Attack on Titan feat.KHR Au.Fic [Levi x Eren] GLIDE : RED Season : 01


Attack on Titan feat.KHR Au.Fic [Levi x Eren]  GLIDE : RED Season : 01

: Attack on Titan feat KHR Fanfiction Au
: Levi x Eren
: Romance
: NC-17


คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ




เม็ดทรายที่ปะทะเข้ามาเต็มหน้าเริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ ยังดีที่ส่วนที่มันกระทบคือหมวกกันน็อคทำให้ใบหน้านิ่งสนิทที่อยู่ข้างในไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ

แต่กระนั้นมันก็ทำให้คนที่เส้นความอดทนต่ำเริ่มรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา แรกเริ่มเขาก็ไม่ได้เห็นด้วยนักหรอกที่การแข่งขัน F1 จะมาจัดกันกลางทะเลทรายแบบนี้ ถึงจะเป็นช่วงเย็นแต่มันก็ร้อนบรรลัย ใครไม่ลองมาแต่งชุดนักขับแล้วก็นั่งอยู่ในค็อกพิทแคบๆเป็นเวลาชั่วโมงกว่าแบบพวกเขาไม่มีวันเข้าใจหรอกว่ามันนรกขนาดไหน!

แต่ก็นั่นแหละ เขาก็แค่นักขับ จะไปต่อต้านผู้จัดการแข่งขันได้ยังไง คนจัดว่ายังไงก็คงต้องทนๆขับกันไป เพราะงั้นรถสูตรหนึ่งสีแดงสดที่ติดชื่อ F138 LEVI ไว้ที่ตัวถังถึงได้พุ่งตรงไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดหย่อนแม้ว่าม่านหมอกที่เกิดจากเม็ดทรายจะเริ่มมากขึ้นแค่ไหนก็ตาม

“รีไว...มีรายงานสภาพอากาศมา ดูท่าจะไม่ค่อยดีนัก”   เสียงยัยฮันซี่วิศวกรสนามของรถเขาดังมาตามวิทยุสื่อสาร ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าสภาพอากาศตอนนี้มันแย่สุดๆ เพราะเขาแทบจะมองไม่เห็นทางข้างหน้าอยู่แล้ว เม็ดทรายพวกนี้ร้ายกว่าฝนหลายเท่า ฝนมันก็แค่ทำให้รถลื่นไถล ควบคุมไม่ค่อยจะได้ แต่เม็ดทรายพวกนี้มีมวลและมันกำลังแทรกซึมเข้าไปในทุกส่วนของรถ มันกดทับและกำลังจะดูดเขาลงไปยังก้นของหลุมทรายยังไงอย่างงั้น นี่ขนาดวิ่งอยู่บนถนนนะ

“พยากรณ์อากาศว่าจู่ๆก็มีพายุทะเลทราย การแข่งขันอาจจะต้องหยุดในเร็วๆนี้”   ห๋า? พายุทรายเลยเร๊อะ? ไอ้ของแบบนี้มันจู่ๆนึกอยากจะเกิดก็เกิดหรือยังไง? มันน่าจะคำนวณได้ก่อนหน้านี้ไหม?

“ยังไงก็รีบพารถกลับพิตก่อนก็แล้วกัน”   ไม่ต้องบอกเขาก็กำลังพยายามจะทำอย่างงั้นอยู่แล้ว แต่ม่านหมอกของเม็ดทรายที่กำลังก่อตัวเป็นพายุนี่มันก็ทำให้เขาทำแบบนั้นได้ยากเต็มที  ตอนนี้เขากำลังขับรถฟอร์มูล่าวันอยู่กลางทะเลทรายในอียิปต์ซึ่งจัดแข่ง F1เป็นครั้งแรกและเพื่อโปรโมทการท่องเที่ยวจึงมีส่วนหนึ่งของสนามที่ต้องวิ่งผ่านทะเลทราย ถึงจะอยู่ห่างจากกรุงไคโร เมืองหลวงของอียิปต์ไม่มาก แต่ทะเลทรายยังไงมันก็คือทะเลทราย มันโหดร้ายสมชื่อจริงๆ

นักขับมือหนึ่งของทีมม้าลำพองยังคงเหยียบคันเร่งต่อไปแม้จะมองไม่เห็นทางเลยก็ตาม แต่เขาจำได้ว่าจากตรงนี้ไปมันจะเป็นทางตรงยาวก่อนจะเลี้ยวเข้ากรุงไคโรหลังจากผ่านไปประมาณ 0.7 วินาที...ใช่...ถ้าเขาเหยียบด้วยความเร็วระดับนี้...อีก 0.7 วินาทีเขาก็จะพ้นจากทะเลทรายและกลับเข้าพิตการาจได้!

รถสีเพลิงจึงวิ่งผ่านม่านหมอกเม็ดทรายด้วยความเร็วกว่า 320 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สิ่งที่ปะทะเข้ามามีแต่ความหนักหน่วงและบรรยากาศที่กดทับจนใบหน้าภายใต้หมวกกันน็อคถึงกับต้องกัดฟัน มันเหมือนสิ่งรอบตัวกำลังบิดเบี้ยว เสียงจากวิทยุสื่อสารเริ่มขาดๆหายๆ ได้ยินยัยฮันซี่เรียกชื่อเขาดังๆเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่เขาจะไม่ได้ยินอะไรอีกเลย

นี่เขากำลังอยู่ในใจกลางพายุทรายหรือยังไงกันนะ ถึงมองไม่เห็นอะไร ไม่ได้ยินอะไรเลย?


ครึ่กๆๆๆ


จู่ๆก็รู้สึกว่ารถสั่นสะเทือนขนาดหนักจนควบคุมไม่อยู่ เขาพยายามวิทยุติดต่อทีมแต่ก็มีเพียงเสียงซ่าๆตอบกลับมา แต่จะให้หยุดรถก็ไม่ได้เพราะเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ฝ่าเท้าจึงฝืนเหยียบคันเร่งต่อไปทั้งอย่างนั้น....อีกแค่ 0.4 วินาที...แค่นับหนึ่งถึงสี่เขาก็จะพ้นเขตทะเลทรายแล้ว!

ดวงตาทั้งสองข้างปิดลงด้วยความรู้สึกเครียดขมึงอย่างที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นกับเขานัก เขากลั้นหายใจพลางนับหนึ่งถึงสี่ในใจ ได้แต่หวังว่าพอลืมตาขึ้นมา ภาพข้างหน้าจะชัดเจนเสียที


หนึ่ง...



สอง...





สาม...







สี่!!!



เปลือกตาเปิดขึ้นโดยพลัน ทว่าสิ่งที่เขามองเห็นนั้น...




กลับเป็นท้องฟ้าและอากาศ?



เฟอร์รารี่สีแดงสดของเขากำลังวิ่งทะลุผ่านม่านหมอกเม็ดทรายออกมาได้ก็จริง...แต่สิ่งที่รออยู่ตรงหน้ากลับไม่ใช่ทางโค้งที่มุ่งเข้าสู่กรุงไคโร........แต่เป็นหน้าผา!!!

หัวใจที่เคยหนักแน่นดั่งหินผาพลันสั่นวูบ เขามองรอบกายที่ไม่คุ้นตาด้วยความรู้สึกตกใจอย่างหาได้ยาก...รถของเขากำลังลอยอยู่ในอากาศและตอนนี้หน้ารถก็กำลังดิ่งลงเหว!

นัยน์ตาสีขี้เถ้าถึงกับเบิกกว้าง เขาทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากบังคับพวงมาลัยให้ตรง รถฟอร์มูล่าวันถึงจะคิดคำนวณตามหลักอากาศพลศาสตร์แต่มันก็ไม่มีปีก เพราะงั้นมันบินเหมือนเครื่องบินไม่ได้!

