Scuderia Ferrari Au S.Fic [Kimi x Seb] แก้บนเดอะซีรี่ย์ 2nd : RED Season : 02


Scuderia Ferrari Au S.Fic [Kimi x Seb] แก้บนเดอะซีรี่ย์ 2nd :  RED Season : 02

: Scuderia Ferrari Short Fanfiction AU
: คิมี่ ไรโคเนน x เซบาสเตียน เวทเทล
: Romance
: NC-17


คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
           : เนื้อเรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริงนะคะ
             : เนื้อเรื่องโฟกัสช่วงที่เซบอายุราวๆ18-19 ส่วนคิมี่ก็ 24-25 นะคะ
           

        



“เรื่องนั้นช่างมันเถอะน่า! ตอบเรามาว่าจะช่วยเราชิงบัลลังก์ได้หรือไม่?”   

“...อ่า...ก็คงได้แหละมั้ง ยังไงก็ไม่มีอะไรจะทำอยู่แล้ว....”  




ถ้อยคำเหล่านั้นมันยังคงวนเวียนอยู่ในหัวและตอนนี้มันก็กำลังทำให้คิมี่ ไรโคเนนถึงกับต้องยกมือขึ้นมานวดขมับ...นี่เขาเผลอรับปากไปได้ยังไง? มาคิดดูให้ดีอีกทีการช่วยเด็กนั่นชิงบัลลังก์นี่ก็เท่ากับก่อกบฏดีๆนี่เองไหม?...เขาเป็นแค่นักขับรถฟอร์มูล่าวันนะ จะไปทำแบบนั้นได้ยังไง? เรื่องการเมือง การปกครอง การทหารอะไรนี่เขารู้เรื่องเสียที่ไหน?

ร่างแข็งแกร่งยืนพิงรั้วระเบียงที่สลักจากหินพลางเหม่อมองท้องทะเลทรายก่อนจะถอนหายใจ นี่มันเรื่องบ้าอะไรเนี่ย? เขาก็ขับรถของเขาอยู่ดีๆแท้ๆแต่ดันถูกดูดกลับมาในอดีตแถมต้องเข้าไปพัวพันกับการแย่งชิงราชบัลลังก์อีก มิหนำซ้ำเป็นบัลลังก์ของฟาโรห์แห่งอียิปต์เลยนะครับ ฟาโรห์! ถ้าแค่ชิงตำแหน่งหัวหน้าชนเผ่าก็ว่าไปอย่าง

เสียงหยอกล้อปนไปกับเสียงหัวเราะเฮฮาทำให้เขาก้มหน้าลงไปมองข้างล่าง ตรงทางเข้าปราสาทมีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งยืนคุยกันอยู่ ดูเหมือนจะเป็นพวกชนชั้นสูงของอียิปต์ เขาอยู่ที่นี่มาสักพักก็เริ่มแยกชนชั้นของคนที่นี่ได้จากเครื่องแต่งกาย ถึงแม้ผู้ชายจะใส่แค่กระโปรงผ้าลินินเหมือนกันแต่ความประณีตในการถักทอนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิงระหว่างชนชั้นล่างกับชนชั้นสูงอย่างเจ้าพวกนั้น

นัยน์ตาสีเทาทอดมองใบหน้าของเจ้าชายลำดับที่สี่แห่งอียิปต์ที่อยู่กลางวงล้อมและกำลังกระโดดลงจากหลังลา เด็กนั่นพูดคุยกับคนพวกนั้นด้วยท่าทางเป็นกันเอง รอยยิ้มที่ดูสนุกสนานถูกส่งให้กับทุกคนแล้วก็ดูว่าทั้งเด็กหนุ่มและเด็กสาวที่รายล้อมอยู่ล้วนตกหลุมรักรอยยิ้มกว้างนั่นทั้งสิ้น คงจะมีคนหมายตาเจ้าชายเซบาสเตสอยู่ไม่น้อยแน่ๆ


ในกลุ่มคนที่นายยิ้มให้พวกนั้น...จะมีคนที่นายขอร้องให้ช่วยชิงบัลลังก์แบบชั้นบ้างหรือเปล่านะ...


เขาหมุนตัวกลับมานั่งลงบนเตียงด้วยใบหน้านิ่งสนิท ไม่สบอารมณ์เรื่องอะไรทำไมเขาจะไม่รู้...เพียงแต่...มันทำอะไรไม่ได้ ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นเจ้าชายอันเป็นที่รัก!

เสียงวิ่งตึงตังอย่างกับเด็กๆดังใกล้เข้ามาและคนที่กล้าวิ่งอยู่ในปราสาทของเจ้าชายแห่งอียิปต์แบบนี้ก็คงไม่มีใคร

“คิมี่! ดูสิว่าเราไปเอาอะไรมาให้ท่าน”   แล้วไม่นานเจ้าคนที่ทำให้เขาหงุดหงิดใจก็ปรากฏกายอยู่ที่หน้าประตูห้อง  มือเรียวพยายามโบกขวดแก้วใบหนึ่งให้เขาดู

“ไม่คุยกับพวกนั้นต่อล่ะ? ดูท่าทางเด็กสาวหลายคนจะอยากคุยกับนายต่อนะ?”   เขาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบกับใบหน้าซังกะตาย จะให้แสดงออกว่าไม่ชอบใจหรือคิดเล็กคิดน้อยเกินไปมันก็ไม่ใช่วิถีของเขาซะด้วย

“ฮะฮะ เห็นด้วยเหรอ? ช่างเถอะ ดูนี่สิ”   เด็กนั่นทำเหมือนจะเข้าใจแต่ก็บอกปัดไปง่ายๆซ้ำยังเดินมานั่งลงที่ขอบเตียงเคียงข้างเขาอีกต่างหาก

“อะไร?”  เขามองขวดแก้วที่บรรจุน้ำสีฟ้าใสนั่นอย่างสงสัย

“น้ำมันหอมไง เราให้นักบวชทำให้ท่านด้วย กลิ่นเหมือนของเรา รู้ไหมว่ามีคนขอมากมายแต่เราไม่ยอมบอกสูตรนี้กับใคร เราให้ท่านคนเดียว”  ใบหน้าภายใต้กรอบมงกุฎผ้ายิ้มเป็นเด็กๆที่ภาคภูมิใจกับอะไรสักอย่างจนบางครั้งเขาก็สงสัยว่าเด็กนี่อายุเท่าไหร่แล้วกันแน่ จากสายตาน่าจะ18-19 แต่จากนิสัยและความซุกซนบางทีเขาก็คิดว่าเด็กนี่ยัง10ขวบอยู่

“มาสิ เราจะบอกให้ว่าต้องทาตรงไหนบ้าง”   เด็กหนุ่มขยับเข้ามาใกล้โดยไม่คิดจะถามไถ่ว่าเขาอยากได้มันไหม การเข้าหาอย่างเป็นธรรมชาตินี้เขาถือว่าเป็นอาวุธที่ร้ายกาจมากของเซบาสเตสเพราะเขาที่ยังไม่ทันตั้งตัวมักจะเผลอไผลไปกับเสน่ห์ของเจ้าชายแห่งอียิปต์โดยไม่รู้ตัวเสมอ

“ที่แรกก็ข้อมือทั้งสองข้าง...”   มือเรียวจรดปลายนิ้วลงไปที่ปากขวดแก้วแล้วแตะเอาน้ำสีฟ้าใสนั่นมาก่อนจะบรรจงทาลงไปที่ข้อมือของเขา กลิ่นหอมที่เหมือนกับกลิ่นของคนตรงหน้าฟุ้งขึ้นมาทันที...กลิ่นที่ทำให้หลงใหล...แล้วเขาก็สูดมันเข้าไป...

ในอียิปต์โบราณถือว่าน้ำหอมเป็นของสูงค่า คนที่จะผลิตมันขึ้นมาได้มีแต่พวกนักบวชเท่านั้น เพราะงั้นมันจึงไม่ใช่ของที่คนทั่วไปมีใช้ แต่ต้องเป็นคนมีฐานะมากทีเดียว

ปลายนิ้วเรียวยังคงวนไล้อยู่ที่ข้อมือแต่นัยน์ตาสีฟ้ากลับจ้องสบประสานกับดวงตาของเขา...เด็กนี่รู้บ้างหรือเปล่าว่ามันยั่วเย้าจนอยากจะจับใบหน้ารูปไข่นั่นเอาไว้แล้วกดจูบที่ริมฝีปากช่างพูดนั่นจนกว่าจะพอใจ แต่แค่นี้เด็กนั่นยังทำให้ลมหายใจของเขาปั่นป่วนไม่พอ เจ้าชายแห่งอียิปต์ยังขยับเข้ามาใกล้จนแผ่นอกแทบจะสัมผัสกัน ก่อนที่เขาจะรู้สึกถึงปลายนิ้วและสัมผัสเย็นๆบริเวณเหนือบั้นท้าย

“จากนั้นก็ด้านหลังสะโพก...”   รู้สึกว่าตำแหน่งทาน้ำหอมของชาวอียิปต์นี่มันช่างอีโรติกเสียจริงๆ เขาเค่นหัวเราะในลำคอก่อนจะพยายามสูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อระงับอารมณ์ร้อนที่กำลังพุ่งพล่านอยู่ข้างใน...ใบหน้าของเจ้าชายละออกมาก่อนจะมองหน้าเขาด้วยดวงตาที่สวยงามคู่นั้น แน่นอนว่าการทาน้ำหอมยังไม่จบ เมื่อปลายนิ้วเรียวยาวค่อยๆยื่นเข้ามาที่ซอกคอของเขา

“แล้วก็...กกหู.......”   สัมผัสจากปลายนิ้วทำให้เขาถึงกับต้องกัดฟัน ตำแหน่งนี้มันกระตุ้นเร้าความต้องการเสียจนเขาต้องส่งสายตาท้าทายให้เจ้าชายแห่งอียิปต์เพื่อกลบเกลื่อน

“จะบอกว่าชั้นเป็นคนพิเศษใช่ไหม? น้ำหอมนี่น่ะ”   เจ้าเด็กตรงหน้าไม่คิดจะหลบสายตาของเขาเลย เจ้าชายเซบาสเตสมักจะจ้องมองเขาตรงๆเสมอ ท่าทางที่เหมือนกำลังพยายามจะบอกเขาว่าตัวเองไม่ได้คิดอะไร ไม่ได้เขิน ไม่ได้อายนั่นมันทำให้เขากลับยิ่งรู้ว่าเด็กนี่ซ่อนอะไรไว้ในใจ...มันน่าจะเป็นความรู้สึกที่ใกล้เคียงกับความรู้สึกของเขา

“ใช่...เป็นคนพิเศษ...ของเจ้าชายเซบาสเตส”  แม้แต่เวลาที่พูดเรื่องน่าอายแบบนี้ ดวงตาสีฟ้าก็ยังพยายามจะมองมาที่เขา...ทั้งๆที่สองแก้มขึ้นสีแดงระเรื่อ

“หึ....เซบ...”   เขาหัวเราะในความดูออกง่ายของอีกฝ่ายก่อนจะเอ่ยชื่อย่อสั้นๆของเด็กนั่นออกไป

“หื๋อ?”

