Touken Ranbu Au.Fic [Kashu x Yamato] ใกล้ : 2.5 : ก็อยู่ในเสื้อโค้ทมาตลอดนี่นา...


Touken Ranbu Au.Fic [Kashu x Yamato]    ใกล้ : 2.5 : ก็อยู่ในเสื้อโค้ทมาตลอดนี่นา...

: Touken Ranbu Fanfiction Au
: Kashu Kiyomitsu x Yamato no kami Yasusada
: Romantic
: NC-17


คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ

              
ตอนนี้เป็นตอนพิเศษนาคะ มาจะกล่าวบทไป อันโอคิตะยัดนุ่นนั้นไซร้ ได้แต่ใดมา ก๊ากๆๆๆ









ลมหนาวพัดเอาไอเย็นเข้ามาจนผู้คนบางตาที่เดินอยู่บนถนนยามพลบค่ำต่างเร่งรีบกลับเข้าบ้านหรือหลบไปนั่งอยู่ในร้านอาหารเสียยังดีกว่า

คงจะมีเพียงเด็กคนนั้นคนเดียวนี่แหละที่ยังยืนฝ่าสายลมอันโหดร้ายอยู่ตามลำพัง

ร่างเล็กบางในเสื้อโค้ทสีเทายืนห่อไหล่พิงราวกั้นถนนอยู่หน้าโรงเรียนสอนพิเศษแห่งหนึ่ง สองมือถึงแม้จะอยู่ในถุงมือแต่ก็ยังต้องยกขึ้นถูกันไปมาเพื่อให้ความร้อนมันเพิ่มมากขึ้น ไอสีขาวที่พ่นออกจากริมฝีปากปากกลืนหายไปกับบรรยากาศสีเทาๆรอบกาย แสงไฟที่ฉายจากหน้ารถที่วิ่งผ่านไปตกกระทบปกคอเสื้อที่อยู่ใต้เสื้อโค้ทตัวหนาและมันก็ทำให้คนที่เดินผ่านไปมาหันมาสนใจได้ไม่ยาก

ก็เสื้อนี่น่ะบ่งบอกว่าร่างเล็กบางที่แยกไม่ออกว่าเป็นเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิงกันแน่คนนี้เป็นเด็กนักเรียนชั้นมัธยมต้นที่มาจากโรงเรียนเอกชนชื่อดังของเมืองเลยน่ะสิ และมันก็น่าแปลกใจไปกันใหญ่ที่เด็กคนนั้นกลับมายืนอยู่ตรงนี้แทนที่จะเข้าไปอยู่ในโรงเรียนสอนพิเศษที่น่าจะเข้าได้ง่ายๆหากผลการเรียนดีพอที่จะเรียนที่โรงเรียนเอกชนนั่นได้

เพราะโรงเรียนสอนพิเศษแห่งนี้ก็มีที่นั่งไม่มากและส่วนใหญ่นักเรียนที่จะได้เข้าไปเรียนก็มักจะเป็นพวกหัวกะทิของโรงเรียนต่างๆในละแวกนี้

นัยน์ตากลมโตสีไพลินเหลือบขึ้นไปมองประตูทางออกของโรงเรียนสอนพิเศษเป็นระยะๆราวกับกำลังรอใครอยู่ และยิ่งใบหน้ามนก้มมองสลับกับนาฬิกาที่ข้อมือก็ยิ่งทำให้รับรู้ได้ถึงความกระวนกระวายใจที่ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆตามเข็มเวลาที่เดินผ่านไป

ก็รู้อยู่หรอกนะ เวลาเลิกเรียนของอีกฝ่าย...แต่ก็ยังอดคิดไม่ได้ว่าวันนี้จะเลิกเร็วขึ้นอีกสักวินาทีก็ยังดี



และแล้วการรอคอยก็สิ้นสุดลงเมื่อประตูของตึกแถวสามชั้นนั่นเปิดออก ใบหน้าน่ารักจึงมองหาเป้าหมายในทันที

“คิโยมิตสึ!”   เสียงเรียกที่เปล่งออกไปทำให้ทุกสายตาหันมามอง แต่คนเรียกก็ไม่คิดจะสนใจมัน ร่างเล็กบางเดินดุ่มๆเข้าไปหาร่างที่ไม่ได้สูงใหญ่ไปกว่ากันซึ่งมีผ้าสีแดงพันคออยู่

“ยาสึซาดะ?”   ใบหน้าที่ดูแล้วค่อนไปทางเด็กผู้หญิงหันมาตามเสียงเรียกก่อนจะต้องอุทานออกมาอย่างประหลาดใจ เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมายืนอยู่ตรงนี้

“คือว่า...ช่วย...ไปด้วยกันหน่อย....”   คนที่รอมานานเอ่ยบอก มือเล็กเอื้อมออกมาจับที่ชายเสื้อโค้ทสีดำเป็นเชิงขอร้องทำให้นัยน์ตาสีทับทิมทอดมองคนตรงหน้าด้วยความสงสัย  ใบหน้าราวกับจะร้องไห้ของยาสึซาดะมันทำให้ไม่มีคำปฏิเสธใดลอยขึ้นมาในหัวได้เลย

“อะไรๆ คะชูคุงมีแฟนสาวมารองั้นเหรอ~? บอกมานะเว้ยว่าสาวน้อยน่ารักนั่นเป็นอะไรกับนาย?!”  เพื่อนที่เรียนพิเศษด้วยกันโถมกอดมาที่คอก่อนจะเอ่ยแซว แล้วก็เพราะเป็นเพื่อนต่างโรงเรียนจึงไม่รู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างยาสึซาดะกับเขา แถมไม่รู้อีกด้วยว่ากำลังโดนหน้าตาน่ารักๆนั่นหลอกเอา...ช่างไม่เข็ดกันซะเลยน้า~ ตอนเจอเขาครั้งแรกก็มาอีหรอบเดียวกันนี่แท้ๆ

“ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นอะไรกัน? จะเข้าใจว่าเป็นแฟนชั้นก็ได้ พวกนายจะได้รู้ว่าหมอนี่น่ะ ห้ามจีบ!   เขาหันไปทำหน้าโหดใส่พวกนั้น แน่นอนว่าพวกมันไม่ได้กลัวเลยสักนิด

“หมอนี่? อ่า ช่างเถอะ แต่ไหนนายบอกว่าจะไปกินราเม็งหลังเลิกเรียนด้วยกันงาย?”   เพื่อนที่ยืนอยู่รอบๆส่งเสียงอือๆเป็นลูกคู่ ทำให้มือเล็กที่ยังจับยึดชายเสื้อโค้ทของเขาอยู่จับแน่นขึ้นอีกราวกับกำลังกลัวว่าเขาจะไปกับเพื่อนๆพวกนั้น

“วันนี้ขอตัวก็แล้วกัน”   เขาหันไปปฏิเสธก่อนจะโบกมือเป็นเชิงขอโทษ

“เอ๋~~~   เสียงยานคางอย่างผิดหวังระคนกวนประสาทดังขึ้นทันที แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจ ปลายนิ้วกระตุกแขนเสื้อโค้ทสีเทาให้เจ้าของมันเดินตามมา

“ไปกันเถอะ”   เขาทิ้งกลุ่มเพื่อนที่กำลังจะไปเฮฮาปาร์ตี้หลังเลิกเรียนไว้เบื้องหลัง สองขาก้าวเดินต่อไปในเส้นทางตรงกันข้าม

นัยน์ตาสีไพลินเหลือบมองแผ่นหลังของคิโยมิตสึอย่างนึกขอบคุณที่ยอมรับฟังคำขอร้องของเขา เพราะถึงเราจะอยู่บ้านเดียวกัน เรียกผู้ชายคนเดียวกันว่า “พ่อ” แต่เราสองคนก็ใช่ว่าจะญาติดีกันเสียทีเดียว

เพราะเราต่างก็เป็นเด็กที่ถูกเก็บมาเลี้ยงด้วยกันทั้งคู่ เป็นเด็กที่ไม่มีใครรักไม่มีใครต้องการ เพราะงั้นเมื่อวันหนึ่งมีมือที่แสนอบอุ่นยื่นมาหา ต่างฝ่ายจึงต่างต้องการที่จะยึดมือคู่นั้นเอาไว้คนเดียว...เขาเคยเห็นคิโยมิตสึเป็นศัตรู แน่นอนว่าคิโยมิตสึก็รู้สึกกับเขาไม่ต่างกัน เราต่างมองกันและกันในฐานะคู่แข่งมาตลอด คู่แข่งเพียงหนึ่งเดียวที่ต้องเอาชนะให้ได้ แต่ก็เป็นเพราะเอาแต่เฝ้ามองอีกฝ่ายมาตลอดนั่นแหละ ถึงได้หลงใหลไปโดยไม่รู้ตัว