พื้นดินที่ใกล้เข้ามาทำให้ใบหน้าคมถึงกับกัดฟันเพื่อรับแรงกระแทก ในใจไม่คิดเลยว่าตัวเองจะมีชีวิตรอดไปจากตรงนี้ได้แต่กระนั้นสองมือก็ยังจับพวงมาลัยมั่น ขาข้างที่เหยียบคันเร่งก็ยังเหยียบมันคาเอาไว้ เขาคิดว่าถ้ารถสไลด์ก่อนที่จะถึงพื้น บางทีอาจจะพอช่วยลดแรงกระแทกได้บ้าง เพราะฉะนั้นขาอีกข้างจึงเตรียมจ่อไว้ที่เบรก เพราะถ้ารถหมุนหรือพุ่งไปชนต้นไม้เข้าเขาก็คงจบเห่เช่นกัน

ต้องเชื่อมั่นในแขนและขาของตัวเอง...รถคันนี้ก็เหมือนแขนและขาของเขา เขาบังคับมันได้อย่างอิสระและอย่าลืมว่าก่อนจะมาขับเอฟวัน เขาเคยอยู่โลกใต้ดินของมิลานมาก่อน ตอนแข่งพนันรถน่ะบ้าระห่ำและเสี่ยงตายกว่านี้เขาก็เคยมาแล้ว!






เอี๊ยดดดดดดดดดดดดดดดดด






โครม!!!!







ในที่สุดทุกสิ่งก็หยุดนิ่งสนิท...

เขาฟุ้บหน้าอยู่กับพวงมาลัย...กลิ่นยางไหม้และควันจากเครื่องยนต์ที่ถูกใช้งานอย่างหนักลอยกรุ่นอยู่รอบตัว ทั้งหัวรู้สึกหนักอึ้งจนขยับร่างกายแทบไม่ไหว...เขาทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้แล้ว...เพราะงั้น....















“ท่าน! ท่านได้ยินเราไหม? นี่!”    ได้ยินเสียงเรียกจากที่ไกลๆทำให้เปลือกตาอันหนักอึ้งพยายามที่จะลืมตาขึ้นมา

เสียงที่ได้ยินนั้นไม่คุ้นหู ไม่น่าจะใช่คนในทีมแข่งของเขา ยิ่งใบหน้าที่เห็นอย่างเลือนรางนั้นยิ่งไม่คุ้นตาไปกันใหญ่....เป็นเด็กผู้ชายหน้าตาน่ารักคนหนึ่ง...แล้วถึงเขาจะอยากลุกขึ้นมาคุยกับอีกฝ่ายแค่ไหนแต่เขาก็ไม่มีแรงแม้แต่จะตอบโต้ได้

เขาเจ็บที่หัวมาก...สงสัยหัวน่าจะแตกเพราะแรงกระแทก

เปลือกตาที่พยายามลืมขึ้นมาจึงปิดลงอีกครั้งพร้อมกับสติที่หายไปอีกรอบ...
















กลิ่นหวานๆที่บอกไม่ถูกว่ามันคือกลิ่นของอะไรกันแน่ระหว่างน้ำผึ้งกับดอกไม้ทำให้หัวคิ้วที่นิ่งสนิทมาหลายวันเริ่มขยับนิดๆ กลิ่นที่ไม่คุ้นเคยนั่นร้องเรียกให้เขาเดินกลับมาจากความเวิ้งว้างว่างเปล่า เปลือกตาค่อยๆขยับช้าๆก่อนที่นัยน์ตาสีขี้เถ้าจะค่อยๆลืมขึ้น

กลิ่นอะไรกันนะ?

ใบหน้าคมภายใต้กรอบผมสีดำค่อยๆหันมองรอบกายเพื่อหาต้นตอของกลิ่น แต่ยิ่งหันก็ยิ่งรู้สึกว่ากลิ่นหอมๆนี่มันกระจายอยู่รอบตัวของเขามากกว่า และยิ่งหันก็ยิ่งรู้สึกว่าสิ่งที่อยู่รอบๆตัวเขานั้นมีแต่ของแปลกตาแทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเตียงที่เขานอนอยู่...รู้สึกว่ามันจะเป็นแท่นหินที่ปูด้วยผ้าขนสัตว์ ทั้งพรมทั้งผ้าห่มล้วนเป็นผ้าทอแบบเปอร์เซียที่ลายพร้อย  ผนังห้องก็เป็นหินทรายก้อนใหญ่รวมไปถึงเสาที่ราวกับหลุดมาจากยุคโบราณเพราะมันเป็นเสากลมต้นเท่าเสาวิหารที่สกัดมาจากหินล้วนๆ แต่ห้องที่ล้อมไปด้วยหินนี้กลับไม่อึดอัดเพราะด้านหนึ่งมันเปิดโล่งรับลมทะเลทรายจนม่านสีขาวที่ยาวจากเพดานจรดพื้นนั่นพลิ้วไหวไปมา ถึงจะบอกว่าการแต่งห้องของที่นี่ดูแปลกตาดีแต่พอนึกอีกทีก็เหมือนเขาหลุดเข้ามาอยู่ในหนังย้อนยุคยังไงอย่างงั้น เพราะอ่างทองเหลืองและข้าวของเครื่องใช้ที่เป็นทองเหลืองล้วนๆนั่นทำให้นึกถึงห้องของเจ้าชายอาหรับในหนังก็ไม่ปาน

แขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามพยายามยันกายให้ลุกขึ้น ถึงจะยังรู้สึกมึนหัวอยู่บ้างแต่ร่างกายก็ไม่ได้รู้สึกหนักเท่าตอนก่อนหน้านี้...นี่ตกลงว่าเขาหัวแตกจากแรงกระแทกจริงๆสินะ? แล้วใครช่วยเขากัน? ว่าแต่ทำไมไม่พาไปส่งโรงพยาบาลแต่กลับพามาสถานที่แปลกๆแบบนี้?

ร่างที่ไม่ได้สูงใหญ่ทว่าแข็งแกร่งยิ่งกว่าใครพยายามลุกขึ้นยืนก่อนจะทรงตัวอยู่นานกว่าจะก้าวขาออกมาจากห้องได้ ร่างกายยังซวนเซจนต้องใช้ผนังหินที่ปล่อยไอเย็นออกมานั่นช่วยพยุง แล้วยิ่งเดินเปะปะไปตามโถงทางเดินกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยเสามหึมามากมายก็ยิ่งรู้สึกราวกับกำลังเดินอยู่ในวิหารยุคโบราณที่ทำจากหินทั้งหลัง ซ้ำด้านที่ติดกับระเบียงด้านหนึ่งยังเป็นทะเลทรายไกลสุดลูกหูลูกตาอีก...นี่เขาอยู่ที่ไหนกันแน่? แล้วการแข่งของเขาล่ะ?

“ท่าน! ท่านยังออกมาเดินไม่ได้นะ!”   แล้วจู่ๆเสียงหนึ่งก็เรียกเขาด้วยน้ำเสียงตกใจ ในจังหวะที่เขากำลังจะหันไปมอง เด็กหนุ่มคนหนึ่งก็วิ่งมาถึงตัวเขาแล้ว...

ที่เขารู้ว่าอีกฝ่ายเป็นเด็กหนุ่มนั่นก็เพราะว่าท่อนบนของเด็กนั่นไม่ได้สวมเสื้อ กล้ามเนื้อแบบเด็กผู้ชายและแผงอกแบนเรียบที่ออกจะแบบบางจึงมองเห็นได้ชัดเจน เจ้าเด็กนี่ก็ดูแปลกตาพอๆกับสถานที่ที่เขายืนอยู่เลย เพราะอีกฝ่ายสวมเพียงผ้านุ่งที่ดูเหมือนกระโปรงที่ทำจากผ้าลินินยาวเหนือหัวเข่าขึ้นมานิดหน่อย รองเท้าที่ดูเหมือนสานจากไยของต้นไม้นั่นก็พันขาขึ้นมาถึงหน้าแข้ง แผงคอมีเครื่องประดับที่ร้อยจากลูกปัดและทองถักเป็นแผงใหญ่จนแทบจะคลุมทั้งไหล่ และส่วนที่ชัดเจนที่สุดซึ่งทำให้เขาเริ่มตะหงิดใจแล้วว่าเขาหลุดมาอยู่ที่ไหนนั่นก็คือมงกุฎผ้าที่ครอบหัวเด็กนั่นอยู่...นั่นมันเหมือนกับมงกุฎของพวกฟาโรห์ในยุคอียิปต์โบราณเลยไม่ใช่หรือไง?