“ชื่อของนายมันยาวไป เรียกแค่เซบสั้นๆนี่แหละง่ายดี”  เจ้าชายแห่งอียิปต์มองเขาอย่างอึ้งๆอยู่นิดนึงก่อนจะหัวเราะออกมา

“ฮ่าๆๆ เอาสิ ท่านจะเป็นคนเดียวที่เรียกเราแบบนี้”   ใบหน้ารูปไข่อมยิ้มก่อนจะยื่นมือมาทาน้ำหอมที่กกหูอีกข้างของเขา นัยน์ตาของเรายังคงสบประสานและนับวันก็จะยิ่งลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ

“เราไม่เคยคิดจะรักคนพวกนั้น...ไม่เคยคิดจะมีสัมพันธ์กับคนอียิปต์...”   เซบพูดออกมาราวกับไม่อยากให้เขาเข้าใจผิด ในส่วนลึกของดวงตาที่สดใสคู่นั้นเขารู้ว่ามันมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่...มันอาจจะเป็นความทรงจำที่เจ็บปวด...เขาจึงเลือกที่จะไม่ถาม

“ชอบชาวต่างชาติหรือไง?”  เขาจึงเอ่ยหยอกล้อไปแบบนั้นและมันก็ทำให้เด็กนั่นหัวเราะ

“......ก็คงประมาณนั้น”   เจ้าชายแห่งอียิปต์คล้องแขนมารอบลำคอของเขาก่อนจะจงใจยิ้มด้วยสายตายั่วเย้า ริมฝีปากขยับเข้ามาใกล้ทำให้ลมหายใจเป่ารดกันเรื่อยๆ...เรื่อยๆ...

เขาไม่ได้ขยับหนีทั้งๆที่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น สายตาทอดมองริมฝีปากสีชมพูที่ขยับใกล้เข้ามาด้วยลมหายใจติดๆขัดๆ...จะลองดูซิว่าเจ้าเด็กนี่มันจะกล้าทำถึงขั้นไหน...ถ้ากล้าจูบเขามา เขาก็กล้าจูบกลับไป...เขาไม่หลบอยู่แล้วกับความรู้สึกที่ชัดเจนอยู่ในหัวใจขนาดนี้...

แต่ก่อนที่กลีบปากจะได้แตะกัน...


เคร้ง!!!!


เสียงถาดทองเหลืองที่ร่วงกระทบพื้นทำให้เขากับเจ้าชายแห่งอียิปต์ผละออกจากกันก่อนจะหันไปเห็นสาวใช้คนหนึ่งซึ่งมองมาด้วยสายตาชะงักค้าง นางรีบก้มลงไปเก็บถาดทองเหลืองด้วยท่าทางลนลาน

“ขะ ขออภัยเพคะเจ้าชาย...”   เจ้าชายแห่งอียิปต์มองสาวใช้ที่รีบวิ่งออกไปก่อนจะปรายตากลับมามองเขาด้วยสายตาที่ยังยั่วเย้า ใบหน้ารูปใข่นั่นยิ้มน้อยๆราวกับไม่ใส่ใจที่ถูกใครเห็นเข้าทั้งๆที่มันน่าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ถ้ามีใครรู้ความสัมพันธ์ที่ไม่เหมาะสมนี้ ปลายนิ้วยาวเพียงแต่แตะลงมาที่ริมฝีปากของเขา...มองมันด้วยสายตาเย้ายวน...ก่อนจะละออกไปพร้อมๆกับถ้อยคำที่ทิ้งเอาไว้...

“ในอียิปต์...การมีสัมพันธ์กันระหว่างผู้ชายกับผู้ชาย...ยังไม่มีใครยอมรับได้หรอก”

เขาทอดสายตามองแผ่นหลังที่เดินออกจากห้องไป...จากที่เคยคิดว่าเด็กนั่นเป็นแค่เด็ก10ขวบมาตลอดเห็นทีจากนี้คงต้องมองใหม่ เพราะเด็ก10ขวบไม่มีทางปลุกปั่นอารมณ์ของเขาได้มากขนาดนี้แน่ๆ

...เจ้าลูกหมาโกลเด้นนั่นมันอาจจะมีเลือดของหมาป่าผสมอยู่บ้างก็ได้...












เจ้าชายลำดับที่สี่แห่งอียิปต์เดินออกจากห้องของอาคันตุกะจากแดนไกลด้วยใบหน้าไร้รอยยิ้มเฉกเช่นปกติ นัยน์ตาสีฟ้าทอดมองตามทางที่สาวใช้คนนั้นวิ่งไปก่อนจะครุ่นคิดบางสิ่งบางอย่างอยู่ในใจ

“จีน่า...”  และแค่ริมฝีปากสีชมพูเอ่ยเรียก เจ้าของชื่อก็โผล่ออกมาจากเงามืดทันที

“ข้าจะจัดการให้เรียบร้อย...”   เด็กสาวเอามือทาบอกก่อนจะโค้งตัวให้อย่างนอบน้อม คำว่า “จัดการให้เรียบร้อย” คงไม่อันตรายเท่าไหร่ถ้ามันไม่ได้ออกมาจากปากของนักฆ่าเช่นเด็กสาวคนนี้ นัยน์ตาสีฟ้าเหลือบมองใบหน้าของเด็กสาวที่ใครๆต่างก็เข้าใจว่าเป็นข้ารับใช้ประจำตัวเขา แต่ความจริงแล้วเด็กสาวคือเงาดำมืดที่จะคอยกลืนกินเรื่องร้ายๆที่จะมากล้ำกลายเขาต่างหาก

จีน่าคือองครักษ์ ไม่ใช่ข้ารับใช้ธรรมดาๆ

“ไม่ต้อง...ปล่อยไว้แบบนั้นแหละ...”   แล้วสิ่งที่เขาพูดออกไปก็ทำให้เด็กสาวทำหน้าประหลาดใจ

“แต่ว่าถ้าปล่อยไป นางอาจจะเอาไปพูด...”

“ก็ให้นางพูดไป”   เขาตัดบทและมันก็ทำให้คนที่ถือเอาคำสั่งของเขาเป็นมากกว่าจ้าวชีวิตน้อมรับโดยไม่โต้แย้งทันที

“ค่ะ....”   เด็กสาวหายไปกับเงามืดอีกครั้ง ปล่อยให้เจ้าชายแห่งอียิปต์ยืนมองพระราชวังหลวงซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำไนล์ตามลำพัง...ที่นั่นคือที่อยู่ของฟาโรห์องค์ปัจจุบัน และเขาก็กำลังมองมันด้วยสายตาท้าทาย...








ยามดึกของปราสาทหินนั้นช่างเงียบงันจนแม้แต่ลมทะเลทรายอันห่างไกลก็ยังได้ยิน แต่กระนั้นเจ้าของปราสาทกลับมาปรากฎกายอยู่หน้าห้องของอาคันตุกะจากแดนไกลโดยไร้สุ้มเสียงใดๆ

นัยน์ตาสีฟ้าที่เปล่งประกายในความมืดเช่นเดียวกับดวงดารากำลังทอดมองไปยังเงาร่างที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียง...

เสียงที่คิมี่ถามเขาเรื่องผู้หญิงหรือผู้ชายพวกนั้นยังคงติดอยู่ในใจ

เขาไม่เคยคิดจะรักผู้หญิงคนไหน  ให้พูดคุย ให้เล่นด้วยก็ได้อยู่หรอก แต่ไม่เคยคิดจะเข้าใกล้ ไม่เคยคิดจะแตะต้อง...เพราะทุกครั้งที่อยู่ใกล้อิสตรี มันจะทำให้นึกถึงแม่ของเขาขึ้นมา...

และทุกครั้งที่นึกถึงพระนาง...ความมืดมนก็มักจะเข้ามาครอบงำจิตใจเขา จนแสร้งเป็นเจ้าชายลำดับที่สี่ผู้แสนดีต่อไปแทบไม่ได้...

ฉะนั้นเขาจึงไม่เคยคิดจะรักผู้หญิง...

แต่กับผู้ชายเขาก็ไม่เคยคิดจะรักเช่นกัน...

เขาไม่เคยคิดจะรักใคร...จนกระทั่งได้เจอคิมี่...

เขารู้ตัวว่าเขาตกหลุมรักอีกฝ่ายทันที...

มันอาจจะเป็นพรหมลิขิตหรือโชคชะตาที่ส่งอีกฝ่ายมาอยู่ตรงหน้าเขา...ทั้งๆที่เราอยู่ในโลกคนละใบกันแท้ๆ

สองขาก้าวเข้าไปในห้องโดยที่สายตายังจับจ้องอยู่ที่แผ่นหลังซึ่งตะแคงข้างให้เขา

ตอนแรกเขาก็คิดจะเก็บความรู้สึกนี้ไว้เพียงในใจ...แต่พอคิมี่บอกกับเขาว่าอียิปต์กำลังจะล่มสลายในอีกไม่ช้า...เขาก็รู้ว่าเขาเก็บมันไว้ไม่ไหวอีกต่อไป...

เขาไม่ได้ชอบแค่รูปลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครของคิมี่ แต่เขากลับตกหลุมรักนิสัยที่ตรงไปตรงมาของอีกฝ่าย ตกหลุมรักในความเป็นลูกผู้ชายที่ไม่กลัวแม้แต่ความตาย ทั้งๆที่สิ่งที่คิมี่พูดออกมานั้นมันเสี่ยงต่อชีวิต แต่ก็ยังเลือกที่จะบอกเขาตรงๆไม่เก็บงำไว้ ไม่กลัวว่าเขาจะสั่งประหารเลยแม้แต่น้อย

สองขาหยุดลงที่ข้างเตียง นัยน์ตาสีฟ้าทอดมองใบหน้ายามหลับใหลของอีกฝ่ายที่หันข้างให้...เขาต่อสู้กับความรู้สึกและความต้องการของตัวเองมาหลายสัปดาห์...และตอนนี้เขาก็รู้แล้วว่า...

