KHR S.fic [1896] Kizuna...แปลว่า...สายสัมพันธ์


 KHR S.fic [1896]   Kizuna...แปลว่า...สายสัมพันธ์ 


: KHR Fanfiction
: Hibari Kyoya x Dokuro Chrome
: PG
: Romance


คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักหญิง หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ (เฮ้ย!!! จะเตือนทำไมวะ!!! ชายรักหญิงมันก็ถูกแล้วนิ)










....ตั้งแต่ลืมตาขึ้นมา...รู้จักแต่คำว่าโดดเดี่ยว....

....ตั้งแต่ลืมตาขึ้นมา...รู้จักแต่คำว่าโดดเดี่ยว....





....คนที่จะเหลียวมองมีแต่แววตาหวาดผวา....

....คนที่จะเหลียวมองมีแต่สายตาเอือมระอา....





....ทางข้างหน้าก็คงจะเดินตามลำพัง.....

....ทางข้างหน้าหวังแต่ว่า...จะไม่ได้เดินตามลำพัง....









สายฝนโปรยปรายตั้งแต่เช้าจนสายก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะหยุดตก...สภาพอากาศที่มืดมัวทำเอาหมู่เมฆานั้นมืดครึ้ม....


มือใหญ่ปัดละอองฝนออกจากเส้นผมสีดำสนิทที่ปรกละใบหน้า ก่อนที่จะกวาดสายตาไปรอบๆตัว....วันนี้เป็นวันหยุด....เขาจึงไม่จำเป็นต้องรีบไปขย้ำไอ้พวกสัตว์กินพืชอ่อนแอที่ชอบทำตัวผิดระเบียบของโรงเรียนตั้งแต่เช้า  ขาเรียวยาวก้าวเดินอยู่ท่ามกลางเสียงของสายฝน รอบกายยังคงนิ่งสงบเพราะคงไม่มีใครคิดจะออกมาเดินตากฝนตั้งแต่เช้าแบบเขาแน่


ทุกจังหวะการก้าวเดิน ชายเสื้อกักกุรันสีดำสนิทที่พาดอยู่ที่หัวไหล่ก็โบกสะบัดไปมา....พร้อมกับหยดน้ำหยดแล้วหยดเล่า.......ไม่ชอบกางร่ม.......เพราะมันคือการป้องกันของคนที่อ่อนแอและน่ารำคาญ


ข้างหน้าคือสวนสาธารณะซึ่งวันนี้คงไม่ต้องเป็นกังวลว่าจะเป็นแหล่งรวมตัวของพวกสัตว์กินพืชมากเกินจำเป็น...กิ่งก้านของต้นไม้ที่รู้จักดียื่นออกมาอยู่ในสายตา....อีกไม่นานมันก็จะออกดอกบานสะพรั่งเต็มต้น....เมื่อก่อนเขาเคยชอบมัน...แต่ตอนนี้แค่เห็นก็อยากจะฟาดฟันให้มันล้มไปทั้งต้น....


......ซากุระ....


เพราะมันทำให้นึกถึงความพ่ายแพ้และความอัปยศซึ่งหมอนั่นยัดเยียดมาให้ ใบหน้าเรียวและดวงตาสองสีที่จะไม่มีวันลืม.....โรคุโด มุคุโร่....คนที่เขาเกลียดจนอยากจะขย้ำให้ตายซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ไม่มีวันสาสม


ขาที่เกือบจะก้าวเดินผ่านไปกลับหยุดชะงักลงตรงหน้าสวนสาธารณะ


ใบหน้าเล็กๆของเด็กสาวตัวเล็กๆที่เขาจำได้ไม่มีวันลืมไม่ต่างไปจากดอกซากุระ....เด็กผู้หญิงที่เป็นร่างให้แก่ชายที่เขาเกลียด....


ร่างเล็กๆนั่งกอดกระเป๋าอยู่บนชิงช้าเพียงลำพัง....


ดอกไฮเดรนเยียสองสีแย้มบานเป็นฉากหลัง ท่ามกลางสายฝนที่โปรยปราย....


กับสายตาเศร้าหมองที่ทอดมองที่พื้นดิน....


ถ้าเขาคือ ซาวาดะ สึนะโยชิ เขาคงจะเดินเข้าไปหาโดยที่ไม่ลังเล


แต่เพราะเขาไม่ใช่....และไม่ใช่ธุระอะไรที่จะต้องเดินเข้าไปหาคนที่เป็นดั่งตัวแทนของคนที่เขา “เกลียด”


สองขาจึงก้าวเดินจากไป โดยไม่แม้แต่จะเหลียวกลับมามอง....















สายฝนโปรยปรายตั้งแต่เช้าจนสายก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะหยุดตก...สภาพอากาศที่มืดมัวทำเอาหมู่ม่านหมอกนั้นจางหาย....


….ท่านมุคุโร่.....


....ท่านอยู่ที่ไหนกัน....


หลายวันมาแล้ว.....ไม่ว่าจะพยายามเรียกสักแค่ไหน ก็ไร้ซึ่งเสียงตอบรับกลับมา....ไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า...


เคนกับจิคุสะเองก็ออกเดินทางไปวินดีเช่ทันที เพื่อจะแอบสืบให้รู้...ว่าท่านมุคุโร่ยังปลอดภัยดีหรือไม่....ได้แต่ภาวนาให้มันเป็นเพียงการเดินทางไกลเพียงเท่านั้น...


ทั้งๆที่อยากจะไปด้วยแต่สายตาที่มองมาว่าเราคือตัวภาระนั้นก็ทำให้ไม่กล้าที่จะเอ่ยปากว่าอยากไปด้วย ก่อนที่ทั้งคู่จะจากไปได้แต่หันมาสั่งเอาไว้ว่าให้เรามาที่นามิโมริ...ให้มาอยู่ใกล้ๆบอส...


แต่จะทำอย่างนั้นได้อย่างไร ในเมื่อเราไม่อยากจะเป็นตัวภาระให้ใครอีก...


