ “ลิปสติก” มีกลิ่นสตอเบอรี่...
ร่างเบาบางเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนและหลังจากที่ละริมฝีปากออกจากกัน นัยน์ตาของผมจ้องมองลงไปในดวงตาสีมรกตใสแจ๋วราวกับแก้วตาของกระต่ายอย่างพยายามจะค้นหาความจริง “ บอกฉันได้ไหม ว่าทำไมนายถึงจะไม่เล่นเปียโน?” ผมกระซิบที่ใบหู ใบหน้าสวยชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆเสลงไปมองพื้น
“ ยัยผู้จัดการตัวดีไปฟ้องละสิ” เสียงบ่นงึมงำกับใบหน้าที่เริ่มจะงอหงิกทำให้ผมพอจะยิ้มออก....อย่างน้อยเขาก็ยังเป็นตัวของตัวเอง
“ ฉันไม่อยากเล่นก็คือไม่อยากเล่น!” เอาแต่ใจแบบนี้...จับกดมันซะเลยดีไหมเนี่ย?
“ บอกมา....ไม่งั้นฉันจะทำรอยเอาไว้ที่ตัวนาย” ไม่ว่าเปล่าผมยังยื่นหน้าไปคลอเคลียที่ซอกคอหอมกรุ่น เจ้ากระต่ายพยายามดิ้นให้หลุดจนในที่สุดก็เผลอหัวเราะคิกคักเพราะจักจี้
“ ว่าไง? จะบอกไหม? นับหนึ่งถึงสามนะ...หนึ่ง.....” ไม่ได้มีแต่ใบหน้าเท่านั้นที่เลื้อยอยู่ที่คอเขา มือของผมเองก็กอดกระชับพร้อมขยับไปมาอยู่แถวๆเอวบางๆนั่นด้วยเช่นกัน
“ อะ ฮะฮะ บะ บอก...บอกก็ได้...” เจ้ากระต่ายหยุดหัวเราะพรางหอบน้อยๆเมื่อผมยอมหยุดมือและใบหน้า...แหม...ไม่ใช่ว่าเขาจะยอมบอกเพราะผมทำแบบนั้นหรอกน่า...อย่างน้อยๆผมก็รู้ว่า เขาเชื่อใจผม
“ หมอนั่น....มาดูด้วย....ฉันก็เลย...ไม่อยากเล่น.....” คำพูดที่ค่อยๆหลุดออกมาจากริมฝีปากของเขาทำเอาผมเริ่มจะคิ้วขมวด
“ หมอนั่น? ใครกัน?” เท่าที่เขาเคยเล่าเรื่องในอดีตให้ฟัง ผมจำไม่เคยได้เลยแหะว่าเขาเคยมีแฟนเก่า เท่าที่รู้ผมคือคนแรกของเขา
“ เอ่อ...คือ.....” ยิ่งทำท่าทางอ้ำๆอึ้งๆแบบนี้คิ้วของผมยิ่งขมวดหนัก แขนที่ยังกอดรัดเอวบางเอาไว้ยิ่งกระชับแน่นจนเขาคงจะเริ่มรู้สึกตัวว่าทำให้ผมหึง จึงเงยหน้ามาละล่ำละลักบอก “ มะ หมอนั่น....” แต่ดูอีกทีเขาก็ไม่น่าจะอยากปิดบัง เพียงแต่ดูเหมือนว่าจะไม่อยากเอ่ยถึงผู้ชายคนนั้นมากกว่า
เป็นคนที่เกลียด?
“ บอกฉันไม่ได้หรอ...ว่าเขาเป็นใคร?” ผมคลายอ้อมแขนก่อนจะยกมือขึ้นมาลูบหัวเขาเบาๆ ใบหน้าสวยถอนหายใจอย่างพยายามไม่นึกถึงสิ่งที่อยู่ในใจ แล้วริมฝีปากที่เคลือบเอาไว้ด้วย “ลิปสติก” ก็เอ่ยออกมาช้าๆ ว่าคนๆนั้นก็คือ
“ พ่อ...ของฉันเอง”
“ เอ๋ ?” แล้วก็เป็นอีกครั้งที่เขาทำเอาผมอึ้งไป...เท่าที่จำได้เขาไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องของพ่อจนผมเข้าใจไปเองว่าพ่อของเขาอาจจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่นี่ยัง....