ต่อให้เขาจะถูกโลกทั้งใบชิงชัง ขอแค่ยังมีคนคนนี้อยู่ข้างกายเท่านั้นก็พอ

ถึงจะรู้ว่าสำหรับเขาแล้ว...ความรักคือเรื่องที่ผิดมหันต์...แต่หัวใจมันก็ยังเรียกร้องไม่หยุดอยู่ดี

ร่างโปร่งก้าวขาคุกเข่าลงไปบนเตียงก่อนจะล้มตัวนอนช้าๆ ซุกใบหน้าและหัวสีบลอนด์เข้มเอาไว้กับแผ่นหลังของอีกฝ่าย

“ไหนว่าในอียิปต์การมีสัมพันธ์กันระหว่างผู้ชายกับผู้ชายยังไม่มีใครยอมรับไง?”   เขารู้ว่าคิมี่ไม่ได้หลับ เพราะฉะนั้นจึงไม่ตกใจเมื่อได้ยินเสียงอีกฝ่าย

“ใครจะสน”   ริมฝีปากสีชมพูตอบออกไปเบาๆและนั่นก็ทำให้ร่างหนาพลิกกายกลับมาทันที ท่อนแขนที่เต็มไปด้วยรอยสักสีดำท้าวพื้นเตียงอีกฝั่งเอาไว้ทำให้ตอนนี้เขาถูกคิมี่คร่อมอยู่ทั้งตัว

นัยน์ตาสีเทาที่มองลงมานั้นเก็บความต้องการเอาไว้ไม่อยู่และเขาเองก็มองสวนกลับไปด้วยดวงตาที่ไม่หวั่นไหวเช่นกัน...การทำแบบนี้มันเป็นเรื่องต้องห้ามของราชวงศ์...ต่อให้เขาจะเคยได้ยินมาบ้างว่ามีผู้ชายกับผู้ชายรักกันแต่พวกนั้นไม่ใช่ชนชั้นสูง...เขาไม่รู้หรอกว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับพวกเขาบ้างถ้ามีคนเอาเรื่องนี้ออกไปพูดกัน แต่ตอนนี้มีเพียงเสียงจากหัวใจของเราทั้งคู่เท่านั้นที่ได้ยินชัดกว่าเสียงใดๆ

เดิมทีแล้วเขาก็ไม่ใช่เจ้าชายผู้แสนดีอย่างที่ใครๆคิด เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่รู้สึกผิดต่อการแหกกฎแหวกม่านประเพณีแบบนี้เลย  สองแขนจึงขยับไปคล้องลำคอแข็งแรงนั่นเอาไว้ คิมี่ขยับใบหน้ามาซุกไซร้ซอกคอของเขาทำเอารู้สึกจั๊กจี้ก่อนจะเปลี่ยนเป็นความรู้สึกดีอย่างแปลกประหลาด

แรงกดจูบหนักๆที่ซอกคอทำให้เขาต้องกัดฟันไม่เช่นนั้นอาจจะหลุดเสียงน่าอายออกไป ดูเหมือนคิมี่จะจงใจทิ้งตัวลงมาทาบทับ ผิวเหนือที่สัมผัสกันตั้งแต่แผ่นอกไปจนถึงหน้าท้องทำให้หัวใจเต้นระรัว อุณหภูมิของอีกฝ่ายที่รับรู้ผ่านร่างกายที่แนบชิดนั้นทำให้เริ่มหายใจติดๆขัดๆ ทั้งตื่นเต้นทั้งตื่นกลัว...ก็อย่างที่บอกว่าเขาไม่เคยสนใจผู้หญิงหรือผู้ชายคนไหน ไม่เคยคิดจะมีความสัมพันธ์แบบนี้กับใคร จึงไม่เคยมีข้อมูลอยู่ในหัวเลยแม้แต่น้อย ไม่รู้เลยว่ามันเป็นยังไง ไม่รู้เลยว่าจะรู้สึกดีหรือแย่แค่ไหน

ท่อนแขนที่เต็มไปด้วยรอยสักกอดรัดเขาจนต้องแอ่นตัวเข้าหา จากผิวเนื้อที่แค่แตะๆกันตอนนี้มันจึงแนบแน่นจนแทบจะหลอมรวมกันได้ ร่างกายของคิมี่ทำให้เขารู้สึกดีจนเผลอยกแขนกอดตอบ ใบหน้าหล่อเหลายังคงซุกไซร้อยู่ที่ซอกคอจนเขาเผลอเงยหน้าเอียงหน้าให้ แล้วก็ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ต้นขาของอีกฝ่ายกดทับอยู่ที่หว่างขาของเขา

“อึก...”   ร่างทั้งร่างสะดุ้งสุดตัวเช่นเดียวกับท้องน้อยที่เสียวแปลบเมื่อจู่ๆต้นขาแข็งแรงก็บดเบียดลงไปที่แกนกลางร่างกายของเขา สัมผัสที่ผ่านเนื้อผ้ามาทำเอาเสียงครางน่าอายหลุดออกไปจากลำคออย่างไม่ทันห้าม ริมฝีปากสีชมพูจึงรีบเม้มเข้าหากันก่อนที่มันจะเปล่งเสียงแปลกๆออกไปอีก

“อื้อ...”   แต่ยิ่งเม้มปาก ยิ่งกัดมันไว้ คนข้างบนก็ยิ่งจงใจเสียดสีต้นขาของตัวเองมายังส่วนอ่อนไหวของเขาไม่หยุด ซ้ำใบหน้าที่เคยคลอเคลียอยู่ที่ซอกคอก็เปลี่ยนมากดจูบเบาๆอยู่บนแผ่นอก

“อ๊า...”   แล้วเขาก็ห้ามเสียงน่าอายนั่นไม่ไหวอีกต่อไป เมื่อคิมี่ใช้ริมฝีปากครอบครองยอดอกของเขาไว้!

ความชื้นแฉะจากเรียวลิ้นที่สัมผัสได้ทำให้รู้สึกอายจนใบหน้าร้อนเป็นไฟ แต่ทุกครั้งที่ลิ้นของคิมี่ขยับมันกลับทำให้ร่างกายถึงกับบิดเร่าจากความรู้สึกเสียวซ่านรัญจวนใจ เขาเพิ่งรู้จริงๆว่าหน้าอกของผู้ชายก็รู้สึกได้ขนาดนี้

“....อื้อ...”   เขาพยายามกล้ำกลืนเสียงครางเอาไว้ไม่ให้หลุดออกมา ทั้งเม้มริมฝีปากทั้งสะบัดหน้า แต่มันก็ทรมานจริงๆเมื่อต้นขาแข็งแรงที่เคยบดเบียดเบื้องล่างกลับถอนออกไปกลายมาเป็นฝ่ามือใหญ่ที่แหวกกระโปรงผ้าลินินแล้วตรงเข้าไปจับกุมแกนกายของเขาแทน เพราะไม่เคยถูกคนอื่นสัมผัสแบบนี้ความต้องการที่ไม่รู้จักจึงทำให้ส่วนอ่อนไหวขยายใหญ่ทันที

“อึก...”   เขาเม้มริมฝีปากจนน้ำตาปริ่ม จะว่ายังไงดี...มันทรมานจนแทบขาดใจแต่มันก็รู้สึกดีจนจะตายให้ได้เหมือนกัน นัยน์ตาสีฟ้าที่สั่นพร่าพยายามเปิดตามองใบหน้าของคนที่อยู่ข้างบน...คิมี่เองก็ดูทรมานอยู่เช่นกัน ใบหน้าหล่อเหลานั้นจ้องมองเขาราวกับเสือที่กำลังหิวกระหาย เหงื่อที่หยดลงมาตามขมับขับให้ผู้ชายคนนี้ดูเซ็กซี่อย่างร้ายกาจเลยจริงๆ

“อ่ะ...”  ไหล่ของเขาสะดุ้งเบาๆเมื่อจู่ๆก็รู้สึกว่ามีอะไรร้อนๆแนบลงมาที่แกนกาย...มันร้อนเป็นไฟ มันแข็งแล้วมันก็ใหญ่...ไม่ต้องเหลือบตาลงไปมองเขาก็รู้แล้วว่ามันเป็นของของคิมี่...

จากต้นขา จากฝ่ามือ ตอนนี้คิมี่กำลังใช้ความเป็นชายของตัวเองบดเบียดเสียดสีกับส่วนอ่อนไหวของเขาอยู่ มันรู้สึกดีจนแทบคลั่ง มันรู้สึกดีจนแทบจะหลั่งออกมาให้ได้

“อื้อ...”  แต่คิมี่ก็กดส่วนปลายของเขาไว้...ไม่ยอมให้เขาปลดปล่อยออกไป เขาจึงได้แต่มองอีกฝ่ายน้ำตาคลอ คนข้างบนกัดฟันเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆใช้มืออีกข้างกอบกุมแกนกายของเราไว้ด้วยกัน ร่างกายก็บดเบียดเข้าหา ฝ่ามือก็ขยับรูดขึ้นลง ความร้อนราวกับไฟที่ส่งผ่านมายังแกนกายทำเอาเขาแทบจะคุมสติไม่อยู่อีกต่อไป

ดี...มันรู้สึกดีมากจนสะโพกเผลอขยับไปตามฝ่ามือที่ชักอย่างหนักหน่วง ความปรารถนา ความต้องการ ความสุขสมทำให้สองแขนกอดรัดร่างของคิมี่เอาไว้แน่น...อยากได้มากกว่านี้...มากกว่านี้...มากกว่านี้อีก!

“อะ อื้อ!”   ปลายนิ้วที่เคยกดเอาไว้ยอมปล่อยออกไปเมื่อต่างฝ่ายต่างถึงจุดสูงสุดของอารมณ์ น้ำรักสีขาวขุ่นพุ่งทะยานออกมาเลอะเต็มหน้าท้องของกันและกัน และเขายังกอดไหล่แข็งแรงนั่นเอาไว้แน่น

“ฮ้า...ฮ้า...ฮ้า...”   เสียงหอบหายใจดังคละเคล้าไปกับเสียงลมทะเลทราย ต่างฝ่ายต่างรู้ดีว่าแค่นี้มันไม่พอแต่คิมี่ก็เลือกที่จะละออกไป แล้วไม่นานผ้าหมาดๆที่เคยพาดอยู่บนอ่างทองเหลืองก็มาลูบไล้อยู่ที่หน้าท้องของเขา คิมี่กำลังทำความสะอาดคราบคาวพวกนั้นให้ เพราะยังไงมันก็ปนกันจนแยกไม่ออกว่าของใครเป็นของใคร เขาได้แต่มองมันด้วยสองแก้มที่ร้อนผ่าว เพราะมันคือเครื่องยืนยันถึงไฟปรารถนาที่ถูกซุกซ่อนเอาไว้ในใจของเราทั้งคู่

“ชั้นไม่ได้คิดจะหยุดอยู่แค่นี้หรอกนะ ขอให้รู้เอาไว้”   คิมี่บอกกับเขาในขณะที่ใช้ผ้าเช็ดหน้าท้องของตัวเอง ความเป็นคนตรงๆของอีกฝ่ายบางทีก็ทำเขาอายจนต้องหมุดหน้ากับผ้าห่มหนี เขาก็ไม่คิดจะให้พอแค่นี้เหมือนกันละน่า...แต่ว่า...สำหรับครั้งแรก...แค่นี้เขาก็มีเรื่องให้ตกใจเยอะแล้ว...