มือเล็กปัดละอองฝนที่อยู่บนเส้นผมสีม่วงเข้ม แล้วคว้ากระเป๋ามากอดเอาไว้แน่นดังเดิม ตัดสินใจใช้สวนสาธารณะไร้ผู้คนแห่งนี้เป็นที่อาศัยในวันแรกที่ต้องอยู่ที่นี่....เพราะวันนี้ฝนตก คงไม่มีใครออกมาถามไถ่ว่าเราเป็นใครทำไมไม่กลับบ้าน....


น้ำหยดเล็กหยดลงจากชายกระโปรง........ไม่คิดที่จะกางร่ม........เพราะเป็นสิ่งที่ไม่เคยใช้และไม่เคยรู้จัก.....สิ่งของง่ายๆที่มีไว้สำหรับปกป้องของที่รัก....


เลือกที่จะนั่งลงบนชิงช้าแล้วหันหน้าเข้าหาต้นซากุระ....ต้นไม้ที่รู้เพียงว่ามีชายคนหนึ่งเกลียดมันเข้าไส้เพราะมันทำให้นึกถึงท่านมุคุโร่...


ใครหลายคนอาจจะเกลียดท่าน....แต่สำหรับเราแล้ว....ท่านมุคุโร่คือคนที่ให้ชีวิตใหม่ ให้สิ่งที่ไม่เคยคิดว่าจะมีได้อย่างคำว่าเพื่อนและพวกพ้อง ให้ความไว้เนื้อเชื่อใจและให้เส้นทางที่จะไม่ต้องเดินอยู่ตามลำพัง...


ท่านมุคุโร่....


ตอนนี้ท่านอยู่ที่ไหนกัน....


ได้โปรด....ตอบมาสักคำ....ได้โปรด.....


ทอดสายตามองลงมายังพื้นดินที่ชุ่มแฉะ....เสียงสายฝนเปาะแปะทำให้ไม่รู้เลยว่ามีใครบางคนมองมาแล้วเดินจากไป


















วันนี้ไม่มีสัตว์กินพืชออกมาให้ขย้ำ...เขาเลยหงุดหงิด


ไม่เกี่ยวกับภาพที่ได้เห็นที่สวนสาธารณะเมื่อกี้นี้หรอก...ไม่ใช่......มันต้องไม่ใช่....ดวงตาที่เศร้าสร้อยคู่นั้นมันก็แค่วนเวียนอยู่ในหัวแล้วก็คงจะจากไปในไม่ช้า....


ไม่ใช่....


มันไม่ยอมหายไป!


ขาที่พาเขาเดินตรวจตราไปทั่วเมืองนั้นวกกลับมาที่ทางเดิม ถนนยังมีรถราและผู้คนบางตา...สายฝนยังโปรยปรายลงมาไม่หยุด...มองเห็นร่มสีดำคันใหญ่อยู่ที่อีกฝั่งถนน...


โกคุเดระ ฮายาโตะ กับยามาโมโตะ ทาเคชิ กำลังเดินอยู่ภายใต้ร่มคันนั้น อีกคนก็ยิ้มรับคำด่าที่อีกคนส่งมา จนนัยน์ตาสีมรกตเหลือบมาเห็นเขาเข้าจึงเปลี่ยนเป้าหมายมาด่าเขาแทน มือเล็กๆนั่นล้วงลงไปในกระเป๋าพร้อมกับไดนาไมต์ที่ติดออกมา....หึ...ดีเหมือนกัน ขย้ำไอ้พวกนี้เล่นให้หายหงุดหงิดก็ท่าจะดี....แต่ก่อนที่เขาจะได้ชักทอนฟาออกมา...เจ้าคนอารมณ์ดีที่อยู่ข้างๆก็ยึดไดนาไมต์และลากร่างบางๆนั่นไปเสียก่อน.....เดินจากไป.....สองคนแต่ร่มคันเดียว....


และแล้วขาก็กลับมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าสวนสาธารณะอีกครั้ง....


เด็กคนนั้นยังนั่งอยู่ที่เดิม.....  

















มือเล็กยกขึ้นลูบใบหน้าให้หยดน้ำที่เกาะพราวร่วงกราวลงไป....สวนนี้ก็ยังคงไร้ผู้คน....


ได้ยินเสียงคนเถียงกันจึงได้เงยหน้าขึ้นมอง....ร่มสีดำคันใหญ่เคลื่อนที่ช้าๆอยู่ที่หน้าสวนสาธารณะ


คุณวายุกับคุณพิรุณ กำลังเดินอยู่ภายใต้ร่มคันนั้น อีกคนก็ยิ้มรับคำด่าที่อีกคนส่งมา จนนัยน์ตาสีเปลือกไม้เหลือบมาเห็นเราเข้าจึงยกมือขึ้นโบกทักทายพร้อมรอยยิ้มที่ส่งมาให้...คุณวายุถามว่ามานั่งทำอะไรก็ได้แต่ส่ายหน้าตอบกลับไป...นัยน์ตาที่มองมาเต็มไปด้วยความสงสัยมากกว่าจะเอือมระอาหรือคิดว่าเราคือตัวภาระ...คุณพิรุณส่งยิ้มมาให้และบอกว่ากำลังจะไปบ้านบอส ถามว่าจะไปด้วยกันไหม....เราไม่อยากเป็นตัวภาระจึงส่ายหน้าปฏิเสธไป...ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินจากไปคุณวายุตะโกนบอกว่า ถ้าไม่รู้จะไปไหนก็ให้ไปกินซูชิฟรีที่ร้านตรงหัวมุมถนนได้.....ความใจดีของทั้งคู่ทำให้ใบหน้าร้อนผ่าว....แล้วเสียงหัวเราะรับเสียงด่าก็ค่อยๆจางหายไป.....ภายใต้ร่มคันเดียว....


ขอบคุณท่านมุคุโร่....ที่ทำให้เราได้รู้จักพวกเขา....


แต่ความอบอุ่นใจก็จางหายไปเมื่อความกังวลยังคงวนเวียนอยู่รอบกาย....สายตาที่ทอดมองลงพื้นดินกลับมาหม่นหมองดังเดิม....