เขามัวแต่ยืนอึ้งกับการแต่งตัวของอีกฝ่ายจนลืมที่จะใช้มือยันผนังไว้ ทำให้ร่างทั้งร่างซวนเซจนเกือบจะล้มลง...ถ้าไม่ได้ฝ่ามือของเด็กนั่นช่วยพยุงเอาไว้

“อ่า บอกแล้วไงว่าท่านยังออกมาเดินไปเดินมาแบบนี้ไม่ได้ พวกนักบวชบอกว่าท่านต้องนอนพักอีกหลายวันกว่าจะฟื้นตัว”   หอม.....เขารู้แล้วว่ากลิ่นหอมๆที่อยู่รอบกายตอนที่เขาตื่นมานั้นมันเป็นกลิ่นของอะไรและมาจากที่ไหน...มันมาจากร่างกายของเด็กคนนี้นี่เอง

นัยน์ตาสีขี้เถ้าของเขาสบประสานเข้ากับนัยน์ตาสีมรกตกลมโต ความสวยงามของดวงตาคู่นั้นราวกับอัญมณีที่หาได้ยากกลางทะเลทรายที่แห้งผากแบบนี้ สันจมูกโด่งรั้นที่ไล่ลงมารับกับริมฝีปากสีระเรื่อบนใบหน้ามนนั้นทำให้เขาถึงกับกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว เจ้าเด็กนี่หน้าตาดีมากทีเดียว


ตึกตัก  ตึกตัก....


เสียงหัวใจที่เต้นแรงเกินไปทำให้เขารีบละใบหน้าหนีดวงตาที่สวยงามคู่นั้น...นี่มัน...มนต์เสน่ห์อะไรกัน?...

“กลับห้องกันเถอะ มา...เราจะช่วยพยุง”   ร่างโปร่งบางสอดแขนเข้ามาพยุงเขาไว้ก่อนจะพากันก้าวขาเดินต่อไป เขาลอบมองใบหน้ามนที่อยู่ใกล้แค่คืบอีกครั้ง...เขาจำได้แล้ว...ถึงจะเลือนลางมากแต่คนที่เรียกเขาตอนที่เขาสลบคารถอยู่ก็คือเด็กคนนี้ เขาจำความคมบนใบหน้านั้นได้ดี ยังคิดอยู่เลยว่าผู้ชายอะไรแต่งหน้าด้วย? แต่พอได้เห็นมงกุฎฟาโรห์ที่อีกฝ่ายสวมอยู่ การที่จะเขียนขอบตาด้วยสีดำคมเข้มและทาเปลือกตาด้วยสีน้ำตาลประกายทองแบบนั้นนั่นมันก็ไม่แปลกเลย

อ่า...ตกลงเขาหลุดมาอยู่ที่ไหนกันแน่?

ในอียิปต์นี่ก็ยังมีหมู่บ้านแปลกๆที่แต่งตัวเลียนแบบยุคโบราณอยู่งั้นสินะ?


เด็กนั่นพยุงเขากลับมาที่ห้องเดิมก่อนจะจัดแจงให้เขานอนลงก่อนจะเดินไปที่อ่างทองเหลืองพลางชุบผ้าหมาดๆแล้วเดินกลับมา

“ท่านหิวหรือไม่? เราจะได้ให้คนไปเตรียมอาหารมา”   มือบางๆเช็ดผ้าเย็นๆนั่นมาตามแขนและใบหน้าโดยที่เขาไม่มีเวลาแม้แต่จะปฏิเสธ เขากำลังรู้สึกว่าเด็กนี่พูดภาษาอะไรสักอย่างที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษหรืออิตาลี แต่น่าแปลกที่เขาดันเข้าใจว่าอีกฝ่ายพูดอะไร เหมือนมีเครื่องแปลภาษาอยู่ในหัวเลย?

“ไม่...ชั้นยังไม่หิว...”   เขาเลยลองพูดภาษาอิตาลีกลับไป

“ถ้างั้นก็นอนพักเถอะ เราจะนั่งอยู่ตรงนี้แหละ มีอะไรหรือต้องการอะไรก็บอกเรา”   และเด็กนั่นก็ฟังเข้าใจด้วย?

“จริงสิ! เราสงสัยว่าเจ้าม้าสีแดงๆนั่นคืออะไร?”   ม้าสีแดง? เขาได้แต่มองคนที่บอกจะปล่อยให้เขานอนพักอย่างงงงวย ตอนแรกก็คิดว่าเด็กนั่นไม่ได้พูดกับเขาแต่ทั้งห้องก็มีกันอยู่แค่สองคน ก็ไม่น่าจะเป็นคนอื่นไปได้...หรือเจ้าเด็กนี่จะหมายถึงรถของเขา?

“แล้วตอนนี้มันอยู่ที่ไหน?”   เขาถามกลับไปโดยไม่สนใจจะตอบข้อสงสัยของอีกฝ่าย

“เราไม่รู้จะขนมายังไงเลยเอาใบปาปิรุสคลุมไว้ที่เดิม ใบปาปิรุสมีสรรพคุณมาก เราเชื่อว่าต้องรักษาม้าของท่านได้แน่ๆ ไม่ต้องห่วงหรอก”  เขาอึ้งตั้งแต่ใบปาปิรุสละ ไอ้ของแบบนั้นมันยังมีอยู่ในโลกด้วยเร๊อะ แล้วที่อึ้งหนักกว่าก็คือเด็กนี่คิดจะใช้ใบปาปิรุสรักษารถเขาเนี่ยนะ? ฟอร์มูล่าวันนะครับไม่ใช่สัตว์กินพืชถึงจะทำแบบนั้นได้ รถพังก็ต้องซ่อมสิไม่ใช่เอาใบปาปิรุสคลุมไว้!

เขายกมือขึ้นมาบีบขมับอย่างรู้สึกว่ามันปวดหนึบขึ้นกว่าเดิม ตกลงเขาหลงมาอยู่ที่ไหนกันแน่เนี่ย?

“ท่านมาจากเมืองอื่นใช่ไหม? ถึงได้มีของแปลกๆอย่างม้าตัวนั้น?”   นัยน์ตาสีมรกตกลมโตนั่นมองเขาด้วยแววตาเป็นประกายราวกับได้ของเล่นใหม่

“อือ...อืม...”   เขาได้แต่เออออไปก่อน เพราะตอนนี้ตัวเองยังไม่รู้เลยว่าอยู่ที่ไหนกันแน่ หรือเด็กนี่จะไม่รู้จักรถฟอร์มูล่าวันงั้นเหรอ? มันก็เป็นไปได้ละนะเพราะมันไม่ใช่กีฬาทั่วไปที่ใครๆก็ดูกันเหมือนพวกละครหลังข่าวซะด้วย

เขาเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่ว่าทุกครั้งที่ตื่นขึ้นมา กลิ่นหอมจากตัวของเด็กนั่นก็มักจะยังลอยอยู่รอบกายเขาเสมอ



วันนี้ก็เช่นกัน



เขาตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกกระหายน้ำ...

หลังจากพยายามมองหาเหยือกใส่น้ำแต่หัวที่ยังเจ็บแปลบก็ส่งผลให้สายตาของเขายังพร่ามัว สิ่งที่มองเห็นเป็นแค่เงารางๆเท่านั้น

แต่ร่างกายที่ยังหนักอึ้งก็ไม่คิดจะขอความช่วยเหลือจากใครเพราะไม่ถนัดการเข้าหาคนอื่น เขาจึงพยายามยืนขึ้นแล้วเดินสะเปะสะปะไปหาเหยือกน้ำ


เคร้ง!!!