“ ไม่สิ...ไม่ใช่พ่อ...แต่เป็นแค่ผู้ชายที่ทำให้ฉันเกิดมา...หมอนั่นอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่ายังมีลูกอยู่ที่นี่อีกคน” ใบหน้ายามที่พูดออกมานั้นดูเศร้าสร้อยจับใจ
“ ก็อย่างที่ฉันเคยเล่าให้ฟังนั่นแหละ ว่าฉันอยู่กับแม่มาตั้งแต่เด็ก ไม่เคยเจอคนที่ได้ชื่อว่าพ่อเลยด้วยซ้ำ ทำได้ก็แค่รู้...ว่าหมอนั่นคือพ่อ” ผมได้แต่นิ่งฟังสิ่งที่เขาพูดออกมา
“ ผู้ชายที่มีการ์ดคอยประกบหน้าหลังอยู่ตลอดเวลาคนนั้นนั่นแหละ หึหึ...ดูยิ่งใหญ่ดีใช่ไหมล่ะ พ่อของฉันน่ะ” เสียงหัวเราะเย้ยหยันที่เปล่งออกมามันเต็มไปด้วยความเหงาหงอย ผมได้แต่กอดเขาเอาไว้โดยไม่ได้พูดอะไร....บางที...โกคุเดระอาจจะไม่ได้เกลียดพ่อของตัวเอง แต่ก็แค่อยากจะถูกรักแบบลูกคนอื่นๆก็เท่านั้นเอง
ว่าแต่....ผู้ชายที่ดูอันตรายคนนั้นน่ะหรอ คือพ่อของเจ้ากระต่ายนี่? สงสัยว่าคงจะไม่ได้เชื้อพ่อมาเลยละสิ?
ก๊อกๆๆ
เสียงเคาะประตูทำให้ผมยอมปล่อยอ้อมแขนออกมาจากลำตัวบาง ผู้จัดการสาวยื่นหน้าเข้ามาก่อนจะพูดเบาๆว่า “ได้เวลาแล้วนะคะ มิสเตอร์ริชาร์ดถามว่าโกคุเดระคุงโอเคไหม?” จริงสิ! ผมลืมไปซะสนิทว่าหน้าที่ของผมคือตะล่อมเจ้ากระต่ายให้ขึ้นเวทีให้ได้ แต่ยังไม่ทันที่จะ...
“ ฉันโอเค เดี๋ยวตามไป” แล้วก็เป็นเจ้ากระต่ายที่เป็นฝ่ายเอ่ยออกไป อ้าว? ตกลงว่าจะขึ้นไปเล่นเปียโน?
“ ค่ะ!!!” ผู้จัดการสาวยิ้มหน้าบานก่อนจะยกนิ้วมาให้ผมแล้วรีบวิ่งแจ้นออกไปเตรียมตัว
“ เห๋...? ทำไมคราวนี้ถึงยอมขึ้นเวทีแต่โดยดีล่ะ? แล้วพ่อ เอ้ย หมอนั่นล่ะ?”
“ ฮึ! ฉันไม่ได้เล่นให้หมอนั่นฟัง! แต่แก! ตั้งใจฟังให้ดีล่ะ!” เจ้ากระต่ายสีขาวชี้นิ้วมาที่หน้าผมก่อนจะวิ่งหายออกไปจากห้องด้วยใบหน้าแดงเถือก
.....นี่กำลัง....บอกว่าจะเล่นเพื่อผม....แบบนั้นหรือเปล่า?
ถึงแม้ว่าเจ้ากระต่ายจะบรรเลงไปแล้วหลายเพลง แต่จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่สามารถหยุดยิ้มได้
แสงไฟสาดส่องลงไปที่เปียโนสีขาว ซึ่งดูระยิบระยับไปด้วยประกายอันบริสุทธิ์เมื่อเรียวนิ้วกำลังพรมลงไปบนคีย์ ร่างบอบบางของเจ้ากระต่ายดูงดงามยามเมื่อโยกตัวไปมาตามการเคลื่อนไหวของปลายนิ้ว ใบหน้าสวยที่อมยิ้มน้อยๆนั้นยิ่งทำให้บทเพลงหวานล้ำยิ่งไพเราะมากยิ่งขึ้น....เป็นภาพและเสียงที่สวยงามสมชื่อ เจ้าหญิงแห่งเสียงเปียโนจริงๆ
เสียงโน้ตตัวสุดท้ายของเพลงหยุดลงพร้อมกับปลายนิ้วที่ยกขึ้นมาจากเปียโน ทุกคนในที่นี้ต่างก็รู้กันดีว่าเพลงต่อไปจะเป็นเพลงสุดท้ายที่เจ้ากระต่ายจะเล่น แต่ทว่าในสูจิบัตรกลับไม่ได้เขียนชื่อเพลงเอาไว้เหมือนเพลงอื่นๆที่เล่นไปก่อนหน้านี้...จะว่าไปเพลงที่ผมเคยฟังตอนที่เจ้ากระต่ายฝึกซ้อมมันก็มีอยู่แค่เพลงที่เล่นไปแล้วนี่นา...ถ้างั้นก็แปลว่า มีแต่เพลงสุดท้ายนี้เท่านั้นที่ผมไม่เคยฟังและยังไม่มีใครได้รู้เลยว่ามันคือเพลงอะไร....