ไม่นานก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นอีกครั้ง แต่มันก็รวดเร็วเกินกว่าที่จะแหงนหน้ามอง


รองเท้าหนังสีดำขลับที่เลอะคราบโคลนอยู่บ้างมาหยุดลงที่ตรงหน้า มือใหญ่และแข็งแรงจับที่แขนและกระชากตัวเราขึ้นไปให้ดวงตาสบประสานกับนัยน์ตาคมกริบสีดำสนิทคู่นั้น ใบหน้าเย็นชาที่ล้อมกรอบด้วยเส้นผมสีดำสนิท.......คุณเมฆา.......

















อะไรดลใจให้ทำไปโดยที่ไม่รู้ตัว....


เมื่อมองเห็นใบหน้าเล็กๆนั่น....นัยน์ตาที่เหลืออยู่เพียงข้างเดียวนั้นกำลังสั่นระริกราวกับกำลังจะร้องไห้....ก้มมองพื้นดินเหมือนพวกอ่อนแอและไร้การป้องกันตัว...


ทั้งๆที่ไม่ใช่ธุระอะไรของเขา แต่ขามันกลับก้าวเข้าไปหา มือคว้าเอาร่างที่กำลังสั่นขึ้นมาจนดวงตาสบประสานกับนัยน์ตากลมโตสีม่วงเข้มข้างนั้น...ใบหน้าขาวซีด เส้นผมเปียกลู่ เนื้อตัวเย็นเฉียบและสั่นระริก.......อ่อนแอ.......เป็นแค่สัตว์กินพืชตัวเล็กๆที่โดดเดี่ยวและอ่อนแอ.....


ตัดสินใจหันหลังกลับ มือข้างที่จับตัวอีกคนอยู่ออกแรงลากให้เดินตามมา มีแรงขัดขืนอยู่เล็กน้อยแต่ลูกนกเปียกปอนแบบนั้นมีหรือจะสู้เขาได้


ก็แค่ปล่อยให้ตายอยู่ตรงนั้นไม่ได้....เพราะเขายังมีความแค้นต้องชำระกับคนที่ใช้ร่างของเด็กคนนี้อยู่....ไม่ได้เกี่ยวกับร่างกายที่สั่นเทาและดวงตาที่เศร้าหมองนี่หรอกนะ...


ไม่ได้เกี่ยว.....

















ถูกมือที่แข็งแรงดั่งคีมเหล็กจับเอาไว้ไม่ว่าจะพยายามสะบัดอย่างไรก็ไม่มีวันหลุด


ขาจำต้องก้าวเดินตามร่างที่สูงกว่ามากของผู้พิทักษ์แห่งเมฆาไปเพราะไม่อาจขัดขืนแรงของคนคนนี้ได้  เหลือบตาดูแผ่นหลังกว้างตรงหน้า....น่าแปลก....ทั้งๆที่ร่างกายก็เปียกปอนพอๆกันแต่มือข้างนั้นกลับอบอุ่น.....


ขายาวๆของคนข้างหน้าก้าวเดินไปไม่ได้สนใจเลยว่าคนที่ตนลากมาด้วยนั้นจะตามทันหรือไม่.....แอบหอบหายใจเล็กน้อยเมื่อต้องซอยขาเดินมากกว่าเดิมหลายเท่าเพื่อให้ทันแรงลาก.....สายฝนยังคงโปรยปราย......เราก็เดินอยู่สองคน.......แต่ไม่มีร่มสักคัน


















บ้านหลังนี้ไม่มีผู้หญิงอยู่....เพราะงั้นจึงจำใจต้องเดินไปหยิบชุดของท่านแม่ที่ไม่ได้เอาออกมาใช้มานานแสนนาน


ยูคาตะสีม่วงเข้มกับโอบิสีชมพูที่ไม่ได้เห็นมานานกลับมาอยู่บนร่างเล็กๆนี้ได้อย่างลงตัว แก้มใสที่เคยซีดเซียวกลับมามีสีแดงระเรื่อดังเดิม ดวงตากลมโตข้างนั้นหลุบมองลงต่ำราวกับไม่กล้ามองหน้าเขา ยิ่งเขายืนนิ่งจ้องเขม็งไปแบบนั้น เมื่อพลันนัยน์ตาสีม่วงเข้มเหลือบขึ้นมาเห็นก็จะรีบหลุบลงไปพร้อมกับแก้มใสที่แดงหนักกว่าเก่า


หันหลังให้แล้วเดินออกไปอีกห้องหนึ่ง เมื่อไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินตามมาจึงหยุดแล้วหันไปมองด้วยสายตากดดัน ร่างเล็กๆนั่นดูเหมือนจะทำอะไรไม่ถูก สองมือประสานบีบกันไปมาอยู่ที่หน้าขา คงเป็นเพราะปกติจะกอดกระเป๋าเอาไว้...แต่ตอนนี้เขายึดมันแล้วแยกไปไว้อีกที่หนึ่ง...เพราะยังไงก็ไม่มีวันไว้ใจเจ้าคนเจ้าเล่ห์ที่อาจจะลอบออกมาทำร้ายเขาผ่านเด็กคนนี้ก็เป็นได้.....เสียงสายฝนยังคงโปรยปราย....เจ้าของร่างกายเล็กๆยังคงยืนนิ่ง


เขาเดินกลับเข้าไปหาอีกครั้งพร้อมกับมือที่เอื้อมไปคว้าได้ข้อมือบางแล้วลากให้เดินตามมา  ได้ยินเสียงอุทานเบาๆ แต่ก็ไม่ร้องโวยวายให้น่ารำคาญจนอยากขย้ำ


ขาก้าวเข้าไปอีกห้องหนึ่งซึ่งมีกลิ่นอาหารหอมฉุย....ก่อนที่จะบังคับให้คนที่ลากติดมือมาด้วยนั่งลงที่โต๊ะเตี้ยแบบญี่ปุ่นฝั่งตรงข้าม ควันหอมกรุ่นของข้าวสวยร้อนๆลอยขึ้นมาจากถ้วยที่อยู่ตรงหน้า นัยน์ตาสีม่วงเข้มมองลงไปด้วยความแปลกใจ ดูเหมือนความเศร้าหมองจะถูกลบเลือนไปชั่วขณะ....เขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน...ว่าทำไมถึงเลือกที่จะทำแบบนี้...แทนที่จะปล่อยให้คนที่เป็นดั่งศัตรูอยู่ข้างนอกตากฝนจนหนาวตายไปซะ