และพ่อเองก็ไม่เคยยื่นมือไปให้ใครเพียงคนใดคนหนึ่ง แต่มือใหญ่ๆนั่นกลับยื่นมาหาพวกเราทั้งคู่...อยู่ด้วยกันนานๆไปจึงได้รู้...ว่ามือของพ่อนั้นมีสองข้าง...และพวกเราก็สามารถจับเอาไว้คนละข้างได้...จับเอาไว้พร้อมๆกัน

ความอิจฉาจึงถูกหล่อหลอมกลายเป็นเส้นใยบางๆ...ที่นับวันมันก็จะยิ่งถักทอหนาขึ้นเรื่อยๆราวกับใยของแมงมุม.....เป็นใยของแมงมุมที่รัดพันหัวใจจนดิ้นไปไหนไม่ได้


ร่างเล็กบางสองร่างเดินผ่านกระจกหน้าร้านบานใหญ่ของร้านค้าที่ยังเปิดไฟสว่างจ้าทั้งๆที่ไม่มีลูกค้าเหลืออยู่แล้ว ภาพที่สะท้อนอยู่บนกระจกเงาคือภาพของพวกเขาสองคน...ถึงจะสวมเสื้อโค้ทแต่กางเกงขายาวลายสก็อตที่โผล่พ้นมาก็บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าพวกเขาเรียนอยู่โรงเรียนเดียวกัน เป็นโรงเรียนระดับมัธยมต้นที่หากพูดชื่อออกไปก็คงไม่มีใครที่ไม่รู้จัก และถึงจะไม่ใช่ระดับท็อปแต่ผลการเรียนของเขาก็จัดว่าใช้ได้เลยนะ

ถึงจะยังห่างจากคิโยมิตสึอยู่หลายขุมก็เถอะ...

นัยน์ตาสีไพลินลอบมองแผ่นหลังในโค้ทสีดำที่เดินเยื้องอยู่ข้างหน้า...ก็ต้องยอมรับละนะว่าคิโยมิตสึหัวดีจริงๆ ไม่งั้นคงไม่สอบเข้าได้อันดับต้นๆของโรงเรียนแบบนี้หรอก

ก็เพราะรู้ว่าหัวคงสู้คิโยมิตสึไม่ได้เขาถึงได้เลือกที่จะไม่เรียนพิเศษแล้วหันมามุ่งมั่นให้เคนโด้แทน...เคี้ยะ~~~ แต่ถึงอย่างงั้นก็ยังน่าเจ็บใจที่บางครั้งคิโยมิตสึก็เอาชนะเคนโด้เขาได้ทั้งๆที่ฝึกก็น้อยกว่า! มือเล็กแอบยกขึ้นมากำแน่นอย่างแค้นเคือง และเพราะแบบนั้นจึงไม่ทันเห็นว่าคนที่เดินนำอยู่ข้างหน้าเพิ่งจะหันหลังกลับมา

“แล้ว...ตกลงมีอะไร?...อย่างนายไม่น่าจะยอมโดดซ้อมเคนโด้เพื่อมายืนรอรับชั้นเฉยๆหรอกนะ? นี่มารอนานแค่ไหนกันเนี่ย? ดูสิแก้มเย็นเจี๊ยบขนาดนี้”   แล้วมือที่ซุกอยู่ในกระเป๋าเสื้อโค้ทสีดำมาตลอดก็ยกขึ้นแนบมาที่แก้มของเขา ไออุ่นของมันทำให้ความร้อนผ่าวพุ่งขึ้นสู่ใบหน้าอย่างไม่ทันตั้งตัวจนต้องรีบกลบเกลื่อน

“........เรื่องแก้มผมน่ะช่างมันเถอะน่า! ที่มาเนี่ย...มีเรื่องจะขอให้ช่วยหน่อย...”   ใบหน้าน่ารักเสหลบไม่ยอมสบตา แต่คำว่า” “ขอให้ช่วย” ก็ทำให้ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีดำเหลือบแดงยกยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างถูกใจ

“เห๋~~ ยาสึซาดะผู้พิชิตฟ้าดินถึงกับขอร้องชั้นเชียวน้า~ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็คงต้องช่วยเพื่อเป็นหนี้บุญคุณเอาไว้หน่อยละ”   ก็ยาสึซาดะน่ะชอบทำอะไรด้วยกำลังของตัวเอง ถึงจะทำได้บ้างไม่ได้บ้างแต่ก็ไม่เคยเอ่ยปากขอร้องเขาเลยสักครั้ง...ชักอยากจะรู้ซะแล้วสิว่ามันเป็นเรื่องหนักหนาขนาดไหนกัน?

“อย่ามาล้อเล่นนะ...”  ใบหน้าน่ารักชักสีหน้างอหงิก

“คิก~ บอกมาสิ เรื่องอะไรล่ะ?”   มือเรียวยกขึ้นมาปิดปากที่กำลังขำก่อนจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม

“....อยากให้ช่วย...ไปเอาเจ้านี่...ให้หน่อย....”   ยาสึซาดะก้มลงไปหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากกระเป๋านักเรียน

“เจ้านี่?”   มือบางยื่นโปสเตอร์ที่มีรูปโฆษณาของตุ๊กตายัดนุ่นตัวหนึ่งให้ดู และชื่อของมันก็ทำให้เขาเข้าใจได้ทันทีว่าทำไมยาสึซาดะถึงได้ยอมมาขอร้องเขาแบบนี้......โอคิตะ โซจิ 

“แล้วต้องไปเอาที่ไหนล่ะ?”   ริมฝีปากสีสดเอ่ยออกไปอย่างไม่ใส่ใจ ก็ยาสึซาดะคลั่งไคล้หมอนี่มาแต่ไหนแต่ไร ว่าแต่ต้องไปช่วยต่อแถวเพราะเค้าจำกัดให้ซื้อได้แค่คนละหนึ่งตัวหรือไง?

“.......ตู้เกมเครน...”   แล้วสิ่งที่ริมฝีปากสีระเรื่อพูดออกมาก็ทำให้เขาถึงกับผงะก่อนจะหันไปมองหน้ายาสึซาดะอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา...ตู้เกมเครนเนี่ยนะ?

“อุ๊บ! ฮ่าๆๆๆๆๆ ตู้เกมเครน? ถึงกับมายืนรอชั้นทั้งๆที่หนาวขนาดนี้เพื่อให้ไปคีบตุ๊กตาให้เนี่ยนะ ฮ่าๆๆๆ นายนี่บ้าชะมัด มีเด็กม.ต้นกี่คนในโลกกันที่เล่นตู้นั่นไม่ได้ ฮ่าๆๆๆ”   เขาถึงกับขำจนต้องยกมือขึ้นมากุมท้อง ไอ้ตู้นั่นมันเล่นยากยังไง? ใครๆเค้าก็ทำกันได้ไม่ใช่เร๊อะ?!

“อย่ามาหัวเราะนะ! ก็ถ้าผมคีบเองได้คงไม่มาขอร้องนายหรอก!   ใบหน้าน่ารักที่งอหงิกก่อนจะเปลี่ยนเป็นหงอยจนมองเห็นหูลู่หางตกเหมือนลูกหมาขนาดนั้นแปลว่ายาสึซาดะคงจะไปลองเล่นมาแล้วล่ะสิ แต่ก็ช่วยไม่ได้ละน้า~ ยาสึซาดะก็เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร...ของเล่นสำหรับคนโบราณอย่างเคนดามะกลับเล่นได้ดีแต่พวกเกมสำหรับคนสมัยนี้อย่างตู้เกมหรือแม้แต่เพลย์สเตชั่นกลับเล่นได้ห่วยแตก เดินแค่ก้าวเดียวก็ยังเกมโอเวอร์ได้...เชื่อเค้าเลย

“ฮึๆๆๆๆ”   ร่างเล็กบางในโค้ทสีดำถึงกับสั่นเมื่อพยายามกลั้นหัวเราะ...หมอนี่นี่น่ารักชะมัด...ทีเรื่องยากๆอย่างติวสอบเข้าหรือท่าขั้นสูงของเคนโด้ยังพยายามทำด้วยตัวเองไม่ยอมขอให้เขาช่วยเลยสักแอะ แต่นี่กลับมาขอให้ไปช่วยคีบตุ๊กตาให้เนี่ยนะ....ฮ่าๆๆ

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ คิโยมิตสึบ้า!   มือในถุงมือฟาดที่ไหล่เขาเข้าให้ทีนึงจนได้

“ฮึๆๆ อะ โอเค...พาไปสิ...ร้านไหนล่ะ...ฮึๆๆ”   ใบหน้าสวยยังหลุดขำไม่หยุด ใบหน้าน่ารักจึงค้อนเข้าให้อีกหลายที

“ยังไม่หยุดอีก!