ใบหน้าสวยกวาดมองไปทั่วฮอลล์ ก่อนจะมาหยุดลงที่ผม รอยยิ้มน้อยๆถูกส่งมาให้ก่อนที่เขาจะหันหน้ากลับไปที่เปียโน เรียวนิ้วจรดลงไป และแค่โน้ตตัวแรกถูกบรรเลงผมก็รู้ได้ทันทีว่ามันคือเพลงอะไร...ในเมื่อผมเป็นคนแต่งมันขึ้นมาเองกับมือ และเขาเป็นคนเกลามันจนออกมาเป็นแบบนี้....
“ กระต่ายกับสายฝน” เขายืนยันว่าชื่อของมันคือแบบนี้
“ ไม่ใช่สิ...ฉันตั้งชื่อให้มันแล้ว...กระต่ายในสายลม...ต่างหาก” จนตอนนี้ก็ยังสรุปกันไม่ได้เสียทีว่าตกลงเพลงนี้ชื่ออะไรกันแน่?
แต่รู้เพียงอย่างเดียวว่า....มันคือเพลงของเรา
ผมขับรถกลับบ้านเพราะรู้ว่าไม่มีประโยชน์ที่จะอยู่รอ อีกอย่าง...ผมก็ไม่อยากจะวิ่งหนีนักข่าวเหมือนคราวนั้นอีก....ขายาวก้าวเดินวนไปวนมาอยู่ภายในห้องก่อนจะเหลือบมองนาฬิกาเป็นระยะๆ ก็รู้ดีอยู่หรอกนะว่าหลังคอนเสิร์ตแบบนี้มักจะมีงานฉลองกัน ผมเองก็เคยกลับเกือบเช้ามานักต่อนัก
แต่พอเป็นเจ้ากระต่าย ผมกลับห่วงเขาจนอยู่ไม่สุข นึกถึงเสียงเปียโนเพลงนั้นที่เขาเล่นให้ผม มันยิ่งทำให้ใจผมยิ่งอัดแน่นไปด้วยความต้องการ ความโหยหา ยิ่งนึกถึงภาพของเขาที่เล่นเปียโนด้วยสีหน้ามีความสุขราวกับจะประกาศให้คนรู้ทั้งโลกว่าเพลงๆนั้นมันเป็นของผม ผมยิ่งอยากจะกอดเขาเอาไว้ให้แน่นๆ อยากจะรักเขาจนเราหลอมละลายเข้าด้วยกัน
นี่ผมคงจะเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ...
ในที่สุดก็ทนไม่ไหวจนตัดสินใจคว้ากุญแจห้องแล้วเดินออกมา ผมรู้ดีว่าไม่ควรจะโทรไปหาในระหว่างที่เขากำลังสังสรรค์กัน เพราะแบบนั้นจึงได้แต่กำโทรศัพท์มือถือเอาไว้ และเมื่อเดินลงมาถึงล็อบบี้ของคอนโด ผมก็ทิ้งตัวนั่งลงไปในโซฟารับแขกซึ่งร้างไร้ผู้คน...แน่ละ...ก็ตอนนี้มันตีสองกว่าไปแล้ว ใครที่ไหนจะยังลงมานั่งเล่นอยู่แถวนี้อีก
ถึงแม้แผ่นหลังจะเอนพิงผนังเบาะนุ่มนิ่ม แต่ใบหน้าของผมก็ยังคงเหลือบมองไปที่ประตูเป็นระยะๆ ท่าทางผมจะเป็นเอามากนะ ตอนนี้ข้างในใจนั้นมีครบเลย กังวลเพราะห่วง ร้อนใจเพราะหวง อยากเจอเจ้ากระต่ายให้เร็วที่สุดก่อนที่ผมจะคลั่งไปมากกว่านี้...ไม่ไหว...เขาวางยาอะไรไว้ที่ตัวผมกันนะ
เสียงรถจอดที่หน้าประตูคอนโดทำให้ผมเด้งตัวออกมาจากโซฟา สายตาพยายามมองหาว่าคนที่กำลังก้าวลงจากรถใช่คนที่คุ้นเคยหรือเปล่า
เส้นผมสีเงินที่ยังคงเป็นประกายระยิบระยับท่ามกลางแสงไฟถนนสลัวๆนั่นไม่ต้องบอกก็รู้ว่า เป็นเจ้ากระต่ายแน่ๆ และรถที่มาส่งนั้นก็คุ้นตาดี เพราะเป็นรถของผู้จัดการสาวนั่นเอง...แต่ทว่า...สิ่งที่ไม่คุ้นตาผมในตอนนี้ก็คือ ชาวอิตาลีร่างยักษ์ที่ลงมายืนส่งเจ้ากระต่ายด้วยนั่นต่างหาก...