น่าแปลก...ที่เขากลับรู้สึกชอบ....ที่จะได้เห็นนัยน์ตาสีม่วงข้างนั้นเปล่งประกายมากกว่าที่จะจมหายไปกับความเศร้าหมอง


ไม่หรอก....คงจะไม่มีอะไรหรอก.....เขาก็คงแค่อยากเก็บลูกนกที่โดดเดี่ยวมาเลี้ยงเหมือนตอนที่เก็บฮิเบิร์ดนั่นมา...ก็คงแค่นั้น...


มือใหญ่คีบตะเกียบพร้อมกับส่งสายตาบังคับให้คนตรงหน้ากินข้าวเข้าไป มือเล็กๆยกขึ้นจับตะเกียบอย่างเก้ๆกังๆ นัยน์ตาสีม่วงนั่นเหลือบมองเขาเป็นระยะๆ....ตอนนี้ข้างนอกคือเวลาบ่าย แต่เพราะฝนที่ยังคงโปรยปรายทำให้ดูมืดครึ้มราวกับยามเย็น มื้ออาหารผ่านไปด้วยความเงียบงัน เด็กคนนั้นกินเข้าไปเท่าแมวดม....ไม่น่าแปลกที่ตัวจะมีอยู่เท่านี้....เขาคีบผักและหมูชิ้นใหญ่วางลงไปในถ้วยของคนตรงหน้าแล้วบังคับด้วยสายตาว่าให้กินให้หมด.....ทำไม.....เขาต้องมาทำอะไรแบบนี้ด้วย....ทั้งๆที่ใครจะผอมตายมันก็ไม่ใช่เรื่องของเขาสักหน่อย



















เพิ่งจะรู้สึกว่าหนาวสั่นก็ต่อเมื่อมือคู่นั้นจากหายไป ความอบอุ่นที่แผ่ซ่านเข้ามาทำให้เผลอยกมือตัวเองขึ้นมามอง


ไม่นานคุณเมฆาก็กลับมาพร้อมกับยูคาตะสีดำสนิท มือใหญ่ยื่นพับผ้าสีม่วงเข้มมาให้ สายตาดุดันที่มองมาทำให้เข้าใจได้ว่าให้เราเปลี่ยนชุดซะ อยากจะส่ายหน้าปฏิเสธเพราะไม่อยากเป็นภาระให้ใคร แต่มือใหญ่ข้างนั้นกลับคว้ากระเป๋าของเราแล้วเดินหายไปโดยที่เราไม่อาจรั้งเอาไว้ได้ทัน จึงจำใจต้องเปลี่ยนชุดเพราะจะไปไหนโดยทิ้งสามง่ามของท่านมุคุโร่ไว้ที่นี่ก็ไม่ได้


สัมผัสแรกที่ยูคาตะต้องผิว กลิ่นหอมอ่อนๆ ความอ่อนนุ่มและอบอุ่นทำให้รู้สึกไปถึงตอนที่ยังเป็นเด็ก...ตอนที่ยังอยู่กับแม่...เพียงลำพัง


นานแค่ไหนกันแล้วนะที่ไม่ได้ใส่ยูคาตะแบบนี้ ยิ่งเห็นสายตาของคุณเมฆาจ้องเขม็งมาก็ยิ่งทำอะไรไม่ถูก เพราะไม่ถนัดที่จะรับมือกับคนอื่น เลยไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง คุณเมฆาเดินออกไปและมองกลับมาราวกับว่าจะให้เราเดินตามไป...แต่ทำไมกันล่ะ?....ทำไมต้องพาเรามาที่นี่....ทั้งๆที่เรากับเขาแทบจะไม่รู้จักกัน....


และทำไม...ทุกครั้งที่สายตาสบประสานกับนัยน์ตาสีดำสนิทคู่นั้น มันกลับรู้สึกแปลกๆ...ใจเต้นจนไม่กล้าจะมองหน้านานไปกว่านั้น จึงทำได้แค่หลบตาและยืนนิ่งอยู่ที่เดิม


ความอบอุ่นแผ่ซ่านออกมาจากร่างสูงนั่นในระยะที่รู้สึกได้ เมื่อคนที่เดินออกไปแล้วเดินกลับเข้ามาอีกครั้งด้วยใบหน้าเย็นชานิ่งสนิท มือใหญ่คว้าข้อมือแล้วลากให้เราเดินตามไป แรงบีบที่ข้อมือทำให้เผลอหลุดเสียงร้องออกไป ขาจำต้องยอมเดินตามไปแต่โดยดี เพราะว่าขัดขืนไปก็ไม่มีประโยชน์....


ถูกจับให้นั่งลงตรงหน้าถ้วยอาหารหอมกรุ่น....อาหารที่เรียกว่าอาหารจริงๆซึ่งไม่ได้ตกถึงท้องมานานทำให้เผลอจ้องมองด้วยความตื่นเต้น สายตาของคนตรงหน้าบอกมาว่าให้กินเข้าไป มือที่ไม่ได้จับตะเกียบมานานจึงรู้สึกไม่ค่อยชิน ท้องที่ปกติกินแต่ขนมน้อยนิดจึงกินอาหารตรงหน้าได้ไม่มากก็รู้สึกอิ่ม แต่กระนั้นคุณเมฆาก็คีบผักและเนื้อหมูมาให้และบังคับให้กินให้หมด นัยน์ตาสีดำที่เคยเห็นแต่ความเย็นชา...กลับมีประกายของอะไรบางอย่างแฝงอยู่จนอดไม่ได้ที่จะแอบมองอยู่เรื่อยๆ


อาหาร...บ้าน...และความอบอุ่น.....