“ก็มันขำนี่นา~

“ตามมาให้ไวเลย!”   ร่างเล็กบางในโค้ทสีเทาเดินนำด้วยใบหน้างอนๆโดยมีคนที่ยังพยายามกลั้นหัวเราะเดินตาม เมืองที่พวกเขาอยู่นี้ไม่ใช่เมืองใหญ่อะไรมากมาย เพราะงั้นเดินกันไม่นานก็มาถึงร้านที่มีตู้เกมตั้งเรียงรายจนได้...แล้วก็น่าจะเป็นร้านตู้เกมร้านเดียวในเมืองนี้ละนะ

“อ๊า?!!”   ยังไม่ทันจะได้ก้าวขาเข้าร้าน ยาสึซาดะก็มีท่าทางแปลกไป ใบหน้าภายใต้กรอบผมยาวที่มัดรวบไว้บนหัวผงะอ้าปากค้างก่อนจะรีบวิ่งไปเกาะตู้เกมเครนว่างเปล่าตู้หนึ่ง

“ไม่มี...ทำไมไม่มีโอคิตะคุงอยู่ในนี้แล้วล่ะ......”   มือในถุงมือเกาะไปที่กระจกตู้ก่อนจะตบแปะๆไปทั่ว ใบหน้าที่ดูตะลึงตะลานตกอกตกใจนั่นจะว่าตลกหรือน่าสงสารดีแต่ตอนนี้ยาสึซาดะน่าจะกำลังช็อคกับอะไรบางอย่างพอสมควร? ร่างโปร่งในโค้ทดำได้แต่ยืนมองอย่างสงสัย

“ขอโทษนะครับ! โอคิตะคุงที่อยู่ในนี้ไปไหนหมดแล้วล่ะครับ? หรือว่าย้ายที่ตั้งตู้ครับ?”   ร่างบางในโค้ทสีเทาพุ่งเข้าไปเขย่าคอพนักงานที่เดินผ่านมาพอดีก่อนจะถามออกไปด้วยเสียงตื่นๆ...เห๋...เจ้าโอคิตะยัดนุ่นที่จะให้เขามาคีบให้มันเคยอยู่ในตู้ตรงนี้เองหรอกเหรอ แล้วที่ตู้มันว่างเปล่าแบบนี้อย่าบอกนะว่า...

“เอ่อ...ต้องขอโทษด้วยนะครับคุณลูกค้า แต่เพิ่งมีคนมาคีบโอคิตะ โซจิตัวสุดท้ายไปเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วนี่เอง ตอนนี้หมดเกลี้ยงเลยครับ”   แล้วเขาก็ได้ยินเหมือนมีเสียงฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมากลางหัวยาสึซาดะ ทั้งใบหน้าและร่างกายของหมอนั่นแข็งเป็นหินไปแล้ว...ดูท่าจะช็อคสาหัสเลยแหะงานนี้...เขาเลยต้องมองเจ้าตุ๊กตายัดนุ่นในโปสเตอร์ที่ยาสึซาดะถืออยู่ใหม่อีกรอบ...เจ้านี่มันดังขนาดนั้นเชียว? ทำไมหมดไวนักล่ะ?

“ต้องขอโทษด้วยจริงๆนะครับ ตอนนี้อนิเมะกำลังดังมาก ของก็ผลิตไม่ทันทำให้ขาดตลาด ทางร้านก็สั่งเพิ่มไปแต่ก็ไม่รู้ว่าจะได้มาหรือเปล่า...”   คุณพนักงานโค้งขอโทษก่อนที่จะเดินยิ้มเจื่อนๆจากไป เขาหันไปมองหน้าที่ยังอ้าปากค้างของยาสึซาดะ...ดูท่าจะอยากได้จริงๆแหะ...นัยน์ตาสีทับทิมเหลือบลงไปมองโปสเตอร์โฆษณาอีกครั้งอย่างพยายามจดจำรายละเอียด...

“กลับบ้านกันไหม?”   เขากระตุกแขนเสื้อโค้ทสีเทาเบาๆและมันก็ทำให้คนที่ยังยืนแข็งเป็นหินเริ่มรู้สึกตัว ใบหน้าน่ารักเศร้าสลดดูหดหู่ แล้วไม่ทันไรน้ำใสๆก็ไหลลงมาจากขอบตา มือบางยกขึ้นไปปาดมันแต่น้ำตาก็ยังไหลลงมาไม่หยุด...เฮ้ย! ถึงกับร้องไห้เลยเหรอ?!! ภาพที่เขาไม่เคยเห็นตรงหน้าทำให้เขาถึงกับทำอะไรไม่ถูก  ก็ยาสึซาดะน่ะมักจะทำตัวเข้มแข็งต่อหน้าเขาเสมอ ขนาดหกล้มจนหัวล้างข้างแตกยังไม่ยอมร้องไห้เลยสักแอะ แต่นี่กลับมายืนร้องไห้เพราะเจ้าโอคิตะยัดนุ่นนั่นเนี่ยนะ?

อ้า~! จากที่คิดเอาไว้แต่ก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้จริงจังคงไม่ได้แล้วสินะแบบนี้!

“ไม่ร้องน่า...กลับบ้านกันนะ”   เขาจับมือคนที่ยังร้องไห้ไม่หยุดก่อนจะพาเดินกลับบ้าน...เขาไม่ได้พูดอะไรเพราะไม่รู้จะปลอบใจยาสึซาดะยังไงจึงได้แต่จับมือหมอนั่นเอาไว้แล้วก้าวขาเดินนำไปเรื่อยๆ แล้วเสียงสะอื้นเบาๆกับมือบางอีกข้างที่ยกขึ้นมาปาดน้ำตาก็ดังอยู่ข้างหลังไปตลอดทาง...






เช้าวันใหม่มาเยือนพร้อมกับหิมะขาวโพลนที่ตกตลอดทั้งคืน ถึงแม้ตอนนี้มันจะหยุดไปแล้วแต่บรรยากาศก็ยังหนาวเหน็บและอึมครึมไม่เปลี่ยนแปลง

มือบางพันผ้าพันคอสีแดงเลือดนกไว้รอบคอก่อนจะเปิดกล่องไม้ที่ถือเป็นสมบัติของเขาก่อนจะหยิบเอาธนบัตรใบละพันเยนสามสี่ใบที่อยู่ในนั้นออกมาแล้วพับใส่กระเป๋ากางเกงเอาไว้...สำหรับเด็กม.ต้นอย่างเขาแล้วเงินขนาดนี้นับว่ามากไปสำหรับการใช้ชีวิตในโรงเรียนภายในหนึ่งวัน...แต่ที่ต้องเอาไปขนาดนี้นั้น...

“คิโยมิสึ ยังไม่ไปโรงเรียนอีกเหรอลูก? เดี๋ยวจะสายเอานะ หิมะตกเยอะขนาดนี้รถไฟท่าจะคนแน่นด้วย รีบไปเถอะ”   เสียงของพ่อร้องเรียกอยู่ข้างล่างมือบางจึงกระชับกระเป๋าที่สะพายอยู่บนไหล่ก่อนจะเรียกความมั่นใจและความมุ่งมั่น....โย้ช~! เป็นไงเป็นกัน!