สงสัยว่ามือจะปัดไปโดนเหยือกน้ำทองเหลืองนั่นเข้าเพราะเขากะระยะพลาด เสียงที่มันหล่นกระทบพื้นจึงดังก้องกังวาน เขาพยายามก้มลงไปควานหามันโดยที่อีกมือต้องยกขึ้นมากุมศีรษะที่จู่ๆก็รู้สึกปวดแปลบ...อ่า...เวลาที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้แบบนี้มันลำบากจริงๆ...ถ้าอยู่บ้านอย่างน้อยเจ้าฮายาโตะคงจะวิ่งมาดูแล้ว แต่ที่นี่มันที่ไหน? เขาไม่รู้จักใครซักคน

“ท่าน?!”   เสียงอุทานดังอยู่ข้างหลังก่อนที่ไม่กี่วินาทีถัดมากลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์จะโชยแตะจมูกพร้อมๆกับฝ่ามือที่ช่วยพยุงเขาขึ้นมา

“อยากดื่มน้ำเหรอ? ทำไมไม่เรียกเราล่ะ? ไม่ต้องเกรงใจเราหรอก เราอยากดูแลท่าน”   คำพูดตรงไปตรงมาที่ออกมาด้วยน้ำเสียงสดใสทำให้สองแก้มของเขารู้สึกร้อนผ่าวโดยไม่ทันตั้งตัว

เด็กนั่นพยุงเขากลับไปนั่งที่เตียงก่อนจะรินน้ำจากเหยือกใหม่มาให้ เขาดื่มมันดับความกระหายก่อนจะก้มลงมองจอกทองเหลืองในมือด้วยความไม่เข้าใจ...เขาไม่เข้าใจจริงๆนั่นแหละว่าทำไมเด็กนี่ถึงได้ตั้งอกตั้งใจดูแลเขาขนาดนี้ทั้งๆที่เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน หากเป็นเขาคงไม่มีวันเอาใจใส่คนที่ไม่รู้จักกันมากขนาดนี้หรอก แค่พาไปส่งโรงพยาบาลแล้วก็จบกันไป ไม่มานั่งเฝ้า คอยทำแผล เช็ดตัว ทำอะไรต่อมิอะไรให้แบบนี้หรอก

นัยน์ตาสีขี้เถ้าที่เริ่มจะมองเห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้นค่อยๆเหลือบมองร่างโปร่งบางที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้า นัยน์ตาสีมรกตเป็นประกายยังคงจ้องมองเขาราวกับจะถามว่าเอาอะไรอีกหรือเปล่า เจ็บตรงไหนหรือเปล่า ดอกไม้ที่เบ่งบานอยู่แววตานั่นก็อีก...มันกำลังโจมตีหัวใจดุจน้ำแข็งของเขาให้ละลายอยู่ในทะเลทรายแห่งนี้

ที่ผ่านมาเขามักจะเว้นระยะห่างจากคนรอบข้าง แต่เด็กนี่ก้าวล้ำเข้ามาตามแต่ใจตัวเองแท้ๆและมันดันเป็นธรรมชาติจนเขาที่เอาแต่เผลอมองไม่ทันที่จะปฏิเสธ รู้ตัวอีกทีเจ้าลูกหมานี่ก็อยู่ข้างกายเขาไปแล้ว

แต่ก็ไม่ได้รังเกียจหรอกนะที่เด็กนั่นชวนเขาคุยนู่นนี่ เพราะมันก็สนุกดี

“เอาน้ำอีกไหม?”   เขาส่ายหน้าแทนคำตอบก่อนจะพยายามซ่อนหัวใจที่เต้นแปลกไปนี่เอาไว้

“ถ้างั้นขอเราดูแผลท่านหน่อย พวกนักบวชบอกให้เราคอยเปลี่ยนยาให้ท่านทุกๆครึ่งวัน”   รากไม้แปลกๆที่บดเข้ากับพืชอะไรซักอย่างคือสิ่งที่เด็กนั่นเรียกมันว่ายา ถึงเขาจะไม่ไว้ใจมันเลยในตอนแรกแต่มันก็ทำให้แผลของเขาแห้งไวอย่างไม่น่าเชื่อ

เขานั่งนิ่งๆให้เด็กนั่นแกะผ้าพันแผลที่พันอยู่รอบหัวของเขาออก แผ่นอกเปลือยเปล่าที่ขาวเนียนไม่เข้ากับทะเลทรายขยับขึ้นลงอยู่ใกล้แค่คืบ กลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ทำให้เขาแทบจะหลงมัวเมาจนยั้งสติเกือบไม่อยู่  เขาไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน...อาจจะเพราะไม่เคยใกล้ชิดใครมากขนาดนี้ ไม่เคยมีใครดูแลเอาใจใส่ยามที่เขาบาดเจ็บและช่วยเหลือตัวเองไม่ได้...ไม่เคยมีพยาบาลคนไหนดูแผลที่หัวเขาเสร็จแล้วก็ลดสายตาลงมาจ้องตาเขาพร้อมกับยิ้มด้วยรอยยิ้มทะเล้นๆให้เขาแบบนี้มาก่อน...ทั้งหัวใจเลยอดหวั่นไหวไม่ได้...


มันอบอุ่น...จนต้องเสหน้าหนี...


เด็กนั่นยังคงยิ้มต่อไปในขณะที่ทำแผลให้เขา มือที่เบาจนแทบไม่รู้สึกเจ็บบ่งบอกถึงความเอาใจใส่ของเด็กนั่น ทั้งๆที่เขาพยายามจะไม่คิดอะไร แต่กระนั้นหัวใจกลับเต้นไม่เป็นจังหวะ

“เจ้าชาย...ฟาโรห์ทรงรับสั่งเรียกหา...”   เสียงเย็นๆที่ดังอยู่หน้าประตูทำให้มือบางที่กำลังจัดแต่งผ้าพันแผลที่หัวเขาชะงักไป ใบหน้ามนพยักรับเสียงเรียกน้อยๆแต่ก็ยังไม่ละซึ่งรอยยิ้มน้อยยิ้มใหญ่บนใบหน้า

“เดี๋ยวเรามา ท่านต้องการอะไรก็บอกมิคาสะนะ”   มิคาสะคือชื่อของสาวใช้ที่วนเวียนอยู่รอบๆห้องของเขานี่แหละ เด็กนั่นเคยหรือไม่เคยบอกเขาก็ไม่แน่ใจเพราะบางครั้งเสียงที่ได้ยินก็พร่าเลือนราวกับอยู่ในฝัน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้ว่าเด็กนั่นมีฐานะสูงส่งมากทีเดียวในเมืองแห่งนี้

และนั่นแหละ...คือสิ่งที่ทำให้เขาไม่เข้าใจ...ว่าเพราะอะไรเด็กนั่นถึงต้องลดตัวลงมาดูแลคนไม่รู้หัวนอนปลายเท้าอย่างเขาด้วย?












แผลของเขาค่อยยังชั่วขึ้นมาก อย่างน้อยร่างกายก็พอจะมีแรงลุกเดินไปไหนมาไหนเองได้โดยไม่มึนไม่เซไม่ล้มแล้ว

“ท่านอยากอาบน้ำหรือไม่?”   พอเด็กนั่นถามเขาแบบนั้น เขาจึงตอบตกลงทันที กี่วันมาแล้วที่เขาไม่ได้อาบน้ำ อากาศของที่นี่ก็ใช่ว่าจะเย็นจนเหงื่อไม่ออกเสียเมื่อไหร่

เขาเดินตามร่างโปร่งบางลงบันไดหินไปเรื่อยๆ ริมฝีปากช่างเจรจาที่คอยชวนเขาคุยนู่นนี่ทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยกับปราสาทหินนี่เร็วกว่าที่คิด ใบหน้ามนของเด็กนั่นหันมามองเขาเป็นระยะๆอย่างกลัวว่าเขาจะล้มไป หึ ช่างเป็นเด็กที่จิตใจดีเสียจริงๆ

บ่อน้ำขนาดใหญ่ปรากฏกายเบื้องหน้าเขา สายน้ำใสที่พวยพุ่งออกมาจากผนังดูเย็นฉ่ำน่าลงไปอาบนัก เขาจึงไม่อิดออดที่จะลงไปแช่กายอย่างสบายอุรา แต่ว่าเขาก็ต้องเลิกคิ้วน้อยๆเมื่อคนที่คิดว่าแค่มาส่งเขากลับถอดผ้าแล้วเดินลงมาแช่น้ำด้วยกัน...