มิสเตอร์ ริชาร์ด อาจารย์ผู้ฝึกฝนเปียโนให้กับเจ้ากระต่าย
ผมก็รู้ดีว่าไม่ควรไปแอนตี้เขา แต่พอได้เห็นรอยยิ้มจากริมฝีปากที่เคลือบไปด้วย “ลิปสติก” ของเจ้ากระต่ายที่มีให้แก่ชายคนนั้น ผมก็อดที่จะหวงไม่ได้ ท่อนแขนที่เคยเล่นเปียโนแสนไพเราะเมื่อชั่วโมงก่อนหน้ากำลังโอบกอดร่างบอบบางอย่างเป็นกันเอง ผมก็รู้...ว่ามันเป็นแค่การทักทายหรือการกล่าวลาอย่างหนึ่งของชาวต่างชาติ
แต่ตอนนี้ผมกำลังหน้ามืด
ทันทีที่เจ้ากระต่ายเดินเข้ามาในคอนโด มือของผมก็คว้าไปที่ข้อมือของเขา เจ้าตัวดูจะตกใจไม่น้อยที่ผมมายืนอยู่แถวนี้ แต่ผมก็ไม่อธิบายอะไร ได้แต่ลากเขาให้เดินตามมา
“ อ๊ะ...เป็นอะไรเนี่ย...ยามา...โมโตะ ?” เขาถามผมด้วยความสงสัยในขณะที่ผมดันตัวบางๆของเขาเข้าไปในห้องอย่างรีบร้อน ผมจะบอกเขายังไงดีว่าตอนนี้ผมกำลังต้องการเขาอย่างที่สุด จะบอกเขายังไงดีว่าจู่ๆผมก็รู้สึกว่าผมรักเขามาก มากจนอยากจะครอบครองเขาเอาไว้คนเดียว ทั้งวัน...ทั้งคืน
“ ดะ เดี๋ยวก่อน...” ยังไม่ทันที่เจ้ากระต่ายจะได้ทันตั้งตัว ผมก็คว้าเอาตัวเขาให้ขึ้นไปนั่งบนเคาน์เตอร์ครัว
“ อื้อ! ดะ....” เขาพยายามห้ามผมเพราะยังไม่รู้ว่าผมเป็นอะไร แต่ริมฝีปากของผมก็ไม่ปล่อยให้เขาซักถามอะไร มันจงใจจูบด้วยความเร่าร้อน ส่วนมือก็ปลดเข็มขัดก่อนจะรูดกางเกงตัวเล็กออกไปจากท่อนขาเรียว
“ อึก...” และไม่มีแม้แต่เรียวนิ้ว...ผมสอดใส่ความเป็นชายเข้าไปโดยไม่ได้เล้าโลม ท่อนขาขาวสั่นเกร็ง ท่อนแขนบางโอบรอบคอผมอย่างหาหลักยึด ใบหน้าสวยบิดเบี้ยวด้วยความคับแน่น....อ้า...แต่มันกลับทำให้ผมรู้สึกดีสุดๆ
“ อื้อ!” ผมขยับโดยไม่รอเขา มือบางจึงกำมาที่ท้ายทอยของผม ใบหน้าสวยเชิดขึ้นอย่างพยายามผ่อนลมหายใจ
“ อ้า...” อาจจะเป็นเพราะผมทำเขาบ่อย ไม่นานเขาจึงเริ่มผ่อนคลาย ช่องทางที่คับแน่นในตอนแรกจึงค่อยๆขยายมากยิ่งขึ้น น้ำตาเม็ดเล็กถูกลิ้นร้อนของผมแล่บเลียไป นัยน์ตาสีมรกตสั่นสะท้านหวานเยิ้มเริ่มจะเข้ากับเสียงครางแผ่วเบา
“ อะ...อ้า...ฮ้า...อะ ยะ...ยามะ...อ้า” ผมสอดมือเข้าไปประสานกับมือของเขาข้างหนึ่งก่อนจะยันมันไว้ที่เคาน์เตอร์แกรนิตสีดำสนิท โดยปล่อยมือบางอีกข้างเอาไว้ที่ท้ายทอยของผมตามเดิม ใบหน้าของผมยื่นเข้าไปคลอเคลียใบหน้าเนียน เช่นเดียวกับท่อนล่างที่ขยับเข้าออกอย่างหนักหน่วง
“ อึก....อ้า...ดะ เดี๋ยวก่อน....เบาๆ...แบบนี้มัน...เจ็บ...” เสียงตะกุกตะกักเอ่ยบอกผสมไปกับเสียงคราง...ผมทนไม่ไหว....ผมรอไม่ได้....ผมไม่ได้พูด ผมไม่ได้บอกอะไรกับเขา ผมบอกทุกอย่างผ่านร่างกาย ซึ่งเขาคงจะเข้าใจได้อย่างดี ว่าผมต้องการเขามากแค่ไหน
“ อ๊า.......” และถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าผมเป็นอะไร แต่เจ้ากระต่ายก็ยอมตามผมไปจนจบ
“ แฮ่ก...แฮ่ก.....ทีนี้...จะบอกได้รึยัง....ว่าแก...เป็นบ้าอะไร...” เขาพูดไปหอบไป แกนกายของผมยังอยู่ในร่างของเขาทั้งๆที่หน้าผมก็ซบลงไปที่ไหล่บาง
“ อยู่ดีๆ ก็รู้สึกว่ารักจนไม่รู้จะทำยังไง....นายเคยเป็นแบบนี้บ้างหรือเปล่า...” ผมตอบอู้อี้ เพราะชักจะอายตัวเองที่เป็นเอามากขนาดนี้ ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักดังมาจากคนที่ยังอยู่ในความครอบครองของผม
“ ไอ้บ้า...แกก็เลยมาข่มขืนชั้นงั้นสิ? ถ้าไปทำแบบนี้กับคนอื่นละก็ ติดคุกหัวโตนะจะบอกให้!” แปลว่าทำกับนายไม่เป็นไร?