“ไปแล้วคร้าบ~”   ร่างโปร่งในโค้ทสีดำวิ่งลงบันไดก่อนจะยิ้มให้ผู้เป็นพ่อที่มายืนส่งอยู่ที่หน้าประตู

“จริงสิ แล้วยาสึซาดะล่ะ?”   ร่างโปร่งถามผู้เป็นพ่อเพราะไม่คิดว่าวันนี้เจ้านั่นจะลุกไปโรงเรียนไหวด้วยซ้ำ เมื่อคืนกว่าจะหยุดร้องไห้แล้วหลับไปได้ก็ตั้งดึกดื่นแท้ๆ

“ออกไปแต่เช้าแล้วละ เห็นบอกว่าจะไปชมรม ดูท่าทางซึมๆเหม่อๆอยู่นะ เป็นอะไรหรือเปล่านะเด็กคนนั้น...”    พ่อพูดพลางทำหน้าเป็นกังวล คนที่ใส่รองเท้าเสร็จจึงลุกขึ้นมาพร้อมพูดให้อีกฝ่ายสบายใจ

“ไม่เป็นไรหรอกฮะ เดี๋ยวเย็นนี้ก็ร่าเริงเป็นหมาบ้าเหมือนเดิมแล้วละ”   ใช่...เพราะเขากำลังจะไปทำให้หมอนั่นเลิกซึมเศร้าแล้วกลับมาทำหน้าดีใจให้ดู

“หึ...อย่าไปว่ากันแบบนั้นสิ รีบไปเถอะ”   ผู้เป็นพ่อโบกมือให้ ร่างโปร่งบางจึงก้าวขาออกไป

“ไปนะคร้าบ~

“โชคดี”


และแค่ก้าวออกมาจากบ้านไหล่บางก็ต้องห่อเข้าหากันทันที...อูย...อะไรจะหนาวขนาดนี้~

ลมเย็นๆพัดเข้ามาปะทะใบหน้าทำให้ต้องก้มหลบแล้วรีบเดินจ้ำอ้าวไปให้ถึงสถานีรถไฟโดยไว คนเยอะอย่างที่พ่อว่าไว้จริงๆด้วย คงเป็นเพราะถนนหนทางเต็มไปด้วยหิมะ คนที่ปกติจะเดินไปไม่ก็ขี่จักรยานจึงหันมาใช้รถไฟแทน...อีกอย่างก็หนาวขนาดนี้นี่นะ

สองมือยกขึ้นมาป้องปากก่อนจะเป่าลมอุ่นๆออกไปในขณะที่ยืนรอรถไฟ นัยน์ตาสีทับทิมเหลือบมองที่ชานชลาฝั่งตรงข้าม...ซึ่งมีเด็กนักเรียนใส่ชุดแบบเดียวกับเขาอยู่เต็มไปหมด....แล้วทำไมเขาถึงได้มายืนอยู่ฝั่งนี้ทั้งๆที่มันไม่ใช่รถไฟที่มุ่งหน้าไปโรงเรียนของเขางั้นเหรอ?...นั่นก็เพราะว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะไปโรงเรียนน่ะสิ

รถไฟแล่นเข้ามาจอดในชานชลาและเขาก็ก้าวขาขึ้นไป เช้าๆแบบนี้ถึงจะไม่ใช่ขบวนที่วิ่งผ่านโรงเรียนชื่อดังแต่ผู้ใหญ่วัยทำงานก็ขึ้นกันให้แน่นเอียดไปหมด เขาถูกเบียดจนไปยืนติดกับหน้าต่างกระจกของประตูอีกฝั่ง แล้วรถไฟก็ออกวิ่งอีกครั้ง....

นัยน์ตาสีทับทิมทอดมองทิวทัศน์ที่ขาวโพลนเบื้องนอก หมู่ตึกที่หนาตาเริ่มเบาบางลงตามจำนวนครั้งที่รถไฟจอด เช่นเดียวกับปริมาณคนบนรถไฟที่เริ่มโล่งขึ้นเรื่อยๆ สองมือที่กอบกุมกันอยู่ที่หน้าท้องต้องพยายามบีบเข้าหากันเพื่อไม่ให้ความกลัวและกังวลเข้ามาเกาะกุมหัวใจจนล้มเลิกความตั้งใจนี้ไป...เพราะเขาเพิ่งจะเคยโดดเรียนเป็นครั้งแรก...การที่ออกจากบ้านมาแต่กลับไม่ไปโรงเรียนแบบนี้เพิ่งเคยทำเป็นครั้งแรก...ในใจได้แต่เฝ้าคิดว่าหากพ่อรู้จะผิดหวังขนาดไหน แต่ใบหน้าที่เอาแต่ร้องไห้ของยาสึซาดะเมื่อวานเขาก็ปล่อยไปไม่ได้เช่นกัน

“สถานีต่อไป...อาโอสึกิ...สถานีต่อไป....”   เสียงประกาศบนรถไฟลอยผ่านหูไปเพราะยังอีกไกลกว่าจะถึงสถานีที่เขาจะลง...รถไฟขบวนนี้มีปลายทางอยู่ที่เมืองข้างๆ...สำหรับเด็กม.ต้นปีหนึ่งที่เพิ่งจะเลยวัยประถมมาไม่นานอย่างเขา....การออกจากบ้านตามลำพังครั้งนี้ก็ถือเป็นความกล้าหาญมากทีเดียว

ไม่เป็นไร...มันต้องไม่เป็นไรสิ...ถึงจะไม่เคยไปคนเดียว แต่ก็เคยไปพร้อมพ่อและยาสึซาดะมาแล้ว...มันต้องไม่เป็นไร....เขาต้องทำได้...

รถไฟวิ่งเข้าเทียบท่าที่สถานีปลายทางหลังจากที่เขานั่งมันมาอย่างยาวนาน ฝ่าเท้าในรองเท้าหนังเหยียบอยู่ที่เส้นหลังประตู นัยน์ตาสีทับทิมทอดมองพื้นภายนอกด้วยหัวใจที่เต้นระรัว ถึงจะกลัวๆแต่เขาก็มาถึงนี่แล้ว จะไม่ลุยต่อไปก็ไม่ได้ ฝ่ามือจึงกำแน่นเพื่อเรียกกำลังใจก่อนที่สองขาจะก้าวออกไป

ทิวทัศน์สองข้างทางนั้นช่างไม่คุ้นตาเพราะเมืองนี้มีขนาดใหญ่กว่าเมืองที่เขาอยู่ค่อนข้างมาก ตึกรามบ้านช่องจึงหนาแน่นและสูงใหญ่ เงาที่ทอดลงมาบนถนนนั่นจึงดูราวกับปีศาจร้ายร่างยักษ์

ร่างโปร่งบางห่อตัวเองอยู่ในเสื้อโค้ทสีดำ...เขาเพิ่งรู้ว่ามันน่ากลัวจริงๆกับการที่ต้องมาเดินอยู่ต่างถิ่นตามลำพังแบบนี้ เพราะเขาลืมไปว่าเขาก็เป็นแค่เด็กที่ไม่ได้มีพละกำลังอะไรมากมาย ยิ่งสายตาสนใจที่มองมาจากรอบกายก็ยิ่งทำให้รู้สึกไม่ดี...ไม่ชอบเอาเสียเลยกับการถูกมอง

มือบางยกฮูดสีดำขึ้นมาคลุมหัวและเงาของมันก็บดบังใบหน้าไปกว่าครึ่ง...ตอนนี้เขามีความรักจากพ่อ มีบ้านที่อบอุ่น แค่นั้นก็พอแล้ว...เขาไม่ต้องการใครและก็ไม่ชอบเป็นจุดสนใจ ไม่ได้อยากจะมีหน้าตาเหมือนเด็กผู้หญิงแบบนี้ด้วย ถึงจะมีแต่คนชมว่าน่ารักๆ มันก็ไม่เห็นจะน่าดีใจตรงไหน...

ร่างโปร่งเดินก้มหน้าก้มตาผ่านไปโดยไม่หันไปมอง ไม่ว่าจะถูกแซวจากกลุ่มเด็กผู้ชายที่กำลังโดดเรียน หรือได้ยินเสียงซุบซิบกรี๊ดกร๊าดของพี่สาววัยทำงาน...น่ารำคาญ...น่ารำคาญที่สุด!

ใบหน้าเล็กภายใต้ฮูดสีดำพยายามมองหาร้านของเล่นที่เคยมาเมื่อสมัยก่อน ถึงความทรงจำจะเลือนรางเต็มทีแต่เขาก็คิดว่ามันน่าจะอยู่แถวๆนี้....

แล้วหลังจากที่เดินวนๆเวียนๆอยู่ในย่านนั้นสองสามรอบ ในที่สุดเขาก็หามันเจอจนได้...ร้านเกมที่มีตู้เครนตั้งเรียงราย!

สองขาเดินเข้าไปด้วยความหวัง ร่างโปร่งบางเดินไล่ดูทีละตู้ๆ...เจ้าโอคิตะยัดนุ่นนั่นอยู่ไหนนะ?