“เซบ...”   เสียงทุ้มเรียกเขาอยู่ไม่ไกล

“หื๋อ?”   และเมื่อเขาเงยหน้าไปหา...ริมฝีปากบางๆของคิมี่ก็ประกบจูบลงมาที่ริมฝีปากของเขาทันที

“อืม...”   เมื่อกลางวันยังไม่ทันจะได้จูบกันด้วยซ้ำ แต่คิมี่กลับทำให้จูบแรกในชีวิตของเขาเป็นจูบที่หวานล้ำหนักหน่วงถึงขนาดนี้ ลิ้นร้อนสอดแทรกเข้ามาพัวพันกับลิ้นที่ไร้เดียงสาของเขา สัมผัสที่ลึกซึ้งนี้ก็รู้สึกดีไม่แพ้กันเลย


คืนนั้นเขาจึงนอนอยู่ที่ห้องของคิมี่เพราะไม่มีแรงจะเดินกลับห้องของตัวเอง...อีกอย่าง...อุณหภูมิร่างกายของคิมี่ก็ทำให้เขารู้สึกดีเวลาที่อยู่ในอ้อมแขนของกันและกัน

เขากอดคิมี่และคิมี่ก็กอดเขาไว้...จนราตรีลาจากไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ตัวเลย...











หญิงสาวถึงกับต้องกอดโถใส่น้ำแน่นเพราะกลัวว่ามันจะหล่นลงไปแล้วปลุกสองคนที่นอนกอดก่ายกันอยู่บนเตียงให้ตื่นขึ้นมา...ทั้งๆที่ตอนนี้เธอตกใจเสียยิ่งกว่าเจอทองทั้งภูเขา!

เช้านี้เธอมีเวรที่จะต้องเอาน้ำมาเติมใส่อ่างทองเหลืองในห้องของท่านอาคันตุกะ แขกของเจ้าชายเซบาสเตส และเธอก็ขึ้นมาทำหน้าที่ตามปกติ...แต่สิ่งที่ไม่ปกติก็คือแทนที่ท่านอาคันตุกะจะนอนอยู่คนเดียวเหมือนทุกทีแต่เช้านี้กลับมีเจ้าชายมานอนอยู่ข้างๆ ซ้ำยังกอดกันเหมือนคู่สามีภรรยาแบบนั้น...

เธอค่อยๆก้าวถอยหลังหลังจากที่ยืนชะงักค้างอยู่ตรงนี้มาหลายนาที...เรื่องนี้เป็นข่าวใหญ่...เรื่องนี้ใหญ่กว่าที่สาวใช้อีกคนมาเล่าให้ฟังว่าเมื่อวานทั้งคู่ดูเหมือนจะจูบกันอยู่เสียอีก!

หญิงสาวรีบวิ่งจากไปหลังจากที่ถอยไปจนถึงบริเวณที่น่าจะปลอดภัย โดยที่ไม่รู้เลยว่ามีสายตาดำมืดคู่หนึ่งจ้องมองอยู่...

องค์รักษ์ประจำกายของเจ้าชายลำดับที่สี่ได้แต่มองสาวใช้คนนั้นด้วยสายตามืดมนก่อนจะหันกลับไปมองเจ้านายของตนอย่างไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมถึงจงใจให้สาวใช้พวกนั้นรู้เรื่องระหว่างตนกับแขกจากแดนไกล ทั้งๆที่ถ้าต้องการเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ แค่บอกเธอคำเดียว เธอก็จะปิดทุกปากที่เอาเรื่องของเจ้าชายไปนินทาให้ก็ยังได้






เพราะฉะนั้นอีกไม่นาน...ข่าวลือเรื่องความสัมพันธ์ของเจ้าชายลำดับที่สี่กับอาคันตุกะจากแดนไกลก็แพร่สะพัดไปทั่วปราสาทลุกลามไปจนถึงพระราชวังหลวงเลยทีเดียว






“ยังจะนอนที่นี่อยู่อีกเหรอ?”   คิมี่ ไรโคเนน ทักขึ้นในวันหนึ่งหลังจากที่เห็นเจ้าชายแห่งอียิปต์ล้มตัวลงไปนอนบนที่นอนของเขา หลายอาทิตย์มานี้เซบไม่ได้กลับไปนอนที่ห้องของตัวเองเลย ทุกๆคืนมักจะจบลงด้วยการนอนกับเขา...ใช่...เรามีอะไรกัน ถึงแม้ส่วนที่เข้าไปในร่างกายของเด็กนั่นได้ตอนนี้จะยังเป็นแค่นิ้วอยู่ก็เถอะนะ

“ท่านไม่อยากให้เรานอนที่นี่รึ? หรือท่านก็สนใจความรู้สึกของคนอื่นด้วย?”  แน่นอนว่าเขารู้ว่าข้างนอกพูดถึงเรื่องของเขากับเด็กนั่นว่ายังไง เขาถึงได้ตัดสินใจถามออกไปแบบนั้น เขาเองก็ห่วงความรู้สึกของเซบเหมือนกัน กลัวว่าจะกดดันคิดมากจิตตกหรือไม่สบายใจกับเสียงวิพากย์วิจารณ์ในทางแย่ๆที่หนาหูขนาดนั้น แต่ดูจากการที่อีกฝ่ายไม่หลบหน้าเขา ยังป้วนเปี้ยนอยู่รอบกายเขา ยังยิ้มให้เขา ยังนอนอยู่ข้างๆเขาด้วยใบหน้าไม่ทุกข์ร้อนแบบนั้น เขาก็มั่นใจแล้วว่าเด็กนี่ไม่ใช่เจ้าชายหัวอ่อนธรรมดาๆ เพราะงั้นเขาจึงก้มหน้าลงไปหาด้วยสายตากรุ้มกริ่มก่อนจะกระซิบบอกเด็กนั่นไปว่า

“หึ....ใครจะสน”  เจ้าชายแห่งอียิปต์จึงหัวเราะเสียยกใหญ่เพราะนี่เป็นคำพูดคำเดียวกันกับที่เด็กนั่นเคยบอกกับเขา...ในคืนแรกที่นับว่าเรามีอะไรกัน

เขาล้มตัวลงนอนก่อนจะดึงตัวเด็กนั่นมากอดเอาไว้ เขารู้ว่าเซบกำลังใช้เรื่องของเขาทำอะไรบางอย่างอยู่ เขารู้ว่าเจ้าโกลเด้นจอมซุกซนนี่ไม่ใช่เด็กดีที่จะเชื่อฟังใครง่ายๆ เขารู้ว่าเจ้าชายคนนี้ก็มีอาการต่อต้านกฎระเบียบของราชวงศ์อยู่พอสมควรเลย

บางที...เด็กนี่อาจจะอยากเปลี่ยนแปลงความคร่ำครึโบราณของการปกครองที่มีมาไม่รู้กี่พันปีของอียิปต์ก็เป็นได้...บางที...เขาอาจจะทำถูกแล้วที่ช่วยเจ้าชายคนนี้ให้เป็นฟาโรห์คนต่อไป...อย่างน้อยประชาชนก็คงจะไม่ได้ถูกปกครองด้วยความหวาดกลัว








แต่ข่าวลือของเจ้าชายลำดับที่สี่ก็แพร่กระจายอยู่ได้ไม่นาน ข่าวที่ใหญ่กว่านั้นก็มากลบทับและทำให้ทั่วทั้งอียิปต์ระส่ำระสายทันที...สำหรับคิมี่ ไรโคเนนแล้วข่าวนี้เองก็ชวนตกใจอยู่ไม่น้อยเลยเช่นกัน อะไรๆมันมักจะมาอย่างไม่ทันให้ตั้งตัวเสมอ...

ทั้งๆที่เขาคิดว่าจะได้ใช้ชีวิตอยู่ในอาณาจักรอียิปต์โบราณต่ออีกหน่อยแท้ๆ...



“ฝ่าบาททรงเสด็จสวรรคตแล้ว!! ฟาโรห์ที่รักยิ่งของพวกเราสิ้นแล้ว!!”   นักบวชประจำพระราชวังหลวงร้องแรกแหกกระเชิงไปทั่วทำให้ชนชั้นสูงที่จับกลุ่มพูดคุยเรื่องของเจ้าชายเซบาสเตสกันอย่างออกรสอยู่นั้นถึงกับตื่นตะลึงจนคำพูดที่ค้างๆอยู่ถึงกับหายวับไปในหัว

เพราะทุกคนในอียิปต์ต่างเชื่อในเทพเจ้าเป็นสิ่งสูงสุดและคนที่จะติดต่อกับเทพเจ้าได้ก็มีเพียงฟาโรห์เท่านั้น พอขาดคนคนนี้ไปก็ทำให้ทั่วทั้งเมืองต่างตกอยู่ในความเศร้าหมอง ต่างหวาดกลัวว่าเทพเจ้าจะทอดทิ้ง ไม่มีสิ่งไหนสำคัญไปกว่านี้อีกแล้ว...เรื่องความสัมพันธ์อันไม่เหมาะสมของเจ้าชายลำดับที่สี่จึงถูกกลบหายไปในอากาศราวกับว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น...

ทั่วปราสาทของเจ้าชายลำดับที่สี่เองก็วิ่งกันให้วุ่น...นี่เขาไม่ได้เห็นหน้าเซบมาสองวันได้แล้ว...

หน้าแขนที่เต็มไปด้วยรอยสักเท้าลงไปบนราวกันตกหินทราย นัยน์ตาสีเทาเหม่อมองทะเลทรายที่กลืนหายไปกับความมืด ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีบลอนด์ปล่อยให้ลมทะเลทรายปะทะเบาๆ เงาวูบไหวและคบเพลิงที่มองเห็นเป็นจุดๆยังคงเดินไปเดินมาระหว่างปราสาทนี่กับพระราชวังหลวงแม้เวลานี้ก็นับได้ว่าดึกพอสมควร ดูท่าการจัดงานศพของฟาโรห์คงจะดำเนินต่อไปไม่ว่าจะกลางวันหรือกลางคืนเลยสินะ ก็ตามความเชื่อของชาวอียิปต์แล้ว โลกหลังความตายนั้นสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด ฟาโรห์ทุกพระองค์ถึงได้เตรียมหลุมศพของตัวเองเอาไว้ตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่...พอนึกถึงว่าตอนนี้ที่พระราชวังนั่นกำลังมีการทำมัมมี่...ขนก็ลุกชันขึ้นมาทันที


ตุบ...