มันเป็นแบบนี้เองน่ะหรือ




















หลังจากมื้ออาหารผ่านไป เขาปล่อยให้ร่างเล็กๆนั้นนั่งอยู่ตามลำพังในห้องๆหนึ่ง ไม่มีทั้งกระเป๋าใบนั้นเสื้อผ้าก็ไม่ใช่ชุดที่ถนัด....คงไม่กล้าออกไปไหนได้


เขาลอบมองผ่านบานประตูเลื่อนไปยังห้องที่อยู่ฝั่งตรงข้ามสวน เด็กคนนั้นยังคงนั่งเหม่อมองต้นบอนไซที่กำลังถูกชำระล้างด้วยสายฝน นัยน์ตาข้างนั้นกลับมาเศร้าหมองดังเดิม...เขาก็ไม่รู้หรอกนะว่าเกิดอะไรขึ้น...แต่ก็น่าแปลกที่ไม่มีกลิ่นของเจ้าสองคนที่มักแอบตามเด็กคนนั้นอยู่เลย....


ดูเหมือนฝนจะตกรุนแรงขึ้น....


ทั้งลมที่พัดสาดกระหน่ำ ทำให้สายฝนเม็ดใหญ่สาดกระเซ็นเข้าสู่ตัวบ้าน เขาลุกออกจากการเขียนพู่กันไปเพื่อเลื่อนประตูกันฝน สายตาเหลือบมองไปที่ห้องฝั่งตรงข้ามโดยอัตโนมัติ...เด็กคนนั้นยังนั่งอยู่ที่เดิม...


ขาก้าวออกจากห้องไปทันที เดินตรงดิ่งไปที่ห้องห้องนั้นด้วยอารมณ์ขุ่นมัว ก่อนที่จะเปิดประตูเลื่อนเสียงดังสนั่น แต่เด็กคนนั้นก็ยังไม่รู้สึกตัว ดวงตากลมโตยังคงเหม่อลอย จนเขาคว้าตัวแล้วกระชากให้หลบฝนเม็ดใหญ่เข้ามาในห้อง ร่างทั้งร่างจึงสะดุ้งสุดตัว นัยน์ตาสีม่วงเบิกกว้างมองเขาอย่างตกตะลึง ริมฝีปากเล็กพูดอะไรสักอย่างที่ฟังไม่ชัดเพราะเสียงที่สาดกระหน่ำดังกลบ


มือเล็กสั่นระริกจิกลงมาที่แขนเขา ใบหน้าเล็กสะบัดไปมา ยิ่งมองยิ่งไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น...หรือว่าเจ้านั่นมันจะกำลังทำอะไรที่อันตรายอยู่ ได้แต่ใช้สองมือจับไหล่เล็กให้อยู่นิ่งเพื่อสงบสติอารมณ์ แต่ดูเหมือนความห่วงใยและเศร้าหมองจะทำให้ร่างตรงหน้าไม่รับรู้อะไรอีก


ร่างเล็กสะบัดตัวจากการเกาะกุมของเขาแล้ววิ่งหนีออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว


เสียงฟ้าร้องดังลั่น


แผ่นหลังเล็กวิ่งหายไปตามระเบียงทางเดิน ทั้งๆที่ไม่น่าจะเร็วขนาดนี้...ขนาดที่เขาวิ่งตามแทบจะไม่ทัน.....เด็กคนนั้นวิ่งหายไปจากตัวบ้าน....เขาตัดสินใจวิ่งฝ่าฝนกระหน่ำตามออกไป.....ยังไงก็ปล่อยไปไม่ได้.....


แผ่นหลังเล็กเลี้ยวหายเข้าไปในสวนสาธารณะที่เดิม เมื่อเขาวิ่งตามเข้าไปก็เห็นเด็กคนนั้นกำลังยืนตะโกนเรียกเจ้าหมอนั่นอยู่ที่กลางลานล้างไร้ผู้คน....ฝนตกกระหน่ำราวกับพายุเข้าขนาดนี้ ใครที่ไหนจะออกมา....


สองมือกำหมัดแน่น


รู้สึกถึงความแค้นที่มีมากยิ่งขึ้น


ทำไมเธอถึงต้องใส่ใจมันมากขนาดนั้น


และนั่นก็ยิ่งทำให้เขาเกลียด...เกลียด...เกลียด....


ท่ามกลางความเกลียดชังยังมีอีกความรู้สึกหนึ่งที่ไม่อยากจะยอมรับ.......อิจฉา.....





แล้วนั่น....น้ำตาหรือว่าสายฝนที่อยู่บนหน้าของเธอ





เขาตัดสินใจเดินเข้าไปหาร่างเล็กที่กำลังคลุ้มคลั่ง กระชากตัวบางๆให้หันกลับมา สองมือของเด็กคนนั้นยังคงต่อต้านการจับกุม ริมฝีปากอิ่มยังคงร้องเรียกหาโรคุโด มุคุโร่


และนั่นมันยิ่งทำให้เขาควบคุมตัวไม่ได้....


สองแขนตวัดรัดรอบตัวบางรั้งให้แนบเข้ามาหา ใบหน้าคมก้มลงไปก่อนที่ริมฝีปากเขาจะแนบลงไปที่ริมฝีปากนิ่ม ลมหายใจใกล้ชิด หัวใจเต้นระรัว ความอบอุ่นจากร่างกายที่ถ่ายทอดให้แก่กัน.....




“ ฉันอยู่กับเธอที่นี่....”




นั่นคือคำพูดเดียวที่หยุดทุกความเคลื่อนไหวของร่างที่นิ่งงันอยู่ในอ้อมแขน นัยน์ตาสีม่วงเข้มเบิกกว้าง ก่อนที่น้ำตาจะไหลลงมาอีกครั้ง


ราวกับว่าร่างทั้งร่างของคนในอ้อมแขนนั้นเบาหวิว จากที่เคยยืนอยู่ได้ กลับล้มพับลงไปพร้อมด้วยสติที่ขาดหาย นัยน์ตาสีม่วงปิดลงแต่รอยย่นตรงหัวคิ้วกลับหายไป สองแขนยื่นไปรองรับแล้วอุ้มเอาร่างที่หลับใหลกลับไปยังบ้านที่จากมา 


















คุณเมฆาปล่อยให้เราอยู่ในห้องนี้ตามลำพัง เลือกที่จะนั่งลงที่ตรงข้างๆประตูเลื่อนซึ่งมองเห็นสวนได้อย่างชัดเจน ต้นบอนไซรับน้ำฝนดูท่าทางสดใส ต่างจากในจิตใจที่กำลังทุกข์ทรมานของเรา....