“ เป็นความผิดนายนั่นแหละโกคุเดระ...อยากมาทำให้ชั้นรักทำไม...เพราะงั้นนายต้องรับผิดชอบ” ได้ยินเสียงด่าด้วยใบหน้าแดงเถือกของเจ้ากระต่าย แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจและยังคงอุ้มเขามุ่งหน้าสู่เตียง
ผมชักจะสงสัย...ว่าเขาจะรับผิดชอบไหวไหมนะ กับความต้องการที่ไม่มีที่สิ้นสุดของผม
‘กลับถึงบ้านเมื่อไหร่ เจอดีแน่แก!’
ผมนั่งอมยิ้มกับเมสเซสข่มขู่ที่ได้รับ คราวนี้ผมไม่สงสัย ว่าเมื่อคืนคงจะหนักไปจริงๆ จนกระทั่งเสียงกระแอมกระไออย่างจงใจของคนที่ยืนเพ้ออยู่หน้าห้องประชุมนั่นทำให้ผมจำต้องเก็บมือถือแล้วหันไปสนใจการประชุมต่อ
“ มีใครจะเสนออะไรอีกไหมครับ?” เสียงของผู้จัดการวงดังขึ้นมาจากด้านข้าง ทำให้เจ้ามือกีต้าที่ยังยืนอยู่ข้างหน้ายกมือขึ้นทันที
“ คึหึหึ...ผมคิดว่า...อิมเมจของซิงเกิลนี้ควรจะเปลี่ยนจากหลุยส์ที่14 ไปเป็นทางเอเชีย อย่างราชสำนักจีนก็อลังการดีนะครับ....ผมมีตัวอย่าง....”
“ ปิดการประชุมแค่นี้แหละครับ! ขอบคุณทุกๆคนมาก!” แล้วก็เป็นสึนะที่ลุกขึ้นจบการเพ้อฝันของเจ้ามุคุโร่...จะว่าไปเราก็ไม่เคยใช้อิมเมจหลุยส์ที่14อะไรนั่นของมันมาตั้งแต่แรกแล้ว แล้วจะให้เปลี่ยนอะไร? เอาเป็นว่าการประชุมเกี่ยวกับแนวทางของซิงเกิลใหม่ในวันนี้ก็จบลงด้วยดี ไม่มีการนองเลือดอย่างที่ผ่านๆมา ด้วยไอ้ตัวต้นเหตุได้หนีไปนั่งบ่นงึมงำเป็นเงาดำๆอยู่ในมุมมืดเป็นที่เรียบร้อย
ผมปล่อยเจ้าพวกนั้นไว้ในห้อง ก่อนที่ตัวเองจะเดินฮั่มเพลงอารมณ์ดีออกมาจากสตูดิโอ วันนี้จะได้กลับเร็ว...ไม่รู้ว่าป่านนี้เจ้ากระต่ายจะลุกขึ้นมาได้หรือยังนะ
แต่แล้วมือที่กำลังจะไขกุญแจรถจำต้องหยุดชะงัก เมื่อรู้สึกถึงของแข็งอะไรบางอย่างจ่อมาที่เอวทางด้านหลัง เงาร่างสูงใหญ่ยืนประกบผมเอาไว้ ภายในใจเริ่มจะหวาดหวั่นเมื่อค่อยๆเหลือบไปมองที่ของสิ่งนั้นแล้วพบว่ามันคือ...
กระบอกปืน.....