น้ำหนักของอะไรบางอย่างทาบทับลงมาบนแผ่นหลังของเขาให้หายใจไม่ทั่วท้องอยู่แว่บหนึ่ง แต่พอได้กลิ่น พอผิวเนื้อแนบสัมผัส...จากอ้อมแขนผอมบางที่กอดเขาจากข้างหลัง รอยยิ้มจางๆก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา

“เซบ...”   เขาเอ่ยเรียกคนที่ยังซบหัวสีบลอนด์เข้มเอาไว้กับแผ่นหลังของเขา แค่ไม่เจอกันสองวันทำไมมันถึงได้รู้สึกโหยหาขนาดนี้...แล้วนี่...ฟาโรห์คนสุดท้ายในหน้าประวัติศาสตร์เพิ่งจะตาย อียิปต์กำลังจะล่มสลาย...อนาคตของเขากับเด็กนี่จะเป็นยังไง คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ตก...รู้แค่ว่า เวลาของพวกเราอาจจะเหลืออีกไม่มากแล้ว

“อือ~ เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว~~”   เขาพลิกกายกลับมาให้คนที่กอดเขาไว้ซบหน้าลงแผ่นอกของเขาแทน...ถ้าจะต้องจากกัน อย่างน้อยก็ขอใช้ทุกๆวันอยู่ด้วยกันให้คุ้มค่าเสียก่อน

“งานทางนั้นเสร็จแล้ว?”   เขาก้มลงไปมองใบหน้าซึ่งเงยขึ้นมาและมันก็อยู่ใกล้ปลายคางของเขานี่เอง

“ยังหรอก...ตอนนี้พวกนักบวชกำลังทำพิธีรักษาพระศพอยู่ ต้องใช้เวลาอีกเป็นสัปดาห์กว่าจะเคลื่อนพระศพไปฝังยังหุบเขากษัตริย์ได้”   นี่ถ้าเขาเป็นพวกนักวิชาการคงรีบแจ้นไปขอดูแน่ๆว่าคนอียิปต์ทำมัมมี่กันอย่างไร การถกเถียงในโลกปัจจุบันจะได้จบลงเสียที แต่บังเอิญว่าเขาเป็นแค่นักขับเอฟวันที่อยู่ในขั้นมนุษย์ปุถุชนคนทั่วไป...ยังไม่อาจทนดูนักบวชพวกนั้นชำแหละร่างกายที่ตายแล้วได้ เขาก็เลยขออยู่เงียบๆที่ปราสาทนี่ดีกว่า

แต่สำหรับเจ้าชายลำดับที่สี่ยังไงก็คงต้องไป ดูเหมือนเซบต้องไปสวดอะไรสักอย่างอยู่ในวิหารทั้งวันทั้งคืน นี่ก็เพิ่งถูกปล่อยตัวกลับมา

เขาลูบใบหน้าที่หลับไปแล้วทั้งๆที่ยืนซบเขาอยู่ คงจะเหนื่อยมากจริงๆ ท่อนแขนที่เต็มไปด้วยรอยสักจึงอุ้มเจ้าชายแห่งอียิปต์ขึ้นก่อนจะนำไปนอนที่เตียงดีๆ

ผ้าม่านสีขาวพลิ้วไหวไปตามลมทะเลทรายที่พัดเข้ามา ถึงแม้เขาจะไม่ได้จุดตะเกียงแต่แสงของจันทราก็ยังทำให้เขามองเห็นใบหน้าหลับสนิทของคนที่นอนอยู่ข้างกายได้ เขาเอื้อมมือออกไปลูบไล้แก้มใสด้วยความรักใคร่...อยากอยู่ด้วยกันให้นานกว่านี้...เขาจะต้องทำยังไงดี...ถ้าเขารู้วิธีกลับโลกยุคปัจจุบันละก็ เขาคงไม่ลังเลเลยที่จะลักพาตัวเจ้าชายแห่งอียิปต์พระองค์นี้กลับไป...









เขาอยู่โยงเฝ้าปราสาทหินทรายของเจ้าชายลำดับที่สี่มาครบสองสัปดาห์จนได้ เขาเพียงมองพิธีเคลื่อนพระศพอันยิ่งใหญ่อลังการนั่นจากระเบียงบนปราสาทเท่านั้น ในที่สุดงานฝังพระศพของฟาโรห์องค์ก่อนก็สิ้นสุดลง

ในขณะนี้บัลลังก์ของอียิปต์จึงว่างอย่างไม่ต้องสงสัย

ทั้งประชาชนทั้งข้าราชสำนักจึงต่างจับตามอง...ว่าการช่วงชิงบัลลังก์สีทองนี้จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เพราะว่าในประวัติศาสตร์หลายพันปีที่ผ่านมาแทบจะไม่มีเลยที่ฟาโรห์จะไม่แต่งตั้งรัชทายาทที่จะครองบัลลังก์ต่อจากตนเอาไว้แบบนี้

นัยน์ตาสีเทาเหลือบมองเจ้าชายลำดับที่สี่ซึ่งกำลังนอนพังพาบคว่ำหน้าอ่านตำราใบปาปิรุสอยู่บนเตียงของเขา ฝ่าเท้าขาวๆนั่นยกขึ้นสับไปมาในขณะที่มือหนึ่งก็ใช้ไม้กลมๆกวาดน้ำผึ้งในโหลก่อนจะอมเข้าไปในปาก...ดูท่าทางสบายใจจริงนะเจ้าเจ้าชายพระองค์นี้...นี่ยังคิดจะชิงบัลลังก์กับเค้าอยู่ใช่ไหมเนี่ย?

เขาเดินไปนั่งลงบนเตียงข้างๆร่างที่นอนคว่ำพลางชะโงกหน้าไปดูว่าเด็กนั่นอ่านอะไรอยู่ แต่ไม่ว่าเขาจะดูเท่าไหร่เขาก็ไม่เข้าใจหน้ากระดาษที่มีแต่ตัวอักษรเฮียโรกลีฟิคเต็มพรืดนั่นเลยสักนิด

“มันอ่านว่าอะไรน่ะ?”  เขาจึงได้ถามออกไป ใบหน้ารูปไข่หันมามองเขาด้วยความสงสัยก่อนจะอ่านให้ฟัง

“เส้นทางหลังความตายและวิธีกลับมายังโลกนี้อีกไงล่ะ? ท่านอ่านตัวอักษรของอียิปต์ไม่ออกรึ?”   ไอ้ตัวหนังสือที่มีแต่รูปภาพนกบ้าง ตาบ้าง ต้นไม้บ้าง นั่นใครมันจะไปอ่านออกฟ๊ะ? เขายักไหล่เป็นเชิงปฏิเสธไปหนึ่งที แต่เซบก็ไม่ได้ดูถูกเขาที่เขาไม่รู้หนังสือของยุคนี้ เด็กนั่นกลับลุกพรวดขึ้นมานั่งพลางมองเขาด้วยดวงตาลุกวาว

“ถ้างั้นหมายความว่าในโลกอีกหลายพันปีข้างหน้าไม่ได้ใช้ตัวอักษรแบบนี้แล้วสินะ? ถ้างั้นท่านเขียนตัวอักษรในยุคของท่านให้เราดูหน่อยสิคิมี่”   อ้อ...ตื่นเต้นเรื่องนี้เองสินะ? อยากเห็นตัวหนังสือในอนาคตนี่เอง

“นะๆ”  มือเรียวทั้งสองข้างเกาะแขนเขาพลางเขย่าอย่างอ้อนๆ ความอยากรู้อยากเห็นของเจ้าเด็กนี่ใช่ว่าจะกล่อมให้หายไปในชั่วข้ามคืนได้เสียด้วย อีกอย่างการเขียนหนังสือให้ดูมันก็ไม่ได้เสียหายอะไร

“........เอากระดาษมาสิ...”   ร่างโปร่งวิ่งรี่ไปหยิบกระดาษปาปิรุสว่างเปล่ากับโถใส่ยางไม้มาให้ทันที ดวงตาสีฟ้าทอประกายวิ้งๆนั่นดูน่าหมั่นไส้จนเขาต้องส่ายหน้า

เขานิ่งไปนิดหนึ่งก่อนจะหยิบปากกาที่ทำมาจากต้นกกขึ้นมา...จุ่มมันลงไปในโถใส่ยางไม้ที่ทำจนคล้ายน้ำหมึก...แล้วก็เขียนมันลงไปบนกระดาษปาปิรุสที่กางรออยู่เป็นคำว่า...



......I LOVE YOU…..



“มันอ่านว่าอะไรน่ะ?”  ใบหน้าที่ชะโงกมาดูจนติดต้นแขนของเขามองตามตัวอักษรภาษาอังกฤษนั่นอย่างสนใจเพราะไม่เคยเห็นตัวหนังสือแบบนี้มาก่อนในชีวิต เขาอมยิ้มนิดๆก่อนจะบอกคำอ่านของประโยคนี้ให้เจ้าชายเซบาสเตสฟัง

“ไอ เลิฟ ยู”

“แล้วมันแปลว่าอะไร?”   ใบหน้ารูปไข่หันเงยขึ้นมามองเขาด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็นจนเขาลอบยิ้มก่อนจะตอบออกไปว่า

“........วันนี้อากาศดีนะ....”

“...ไอเลิฟยู...แปลว่า...วันนี้อากาศดีนะ...อย่างนั้นสินะ?”   เจ้าคนที่ไม่รู้ตัวเลยว่าโดนเขาต้มอยู่หันมาทวนคำพูดอย่างตั้งอกตั้งใจ เขาเลยอดที่จะแกล้งต่อไม่ได้

“ใช่...เอาไว้ทักทายตอนเช้า ถึงอากาศจะไม่ดีแต่ถ้าทักกันด้วยคำนี้ เราก็จะเชื่อได้ว่าวันนั้นอากาศจะดีจริงๆ”   เขาก็พูดอะไรมั่วๆไปแต่คนที่กำลังจดจำก็ทำให้เขาแอบขำอย่างเอ็นดูอยู่ในใจ

“อือ...งั้นแสดงว่าทุกเช้า เราต้องทักท่านว่า...ไอเลิฟยู...สินะ?”    หึ...ถึงจะรู้สึกเขินๆอยู่บ้างแต่มันก็น่ารักดีเหมือนกัน เพราะงั้นเขาจึงปล่อยให้เข้าใจผิดอยู่แบบนั้นแหละ


โครม!!