ท่านมุคุโร่....ท่านอยู่ที่ไหน....


ใช้จิตจนอ่อนล้าก็ยังไม่สามารถติดต่อท่านมุคุโร่ได้ ทอดสายตาออกไปไกลแสนไกล จนไม่รู้ว่าเวลาล่วงเลยมาแค่ไหน หรือว่าเม็ดฝนจะกระหน่ำลงมาอย่างไร


ยังคงมีแต่ความกังวลใจเท่านั้นที่วนเวียนอยู่ในหัว


ในขณะที่กำลังสิ้นหวัง เสียงอะไรบางอย่างก็ดังก้องอยู่ในที่แสนไกล จึงใช้สมาธิเพ่งฟังจนไม่ได้รับรู้ว่ามีร่างกายของใครเข้ามาใกล้ ตราบจนมือใหญ่ๆคู่นั้นลากเราเข้าไปจนปะทะกับแผงอกอบอุ่น ร่างทั้งร่างสะดุ้งเฮือก สองมือเผลอกดลงที่แขนทั้งสองข้างของคุณเมฆา พยายามจะบอกออกไปว่าได้ยินเสียงใครบางคน แต่เสียงฝนที่ดังกระหน่ำก็ทำให้ไม่อาจสื่อสารได้


หรือจะเป็นเสียงท่านมุคุโร่....


ไม่รอช้ารีบก้าวขาออกไปทันที ต้องไปที่ที่กว้างๆ กว้างพอจะใช้จิตสื่อหาได้อย่างอิสระ ไม่ว่าจะสายฝนหรือว่าอะไรก็ไม่อาจจะทำให้ความตื่นตระหนกนี้หยุดลงได้อีกแล้ว...กลัวเหลือเกินว่าจะเกินอันตรายขึ้นกับท่านมุคุโร่...


หรือบางที...


สิ่งที่กลัวจริงๆอาจจะเป็น....


การที่จะต้องกลับมาอยู่ตามลำพังอีกครั้ง...ถ้าไม่มีท่านมุคุโร่....



ร่างทั้งร่างสั่นสะท้าน เมื่อใช้จิตจนมันแทบจะรับไม่ไหว แต่ไม่ว่าจะทางไหนก็ยังคงจะเพรียกหา ปากเอ่ยเรียกทั้งๆที่คงไม่อาจส่งไปถึง แต่ความตึงเครียดที่รับมาตลอดกำลังผสมผสานกับความท้อแท้และสิ้นหวัง ไร้พลังเพราะกลัวคำว่าโดดเดี่ยว จนทำให้ความกดดันข้างในระเบิดออกมา


สองมือสั่นระริก หยาดน้ำตาที่ไม่เคยปล่อยให้ไหลออกมากำลังหยดลงสู่ผืนดิน


ไม่เอาแล้ว....


ไม่อยากกลับไปเดินตามลำพัง...


ไม่อยากอยู่คนเดียวอีกแล้ว....



แต่แล้วร่างอันหนาวเหน็บกลับอบอุ่นเพราะอ้อมแขนของใครบางคน ริมฝีปากที่ทาบทับลงมาราวกับจะปิดกั้นทุกอย่างให้สงบลง ลมหายใจใกล้ชิด หัวใจเต้นระรัว ความอบอุ่นจากร่างกายที่ถ่ายทอดให้แก่กัน.....




“ ฉันอยู่กับเธอที่นี่....”




น่าแปลก...


ที่คำเพียงคำเดียวกลับทำให้ร่างกายที่เหนื่อยล้ากลับรู้สึกผ่อนคลาย หัวใจที่อ่อนแรงกลับมาเต้นอย่างปกติอีกครั้ง หัวสมองรู้สึกเบาโหวงจนไม่อาจควบคุมสติเอาไว้ได้อีก


ความรู้สึกสุดท้ายคือ วงแขนแข็งแกร่งที่รองรับมาที่แผ่นหลังราวกับจะปกป้องเอาไว้และไม่ปล่อยให้เดินต่อไปตามลำพัง


แล้วทุกอย่างก็พลันขาวโพลน....



















แสงเทียนวูบไหวสะท้อนอยู่ที่ผนัง...เขายังคงนั่งอยู่ที่ข้างฟูกนอนเช่นเดิม


ทอดสายตามองใบหน้าเล็กที่หลับสนิท ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอดูผ่อนคลาย ยกมือขึ้นขยับผ้าห่มให้คลุมไปถึงต้นคอ


แต่ความเคลื่อนไหวเพียงน้อยนิดนั่นก็ทำให้เปลือกตาบางขยับแล้วลืมตาขึ้นมา ดูเหมือนว่าไม่นานร่างเล็กๆนี่ก็รู้สึกตัวว่าตัวเองอยู่ที่ไหนและเกิดอะไรขึ้นมาบ้าง


แก้มใสของร่างตรงหน้าแดงระเรื่อขึ้นมาทันตา...ไม่ต่างไปจากใบหน้าที่ร้อนผ่าวของเขา....


เขาหันหน้าหนีไปอีกทางเพราะไม่รู้ว่าจะสบสายตากลมโตคู่นั้นอย่างไร ได้แต่พูดออกไปว่า


“ เธอต้องอยู่ที่นี่จนกว่าสองคนนั้นจะมารับ....ห้ามออกไปไหนเองเข้าใจไหม....ถ้าไม่เช่นนั้นฉันจะขย้ำให้ตาย...”    ยิ่งพูดใบหน้ายิ่งร้อนผ่าว


ร่างที่นอนอยู่นิ่งไปนานก่อนที่จะได้ยินเสียงหัวเราะเล็กๆ เขาสะบัดหน้าหนีอีกครั้ง ไม่รู้จะจัดการกับเรื่องนี้ยังไงดี เตรียมที่จะลุกเดินหนี


แต่....