รู้สึกธรรมเนียมแบบนี้จะเป็นที่นิยมในญี่ปุ่น แต่เขาที่เป็นชาวอิตาลีแต่กำเนิดกลับไม่รู้สึกคุ้นเคยกับการที่ต้องอาบน้ำด้วยกันไม่ว่าจะชายหรือหญิง ยิ่งในบ่อน้ำที่ใสจนมองเห็นอะไรๆแบบนี้ด้วย...

เขาพยายามไม่มองเจ้าลูกหมาที่ดำผุดดำว่ายอยู่กลางบ่อน้ำ แต่สายตาเจ้ากรรมกลับถูกผนึกไว้กับร่างกายได้รูปที่ผู้ชายคนไหนก็มี เพียงแต่ ร่างกายตรงหน้านั้นมันดูจะกระตุ้นสัญชาตญาณดิบมากกว่าปกติยังไงก็บอกไม่ถูก? กล้ามเนื้อที่ยังไม่เติบโตดีมันให้ความรู้สึกเซ็กซี่ขนาดนี้เลยเหรอ?

เด็กนั่นผุดขึ้นมาจากผืนน้ำ เส้นผมสีน้ำตาลเปียกลู่ละใบหน้า...จะว่าไปเขาก็เพิ่งเคยเห็นผมของเด็กนั่นนี่แหละ เพราะปกติจะใส่มงกุฎผ้าคลุมเอาไว้

“นี่เป็นความลับนะ ท่านห้ามเอาไปบอกใครเรื่องผมของเราล่ะ”   เครื่องหมายคำถามผุดขึ้นมาเต็มหน้าเขาอย่างไม่เข้าใจสุดๆว่ามันมีอะไรที่เป็นความลับตรงไหน เด็กนั่นที่เห็นสีหน้าเขาเข้าก็หัวเราะออกมาก่อนจะเฉลยให้ฟัง

“ขอโทษ เราลืมไปว่าท่านมาจากเมืองอื่น...ธรรมเนียมของชาวอียิปต์จะโกนหัวไม่ว่าหญิงหรือชาย เพราะมีสัตว์ร้ายชนิดหนึ่งชอบมาอาศัยในหัวหากมีผม พวกมันดูดเลือดเป็นอาหาร เพราะฉะนั้นเพื่อป้องกันมัน พวกเราจึงโกนหัวกันหมด แล้วก็ใส่ผมปลอมเอา...แต่เราไม่ได้โกน เพราะเรามีนักบวชช่วยทำยาฆ่าสัตว์ร้ายนั้นให้”    ......สัตว์ร้ายที่ว่านั่น...ใช่เหาหรือเปล่านะ? ก็เคยได้ยินมาอยู่บ้างหรอกว่าชาวอียิปต์โบราณมักจะโกนหัวกันหมด แต่นี่มันยุคไหนแล้ว? ยากำจัดเหาก็มีออกถมไป ทำไมไม่ไปซื้อมาใช้กันล่ะ?

และด้วยสิ่งที่คาใจเขามาตั้งแต่วันที่ลืมตาขึ้นที่นี่ ทำให้ปากที่หนักเหมือนหินอดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป

“นี่...ชั้นถามอะไรหน่อยเถอะ...ที่นี่มันที่ไหนกันแน่?”   เขาเริ่มจะทนความแฟนตาซีของที่นี่ไม่ไหวแล้ว ยังไงจะได้โทรบอกทีมให้มารับได้ถูก

“เมืองธีบส์ไง? เมืองหลวงของอาณาจักรอียิปต์? จริงสิ เรายังไม่ได้แนะนำตัวอย่างเป็นทางการ เราคือเจ้าชายเอเลน่า เจ้าชายลำดับที่สี่ของอาณาจักรอียิปต์ ผู้มีสิทธิ์ในการครองบัลลังก์ต่อจากฟาโรห์คนปัจจุบัน แล้วท่านล่ะ?”   หลังจากที่เด็กนั่นพูดจบเขาก็ถึงกับอึ้งรับประทาน...ขันทองเหลืองในมือถึงกับร่วงลงน้ำดังจ๋อม...

นี่มันรายการตลกร้ายอะไรมาแกล้งเขาอยู่หรือเปล่า? จะบอกว่าเขาข้ามมิติมาอยู่ในอียิปต์ยุคโบราณเนี่ยนะ? และกำลังคุยกับเจ้าชายที่อาจจะได้เป็นฟาโรห์ในอนาคตเนี่ยนะ? 


ใครมันจะไปเชื่อลง!!


“ว่าไง? ท่านชื่ออะไร?”   น้ำเสียงกระตือรือร้นคาดคั้นต่อเมื่อเขาไม่ยอมบอกชื่อไปเสียที

“รีไว....”   เขาตอบออกไปด้วยเสียงลอยๆ จะให้เชื่อจริงๆเหรอว่าเรื่องบ้าบออย่างการข้ามเวลาทะลุมิตินี่มันจะเกิดขึ้นกับเขาจริงๆ เขาก็แค่ขับรถ...ใช่...แค่ขับรถฝ่าพายุทรายมาเฉยๆเอง?

“นี่...ฟาโรห์คนปัจจุบันชื่ออะไร?”   เด็กนั่นมีสีหน้างงเล็กน้อยที่จู่ๆเขาก็ถามออกไป แต่เจ้าชายลำดับที่สี่แห่งอียิปต์ก็ยอมตอบเขามาแต่โดยดี...และชื่อนั้นก็ทำให้เขาอึ้งไปอีกรอบ...

เพราะมันคือชื่อของฟาโรห์องค์สุดท้ายที่มีบันทึกเอาไว้ในหน้าประวัติศาสตร์...ก่อนที่อียิปต์จะล่มสลายไปอย่างไม่รู้สาเหตุ...

ก็นับว่ายังดีที่เขาอ่านข้อมูลที่ทางทีมเตรียมไว้ให้ก่อนจะมาแข่งที่ประเทศนี้มาบ้าง รายชื่อฟาโรห์องค์สำคัญๆถึงยังพอจะอยู่ในหัวของเขาบ้าง...เอาเถอะ...เขาก็ไม่ใช่คนขี้โวยวาย จะเรื่องจริงหรือเรื่องเท็จ อยู่ต่อไปเดี๋ยวก็จับได้เอง เพราะงั้นเขาจึงไม่พูดอะไรให้มากความแล้วเล่นตามน้ำกับเด็กนั่นไป








แต่ยิ่งอยู่นานวัน เขาก็ยิ่งรู้สึกได้ว่ามันคือเรื่องจริง...









เขาหายดีจนออกมาเดินนอกปราสาทได้แล้ว

นัยน์ตาสีขี้เถ้าทอดมองขึ้นไปยังปราสาทหินทรายที่ถูกขุดลึกเข้าไปในภูเขา หลายวันที่ผ่านมาเขาไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองอาศัยอยู่ในภูเขาทั้งลูกจนกระทั่งได้ออกมายืนมองมันจากข้างนอกแบบนี้

“นมอูฐไหมจ้ะ นมอูฐ~”   เสียงร้องเรียกลูกค้าดังอยู่รอบกาย ที่นี่ไม่ได้ขายแต่นมอูฐแต่มีสินค้าหน้าตาแปลกประหลาดสารพัด เจ้าชายลำดับที่สี่แห่งอียิปต์พาเขาลงมาเดินเล่นในตลาดแลกเปลี่ยนสิ่งของ เสียงหนวกหูถึงได้ดังอยู่รอบตัวไปหมด

ตลาดกลางทะเลทรายแห่งนี้ทำให้เขาเริ่มจะเชื่อแล้วว่าเขาหลุดข้ามมิติมาจริงๆ เพราะไม่ว่าจะเดินดูเท่าไหร่มันก็ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกในโลกปัจจุบันที่เขาอยู่เลยสักชิ้น ซ้ำระบบการค้าที่ไม่ใช้เงินตราแต่เอาสิ่งของมาแลกกันนี่ถ้าไม่ใช้ธีมปาร์คตามสวนสนุกเขาก็นึกไม่ออกเลยว่าจะยังมีส่วนไหนในโลกปัจจุบันที่ยังเป็นแบบนี้อยู่