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
To be Continue
เหะ เหะ เหะ....ไม่ได้เจอกันซะนานนนนน.....เป็นยังไงกันบ้างเอ่ย
นอกจากฟิกแล้วยังมีไอ้นี่มาฝากอีก สำหรับคนที่ไม่ได้ตามเฟสบุคข้าพเจ้า ฮี่ๆๆ แต่ว่าอันนี้ก็ปรับให้คมชัดกว่าตอนที่ลงเฟสอ่ะนะ ใหญ่กว่าด้วยละ จิ้มที่รูปโล้ด
เป็นผังคอนโดที่เคยบอกว่าสเก็ตซ์ไว้ตอนเริ่มแต่ง แต่ตอนนั้นลายเส้นชั่วร้ายมากเลยไม่เอามาลง พอดีว่ามีเวลาอยู่กับตัวเองบ้างอะไรบ้างเลยไปคุ้ยมาเขียนใหม่ เส้นก็ยังชั่วร้ายเหมือนเดิม ดูดีขึ้นมานิดนึงเนอะ 555 คือมันขี้เกียจขยับร่างกาย เลยขึ้นมือสดๆบนกระดาษและโต๊ะญี่ปุ่นบนที่นอน = = (แทนที่จะไปนั่งที่โต๊ะดร๊าฟ...แต่ไม่คิดจะเขียนด้วย Auto Cad นะ...กลัวเพลิน ฮ่าๆๆ เดี๋ยวนึกครึ้มลากไปขึ้นสามมิติใน Sketch up แล้วจะยุ่ง ยิ่งออกทะเลง่ายๆอยู่ตรู...) ก็...เป็นผังห้องของยามะและก๊กในเรื่อง Lipstick ค่ะ สเกลก็น่าจะใกล้เคียงกับความเป็นจริงอยู่ละนะ แต่ที่มันเบี้ยวบ้างอะไรบ้างก็เพราะว่าไม่ได้ใช้สเกลกับไม้บรรทัดเลยนั่นแหละ อย่างที่บอกมีแค่กระดาษกับดินสออยู่ในมือ 555 ขี้เกียจได้อีก
พอจะดูออกกันไหม ว่าตรงไหนเป็นอะไร *w* อันนี้เป็นภาพจากมุมบนมองลงไปค่ะ จะอะไรไม่รู้ละรู้แค่ว่าเตียงยามะมัน “คิงไซส์” ส่วนเตียงก๊ก “ควีนไซส์” ก็พอ ครึ ครึ นี่หนูไม่ได้จงใจอะไรเลยนะ...ขนาดห้องนอนมันยัดได้แบบนี้อ่ะ....จริงจริ๊ง...
คึหึหึ...ว่าแต่ ทิ้งตอนที่ 4 เอาไว้ซะน่าตกอกตกใจ แล้วมันมาเป็นแบบนี้นี่จะมีใครปาหม้อไหกะละมังอะไรมาให้ไหมนะ กร๊ากกกกกก ก็แบบ.....มันเบื่อแล้วอ่ะ พล็อตประมาณดาราต้องโดนจับได้ว่าแอบคบกันอยู่ จากนั้นก็แฟนๆไม่พอใจทำให้ชื่อเสียงตก โดนยกเลิกงาน ดราม่ารอบด้านอะไรแบบนี้ ^ ^” เพราะงั้นพอลงมือแต่ง “ลิปสติก” ก็เลยตั้งใจว่าจะไม่ใช้ละพล็อตนั้น ถึงในฟิคเรื่องนี้มันจะดูเว่อร์ๆเกินกว่าความเป็นจริง...ก็อีกนั่นแหละ เรื่องนี้ไม่ได้แต่งให้มันอยู่ในโลกของความเป็นจริงแบบ IF ; I LOVE อ่ะนะ เพราะงั้นเลยไม่ได้ซีเรียสอะไรขนาดนั้น
หึหึ.....ก็ตั้งใจให้มันเซ็กซี่ ตั้งแต่ชื่อเรื่องยันพล็อต เพราะงั้น....หลบๆซ่อนๆแบบนี้แหละ....เร้าใจดี...ฮิ้ววววว (อินี่....)
สุดท้าย.....เห็นภาพนี้กันรึยางงงงงง ....เอามืออุดปากไว้ก่อน
มิใช่โดจิน.....ไม่ใช้สแตนอิน......ยามะก๊ก....ตัวจริงเส้นจริง....กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด
364 ค่ะ *w*
ยังคงยืนยันว่าหน้ายามะกับทูน่าแม่งน่าใส่ซับนรกมากกกกก คึหึหึ....
สองตอนติดอ่ะค่ะคุณแม่ขา...โฮกกกกกกกกกกกกกกกก ชาบูๆๆพระเจ้าอามาโนะ อร๊ายยยย (ตอนก่อนหน้าก็ไอ้รูปบะเอ้งที่แปะอยู่หน้าโกดังไง เหอ....)
ลาตายอย่างสงบ....>w<....อัพ "ลิปสติก" เพราะอยากสครีมตอน 363 กับ 364 นี่แหละค่ะ ไม่ไหวแล้วอ่า...อ.อามาโนะขา...หนูจะโดนรถชนตายเพราะมัวแต่จิ้นยามะก๊กนี่แหละเค่อะ....ซับเลือด (จิ้นอะไรของมันอยู่วะ?)
หื๋อ? ยังตายไม่ได้สินะ เพราะว่ายังลง “ลิปสติก” ไม่จบ ฮี่....ไหนว่าจะลงพร้อมกันไงเฮ้ย....หนีดีกว่า.....
ปล.ตอนนี้ซ่อนประปรายหน่อยนะคะ ทางที่ดีก็ครอบมันทั้งหมดแล้วค่อยอ่านจะดีกว่า (ทำไมเพิ่งมาบอกวะคะ?!)