แล้วจู่ๆเสียงดังสนั่นก็ดังขัดขวางบรรยากาศสงบสุขของพวกเรา ไหล่ทั้งสองข้างสะดุ้งอย่างช่วยไม่ได้ แต่ด้วยสัญชาตญาณของนักขับ ปฏิกิริยาโต้ตอบอันไวกว่ามนุษย์มนาทั่วไปก็ทำให้เขาคว้าตัวเจ้าชายแห่งอียิปต์ให้หมอบลงกับพื้นก่อนจะรีบก้าวขาไปชิดผนังด้านที่ติดกับระเบียง เขาเอี้ยวตัวเล็กน้อยเพื่อมองดูว่าเกิดอะไรขึ้นที่หน้าประตูทางเข้าปราสาทซึ่งน่าจะเป็นต้นตอของเสียงนั่น

ทหารอียิปต์กลุ่มใหญ่ถือไม้ยาวๆวิ่งกรูเข้ามาทำให้นัยน์ตาของเขาเบิกกว้าง

“คนของเจ้าชายลำดับที่สาม...”   เซบกระซิบบอกเขาด้วยเสียงเบาหวิว...อย่าบอกนะว่าคนพวกนั้นเริ่มลงมือกำจัดผู้เข้าชิงบัลลังก์กันแล้วและคนที่ตกเป็นเป้าก่อนใครก็คือเจ้าชายลำดับที่สี่ที่ไม่มีกำลังทหารหรืออาวุธใดๆอยู่ในมือ ถือเป็นเป้าที่กำจัดง่ายที่สุด!

“หนีออกไปจากที่นี่กัน”   เขากดหัวที่สวมมงกุฎผ้าอยู่ให้ค่อมต่ำลงก่อนจะพากันขยับไปที่ประตู เสียงถ้วยชามตกแตกดังคละเคล้ากับเสียงกรีดร้องของสาวใช้ก่อนจะวิ่งกันให้จ้าละหวั่นทำให้เหตุการณ์ดูวุ่นวายขึ้นมาภายในพริบตา...แบบนี้ก็ดี จะได้ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ทหารพวกนั้นก็จะหาตัวเจ้าชายลำดับที่สี่ได้ยากขึ้นด้วย...เขายื่นหน้าออกไปมอง เห็นพวกทหารของเจ้าชายลำดับที่สามพุ่งตรงเข้าไปในห้องนอนของเจ้าชายเซบาสเตสและคงจะค้นหาเจ้าชายลำดับที่สี่อยู่ในห้องนั้นอีกพักใหญ่ ก็นับว่ายังดีที่พวกนั้นไม่เอะใจเลยว่าเจ้าชายเซบาสเตสไม่ได้นอนที่ห้องตัวเองมานานแล้วตั้งแต่ข่าวลือกับเขาแพร่ออกไป!

“ไปกันเถอะ”   เขากระซิบบอกเจ้าของมือที่จับไว้แน่นแต่ก่อนที่จะได้ก้าวขาออกจากห้อง คนที่อยู่ในอ้อมแขนก็หมุนตัวกลับไปรวบกระดาษบนโต๊ะเขียนหนังสือแล้วเอามันไปด้วย เวลาชุลมุนวุ่นวายแบบนี้เขาไม่รู้และไม่ใส่หรอกว่าอะไรจะสำคัญยังไง เขาได้แต่กุมมือของเซบแล้ววิ่งลงบันไดหินไปเรื่อยๆเท่านั้น

“ก้มหน้าไว้”  เขาใช้เสียงทุ้มต่ำบอกคนที่อยู่ในอ้อมแขน ฝ่ามือพยายามปกปิดหัวของเด็กนี่ให้ได้มากที่สุด ยังดีที่พวกข้ารับใช้ยังวิ่งหนีตายกันให้อลหม่าน พวกเขาจึงผ่านบันไดหินแล้วลงมายังโถงชั้นหนึ่งจนได้

“อยู่นั่น!”   เสียงตะโกนก้องดักทางข้างหน้าทั้งๆที่เกือบจะก้าวขาออกจากปราสาทได้อยู่แล้วเชียว ทำให้เขาต้องเลี้ยวตัวกลับไปด้านหลังปราสาท

“วิ่งเร็ว!”  เขาเลิกกอดเด็กนั่นเอาไว้แต่จับมือแล้วพาวิ่งออกไปจากตรงนั้น ได้ยินเสียงฝีเท้ากลุ่มใหญ่วิ่งไล่หลังมา อยากจะบอกจริงๆเลยว่าอะดรีนะลีนของเขาไม่ได้หลั่งขนาดนี้มานานแค่ไหนแล้ว! นี่มันยิ่งกว่าตอนที่ถูกรถคันหลังตามจ่อก่อนจะเข้าเส้นชัยในอีกไม่กี่รอบจริงๆ เพราะสิ่งที่จ่อคอเขาอยู่ตอนนี้คือใบมีดติดปลายทวนน่ะสิ!

“ตามไปแล้วจับตัวเจ้าชายมาให้ได้!”   เสียงตะโกนขู่เข็ญทำให้เขาเหลือบไปมอง ถึงใบมีดพวกนั้นจะทำมาจากแผ่นหินแต่ดูจากความบางของมันแล้วเขาว่ามันกระซวกไส้เขาได้ไม่ต่างจากใบมีดที่ทำจากเหล็กแน่ๆ แล้วหน้าตาแต่ละคนที่วิ่งไล่หลังมานี่ก็อย่าให้บอก...โหดอมหิตยิ่งกว่าตัวร้ายในหนังหลายเท่า!

“ทางนี้”  เขาดึงร่างโปร่งบางให้วิ่งตามมา อันที่จริงเขาก็ไม่ได้รู้ทางในปราสาทมากนักหรอก แต่เท่าที่ดูแล้วเขาวิ่งไวกว่าเจ้าเด็กนี่อยู่พอสมควร ขืนให้เซบนำมีหวังคงถูกจับได้เสียก่อน ตอนนี้เขาจึงใช้ความทรงจำที่มีวิ่งไปตามทางที่คิดว่ามันจะออกจากปราสาทได้ ถึงบางที่จะเคยเดินผ่านแค่ครั้งเดียวแต่เขาที่เป็นนักขับF1 มนุษย์จำพวกหูตาไวและแพรวพราวเป็นสับปะรด ซ้ำยังความจำดี เดินผ่านแค่ครั้งเดียวนี่ก็เหลือเฟือแล้ว

“เข้าไปก่อน!”   เขาเหวี่ยงเซบที่เซแท่ดๆเข้าไปในประตูไม้หลุดลอกบานใหญ่ของห้องครัวที่อยู่ตรงหน้า ก่อนที่ฝ่ามือจะคว้าไม้ถูพื้นที่วางอยู่หน้าประตูขึ้นมา


เคร้ง!!


เขายกไม้นั่นขึ้นเหนือหัวก่อนจะกันใบมีดหินอันหนึ่งซึ่งพุ่งเข้ามาได้แบบเส้นยาแดงผ่าแปด นี่ถ้าเขาไม่ตาไวพอแล้วยังวิ่งต่อไป มีหวังไม่แผ่นหลังของเขาก็เซบคงได้รูจากใบมีดอันนี้ไปแล้ว

“คิมี่!”   เจ้าชายลำดับที่สี่ตะโกนอย่างตื่นตะหนกอยู่ข้างหลังเขา...ชิท...แบบนี้จะให้หันหลังวิ่งหนีก็คงไม่ทันแน่ ทหารกลุ่มใหญ่พวกนั้นกำลังย่างสามขุมเข้ามาด้วยสายตากระหายเลือด หัวใจของเขาเต้นดังจนน่ารำคาญ เขาทำอะไรไม่ได้แล้วนอกจากกำไม้ถูพื้นในมือแน่นแล้วเผชิญหน้ากับความตายที่อยู่ใกล้เสียยิ่งกว่าใกล้ ใกล้กว่าตอนขับรถฟอร์มูล่าวันตั้งไม่รู้กี่เท่า นัยน์ตาของเขาจับจ้องไปที่คนพวกนั้นเช่นเดียวกับเสือร้ายที่ถูกต้อนจนมุม...เขาต้องเลือก...เขาต้องตัดสินใจ...และมันก็ไม่ได้ยากเย็นอย่างที่คิด เมื่อริมฝีปากของเขากลับเอ่ยบอกเด็กนั่นได้อย่างง่ายดาย

“เซบ...หนีไป...ข้างหลังห้องนี้เป็นอะไรนายรู้ดี...”   ต่อให้เขาต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นี่แต่อย่างน้อยหากมันช่วยเด็กนั่นให้อยู่ต่อได้อีกสักวินาทีก็ยังดี...ข้างหลังห้องนี้เป็นทางระบายน้ำขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อไปยังใจกลางทะเลทรายอันเวิ้งว้างว่างเปล่า หากมีเวลาอีกนิดเซบก็จะหนีออกไปได้...และตรงนี้ก็มีเพียงเขาเท่านั้นที่จะถ่วงเวลาให้เด็กนั่นได้


เพล้ง!!


แต่แล้วจู่ๆโถดินเผาขนาดใหญ่ก็ลอยข้ามหัวของเขาไปแตกกระจายตรงหน้าทหารพวกนั้น ทำเอาเขาต้องแอบหันไปมองคนที่วิ่งพล่านอยู่ข้างหลัง

“ไม่! เราจะไม่หนีไปคนเดียว!”   เจ้าเด็กดื้อนั่นไม่เพียงแต่ไม่ยอมหนีไปตามที่เขาบอก แต่กลับวิ่งไปหยิบถ้วยจานชามทั้งที่แตกได้และที่เป็นทองเหลืองขว้างปาออกไปใส่พวกทหารจนพวกนั้นต้องหลบกันให้จ้าละหวั่น

ถึงเขาจะสบถที่อีกฝ่ายไม่ยอมเชื่อฟัง ไม่ยอมหนีไปคนเดียว แต่ลึกๆในใจของเขากลับเต็มตื้นไปด้วยความอบอุ่น...และขวัญกำลังใจที่ได้รับจากเจ้าชายน้อยของเขามันก็ทำให้ไม้ถูพื้นในมือกลายเป็นกระบี่ไร้ความปรานีในชั่วพริบตา


โครม!!


เริ่มจากฟาดคนที่อยู่ใกล้สุดจนลอยไปกระแทกผนัง เขาไม่ได้เก่งเรื่องการต่อสู้แต่อย่างใด เพราะชีวิตนี้เขามีดีแค่ความเร็วกับหัวจิตหัวใจที่ไม่เหมือนมนุษย์ทั่วๆไป ไม่งั้นคงอยู่กับความเร็ว 370กิโลเมตรต่อชั่วโมงไม่ได้หรอก เพียงแต่ที่เขาซัดอีกฝ่ายได้อย่างไม่ยากนักนั่นก็เพราะการต่อสู้ทื่อๆของคนยุคนี้มันดูออกง่ายเสียจนเขาแค่ใช้ชั้นเชิงนิดหน่อยก็ตอบโต้อีกฝ่ายได้แล้ว

เพียงแต่...ยังไงเรื่องจำนวนมันก็ยังเป็นปัญหาอยู่ดี!