เขายืนเหม่อมองผู้คนผิวสีน้ำผึ้งซึ่งแต่งตัวไม่ต่างจากเจ้าชายแห่งอียิปต์นัก เพียงแต่ผ้านุ่งจะไม่ได้ประณีตเหมือนที่เจ้าลูกหมานั่นใส่และคนทั่วไปมีเครื่องประดับเพียงน้อยชิ้นและไม่สวมมงกุฎผ้า นัยน์ตาของเขาทอดมองถนนและตลาดที่ขนานไปกับแม่น้ำไนล์ซึ่งเปรียบเสมือนเส้นเลือดแดงของอียิปต์ หากไม่มีต้นกำเนิดชีวิตอย่างแม่น้ำสายนี้คงไม่มีใครอาศัยอยู่ในทะเลทรายที่ร้อนแล้งแห้งผากแบบนี้ได้หรอก

“คุณรีไว! มาทางนี้สิ!”   เขาก้มลงมองมือบางของเจ้าชายแห่งอียิปต์ที่จับมือเขาอย่างเป็นธรรมชาติก่อนจะลากเขาให้เดินตามไป...นี่ก็อีก...เด็กนี่ไม่รู้เลยหรือไงว่าในโลกปัจจุบันไม่มีผู้ชายที่ไหนเค้าเดินจูงมือกันหรอกนะ...ถึงจะรู้สึกขัดเขินจนโหนกแก้มร้อนแปลกๆแต่เขาก็ทำได้แค่ปล่อยให้เด็กนั่นลากไป

“เจ้าชาย เอาพัดหางนกยูงไหม? นี่ได้มาจากซีเรียเลยนะ”   พ่อค้าของนานาชาติร้องดักพวกเขาไว้พร้อมกับยื่นพัดสวยสดงดงามอลังการอันหนึ่งมาให้

“พัดหางนกยูง? อย่างเราจะเอาพัดนั่นมาทำอะไรล่ะ? เอาไว้เจ้าได้คันธนูที่คู่ควรกับชายชาตรีเช่นเราค่อยเอามาให้!”   เขาเหล่ตามองเจ้าคนที่เพิ่งบอกว่าตัวเองคือชายชาตรี...มองยังไงก็อิสตรีชัดๆ


“เจ้าชาย เครื่องแก้วนี่งามมากนะ ถ้าท่านสนใจข้าให้แลกได้ถูกๆเลย”

“เจ้าชาย ผ้าจากเปอร์เซียนี้กำลังเป็นที่นิยม เหมาะกับท่านมากนะ สนใจไหม?”

“เจ้าชาย~ เอาผลไม้กลับไปทานด้วยสิ”

“ฮึ่ม...ไม่เอาๆๆๆ! ทำไมพวกเจ้าไม่เอาอาวุธหรือของที่มันสมชายชาตรีกว่านี้มาเสนอให้เรากันนะ!”  

“ฮ่าๆๆ”


นั่นเป็นเสียงที่ดังทักทายเจ้าชายลำดับที่สี่มาตลอดทาง...

เขาสังเกตมานานแล้วว่าเจ้าชายพระองค์นี้ไม่มีความถือตัวแบบพวกเชื้อพระวงศ์อยู่เลย ตอนแรกก็คิดว่ามันอาจจะเป็นลักษณะของคนโบราณหรือเปล่า? แต่ปรากฏว่าไม่ใช่ เพราะวันหนึ่งเขาบังเอิญเดินสวนกับเจ้าชายลำดับที่สองซึ่งเป็นพี่ชายของเด็กนี่เข้า ผู้ชายคนนั้นกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกหยิ่งทระนงและทรงอำนาจ ไม่มีบรรยากาศน่าหยอกเย้าและเป็นกันเองแบบเจ้าชายลำดับที่สี่นี่เลย

ฝ่ามือของเขาถูกฝ่ามือที่จับเอาไว้นั่นกระตุกให้แวะข้างทางอยู่ตลอดตั้งแต่เดินเข้ามาในตลาด เพราะทุกครั้งที่แม่ค้าพ่อค้าเรียกให้ไปดูอะไร เจ้าเจ้าชายผู้อยากรู้อยากเห็นเหมือนลูกหมานี่ก็จะแวะเข้าไปดูทันที บุคลิกที่ดูเหมือนจะจริงจัง กระตือรือร้นและซุกซน ทำให้เป็นที่รักของประชาชน ดูจากเวลาเดินไปไหนมาไหนคนก็มักจะทักทายอย่างเป็นกันเองแต่ก็นอบน้อม ในขณะที่เจ้าชายคนอื่นๆจะปกครองประชาชนด้วยความกลัวเกรง เขาจำได้ว่าประวัติศาสตร์เขียนบอกไว้ว่าบรรดาฟาโรห์ของอียิปต์โบราณจะโหดร้ายและเด็ดขาดมากเพื่อการปกครอง...แล้วอย่างเจ้าชายองค์เล็กนี่จะปกครองใครไหวไหมเนี่ย?







เขาให้เด็กนั่นพาไปดู F138 LEVI ของเขา เราสองคนจึงเดินลัดเลาะไปตามสันทรายที่ถูกลมพัดจนขึ้นเป็นริ้วๆ ดูๆไปแล้วก็สวยดีเหมือนกัน

เด็กนั่นยังจับมือเขาไม่ปล่อย ความรู้สึกแปลกประหลาดค่อยๆก่อตัวขึ้นในหัวใจอย่างช่วยไม่ได้ ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นคนที่คอยดูแลเขายามที่เขาบาดเจ็บมาตลอด  นัยน์ตาสีขี้เถ้าเหลือบมองแผ่นหลังเปลือยเปล่าเข้ารูปของคนที่เดินเยื้องอยู่ข้างหน้า และทุกครั้งที่สายตาเลื่อนลงไปถึงขอบกระโปรงผ้าลินินที่พันต่ำอยู่รอบเอวบาง เขาก็ต้องรีบเสสายตาหนีทุกครั้ง...หัวใจ...มันเต้นแปลกไปจริงๆ

รถของเขาจอดอยู่ในดงต้นไม้หน้าตาแปลกๆที่เด็กนั่นเรียกมันว่าต้นปาปิรุส และหลังจากที่ช่วยกันเอาใบที่คลุมมันไว้ออก สีแดงเพลิงของรถฟอร์มูล่าวันก็ปรากฏโฉมท้าทายต่อแสงอาทิตย์อันร้อนแรงแห่งอียิปต์ทันที

เขามองมันด้วยความคิดถึงอย่างบอกไม่ถูก เพราะมันคงจะเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของเขาที่อยู่ด้วยกันตลอดในบ้านเมืองที่ไม่รู้จักแบบนี้

ฝ่ามือของเขาลูบเบาๆไปที่จมูกรถ  มันไม่ได้มีสภาพแย่อย่างที่เขาคิด แทบจะไม่มีส่วนใดเสียหายเลยยกเว้นยางที่ขึ้นปื้นเป็นแถบๆเพราะเขาสไลด์ตัวก่อนจะเบรกอย่างหนักตอนที่ดิ่งลงเหวมา ตอนแรกนึกว่าจะพังเละแต่นี่กลับยังมีสภาพที่น่าจะพอติดเครื่องได้อยู่?