หัวใจเบิกบานที่หาร้านจนเจอค่อยๆเหี่ยวลงตามจำนวนตู้ที่ลดลงเรื่อยๆ...ไม่มี...ไม่เห็นจะมีเจ้าตุ๊กตาโอคิตะ โซจิที่ยาสึซาดะอยากได้นั่นเลย...หรือว่าแม้แต่ที่นี่ก็หมดไปแล้ว?

ร่างโปร่งบางหยุดยืนอยู่หน้าตู้เกมเครนตู้สุดท้ายด้วยใบหน้าเหม่อลอย...ตู้นี้ก็ไม่ใช่...ไม่มีตุ๊กตาโอคิตะนั่นจริงๆด้วย...แล้วเขาจะทำยังไงดี มาตั้งไกลขนาดนี้จะบอกว่าเสียเวลาเปล่างั้นเหรอ...

รู้สึกอยากจะร้องไห้เหมือนยาสึซาดะขึ้นมาเลย...

“ขอโทษนะครับ...ที่นี่มีตู้เครนที่เป็นตุ๊กตาโอคิตะ โซจิไหมครับ?”   เขาถามพนักงานที่เดินผ่านมาด้วยน้ำเสียงลอยๆ ก็รู้หรอกว่าถามไปก็คงไม่มีประโยชน์เพราะเขาเดินไล่ดูมาจนหมดทุกตู้ในโซนเกมเครนนี่แล้ว

“โอคิตะ...โซจิ.......”   พนักงานเอ่ยทวนพลางทำท่านิ่งคิด เขาว่าเขาตัดใจแล้วกลับบ้านแต่โดยดีคงดีกว่า สองขาเตรียมจะก้าวเดินออกไปอยู่แล้ว

“อ๋อ! ตุ๊กตาที่มาจากอนิเมะเรื่องฮาคุโออุคิ ชินเซ็นคุมิใช่ไหมครับ?!”   เสียงของพนักงานที่บอกเขาอย่างเพิ่งนึกออกทำให้เขาหันกลับไปมองใบหน้าตื่นเต้นของอีกฝ่าย

“เอ...เอ่อ...คงใช่มั้งครับ?”   เขาเออออไปก่อนเพราะอันที่จริงเขาก็ไม่รู้หรอกว่าเจ้าโอคิตะยัดนุ่นที่ยาสึซาดะอยากได้นั้นมาจากเรื่องอะไร เพราะยาสึซาดะคลั่งไคล้โอคิตะ โซจิบุคคลจากประวัติศาสตร์คนนั้นมากและไม่ว่าจะอนิเมะ หนัง หรือละครอะไรที่มีเจ้าผู้ชายคนนี้อยู่ในเรื่องด้วย ยาสึซาดะก็จะดูทั้งนั้น

“ถ้าเป็นตู้นั้นละก็ ตั้งอยู่นอกร้านด้านข้างครับ เพราะเมื่อวานมีคนมาต่อแถวกดกันยาวไปถึงหัวถนนนู่น เลยเอาไว้ในร้านไม่ได้น่ะครับ เดี๋ยวคนจะมาเล่นตู้อื่นๆไม่ได้กันแหะแหะ”   แล้วสิ่งที่พนักงานบอกก็ทำให้นัยน์ตาสีทับทิมเบิกกว้าง ร่างโปร่งบางรีบโค้งให้อีกฝ่ายก่อนจะหันหลังวิ่งไปยังด้านข้างร้านทันที...ให้ตายเถอะ ของตัวเองรึก็ไม่ใช่ คนที่อยากได้ไม่ใช่เขาสักหน่อย แล้วทำไมต้องมาทำอะไรแบบนี้ด้วย ทำไมต้องมาเสียใจเมื่อรู้ว่ามันหมด ทำไมต้องมาดีใจแทบตายที่รู้ว่ามันยังมีอยู่แบบนี้ด้วยนะ

“แฮ่ก...แฮ่ก...แฮ่ก...”   มือบางเกาะอยู่ข้างตู้เครนด้วยหัวใจที่เต้นกระหน่ำ นัยน์ตาสีทับทิมมองสบประสานกับดวงตาผ้าสีเขียวของเจ้าโอคิตะยัดนุ่นที่นอนแอ้งแม้งอยู่ในตู้...ใช่...หน้าตาแบบนี้ใช่เจ้าโอคิตะที่ยาสึซาดะยื่นโปสเตอร์มาให้เขาดูจริงๆด้วย! ใบหน้าสวยยิ้มด้วยความดีใจจนคนที่เดินผ่านไปผ่านมาต่างหันมามองด้วยความสงสัยว่ามีอะไรดีๆเกิดขึ้นกับเขาหรือไงถึงได้ยิ้มสดใสขนาดนี้...ก็คนมันดีใจนี่นา...นัยน์ตาสีทับทิมมองเจ้าตุ๊กตานั่นแล้วก็มองอีก ยังมีอยู่จริงๆด้วย~

ว่าแต่...เหลืออยู่สองตัวเองเหรอ?

ร่างโปร่งยังคงยืนเกาะตู้ที่ว่างโล่ง ในนั้นมีตุ๊กตาเหลืออยู่แค่สองตัว...ดีนะที่ตัดสินใจโดดเรียนมาวันนี้ ขืนรอพ่อพามาวันเสาร์อาทิตย์ก็คงหมดไปก่อนแล้วแน่ๆ

“เอาละนะ...”   เขายืดตัวตรงก่อนจะตั้งสมาธิ เหรียญที่ไปแลกมาถูกหยอดเข้าไปก่อนที่มือบางจะบังคับคันโยกให้เครนข้างในขยับไปตามทิศทางที่เขาต้องการ

“อ๊า~”   เพราะตัวมันใหญ่เขาเลยกะน้ำหนักพลาดจนได้! รอบแลกเลยวืดไปโดยปริยาย

“ชิ!”   แต่ก็เพราะคิดเอาไว้แล้วว่ามันคงเป็นแบบนี้ เขาถึงได้เตรียมเงินเก็บของเขามาด้วย หลังจากเปลี่ยนมันเป็นเหรียญแล้ว เขาจึงหยอดมันลงไปในตู้อีกครั้ง

“หนอย....”   เพราะเป็นตุ๊กตาขนาดไม่ปกติทำให้ครั้งที่สองนี้ก็พลาดอีกจนได้ แต่ไม่ต้องห่วงหรอกเพราะเขาไม่ได้ใช้แต่สัญชาติญาณในการเล่นอย่างเดียว!


ครึ่ก!!


“เย้~!!!”  ในที่สุดครั้งที่สามเขาก็ทำสำเร็จจนได้ เจ้าโอคิตะยัดนุ่นนั่นหล่นตุ้บลงมาในช่องใส่ของ เขายื่นมือไปดึงมันออกมาก่อนจะชูขึ้นฟ้าราวกับผู้ชนะสงครามก็ไม่ปาน กับอีแค่ตุ๊กตาตัวเดียวมันทำให้ดีใจขนาดนี้เลยหรือไง เพิ่งจะเคยรู้สึกก็ครั้งนี้แหละ

แต่แล้วแรงกระตุกเบาๆที่ชายเสื้อก็ทำให้เขาจำต้องหยุดดีใจแล้วก้มลงไปมอง...ดวงตาใสแจ๋วคู่หนึ่งกำลังมองมาที่เขาอย่างเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง...หื๋อ?...เด็กผู้หญิงคนนี้เป็นใครกัน? เขามองเด็กหญิงที่น่าจะอยู่ในวัยประถมต้นด้วยความสงสัยและไม่ว่าจะมองยังไงเขาว่าเขาไม่น่าจะเคยรู้จักเด็กคนนี้แน่ๆ?

มือเล็กๆที่ยังเกาะชายเสื้อโค้ทของเขาอยู่นั้นสั่นระริก ดวงตากลมโตของเด็กหญิงมองมาที่ตุ๊กตาโอคิตะ โซจิตาละห้อย อย่าบอกนะว่า....

“ขอตุ๊กตานั่นได้ไหมคะ...ขอร้องละ!”   เด็กหญิงพนมมือพร้อมกับขอร้องด้วยใบหน้าอ้อนวอน นัยน์ตาที่เคยใสแจ๋วกลับสั่นพร่าราวกับต้องรวบรวมความกล้ามาขอร้องเขาและอีกไม่นานก็คงจะร้องไห้ออกมาแน่ ถึงจะรู้สึกสงสารจนอยากจะยกให้แต่ว่าเขาเองก็...