“คิมี่!”   เสียงเซบตะโกนแหวกเสียงถ้วยจานที่ยังแตกอย่างต่อเนื่อง แต่ถึงอย่างนั้นทหารพวกนั้นก็ยังฝ่าเข้ามาไม่หยุดหย่อนและมันก็ทำให้เขาต้องถอยร่นไปจนจะชิดผนังห้องครัวอยู่แล้ว ทางเซบเองก็ดูท่าว่าจะกวาดจานมาจนจะเกลี้ยงชั้น ทางรอดของเราใกล้จะปิดลงเต็มที...แต่แล้ว...


โครมๆๆ!!


ทั้งๆที่คิดว่าคงถึงเวลาแล้วที่เขากับเจ้าชายเซบาสเตสจะกอดคอกันตายให้กลายเป็นตำนานรักบันลือโลก แต่ดูท่าสาวใช้นางหนึ่งซึ่งเขามารู้ทีหลังว่าเธอไม่ได้เป็นแค่สาวใช้ก็สอดขาเข้ามาขัดขวางตำนานรักของเขากับเจ้าชายแห่งอียิปต์จนได้...เมื่อจู่ๆจีน่าก็โผล่มาจากไหนมิทราบ เด็กสาวกระโดดข้ามหัวพวกทหารมาอยู่ตรงหน้าเขาก่อนจะกวาดทวนติดใบมีดในมือจนทหารที่ล้อมอยู่ล้มตายกระจายเป็นวงกว้าง...

บอกตามตรงว่าสายตาของเด็กสาวในยามนี้นั้นชวนขนลุกมากกว่าทหารทั้งกองนั่นหลายเท่า!

“พาเจ้าชายหนีไปตามทางน้ำก่อน ข้าจะต้านทหารมีฝีมือเอาไว้ที่นี่ ไปเร็ว”   เสียงเย็นๆกระซิบบอกเขา ทำให้เขาเหลือบมองเด็กสาวอย่างชั่งใจ...จะให้เขาทิ้งเธอไว้คนเดียวมันทำได้เสียที่ไหน แต่ถ้าเขาไม่หิ้วเซบหนีไปตอนนี้ เราทั้งสามคนก็จะไม่มีหนทางใดให้รอดได้อีก

“ข้าไม่ตายหรอก ไปสิ!”   เด็กสาวหันมาตะคอกใส่และนั่นก็ทำให้เขากำหมัดแน่น สันกรามกัดกันจนขึ้นสันนูนก่อนจะตัดสินใจหันหลังให้เธอ

“คิมี่? จีน่า เราต้องอยู่ช่วยจีน่า!”   เขารีบคว้าข้อมือของเจ้าชายลำดับที่สี่แต่เซบก็ยังดึงดันที่จะอยู่ที่นี่ เขาสบถออกมาก่อนจะตัดสินใจรวบเอวบางแล้วยกมันพาดบ่า!
 
“เดี๋ยวคิมี่! จีน่า จีน่า!”   สองขาออกวิ่งเข้าไปในโพรงมืดของทางระบายน้ำโดยไม่สนใจคนที่ตะเกียกตะกายจะกลับไป ไม่สนใจเสียงร้องเรียกและแรงดิ้นบนบ่า หน้าที่ของเขาคือนำภาระหนักอึ้งที่เด็กสาวคนนั้นฝากไว้บนไหล่ของเขาให้รอดปลอดภัยไปจากความตายนี้ให้ได้

สองขาจึงได้แต่วิ่งและวิ่งไปข้างหน้า ไม่ว่าเสียงการต่อสู้ข้างหลังจะดังแค่ไหนและคนบนไหล่จะร้องเรียกแทบเป็นแทบตายยังไงก็ตาม...เขาเจ็บใจ...ทำไมจะไม่เจ็บใจล่ะที่ต้องทิ้งให้เด็กผู้หญิงต่อสู้เพียงลำพังเพื่อช่วยพวกเขาที่เป็นชายอกสามศอกให้หนีออกมาได้เช่นนี้ เขาควรจะตายอยู่ตรงนั้น ควรจะต่อสู้ให้สมศักดิ์ศรี

แต่ศักดิ์ศรีจะมีประโยชน์อะไร...ถ้าเขาเลือกได้เหมือนตอนนี้ เขาก็จะเลือกให้คนที่เขารักได้มีชีวิตอยู่ต่อไป

และคนที่เขารักเองก็คงไม่ยอมหนีออกมาแน่ ถ้าเขาไม่แบกมา!


“แฮ่ก...แฮ่ก...แฮ่ก....”   เขาวิ่งมานานแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้ เลี้ยวไปทางไหนบ้างก็ไม่รู้ ทางระบายน้ำนี่มันไม่ได้เป็นโพรงตรงๆเสียหน่อย มันก็มีทางแยกมากมายเหมือนทางระบายน้ำในยุคปัจจุบันนั่นแหละ ตอนที่เขาเข้ามาครั้งแรกยังอึ้งในความเป็นนักคิดของชาวอียิปต์ไม่หายเลย

“คิมี่...ปล่อยเราลงเถอะ...เราเดินเอง...”   เสียงคนบนบ่าดูหงอยไปถนัดตา คงจะปลงเรื่องของจีน่าแล้วสินะ...เขาถึงได้ค่อยๆปล่อยเจ้าชายแห่งอียิปต์ลงจากบ่า

“....เด็กคนนั้น...บอกกับชั้นว่าเธอไม่ตายหรอก...”  เขาเอ่ยบอกในขณะที่ก้าวขาเคียงข้างไปกับคนที่เงียบไปทั้งๆที่ปกติแล้วจะต้องพูดอะไรมากมายให้เขารู้สึกขำอยู่ตลอด...เขาก็รู้ว่ามันเป็นเพียงคำพูดปลอบใจ แต่เขาไม่รู้จริงๆว่าเวลาแบบนี้ควรจะพูดอะไร เขาทำได้แค่เอื้อมมือไปจับมือเรียวนั่นเอาไว้ก่อนจะก้าวขาเดินต่อไปเงียบๆ ในนี้แทบไม่มีน้ำเลยสิ่งที่เขาได้ยินจึงมีเพียงเสียงลมทะเลทรายที่รอรับเขาอยู่ที่ปากอุโมงค์

“เด็กคนนั้น...ก็เหมือนลูกสาวของเรา...จีน่าอยู่กับเรามาตั้งแต่เด็ก...”   มือที่เขาจับอยู่บีบเข้าหากันเบาๆทำให้เขารับรู้ถึงความเศร้าและตึงเครียดของเซบได้

“ถ้าท่านบอกว่าจีน่าบอกเช่นนั้น...เราก็จะเชื่อเช่นกัน...เพราะจีน่าไม่ได้เป็นแค่ข้ารับใช้ แต่เธอเป็นองครักษ์ที่ถูกฝึกมาอย่างดีเพื่อปกป้องเรา”  ......ห๋า?!! องครักษ์งั้นเร๊อะ?! สิ่งที่เด็กนี่บอกทำเอาเขาถึงกับอ้าปากค้าง ถ้างั้นก็ถูกแล้วสิที่คนที่ต้องอยู่ต่อสู้เพื่อถ่วงเวลาคือจีน่าน่ะ! เพราะถ้าปล่อยให้เขาสู้อยู่ตรงนั้นแทนคงได้ตายในสามนาที จากนั้นจีน่าก็ต้องสู้เองอยู่ดีไหม?

ไหล่ข้างที่แบกเจ้าเด็กนี่มารู้สึกหนักขึ้นมาทันที...เป็นองครักษ์ก็บอกกันก่อนสิ เขาจะได้ไม่ต้องรู้สึกผิดขนาดนี้! แล้วดูจากการที่ไม่มีทหารหน้าไหนตามพวกเขามาได้จนถึงตอนนี้นั่นก็แสดงว่ายัยเด็กจีน่าขาโหดนั่นอาจจะฆ่าเรียบไปหมดแล้วก็ได้...

เขาพูดอะไรไม่ออกได้แต่เดินเงียบๆต่อไป...เสียงลมทะเลทรายเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ แล้วไม่นานแสงสว่างก็มองเห็นอยู่ที่ปลายอุโมงค์

สิ่งที่รอพวกเขาอยู่จะเป็นเพียงทะเลทรายเวิ้งว้างว่างเปล่าหรือเป็นกองกำลังของเจ้าชายลำดับที่สาม...เขาคิดไม่ออกเลยจริงๆ...





ขาทั้งสองคู่จึงได้แต่ก้าวเดินไปด้วยหัวใจที่เต้นระรัว หลังมือถูกยกขึ้นมาบังใบหน้าเมื่อแสงแดดเจิดจ้าสาดส่องเข้ามายังทางน้ำที่มืดมิด

นัยน์ตาที่ปิดลงเพราะแสงจ้าค่อยๆเปิดขึ้นมาช้าๆ...






ก่อนที่เขาจะถอนหายใจ...







เมื่อสิ่งที่รอพวกเขาอยู่เป็นเพียงทะเลทรายเวิ้งว้างว่างเปล่า...