เขาจึงก้าวขาเข้าไปในค็อกพิทหรือห้องนักขับ มันคงดูตลกดีที่เขาจะเข้าไปนั่งในนั้นด้วยชุดแบบอียิปต์โบราณที่ตัวเองใส่อยู่...ใช่...สภาพเขาตอนนี้ก็แต่งกายไม่ได้ต่างจากเจ้าชายลำดับที่สี่นั่นนักหรอก

ก็นะ...จะให้เขาใส่ชุดนักขับเดินไปเดินมาในอาณาจักรอียิปต์โบราณที่ร้อนสุดใจมันก็คงไม่ใช่ เขาจึงถอดแล้วเก็บมันไว้ที่ห้องของเขาในปราสาท...ไม่สิ...ต้องบอกว่าคนที่ถอดมันออกคือเจ้าเด็กนี่มากกว่า เพราะเมื่อเขาฟื้นขึ้นมาเขาก็อยู่ในชุดอียิปต์โบราณแบบนี้ไปแล้ว

นัยน์ตาสีขี้เถ้าเหลือบมองร่างโปร่งบางของเจ้าชายเอเลน่าที่เดินวนดูรถของเขาอย่างสนอกสนใจ ดวงตาเป็นประกายนั่นเดี๋ยวก้มเดี๋ยวเงยมองรถด้วยความตื่นเต้นเหมือนเด็กได้ของเล่น จนกระทั่งร่างโปร่งนั่งคุกเข่าเอามือเท้าข้างรถก่อนจะมองเขาที่เข้ามานั่งในค็อกพิทด้วยสายตาซนๆ เขาเผลอหัวเราะในลำคอกับท่าทางอยากรู้อยากเห็นของเด็กนั่น อะไรหลายๆอย่างของเด็กนี่ทำให้เขาอยู่ด้วยแล้วสบายใจ เขาจึงยิ้มออกมาง่ายๆยามเมื่ออีกฝ่ายชวนคุย...ทั้งๆที่ปกติแล้ว รีไว ไม่ใช่คนแบบนี้เลย

ราชาแห่งโลกใต้ดิน...นั่นคือฉายาของเขาก่อนเข้าวงการฟอร์มูล่าวัน

ผู้ชายยิ้มยาก พูดจาขวานผ่าซาก ป่าเถื่อน อันตราย และมักจะทำอะไรแบบไม่สนใจใคร...นั่นแหละเขา


“อย่างกับลูกหมาโกลเด้น”  เขาพึมพำเบาๆให้กับท่าทางราวกับหูจะตั้ง หางจะกระดิกได้ของเด็กนั่น

“โกลเด้น? โกลเด้นคืออะไร?”  ใบหน้ามนถามออกมาอย่างอยากรู้อยากเห็น เขาเลยยิ้มๆแล้วยักไหล่ตอบไปว่า

“ก็แค่สัตว์นำโชคน่ะ” 

“เราเหมือนสัตว์นำโชคในเมืองของท่านงั้นเหรอ? ดีจังเลยนะที่ท่านมาเจอเรา ท่านคงจะโชคดี”   .....อันนี้คือเมา? ไม่รู้เรื่องรู้ราว? มองโลกในแง่ดี? ใสซื่อ? หรือประชดกันแน่? พอมันออกมาจากดวงตาเป็นประกายนั่นแล้วเขาก็เดาไม่ถูกเลยจริงๆ สงสัยว่าในยุคอียิปต์โบราณคงยังไม่มีสุนัขสายพันธุ์โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ละมั้ง? เด็กนี่ถึงได้ไม่รู้จัก

“แล้วม้าของท่านขี่ยังไง? มันไม่เห็นร้อง ไม่เห็นหายใจ? หรือมันตายแล้ว?”  เขาถึงกับหลุดขำพรืดก่อนจะตอบกลับไป

“มันยังไม่ตายหรอก คอยดูแล้วกัน”   วิธีปลุกม้าลำพองที่แสนอันตรายตัวนี้น่ะเหรอ? เขาขับมันมากี่ปีทำไมจะไม่รู้ เพียงแต่ปกติแล้วมันจะสตาร์ทจากภายนอก ไม่ได้ใช้กุญแจไขเหมือนรถทั่วไป แต่เจ้ารถคันนี้ก็ยังมีสตาร์ทสำรองที่ติดอยู่ในรถอยู่ มันกินพลังงานค่อนข้างมากจึงไม่ค่อยมีใครใช้ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ แต่ก็เอาเถอะ อยู่ที่นี่จะให้ไปวิ่งที่ไหนได้ ยางเอย น้ำมันเอยก็มีเหลืออยู่ไม่มาก ถ้าจะใช้จริงๆคงวิ่งได้อีกไม่มากนักหรอก ลองติดเครื่องให้เจ้าเด็กนี่ดูเพื่อขอบคุณที่ช่วยเขาเสียหน่อยก็แล้วกัน






แล้วเสียงทุ้มต่ำก็คำรามทั่วท้องทะเลทราย...

ถ้าเจ้าม้าสีเพลิงตัวนี้ไม่ได้ออกวิ่ง เสียงของมันก็จะเป็นแค่เสียงกระหึ่มราวกับสัตว์ร้ายกำลังข่มขู่อยู่แบบนี้แหละ ไม่ได้มีเสียงแหวกอากาศแสบแก้วหูเหมือนตอนวิ่งหรอก

แต่เสียงที่สะท้อนเม็ดทรายหลายร้อยไมล์ก็ทำให้เจ้าชายแห่งอียิปต์ถึงกับตะลึงนิ่งค้าง ดวงตาคู่โตมองรถสีแดงคันนั้นอย่างหลงใหลโดยไม่รู้ตัว หัวใจดวงน้อยตกหลุมรักเสียงอันทรงพลังของมันแทบจะทันที เช่นเดียวกับความรู้สึกดีๆที่มีให้กับคนที่นั่งอยู่บนเจ้าม้าแดงตัวนั้นด้วย







“ม้านั่นมันสุดยอดเลย! แค่เสียงคำรามก็ราวกับเสียงของเทพเจ้าแล้ว  ทำไมท่านไม่สั่งให้มันวิ่งด้วยล่ะ? เราอยากเห็น”   เจ้าชายแห่งอียิปต์พูดอย่างตื่นเต้นในขณะที่เดินกลับ เขาเอาใบปาปิรุสคลุมรถไว้ที่เดิมนั่นแหละ เพราะไม่อยากให้ใครรู้ว่าเขามีของแบบนี้อยู่ในยุคนี้

เขามองรอยยิ้มสดใสและดวงตาเป็นประกายของเด็กนั่นก่อนจะอมยิ้มบางๆ ปกติแล้วเขาเป็นคนตรงไปตรงมา มีอะไรก็มักจะพูดแบบขวานผ่าซากออกไปตรงๆ แต่พอหลงเข้ามาในยุคโบราณที่ไม่รู้ว่าใครเป็นใครแบบนี้ ส่วนลึกของหัวใจก็อยากให้ใครสักคนรู้ว่าตัวตนจริงๆของเขาเป็นใคร เขามีตัวตนอยู่ในโลกใบนี้จริงๆไม่ว่าจะในยุคไหน...เขาจึงได้ตัดสินใจหันไปบอกกับเจ้าชายแห่งอียิปต์ด้วยสีหน้าจริงจัง

“ชั้นจะบอกนายตรงๆก็แล้วกัน...ชั้นไม่ใช่คนในยุคนี้ แต่มาจากอนาคตในอีกหลายพันปีเลยละ แล้วนั่นก็ไม่ใช่ม้า มันไม่มีชีวิต มันวิ่งได้ไกลกว่าม้า ทนกว่าม้า แต่ว่ามันก็กินพลังงานมหาศาลเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นชั้นจึงไม่สั่งให้มันวิ่งหากไม่จำเป็น”  เขาได้แต่หวังว่าเด็กนั่นจะเชื่อเขาและไม่หาว่าเขาบ้าไปเสียก่อน

“ท่านจะบอกว่า...ท่านไม่ใช่คนยุคเดียวกับเรา? แต่ท่านมาจากวันข้างหน้า...ในอีกหลายพันปี?...”   ใบหน้ามนเอ่ยออกมาในขณะที่ยังนิ่งค้างอย่างอึ้งๆกับคำพูดของเขา  เป็นเพราะเขาไม่เคยคิดจะบอกเรื่องนี้มาก่อน จึงไม่เคยทำให้เด็กนั่นรู้สึกตัวเลยว่าเขาไม่ใช่คนในยุคนี้

“มันอาจจะเชื่อได้ยาก แต่มันเป็นแบบนั้น”

“.........”   ริมฝีปากสีระเรื่อได้แต่อ้าพะงาบๆอย่างเรียบเรียงสิ่งที่จะพูดในหัวไม่ถูก แต่เขาก็เข้าใจว่ามันยากที่จะเชื่อขนาดไหน ในเมื่อตอนแรกที่หลุดมาอยู่ที่นี่เขาเองก็มีอาการแบบนี้เหมือนกัน