สัมผัสนิ่มเพียงน้อยนิดจากปลายนิ้วเล็กที่แตะลงมาที่ฝ่ามือก็ทำให้ร่างทั้งร่างของเขาหยุดชะงัก  ค่อยๆหันไปมองก็พบใบหน้าเล็กที่หลับพริ้ม...ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมออีกครั้ง...ท่าทางจะหลับไปแล้ว....


เขาหันตัวกลับมานั่งลงดังเดิม


มองปลายนิ้วที่สัมผัสมือของเขาอยู่ ความรู้สึกลึกๆในใจทำให้เขาเลื่อนมือทั้งมือไปกอบกุมมือเล็กข้างนั้นไว้



มันเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่....  



















รอยขยับเพียงน้อยนิดท่ามกลางความนิ่งสงบทำให้รู้สึกตัว


เปิดตามองสิ่งของรอบกายก็นึกขึ้นได้ว่าตนอยู่ที่ไหน...


สายตาเหลือบไปเห็นหน้าของคุณเมฆาที่จ้องมองมา....สัมผัสอบอุ่นที่ริมฝีปากยังคงซึมซาบอยู่มิอาจลืมเลือน...สัมผัสและถ้อยคำเมื่อตอนนั้นมันยังคงตราตรึงอยู่ทั่วทั้งร่างกาย....


ให้ใบหน้ารู้สึกร้อนผ่าว...และเจ้าของบ้านหลังนี้เองก็เช่นกัน.....


ใบหน้าคมของคุณเมฆาหันหน้าหนีไปอีกทาง ก่อนที่เสียงทุ้มจะเอ่ยออกมา


“ เธอต้องอยู่ที่นี่จนกว่าสองคนนั้นจะมารับ....ห้ามออกไปไหนเองเข้าใจไหม....ถ้าไม่เช่นนั้นฉันจะขย้ำให้ตาย...”   


หัวใจทั้งดวงรู้สึกพองโตและเต็มตื้นอย่างบอกไม่ถูก....เราอยู่ที่นี่ได้โดยไม่เป็นภาระให้คุณเมฆาใช่ไหม....ถึงประโยคที่เอ่ยมาจะแข็งกระด้างแต่ความหมายนั้นช่างอบอุ่นและอ่อนโยนจนเผลอหลุดหัวเราะออกไป เมื่อนึกขึ้นได้ถึงนิสัยปากแข็งของคนตรงหน้า


อยากจะขอบคุณ แต่ความง่วงงุนก็เข้ามาแทรก มือที่พยายามจะยกขึ้นไปหามือใหญ่จึงสัมผัสได้เพียงปลายนิ้ว


แต่ถึงจะไร้สติ....ก็รับรู้ได้ถึงความอบอุ่นที่ส่งผ่านมาจากมือข้างนั้น...



















เช้าวันถัดมาฝนก็ยังคงตก....


เขาและร่างเล็กของเด็กคนนั้นก็ยังคงทานข้าวด้วยความเงียบงันเช่นเดิม...แต่ความเงียบงันราวกับความมืดมิดของราตรีแบบนี้กลับไม่ทำให้เขาและร่างตรงหน้ารู้สึกอึดอัด


ขาก้าวเดินกลับมายังห้องของตัวเอง ปล่อยให้เด็กคนนั้นอยู่ที่ห้องฝั่งตรงข้ามเหมือนเมื่อวาน ทุกสิ่งทุกอย่างก็ยังคงผ่านไปภายใต้สายฝนที่ยังคงโปรยปราย เขาเหลือบมองผ่านบานประตูเป็นระยะๆเหมือนเมื่อวาน แต่วันนี้กลับต่างไปเล็กน้อยเมื่อบางครั้งสายตาของเขาก็จะสบประสานกับนัยน์ตาสีม่วงเข้มที่จ้องมองมา แล้วใบหน้าเล็กๆนั้นก็จะแดงระเรื่อพร้อมก้มหน้าหลบไม่ก็เสไปมองอย่าอื่น...มันมิได้เหม่อลอยไร้ประกายแห่งชีวิตเหมือนเมื่อวาน....บางที...อาจจะเป็นเพราะเจ้านั่นปลอดภัยแล้วก็ได้....คงไม่ได้เป็นเพราะเขา...


ตัวหนังสือตัวสุดท้ายถูกตวัดลง ก่อนที่พู่กันจะถูกวางไว้ข้างๆ หันหน้าไปมองห้องฝั่งตรงข้าม เห็นแผ่นหลังไวๆกำลังก้าวออกจากห้องไป.....กำลังจะไปไหน?


ไวเท่าความคิด เขารีบลุกออกจากห้องแล้วเดินตามไปทันที


แต่คราวนี้ร่างเล็กในยูคาตะสีม่วงอ่อนกลับเดินฝ่าสายฝนไปอย่างเชื่องช้า มิได้บ้าคลั่งเหมือนเมื่อวาน


เขาหยุดสวมรองเท้าเกี๊ยะอยู่ตรงประตูหน้าบ้าน เหลือบไปเห็นร่มไม้คันใหญ่ ยืนมองมันสลับกับสายฝนอยู่นานก่อนที่จะตัดสินใจคว้ามันติดตัวออกไป


เด็กคนนั้นหยุดยืนที่กลางสวนที่เดิม ร่างเล็กๆเหลียวไปรอบๆกายแต่สายตานั้นปิดสนิท ราวกับกำลังใช้จิตใจสื่อหาอะไรสักอย่าง แล้วไม่นานนัยน์ตากลมโตข้างนั้นก็เปิดขึ้นพร้อมกับการถอนหายใจและใบหน้าส่ายไปมา...หรือว่าจะยังหาเจ้านั่นไม่เจอ ?






ถ้าอย่างนั้นประกายแห่งชีวิตในดวงตาของเธอนั่นคืออะไรกัน....