ดูเหมือนเจ้าชายลำดับที่สามจะไม่คิดว่าพวกเขาจะรอดพ้นจากทหารจำนวนมากที่บุกเข้าไปในปราสาทได้ จึงไม่ได้ส่งคนมาเฝ้าตามช่องทางต่างๆที่สามารถเชื่อมต่อไปถึงตัวปราสาท เขากับเจ้าชายเซบาสเตสจึงได้อานิสงค์จากความประมาทหละหลวมนั่น

“ถ้าเป็นพี่คนโตกับพี่คนรองละก็...พวกเขาต้องส่งคนมาดักเราทุกทางแน่ๆ”   เซบพูดในขณะที่เดินโซเซไปบนสันทราย สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อชั่วโมงก่อนคงจะดูดแรงและกำลังใจของเด็กนี่ไปจนหมด จึงมีหลายต่อหลายครั้งที่ร่างโปร่งบางจะล้มๆลงไปเสียให้ได้ ดีที่ได้มือของเขารั้งเอาไว้ เขาจึงตรงเข้าไปประคองก่อนที่เด็กนั่นจะเดินหัวทิ่มตกหลุมทรายไป...เขาคิดตามสิ่งที่เจ้าชายแห่งอียิปต์พูด...ดูเหมือนเจ้าชายลำดับที่หนึ่งหรือพี่คนโตของเด็กนี่จะเป็นแม่ทัพที่เก่งกาจมากทีเดียว เขาไม่เคยเจอเพราะเจ้าชายพระองค์นี้อาศัยอยู่ที่เมืองเมมฟิส เมืองหลวงเก่าของอาณาจักรอียิปต์ที่อยู่ห่างออกไปทางปลายแม่น้ำไนล์พอสมควร...ส่วนพี่คนรองหรือเจ้าชายลำดับที่สองถึงจะมีชื่อเสียงในด้านการรบและกำลังทหารไม่เท่าเจ้าชายลำดับที่หนึ่ง แต่ก็ดูเป็นคนรอบคอบ โหดร้ายและไร้ความปรานีเช่นกัน เขาเคยเจออยู่หลายครั้ง แต่เจ้าชายพระองค์นี้ก็ดูจะเอ็นดูเซบอยู่ไม่น้อย ไม่งั้นคงไม่มาหาที่ปราสาทบ่อยๆ จะมีก็แต่เจ้าชายลำดับที่สามผู้เจ้าสำราญนี่แหละที่เขารู้สึกไม่ถูกชะตา เขาเคยเจอหน้าแค่ครั้งเดียวตอนออกไปเดินข้างนอกกับเซบ

น่าจะเป็นเพราะบริเวณที่เขาหนีออกมานั้นยังไม่ไกลจากแม่น้ำไนล์เท่าไหร่ มันถึงได้ยังมีโอเอซิสเล็กๆอยู่ประปรายทั้งๆที่ล้อมรอบไปด้วยทะเลทราย

สองแขนเผลอกระชับคนที่อยู่ในอ้อมแขนเมื่อลมรุนแรงพัดมา ไหล่ทั้งสองคู่ถึงกับต้องห่อเข้าหากัน จากกลางวันใกล้จะกลายเป็นกลางคืนเต็มที ดูท่าว่าคืนนี้เขาคงต้องพักอยู่ที่บึงน้ำนี้แล้วละ

เขาจึงเลือกก้อนหินใหญ่เป็นที่กำบังกาย นอกจากนี้ยังช่วยกันลมทะเลทรายที่พัดถาโถมเข้ามาไม่หยุดด้วย  เขาเคยตั้งแคมป์ไฟกับเพื่อนๆมาก็หลายครั้งแต่ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่ต้องนอนกลางดินกินกลางทรายเท่าครั้งนี้ นี่ไม่มีทั้งเต้นท์ ไม่มีทั้งผ้าห่ม ผ้าใบจะใช้รองนั่งสักผืนก็ยังไม่มีเลย!

“แถวนี้มีสัตว์ร้ายอะไรบ้างหรือเปล่า?”  เพราะพวกเขาไม่มีแม้แต่ไฟเลยต้องถามเจ้าชายแห่งอียิปต์เอาไว้ก่อนจะได้หาทางป้องกันได้ทันท่วงที

“ไม่มีหรอก...มีแต่กิ้งก่าทะเลทรายตัวเล็กๆเท่านั้น ท่านก็ดูสิว่ามันแห้งแล้งไม่มีอะไรจะกินขนาดไหน ส่วนใหญ่สัตว์ก็อยู่แถวริมแม่น้ำไนล์เหมือนมนุษย์นั่นแหละ”  งั้นก็ดี เขาจะได้ไม่ต้องคอยระวังระแวงมากนัก สองขาจึงเดินไปนั่งลงข้างๆเจ้าชายแห่งอียิปต์ที่นั่งพิงก้อนหินใหญ่ด้วยสีหน้าที่ดูดีขึ้นมานิดนึง

มือเรียวหยิบกระดาษยับๆที่เหน็บลวกๆเอาไว้ที่เอวออกมาก่อนจะพยายามใช้มือรีดมันให้เรียบ นัยน์ตาสีเทาจึงเหลือบมองว่ามันคือกระดาษอะไร เป็นแผนผังลายแทงสมบัติหรือไงถึงได้พกติดตัวมาด้วย? หรือไม่ก็อาจจะเป็นแผนที่เดินทางไปหากองกำลังที่เก็บซ่อนเอาไว้? หรือตำแหน่งบ้านของขุนนางผู้ใหญ่ที่หนุนหลังอยู่? หรือไม่ก็พินัยกรรมจากอดีตฟาโรห์ที่ว่าจะยกบัลลังก์ให้? จะอะไรก็แล้วแต่ แต่เขาไม่คิดจริงๆว่าสิ่งที่เจ้าชายแห่งอียิปต์นี่พกติดตัวจะเป็นกระดาษที่มีคำเพียงคำเดียวอยู่ในนั้น...และมันก็คือคำว่า


......I LOVE YOU…..


ที่เขาเป็นคนเขียนให้เองนั่นแหละ...

“หยิบ...มาด้วยเหรอ?...”   เขาถามเด็กนั่นพลางยกนิ้วขึ้นมาถูกปลายจมูก สองแก้มร้อนวูบๆอย่างรู้สึกเขินขึ้นมาน้อยๆ

“ก็เป็นประโยคแรกที่ท่านเขียนให้เรานี่นา เราก็ต้องเก็บไว้อย่างดีสิ”   ใบหล่อเหลาหันไปอมยิ้มอีกทางอย่างพยายามไม่ให้เจ้าชายแห่งอียิปต์เห็น ถ้าเด็กนี่ได้รู้ความหมายที่แท้จริงของมันขึ้นมาจะเป็นยังไงนะ แค่คิดก็ทั้งขำทั้งหัวใจเต้นแรงอย่างบอกไม่ถูก

“เรียบร้อย”   เด็กนั่นหันมายิ้มระริกระรี้เหมือนหมาโกลเด้นให้เขาก่อนจะพับกระดาษจนกลายเป็นแผ่นเล็กๆแล้วเหน็บกลับไปที่เอว...ตำแหน่งที่อยู่แถวๆสะโพกนั่นมันทำให้เขาถึงกับลอบกลืนน้ำลาย...ดูเซ็กซี่ไม่เบาเลยแหะที่เก็บคำบอกรักของเขาเอาไว้ตรงนั้น...

หัวภายใต้มงกุฎผ้าซบลงมาที่ไหล่ของเขาก่อนที่นัยน์ตาสีฟ้าจะทอดมองหมู่ดาวที่พร่างพราวอยู่บนท้องนภา ราตรีกาลมาเยือนและกลางคืนของทะเลทรายก็เย็นไม่น้อยเลย เขาจึงโอบกอดร่างโปร่งเพื่อมอบไออุ่นให้แก่กัน

“คิมี่...ท่านดูสิ...ถึงเราอยากจะหนีไปอยู่อย่างสงบแต่พวกพี่ชายคงไม่ปล่อยเราไปง่ายๆแน่”   เสียงที่ฟังดูล้าๆเอ่ยออกมาในขณะที่สายตายังเหม่อมองไปในอากาศ เขาเริ่มเห็นด้วยกับเด็กนี่แล้วว่าการหนีไม่ใช่หนทางที่ดีเสมอไป ขนาดพวกเขายังไม่ทันจะทำอะไร ไม่ทันจะเคลื่อนไหว ก็ถูกเล่นงานจนแทบเอาตัวไม่รอดขนาดนี้

“ทางเดียวที่เราจะมีชีวิตรอดได้...คือเราจะต้องยิ่งใหญ่กว่าใครในดินแดนแห่งนี้...”  คำพูดที่พูดด้วยน้ำเสียงแน่วแน่นั้นฟังดูยิ่งใหญ่เกินตัว

“เราไม่เคยมีหวังเลย จนกระทั่งท่านมาปรากฏกายต่อหน้าเรา”  แต่พอประโยคนี้ถูกพูดตามมา นอกจากมันจะทำให้หัวใจของเขาเต็มตื้นแล้ว มันยังทำให้เขาเริ่มคิด...ว่าการที่เขามาอยู่ตรงนี้...ข้ามเวลาหลายต่อหลายพันปีกลับมานี่มันจะมีความหมายอะไรหรือเปล่า?

บางที...เขาอาจจะช่วยเจ้าชายที่ไร้กำลังคนนี้ได้ก็เป็นได้...

นัยน์ตาสีเทาทอดมองท้องทะเลทรายที่กลืนหายไปในความมืด เขาไม่เคยจริงจังกับการชิงบัลลังก์มาก่อนเลย ไม่เคยคิดว่ามันจะสำเร็จด้วยซ้ำ ได้แต่คิดย้ำๆว่าอีกเดี๋ยวอาณาจักรอียิปต์ก็ล่มสลาย เขาไม่จำเป็นต้องทำอะไรก็ได้...แต่ที่คิดแบบนั้นได้เพราะไม่เคยตกอยู่ในสภาวะที่ถูกตามล่าจนต้องหนีมานอนกลางทะเลทรายที่ไม่มีแม้แต่ที่กำบังแบบนี้ ไม่เคยรู้สึกกดดัน ไม่เคยรู้สึกเลยว่าอยากจะมีชีวิตรอดเพื่ออยู่ด้วยกันต่อไปแบบนี้เลย

แต่ตอนนี้ความมุ่งมั่นของเขามันต่างออกไป...

พอแล้วกับการที่จะต้องวิ่งหนี...

เพราะต่อจากนี้ไปเขาจะตั้งใจช่วยเด็กนี่ชิงบัลลังก์ฟาโรห์มาให้ได้ จะตั้งใจอย่างสุดกำลัง เขาอยากจะมีชีวิตรอดแล้วอยู่ด้วยกันไปอีกนานแสนนาน

“นอนเถอะ”   เขากดหัวที่ซบอยู่ให้ซุกมาในอ้อมแขน ริมฝีปากจูบเบาๆลงไปบนกลุ่มผมซึ่งอยู่ใต้มงกุฎผ้า...ก่อนจะค่อยๆหลับตาลง...









.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.


โปรดติดตามตอนต่อไป...





หย่อนตอนต่อไปเรยเพราะกว่าจะจบก็คงอีกสองสามตอน อิอิ สนามสปาที่จะแข่งวันอาทิตย์นี้ก็ไม่เข้าทางม้าแดงซะด้วย คงชนะยากอยู่ เพราะงั้นอาจจะยังไม่ถึงกับต้องแก้บนในเร็ววัน ก๊ากๆๆๆ ย้ำอีกที คุณกวางบนไว้ว่าถ้าชนะอีกในสนามต่อๆไป สนามไหนก็แล้วแต่ คุณกวางจะแต่งเรื่องนี้ให้จบแน่ๆ จะไม่ดอง ไม่ค้างๆคาไว้เหมือนไหอื่นๆ 5555 สาธุ...อยากแก้บนค่ะท่านเทพคะ >/\<

ขอบคุณทุกๆการติดตามและทุกๆคอมเม้นต์มากๆๆๆนะคะ แล้วเจอกันตอนหน้าน้า~~






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น