งื้อออออออออออ นึกว่าจะดราม่าความแตก อะไรเถือกนั้นซะอีก กร๊ากกกกก ใช่เลย แอบดักทางไว้ใช่ม๊าาา ปกติมันก็คงเป็นแนวๆนั้น ใช่มั้ยหล่า
ตอบลบแต่หวยมาออกที่พล็อตแบบนี้ก็เหมาะสมแล้วกับลิปสติก อิอิ
ที่ผ่านมาไปอ่านนิยายที่เล้าเป็ด มีเรื่องนึงเป็นดาราแล้วต้องหลบๆซ่อนๆแบบนี้เลย กร๊ากกกก ถูกใจ ตอนที่อ่านนิยายเรื่องนู้นก็แอบนึกถึง ลิปสติกด้วยล่ะ ฮ่าฮ่า
ยกถือถามก๊ก อิเนียนมันถามไปทำไปให้เล่าไปด้วย ไหวหรอก๊ะ มีสติครบถ้วนหรอก๊ะ กร๊ากกกกก ถูกใจแม่ยก เนียนอัพเวลความหื่นนนน ฮ่าฮ่า
ไอ้ช่วงก๊กไม่ขึ้นเวที เก๊าก็นึกว่าตื่นเวที กะจะให้ยามะไปมอบกำลังใจอีกสักรอบ แต่ผิดคาด ก๊กเกิดนึกเกรียนขึ้นมาไม่อยากเล่นเฉยๆเพราะไม่อยากให้พ่อฟัง ฮ่าฮ่า แต่อยู่ดีดีพอถึงเวลา กลับไม่ต้องเกลี้ยกล่อมขึ้นเล่นเองเฉยๆ แถมยังมาสั่งอีก เอ้อ คนสวยน่ารักอารมณ์แปรปรวนดีจริงๆ น่าร๊ากกกกกก
แล้วยามะก็กลับมาสงบสติได้ไม่เท่าไหร่ แหม รู้งี้ไม่แอบดักรอแล้วฉุดกระต่ายน้อยขึ้นรถกลับบ้านไปเลยเล่าจะได้ไม่ต้องมารอกระสับกระส่าย เอิ้กส์ๆ และแล้ว ที่เคยเปรยๆไว้ไม่ต้องเล้าโลมก็มาแล้ววว กรี๊ดดดดดดดดดด ซับเลือดด ร้อนแรงจริงจังนะคะคุณมือเบสรูปหล่อ แอบเป็นห่วงกระต่ายนิดนึงนึกว่าจะบาดเจ็บแต่ว่าก็โอเคสินะ รักกันบ่อยสิท่าา อร๊ายยยยย สครีมมมมม ไม่เอาไม่พูดด ฮ่าฮ่า
อ่ะ คู่หลักผ่านไป ขอเม้าท์ถึง 182769 สักหน่อย คุณมุ๊~~~จะรั่วไปไหนค๊าาา โพล่มาแต่ละทีจะฮาไปหนายยยย คุณฮิก็คอยกัดกัน กร๊ากกกก สึนะก็คอยห้าม เริ่ดมากค่ะคู่สามพีนี่สุดๆ ฮ่าฮ่า
ปล.ใครมาจ่อปืนกันค๊า คุณพ่อหวงลูกหรือป่าว คึหึหึ (สถานการณ์เดาได้ว่างั้นนะ ^^) รออ่านตอนต่อปายยยยยยยย ลุ้นๆๆ
แฮ่กๆๆๆๆ กว่าจะคลานตามมาอ่านได้ถึงที่นี่ลำบากน่าดูเลยค่ะ(ที่โรงเรียนมันยุ่งมากจนไม่มีเวลาแวะเข้ามาเม้นเลย...ฮือออออออออออออ)
ตอบลบคึๆๆๆ เข้ามาตอนนแรกพออ่านประโยคที่คุณมุพูดนี่ตกใจจริงๆค่ะ
ตอนแรกก็คิดว่าบรรดาแฟนคลับรู้เรื่องที่ยามะกับก๊กเป็นแฟนกันแล้ว!?
(ได้กลิ่นดราม่ามาแต่ไกลๆ)
แต่พออ่านไปอ่านมาก็ไม่ใช่ (แอบโล่งใจ)
ผมจะเลือกเขา...มากกว่าอนาคตในวงการดนตรี....
เค้าต้องกรีดร้องให้กับประโยคนี้เป็นล้านรอบแล้วค่า
ยามะนายแน่มาก!!! นี่แหละสามีในอนาคตของก๊ก!!!
อืมๆๆๆ ชอบความรักแบบหลบๆซ่อนๆของก๊กกับยามะแบบนี้จังเลยค่ะ!
แต่ส่วนที่ชอบที่สุดของเรื่องก็คงจะเป็นตอนที่เนียนมันร้องโซ่โล่เพลงที่แต่งขึ้นกับก๊กอ่ะค่ะ
อ๊ากกกกกกกกก มันเป็นเพลงของเราสองคนเท่านั้นสินะ
น่ารักมากๆๆๆๆๆๆๆเลย ตอนที่ยามะร้องเพลงให้ก๊ก ความรู้สึกมันประมาณว่าบนโลกทั้งใบนี้มีแค่เราสองคน!!!