มันเป็นเพราะฉันหรือเปล่า....






เขาค่อยๆเดินเข้าไปหา ร่างเล็กสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อมองเห็นเขา


“ ฉันบอกเธอเอาไว้ว่ายังไง...”


“.......ไม่ให้....ออกมาเอง......”


เสียงเล็กเบาหวิวเอ่ยออกมาอย่างกล้าๆกลัวๆ นัยน์ตากลมช้อนมองเขาอย่างแอบกังวล


“ ถ้างั้นก็....”


หันหน้าไปอีกทาง แล้วกางร่มไม้คันใหญ่ขึ้น


“ กลับกันได้แล้ว”


เขายืนอยู่ในร่ม มองไปที่เด็กคนนั้นก่อนที่จะขยับร่มบอกให้รู้ว่าที่ว่างข้างๆเป็นของเธอ....


















เช้าวันถัดมาฝนก็ยังคงตก....


เรายังคงนั่งทานข้าวอยู่ในบ้านของคุณเมฆา ทั้งๆที่ไม่มีการพูดจา แต่กลับไม่รู้สึกว่าอึดอัด เพราะสายตาที่ส่งมาไม่มีคำว่าน่ารำคาญหรือตัวภาระแฝงอยู่


คุณเมฆาเดินกลับไปที่ห้องของตัวเองแล้ว ทั้งๆที่พยายามเพ่งสมาธิเพื่อเรียกหาท่านมุคุโร่ แต่สายตากลับไม่อาจละไปจากคนที่นั่งอยู่หลังบานประตูห้องฝั่งตรงข้ามสวนนั่นได้เลย แผ่นหลังกว้างในยูคาตะสีดำนั้นงามสง่า มือใหญ่ตวัดพู่กันอย่างอ่อนช้อย ตัวหนังสือในกระดาษนั่นคงจะสวยน่าดู อ๊ะ เผลอจ้องนานไปหน่อยจนคุณเมฆารู้สึกตัว สายตาที่สบประสานกันทำให้ใบหน้าร้อนผ่าว


ถ้ายังอยู่ในห้องนี้ต้องไม่มีสมาธิแน่ๆ


ตัดสินใจเดินออกไปที่ลานกว้างของสวนสาธารณะ....โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่ามีใครบางคนเดินตามมา


ยืนนิ่งเพื่อรวบรวมสมาธิ และส่งจิตออกไป แต่ก็ยังไร้เสียงตอบรับเช่นเดิม ถอนหายใจออกมา แต่ก็ยังเชื่อว่าท่านมุคุโร่จะปลอดภัย






เป็นเพราะกำลังใจจากใครหรือเปล่า...

ที่ทำให้เราไม่ท้อแท้และสิ้นหวัง....






ได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวเข้ามาจึงหันไปมอง สะดุ้งเมื่อเห็นว่าเป็นคุณเมฆา นั่นก็เพราะว่า......


“ ฉันบอกเธอเอาไว้ว่ายังไง...”


“.......ไม่ให้....ออกมาเอง......”


กังวลใจอย่างประหลาดกลัวว่าเขาจะโกรธจนไล่ตะเพิดเรา เพราะไม่เชื่อฟังเขา


“ ถ้างั้นก็....”


ร่างสูงหันไปอีกทาง แล้วกางสิ่งที่ไม่เคยคาดคิดว่าจะมีโอกาสได้ใช้ขึ้นมา ทำให้นัยน์ตาเบิกกว้าง


“ กลับกันได้แล้ว”


ดีใจจนน้ำตาคลอ และเมื่อคนตรงหน้าขยับร่มเข้ามาหาก็รู้ได้ทันทีว่าที่ว่างข้างๆนั้นเป็นของเรา.....

















กับความสัมพันธ์ที่บอกไม่ได้และไม่มีใครรู้ว่ามันคืออะไร...

แต่กระนั้น....

ร่างสองร่างก็เดินเคียงข้างกันไป....

ภายใต้ร่มคันเดียว....


.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.


FIN






โฮกกกกกกกกกกกกกกกก

HAPPY BIRTHDAY อีกครั้ง นะเบล >[ ]<  

เรื่องนี้เค้าแต่งเพื่อเบลโดยเฉพาะ  เพราะงั้นขอให้มีความสุขกับมันนะ! (สุขหรือเปล่าเนี่ย? อ่านแล้วยิ้มหรือเปล่า? บอกมา!)



นะ....ก็เป็นตัวละครที่พูดแทบจะนับคำได้กันทั้งคู่...เลยเขียนด้วยบทบรรยายน่าจะเข้าใจได้ง่ายกว่า ^ ^”

แล้วก็เพิ่งจะรู้ตัวว่าเจอปัญหาใหญ่เข้าแล้วก็ตอนที่เริ่มลงมือเขียนนี่แหละค่ะ...
ปกติเขียนแต่วายยาโอย ซึ่งตัวละครเป็นผู้ชายจึงใช้คำแทนตัวว่า ผม เขา อะไรแบบนี้...
แล้วพอเรื่องนี้...แล้วตรูจะแทนตัวหนูโคลมว่าอะไรดีฟะคะ! =[ ]= ...หนู? ฉัน? เค้า? =[ ]=
แบบว่าฟิกนอมอลก็ไม่ค่อยจะได้อ่านกะเค้าซะด้วยสิ (อ่านของBleach แต่อิหนูลูเคียลูกแม่เรียกตัวเองว่า ข้า อ่ะ)

ก็เลย....เอาประมาณนี้ละกันนะ ^ ^” ...ผิดพลาดประการใดขออภัยไว้ล่วงหน้าค่ะ เหะเหะ

ขอบคุณรูปสุดโฮกจากน้องสโนว์ด้วยนะคะ >w<


Kizuna Illus by  Snow_fredel










1 ความคิดเห็น:

  1. ชอบค่ะ ชอบมากๆ ขอบคุณมากค่ะ TvT ตู่นี้เป็นคู่นอร์มอลที่ชอบมากเลยค่ะ แต่หายากมากเลย TvT

    ตอบลบ