“พ่อของนายเป็นฟาโรห์องค์สุดท้ายของอาณาจักรอียิปต์ ก่อนที่มันจะล่มสลายไป”  เขาบอกความจริงที่ประวัติศาสตร์บันทึกเอาไว้โดยไม่กลัวว่าเด็กนั่นจะสั่งทหารมาจับเขาไปตัดหัวเพราะแช่งอาณาจักรอียิปต์

แต่แล้วสิ่งที่เขาไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น...เมื่อจู่ๆเจ้าชายลำดับที่สี่ก็ตาโตกับคำพูดของเขา...แทนที่จะโกรธเคือง

“ท่านหมายความว่า...ในยุคที่ท่านอยู่...อีกหลายพันปีหลังจากนี้... มีบันทึกเอาไว้ว่าอาณาจักรอียิปต์จะล่มสลายหลังจากหมดยุคของพ่อเราแล้วอย่างนั้นใช่หรือไม่?”   สองมือของเจ้าชายเอเลน่าเอื้อมมาจับมือของเขาแน่น

“ใช่...อ่า...ชั้นไม่ได้แช่งหรอกนะ แต่มันเป็นแบบนั้นจริงๆ”

“..........หมายความว่า....เราจะทำสำเร็จสินะ....”    แล้วจู่ๆใบหน้ามนก็ก้มลงไปพึมพำอะไรคนเดียว

“หื๋อ? นายว่าไงนะ?”   เพราะเสียงลมของทะเลทรายกลบเสียงพึมพำนั่นไป ทำให้เขาไม่ได้ยินว่าเด็กนั่นพูดว่าอะไร

“....เปล่า....เปล่า....ไม่มีอะไร....”   เด็กนั่นส่ายหน้าก่อนจะอมยิ้มบางๆ...ซึ่งมันต่าง...จากรอยยิ้มสดใสที่เด็กนั่นมักจะยิ้มเป็นปกติ...


ต่างกันตรงไหนนะ? เขาก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน...


“.........นี่คุณรีไว!   แล้วจู่ๆเจ้าชายแห่งอียิปต์ก็หันมาเรียกเขา

“ หื๋อ?”

“ท่านช่วยเราชิงบัลลังก์จากพวกพี่ชายได้หรือไม่?!   สิ่งที่เด็กนั่นพูดออกมาทำเอาเขาแทบจะสำลักน้ำลาย เขาสะบัดใบหน้าไปมองอีกฝ่ายอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา

“ห๋า?”

“เราถามท่าน...ช่วยเรา ทำให้เราขึ้นครองบัลลังก์และเป็นฟาโรห์แห่งอาณาจักรอียิปต์คนต่อไปได้หรือไม่?”  ถึงใบหน้ามนที่เคยยิ้มให้เขากลับจริงจังขึ้นมาจนเขาได้แต่ตัวชา

“........ชั้นเพิ่งจะบอกนายไป  ว่าอาณาจักรของนายจะล่มสลายหลังจากพ่อนายตาย แล้วยังจะไปชิงบัลลังก์ทำไม? พวกนายพี่น้องอาจจะก่อสงครามแล้วฆ่ากันตายหมดเลยก็ได้มันถึงไม่มีใครเหลือแบบนั้น ชั้นว่านายควรจะรีบหนีออกไปหา...”   ...สถานที่สงบๆและห่างไกลจากบรรดาพี่ชายจะดีกว่า...เขายังไม่ทันจะพูดจบเจ้าเด็กนั่นก็สวนกลับมาเสียก่อน

“เรื่องนั้นช่างมันเถอะน่า! ตอบเรามาว่าจะช่วยเราชิงบัลลังก์ได้หรือไม่?”   เจ้าลูกหมารบเร้าเขาเป็นเด็กๆทำให้...

“...อ่า...ก็คงได้แหละมั้ง ยังไงก็ไม่มีอะไรจะทำอยู่แล้ว....”   เขาเผลอตอบไปเมื่อถูกสายตาที่เป็นประกายแต่ก็จริงจังคู่นั้นคาดคั้น...ช่วยชิงบัลลังก์เพราะไม่มีอะไรจะทำเนี่ยนะ? สงสัยจะบ้าไปแล้วตัวเขา?...แต่ก็นั่นแหละ....มันไม่มีอะไรจะทำจริงๆนี่ แล้วยังไงเด็กนี่ก็ช่วยชีวิตเขาไว้ จะไม่ตอบแทนบุญคุณก็คงไม่ใช่รีไวแล้วละ

“เราขอบใจท่านมากนะ”   แล้วเด็กนั่นก็โผเข้ามากอดเขา ผิวเนื้อที่แนบสัมผัสทำให้หัวใจเต้นระรัวอย่างควบคุมไม่ได้ กลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ทำให้เขาได้แต่ยืนนิ่งราวกับถูกสะกดอยู่ตรงนั้น...


คำสาปของฟาโรห์มันร้ายกาจแบบนี้นี่เอง...


ไม่สิ...เด็กนี่ยังไม่ทันจะได้เป็นฟาโรห์เลยด้วยซ้ำ...









.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.


โปรดติดตามตอนต่อไป...



มันเป็นเรื่อง GLIDE จริงๆนาคะ  เป็น GLIDE จริงๆค่ะ! 555555555  อ่านให้ถึงตอนจบแบ้วจะรู้ว่ามันเป็นเรื่องราวช่วงไหนอะไรยังไงในเรื่อง GLIDE กร๊ากกกกก

แต่ว่า...เรื่องนี้จะมีตอนจบหรือไม่ คงต้องช่วยกันลุ้นหน่อยค่ะ เพราะว่าฟิคต้นฉบับของตอนพิเศษนี้มันเป็นฟิคแก้บน 555555

ถูกกกก...คุณกวางมันก๊อปปี้ RED season ของคู่ คิมี่xเซบ มาแทบทุกกระเบียดนิ้ว ไม่ใช่แค่ชื่อเรื่องเหมือนกันธรรมดา 55555 แค่รู้สึกว่าคุณรีไวนี่คล้ายคิมี่มาก และลูกหมาเอเลนก็คล้ายโกลเด้นเซบ กร๊ากกก // โดนล้อเหยียบ // ประกอบกับมีคนทวง GLIDE มา(เค้าทวงยาสุคิโยะ โฟ้ยยยย) เลยแอบก๊อปฟิคตัวเองมาเป็นตอนพิเศษให้ GLIDE มันซะเลย กร๊ากกกก ไม่เจอกันนาน แอบคิดถึงเรื่องนี้เหมือนกันนะ >////<

แต่ถึงจะบอกว่าก๊อปปี้มา แต่เอเลนกับเซบจะไม่เหมือนกันซะทีเดียวค่ะ เอเลนจะใสกว่า เซบจะมีความแอบร้ายยยยย // แสยะ // และตอนจบจะใกล้เคียงแต่ก็ไม่เหมือนกัน...แหงละ ยังไงฝั่งนี้ก็ต้องลากเข้า GLIDE ให้ได้อ่ะนะ ฝั่งคิมี่เซบเค้าจะดราม่าน้ำตาท่วม แต่ฝั่งรีเอนี่อาจจะฮาน้ำตา(ใคร?)ร่วงเรยก็ได้555555

แต่นั่นต้องขึ้นอยู่กับว่า คุณกวางจะบนสำเร็จหรือเปล่านะ 5555555555555+ // โดนเตะ

แอบแปะเพลงที่ฟังตอนแต่งฟิคฟาโรห์นี่ซักหน่อย อิอิ เป็นเพลงเกาหลีที่ดูไม่เข้ากับฟิคอียิปต์555555 แต่เนื้อเพลงนี้อ่านละลงไปดิ้นมากค่ะ ครึ่งแรกนี่ให้มาดามกับเอเลนร้อง ส่วนครึ่งหลังเป็นคิมี่กับคุณรีไวร้อง อะงื้ออออออ >////<



แล้วเจอกันตอนหน้าๆถ้าบนสำเร็จ กร๊ากกกกก



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น