นัยน์ตาสีทับทิมมองตุ๊กตาในมือสลับกับเด็กหญิง ท่อนแขนบางเผลอกอดมันอย่างหวงแหนโดยไม่รู้ตัว

“....ชั้นเองก็....ต้องเอามันไปให้คนสำคัญเหมือนกันนะ คงให้เธอไม่ได้หรอก...”   ริมฝีปากสีระเรื่อพูดออกไปเบาๆราวกับกำลังพูดอยู่กับตัวเอง แต่ถึงเด็กหญิงจะได้ยินก็ยังมองตาละห้อยไม่ละสายตาเลย อ๊า! เจ้าโอคิตะยัดนุ่นนี่มันมีดีอะไร?! ทำไมถึงอยากได้กันนัก!

ดวงตาที่มองมานั้นเริ่มมีน้ำตาคลอ...โธ่โว้ย! จะทำเด็กผู้หญิงร้องไห้ก็ไม่ใช่วิถีของลูกผู้ชายเสียด้วย มือสั่นๆค่อยๆแงะเจ้าโอคิตะยัดนุ่นออกจากอ้อมแขนของตัวเองอย่างเสียดายก่อนจะกัดฟันยื่นมันให้เด็กผู้หญิงคนนั้นไป

“อะ เอาไปสิ...”   เขาอยากจะทรุดให้กับความเป็นสุภาพบุรุษของตัวเองเสียเหลือเกิน นี่ถ้าไม่ได้เรียนเคนโด้ ไม่ได้ถูกฝึกฝนเรื่องแบบนี้มาตั้งแต่เล็กๆละก็คงไม่รู้สึกอะไรแน่ที่จะปล่อยให้เด็กหญิงตรงหน้าร้องไห้งอแง

อ้า...ช่วยไม่ได้ละนะ.....

“ให้หนูจริงๆเหรอคะ? ไชโย!! ขอบคุณมากๆนะคะ ดีใจที่สุดเลย!”   เด็กหญิงรับมันไปกอดไว้แน่นก่อนจะกระโดดโล้ดเต้นด้วยความดีใจ ใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มอย่างน้อยมันก็ทำให้เขารู้สึกดีจนเผลอยิ้มตาม เอาเถอะ แบบนี้ก็ไม่เลวนักหรอก...เด็กคนนี้คงอยากได้มันจริงๆ...เหมือนยาสึซาดะ

แล้วจู่ๆมือเล็กก็ยื่นกิ๊บติดผมรูปดอกซากุระมาให้ พร้อมกับบอกเขาว่า

“ขอโทษนะคะ ตอนนี้หนูไม่มีเงินเหลือเลย...หนูให้นี่แทนแล้วกันนะคะพี่สาว”   มือเล็กวางกิ๊บติดผมลงบนมือเขาก่อนจะยิ้มให้ ขนาดวิ่งไปตั้งไกลแล้วก็ยังหันกลับมาโบกมือให้อีก...เขาได้แต่ยืนมองร่างเล็กๆนั่นไปจนลับสายตา...พี่สาวงั้นเหรอ? ยัยเด็กบ้าเอ้ย...ใบหน้าสวยก้มมองกิ๊บรูปดอกซากุระในมือก่อนจะอมยิ้มแล้วใส่มันไว้ในกระเป๋าเสื้อโค้ท

เอาเถอะ ยังเหลือตุ๊กตายัดนุ่นนั่นอีกตัวนี่นะ นัยน์ตาสีทับทิมจ้องเจ้าโอคิตะที่นอนแอ้งแม้งอยู่ในตู้เครนด้วยความมุ่งมั่น มือหยิบเหรียญห้าร้อยเยนเหรียญสุดท้ายที่ตั้งใจว่าจะเอาไว้ขึ้นรถไฟกลับบ้านขึ้นมา...เรื่องจะกลับบ้านยังไงไว้ค่อยคิดแล้วกัน แต่ตอนนี้เขาต้องเอาเจ้านี่ออกมาจากตู้ให้ได้!

สองมือกุมเหรียญก่อนจะภาวนาในใจ...แล้วก็หยอดมันลงตู้ไป...ทั้งชีวิตนี้ไม่เคยตั้งใจอะไรขนาดนี้มาก่อน นัยน์ตาสีทับทิมจ้องมองเครนสลับกับตุ๊กตาในตู้ก่อนที่มือจะโยกคันโยกด้วยความแม่นยำ!


ครึ่ก!


เจ้าโอคิตะยัดนุ่นตัวสุดท้ายไหลลงมาในช่องรับของ ในที่สุดเขาก็ทำได้! เย้ๆๆ!!!

หัวใจดวงน้อยเต้นระรัว คราวนี้ยิ่งดีใจกว่าคราวที่แล้วจนไม่รู้จะบรรยายยังไง หลังจากกระโดดโล้ดเต้นอย่างดีใจอยู่หน้าตู้จนคนหันมามอง มือบางก็หยิบเจ้าโอคิตะนั่นมาฟัดด้วยความดีใจ ใบหน้าสวยถูไถกับผิวผ้านิ่มๆของตุ๊กตาไปมา สองแขนกอดรัดมันจนแทบจะปริ แต่พอนึกอะไรขึ้นมาได้ มือบางก็รีบเก็บตุ๊กตาซ่อนเอาไว้ในเสื้อโค้ทก่อนจะมองซ้ายมองขวาเพราะกลัวว่าจะมีเด็กที่ไหนมาขอมันไปอีก!

อ๊า~~ ดีใจจัง ถึงจะไม่ใช่เรื่องของตัวเองเลยสักนิดแต่เขากลับมีความสุขมากๆ มากๆ

ผิวสัมผัสนิ่มๆที่อยู่ใต้เสื้อโค้ททำให้เผลอยิ้มออกมา ถ้ายาสึซาดะเห็นมันจะดีใจขนาดไหนนะ แค่นึกถึงใบหน้าอ้าปากพะงาบเหมือนปลาทองของเจ้านั่นเขาก็หลุดขำออกมาแล้ว รู้สึกดีจัง มีความสุขจนที่ใต้แผ่นอกซ้ายมันอุ่นไปหมด

ร่างบางในโค้ทสีดำเดินยิ้มไปจนถึงสถานีรถไฟอย่างตั้งใจว่าจะกลับบ้าน แต่พอมาถึงเครื่องกดตั๋ว ร่างทั้งร่างก็ต้องแข็งทื่อ...ก็เขาลืมไปว่าใช้เงินเหรียญสุดท้ายไปแล้ว...

อ่า...ทำไงดีล่ะทีนี้...ถ้าโทรกลับไปบอกพ่อพ่อต้องโกรธแน่ๆ โดดเรียนมาด้วยนี่นา...

ร่างบางเดินวนไปวนมาอยู่ที่หน้าสถานีรถไฟอย่างคิดไม่ตก...พยายามคิดหาวิธีแต่ก็ไม่มีหนทางดีๆอะไรเข้ามาในหัวเลย...

สองขาพาตัวเองออกมาจากสถานีรถไฟเพื่อหลบฝูงชนที่เริ่มมากขึ้นเพราะเป็นช่วงเวลาเลิกเรียนของเด็กนักเรียน นี่เวลาผ่านไปขนาดนี้แล้วเหรอนี่? ถ้าไม่รีบกลับพ่อต้องจับได้แน่ว่าเขาโดดเรียน แล้วก็คงเป็นห่วงแน่ๆที่เขายังไม่กลับบ้านสักที แต่มันก็คิดไม่ออกนี่นาว่าจะกลับยังไง?!

เขาทิ้งตัวนั่งลงไปที่เก้าอี้ยาวหน้าร้านอุด้งใกล้ๆสถานี พอเริ่มเย็นอากาศก็เริ่มหนาว แถมรอบกายก็เริ่มจะมืดแล้วด้วยเพราะเป็นฤดูที่กลางวันสั้นกว่ากลางคืน ท้องก็เริ่มร้องเพราะตั้งแต่เช้าเขาก็ยังไม่ได้กินอะไรเลย อ้า....นี่มันเลวร้ายสุดๆเลยนะเนี่ย~

ใบหน้าเล็กถอนหายใจ สงสัยคงต้องโทรศัพท์ไปสารภาพผิดกับพ่อตรงๆซะแล้วละ...

“เฮ้อ~...”   แล้วในขณะที่เขากำลังนั่งถอนหายใจอย่างหมดหวังอยู่นั้น...ก็มีแม่ลูกคู่หนึ่งเดินออกมาจากในร้านอุด้ง...

“พี่สาว!”   เสียงใสที่ตะโกนใส่เขานั้นคุ้นหูยังไงชอบกล ยิ่งคำที่ใช้เรียกเขาว่า พี่สาว นี่ยิ่งคุ้นเสียยิ่งกว่าคุ้น!