แต่แอบโกรธยามะเล็กน้อย ไม่ได้รู้ถึงความหวังดีของก๊กคุงเลย คนเขาอุตส่าห์เอาช่อดอกไม้มาให้ ชิ ตอนนั้นอยากจะลุกไปตั้นหน้าเนียนจริงๆค่ะ แกกล้าดียังไงทำก๊กร้องไห้!!!
(ของมันแน่อยู่แล้ว ยังไงคนง้อก็ต้องเป็นแกอยู่แล้วยามะ!!!)
ชอบอ่าชอบ อ่านกี่ทีก็ชอบฟิคเรื่องนี้อ่า
อ่านแล้วความหวานของยามะกับก๊กมันละลายออกมาหน้าจอคอมเลยค่า~
เวลาผ่านไปมันทำให้ความรักที่ยามะมีให้ก๊กเพิ่มมากขึ้น
ก๊กก็ดูว่าง่ายมากขึ้นด้วย ดูเผินๆแล้วเหมือนยามะจะกลายเป็นผู้ปกครองจำเป็นของก๊กเลย(บางครั้ง)
แล้วความสัมพันธ์ของสองคนนี้ก็ดูจะลึกซึ้งมากกว่าเดิมด้วย ประมาณว่าไม่ต้องพูดอะไรมาก ยังไงเราก็รู้ๆกันอยู่ กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!
ประกาศให้คนทั้งโลกรู้ไปเล้ยยามะ ว่า ก๊กเป็นของผม!!!
(โบกธง สนุบสนุนสุดหูรูด)
แอบหวั่นๆใจเหมือนกันค่ะ คิดว่าคนที่มาดูก๊กจะเป็นแฟนเก่าซะอีก แหม...ที่แท้ก็เป็นคุณพ่อนั่นเอง
แหมๆๆๆจะเล่นเพลงๆนั้นให้ยามะสินะค้ะ น่ารักจริงจร๊ง
ส่วนตัวแล้วเค้าว่าความคิดจิตใต้สำนึกของยามะมันค่อนข้างจะหื่นยังไงชอบกล
อาการรักก๊กเริ่มกำเริบอีกแล้วสินะ (หึงใครไม่เลือกหน้าจริง)
กดกันแบบไม่ต้องเล้าโลมเลยสินะค้ะ ท่าทางจะมีอะไรกันบ่อยแน่เลย คึๆๆๆ
แหมๆ ไม่เล้าโลมแบบนี้ลองกดกันแบบsmดูไหมค้ะ (โดนเตะ)
ขอเดานะค้ะ คนที่เอาปืนมาจ่อยามะต้องเป็นคุณพ่อบังเกิดเกล้าของก๊กแน่ๆเลย เหตุเกิดจากการหวงลูกสาว (เอ๊ะ รึว่าเราจะเดาผิด)
บางทีงานนี้ยามะอาจจะต้องพิสูจน์ตัวเองให้คุณพ่อเห็นซะแล้วว่าตัวเองนี่แหละเหมาะที่จะเป็นสามี(?)ของก๊กที่สุด
คลานไปอ่านตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ดีกว่า หึๆ
บ...บนเค้าท์เต้อร์ครัว*เลือดพุ่ง*
ตอบลบลืมไปแล้วว่าอ่านค้างไว้ถึงไหนเลยไล่ย้อนอ่านใหม่
เสียเลือดทันทีทันใดเลยค่ะ ฮาาาา
คือ ณ จุดนี้ยามะไม่ได้แค่รักก๊ก
แต่เรียกว่าหลงหัวปักหัวปำเลยมากกว่านะคะเนี่ย
เจ้นตัวหื่นเนียนนั่นโดนป๊ะป๋าจี้ข้อหายุ่งกับลูกสาว(?)กำนัน เอ้ย มาเฟียแน่ๆเลยยยย555555555
"เพลงของเรา"
ตอบลบหวานเว่อออออ
การมีคนรักเป็นนักดนตรีมันดีตรงนี้นิเอง
มีเพลงของเราไว้เล่นให้กันและกัน
เค้าน์เตอร์ครัวเรียกเลือดได้ดีทีเดียวค่ะ//ปาดเลือด
แฟชั่นล้ำไปนะมุ
หลุยส์ที่สิบสี่หรือราชสำนักจีนก็ใส่เล่นเพลงร็อคไม่ได้ทั้งนั้น
ม้นไม่ได้จริงๆ สงสารแฟนเพลงเถอะ
เฮ้ยยยยยย
ใครเอาปืนมาจ่อยามะ
ลุ้นค่ะ!!!
ชอบมากค่ะะะ หึงดุมาก เอวก้ดุ
ตอบลบ