นัยน์ตาสีทับทิมเบิกกว้างมองตุ๊กตาโอคิตะ โซจิที่อยู่ในอ้อมแขนของเด็กหญิง...ใช่จริงๆด้วย คนที่เรียกเขาก็คือเด็กผู้หญิงเมื่อเช้านี่เอง!

“หนู? หนูคือคนที่ให้ตุ๊กตาเด็กคนนี้มาใช่ไหมจ้ะ?”   หญิงสาวที่มากับเด็กผู้หญิงคนนั้นก้มลงมาพูดกับเขาด้วยใบหน้าอ่อนโยน เขาจึงพยักหน้ารับอย่างไม่คิดอะไร

“น้าขอบใจหนูมากๆเลยนะจ้ะ...เด็กคนนี้ร้องอยากได้ตุ๊กตาตัวนี้มาตลอดเลย แต่น้าก็จนปัญญาจะหาให้เพราะเค้าไม่ได้วางขาย เนี่ย...พอได้ที่หนูให้มาก็ดีใจยกใหญ่ ขอบใจมากๆอีกครั้งนะจ้ะ”   หญิงสาวถึงกับโค้งขอบคุณเล่นเอาเด็กอย่างเขาถึงกับเด้งตัวลุกขึ้นยืนโค้งรับแทบไม่ทัน ถึงจะยังอยู่ในช่วงวิกฤตแห่งชีวิตแต่พอเห็นแบบนี้แล้วก็รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก

“แล้ว...มานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้ล่ะจ้ะ? รอพ่อมารับเหรอ?”   หญิงสาวถามออกมาพลางหันมองไปรอบๆราวกับจะช่วยมองหาผู้ปกครองของเขา ทำเอาใบหน้าสวยได้แต่หัวเราะแหะๆ ถึงจะน่าอายแต่เขาก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้วจึงบอกหญิงสาวไปตรงๆ

“เปล่าครับ...ผมกำลังหาทางกลับบ้านอยู่...พอดีว่าเอาเงินค่ารถไฟไปหยอดตู้คีบตุ๊กตาหมด...เลยไม่มีเงินขึ้นรถไฟกลับบ้าน...”   ปลายนิ้วเรียวยกขึ้นมาเกาคางอย่างอายๆ

“ตายจริง...”   หญิงสาวอุทานออกมาเบาๆก่อนจะเหลือบมองหัวตุ๊กตายัดนุ่นที่ซุกอยู่ในโค้ทของเขาก่อนจะหลุดขำออกมาด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน

“บ้านหนูอยู่ที่ไหนล่ะ? มาสิ เดี๋ยวน้าไปส่ง...ตอบแทนที่ช่วยให้ตุ๊กตาที่น่าจะเป็นของสำคัญกับเด็กคนนี้”   หญิงสาวยิ้มให้โดยไม่ได้ต่อว่าอะไรและมันก็ทำให้คนที่กำลังจะจมน้ำตายอย่างเขาถึงกับมองเธอราวกับเป็นพระเจ้าผู้ช่วยชีวิต ใบหน้าสวยพยักรับรัวๆด้วยความดีใจทันที รอดตายแล้วงานนี้ ฮือออออ

สองแม่ลูกพาเขาไปขึ้นรถที่จอดอยู่ไม่ไกลได้ทันพอดีก่อนที่หิมะจะเริ่มโปรยปรายลงมา นัยน์ตาสีทับทิมทอดมองปุยสีขาวที่ร่วงหล่นจากฟากฟ้า น่าแปลกที่รอบกายนั้นช่างหนาวเย็น แต่ในเสื้อโค้ทของเขากลับอุ่นยิ่งกว่าทุกวัน...เพราะเจ้าโอคิตะยัดนุ่นนั่นสินะ...

ใบหน้าเล็กอมยิ้มเมื่อเหลือบลงไปมองปลายผมที่ทำจากผ้าสักกะหลาดที่แล่บออกมาจากเสื้อโค้ท พอความกังวลเรื่องการหาทางกลับบ้านถูกยกออกไป ความหิวก็เลยประท้วงร่างกายเขาด้วยเสียงร้องที่ดังออกมาจากกะเพาะทันที

โคร่ก~~...

ก็รู้อยู่หรอกว่ามันน่าอายแต่เขาห้ามมันได้เสียเมื่อไหร่ ใบหน้าสวยที่ขึ้นสีระเรื่อจึงเสมองออกไปนอกหน้าต่างรถโดยมีเสียงของแม่เด็กหญิงหัวเราะเบาๆมาจากหลังพวงมาลัย มือเรียวยื่นขนมปังมาให้

“หิวใช่ไหมล่ะ? ขอโทษนะจ้ะมีแค่ขนมปังนี่เอง ยังไงก็รองท้องไปก่อนนะ”   ท้องที่ร้องโครกคร่ากทำให้เขาปฏิเสธไปก็เท่านั้น มือบางจึงรับขนมปังมาด้วยท่าทางอายๆ แต่ก็คิดถูกแล้วละที่กินขนมปังนั่นเสียก่อน เพราะกว่าจะมาถึงบ้านของเขาได้ก็ดึกพอสมควร...

หว๋า~ ไม่คิดว่าเวลาหิมะตกจะขับรถได้ช้าขนาดนี้ ป่านนี้พ่อกับยาสึซาดะคงจะห่วงเขาแย่แล้วมั้ง? หัวใจดวงน้อยเริ่มกังวลและมันก็เต้นตุ้มๆต่อมๆเมื่อรถยนต์แล่นไปจอดที่หน้าบ้าน...งานนี้โดนพ่อดุแหงๆเลย...

แล้วทันทีที่เขาก้าวขาลงไปจากรถ แรงปะทะของอะไรบางอย่างก็ทำให้ร่างทั้งร่างถึงกับเซถลาก่อนจะล้มหงายหลัง


ตุ้บ!


อะไรน่ะ? เขาได้แต่เงยหน้ามองเจ้าของน้ำหนักไม่น้อยด้วยความสงสัย อะไรมันล้มทับเขากัน? แถมแรงกอดรัดจนอึดอัดขยับตัวไม่ได้เลยนี่ก็อีก?

“คิโยมิตสึ!! นายหายไปไหนมา~~ รู้ไหมว่าผมกับพ่อเป็นห่วงจนแทบบ้าขนาดไหน?! ไปไหนมาๆๆๆ เจ้าบ้าคิโยมิตสึ!”   แล้วเสียงถามรัวๆพอๆกับกำปั้นเล็กๆที่ทุบลงมาที่หน้าอกก็ทำให้เขารู้ว่าเจ้าของน้ำหนักที่โถมทับเขาอยู่ก็คือยาสึซาดะนั่นเอง

เขามองใบหน้าที่ร้องโวยวายของยาสึซาดะ มันเต็มไปด้วยความกังวลจนเห็นได้ชัด...นี่เป็นห่วงเขามาตลอดเลยเหรอ?

“ยาสึซาดะ ขอโทษนะ...”   เขาจับมือที่รัวใส่อกเขาไม่หยุดให้สงบลงก่อนจะยิ้มให้อีกฝ่าย...หมอนี่มัน...น่ารักจริงๆด้วยแหะ...

มือบางยกขึ้นไปลูบหัวยาสึซาดะที่ยังชักสีหน้าบูดบึ้งแง่งอนแต่ทั้งหมดมันก็เป็นเพราะห่วงเขา กลัวว่าเขาจะเป็นอันตรายถึงได้ยังไม่กลับบ้านจนป่านนี้  นัยน์ตาสีทับทิมเหลือบไปมองคุณน้าแม่ของเด็กหญิงที่เดินไปคุยกับพ่อของเขาให้ก็เลยคิดว่าทางนั้นคงไม่เป็นไร จึงหันมาสนใจคนที่นั่งทับอยู่บนตัวเขาต่อ

มือบางยันหน้ายาสึซาดะออกไปก่อนจะดึงตุ๊กตาโอคิตะยัดนุ่นออกมาจากเสื้อโค้ทแล้วยันมันใส่ใบหน้างอหงิกนั่นแทน

“เอ๊ะ?”   ยาสึซาดะถึงกับเบิกตากว้างก่อนจะจับตุ๊กตานั่นราวกับนึกว่าตัวเองอยู่ในฝัน ใบหน้าเลื่อนลอยหันมามองเขาอย่างไม่เชื่อสายตาก่อนจะมองเจ้าโอคิตะยัดนุ่นสลับกับมองหน้าเขา

“ก็ไปเอามาให้ไงล่ะ งงอะไร?”   เขาเสสายตามองพื้น สองแก้มรู้สึกร้อนผ่าวอย่างเขินๆที่จะบอกว่าเขาตั้งใจไปหาเจ้าตุ๊กตานี่มาให้ขนาดไหน ยาสึซาดะอ้าปากพะงาบๆเป็นปลาทองอย่างที่เขาคิดไว้ไม่มีผิด แต่เขากลับไม่นึกขำอย่างที่คิดเพราะยาสึซาดะกำลังกอดเจ้าตุ๊กตานั่นพลางน้ำตาซึม

“อุ่นจัง...”   ใบหน้าน่ารักแนบไปกับตุ๊กตาและภาพตรงหน้าก็ทำให้เขาได้รับรู้เป็นครั้งแรกในชีวิต...ว่าการตกหลุมรักใครสักคนมันเป็นยังไง...

มีความสุข...จนแทบจะตายได้เลย...

ใบหน้าสวยยิ้มบางๆก่อนจะลูบหัวสีรัตติกาลนั่นเบาๆ...อุ่นสิ...ก็เพราะว่ามัน...

“อยู่ในเสื้อโค้ทมาตลอดนี่นา...”


ใช่...อยู่ใกล้ๆแผ่นอกซีกซ้าย...ตำแหน่งเดียวกับหัวใจของชั้นไง...













ผ้าขี้ริ้วถูกไม้ถูพื้นไสไปกับพื้นโรงฝึกอันกว้างใหญ่ เสียงวิ่งไปวิ่งมาดังตั้งแต่เช้าเพราะคะชู คิโยมิตสึถูกทำโทษให้ถูพื้นโรงฝึกคนเดียวเป็นเวลาสองอาทิตย์ ข้อหาโดดเรียนแล้วก็ไปไหนไม่ยอมบอก

ร่างบางในชุดฮากามะสำหรับฝึกยืนหอบหายใจพลางยกมือขึ้นมาปาดเหงื่อหลังจากที่ถูไปได้เพียงครึ่งหลังทั้งๆที่ถูมาตั้งเป็นชั่วโมงแล้ว

“อ๊า~~ โรงฝึกนี่มันจะใหญ่ไปไหน!”   ริมฝีปากสีสดร้องโอดโอย ปกติเขาก็ไม่ใช่พวกใช้แรงงานอยู่แล้วด้วย งานบ้านเคยทำซะที่ไหน เล่นทำโทษให้มาถูโรงฝึกคนเดียวแบบนี้พ่อใจยักษ์!

“เลิกบ่นแล้วถูๆไปเถอะน่า...”   เสียงของใครอีกคนดังแทรกเข้ามาทำให้นัยน์ตาสีทับทิมเหลือบไปมองที่ประตู ยาสึซาดะอยู่ในฮากามะสำหรับฝึกแบบเดียวกันและในมือบางก็มีไม้ถูพื้นอีกอันนึงด้วย!

“อย่าบอกนะว่าจะมาช่วย? เดี๋ยวก็โดนพ่อคาดโทษไปด้วยหรอก”

“ช่างเถอะน่า...ผมว่าพ่อรู้อยู่แล้วล่ะว่ายังไงผมก็ต้องแอบมาช่วยถึงได้กล้าสั่งลงโทษแบบนี้ ไม่งั้นนายคงได้ตายก่อนแน่ งานบ้านไม่เคยช่วยทำก็งี้แหละ”   ใบหน้าน่ารักทำเป็นบ่น แหม่มันน่านัก! ที่เขาโดนลงโทษนี่ก็เพราะใครล่ะ?!

ไม้ถูพื้นถูไสไปอย่างระบายอารมณ์ พวกเขาสองคนวิ่งสวนกันไปมา ถึงจะทำเป็นพูดท่านู้นท่านี้แต่ยาสึซาดะก็ตั้งใจช่วยเขาเป็นอย่างดี จากที่ถูได้แค่ครึ่งเดียวก็เป็นอันเสร็จทั้งหลังแค่ไม่กี่นาที

ร่างเล็กบางก้มลงไปบิดผ้าขี้ริ้วในถังน้ำ ปอยผมข้างหน้าที่สั้นเกินกว่าจะมัดรวบได้ห้อยลงมาปรกหน้าปรกตาทำให้มือของยาสึซาดะต้องปาดมันออกไปอย่างรำคาญๆอยู่หลายครั้ง  มันเลยทำให้เขานึกอะไรได้

“นายรออยู่นี่แป๊บนะ”   เขาวิ่งกลับไปที่บ้านก่อนจะกลับมาอีกครั้งพร้อมด้วยอะไรบางอย่างในมือ

“อยู่นิ่งๆ”   ริมฝีปากสีสดบอกกับคนที่ยังทำหน้างง แล้วกิ๊บติดผมรูปดอกซากุระที่เด็กหญิงคนนั้นให้เขามาก็ถูกติดไว้ที่ผมหน้าของยาสึซาดะ

“อะไรเนี่ย?”   ยาสึซาดะทำหน้างงก่อนจะชักสีหน้าไม่ชอบใจเท่าไหร่ เขาได้แต่ยิ้มอย่างอารมณ์ดีให้...ก็เหมาะดีนี่นา~

“ไปกินข้าวกันเถอะ เดี๋ยวไปโรงเรียนสาย”   เขาบอกออกไปก่อนจะเดินตัวปลิวกลับเข้าบ้าน โดยที่ไม่ได้รู้เลยว่าคนที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังกำลังมองตามเขามาด้วยสายตาแบบไหน



ใบหน้าน่ารักก้มมองเงาของตัวเองในถังน้ำก่อนที่มือบางจะยกขึ้นมาแตะที่กิ๊บติดผมรูปดอกซากุระเบาๆ สองแก้มร้อนผ่าวไปหมด...

นัยน์ตาสีไพลินเหลือบมองขึ้นมายังแผ่นหลังที่กำลังเดินออกไปจากโรงฝึก...ทั้งตุ๊กตาโอคิตะคุง ทั้งกิ๊บติดผมอันนี้...มันทำให้ผมได้รับรู้เป็นครั้งแรกในชีวิต...ว่าการตกหลุมรักใครสักคนมันเป็นยังไง...


มีความสุข...จนแทบจะตายได้เลยละ...










.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

To be Con.






ตอนหลักยังไม่ถึงไหนแล้วตอนพิเศษมายังไงเนี่ยถถถถถ TvT อ่า...เอาเถอะ ปกติคุณกวางมันก็ถนัดการเขียนแบบกระโดดไปกระโดดมาอยู่แล้ว โปรดให้อภัย555

ตอนพิเศษตอนนี้ก็จะพูดถึงช่วงที่ทั้งสองคนยังเป็นเด็กม.ต้น ช่วงที่พ่อยังอยู่และคะชูยังเป็นเด็กดีอยู่อ่ะนะ น่าร้ากจนอยากจิฟัดหลายๆที งื้อๆๆ >////< เห็นถึงความพิเศษของเจ้าโอคิตะยัดนุ่นนี้แล้วใช่ไหมล่า อิแบบนี้ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมมันถึงถูกวางเอาไว้บนเตียง ไม่ได้อยู่ในตู้หรือชั้นวางของเหมือนโอคิตะคุงตัวอื่นๆ อิอิ >/////<

ขอบคุณทุกๆการติดตามและทุกๆคอมเม้นต์นะค้า แล้วเจอกันตอนหน้าค่า >v<





7 ความคิดเห็น:

  1. ตอนใกล้จบเหมือนHanamaru ep 1 เลย >\\\<

    ตอบลบ
  2. มีตอนที่สามใหมคะ?
    (ตอบหน่อยค่ะไรท์)

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. มีค่ะ ยังไม่เสร็จเรยค่ะ ปั่นไฟท่วมอยู่เรยค่ะ5555 ขอบคุณนะคะ >/////<

      ลบ
    2. สู้ๆๆค่ะไรท์ ☺☺☺
      ^0^

      ลบ
    3. สู้ๆๆค่ะไรท์ ☺☺☺
      ^0^

      ลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ28 ธันวาคม 2559 เวลา 08:10

    จะมาตอนไหนหรอค่ะ อยากอ่านมากเลย พี่เเต่งสนุก

    ตอบลบ
  4. ใช่ค่ะหนูกลัยมาจากรร.มาเปิดดูตลอดเลยว่าไรท์อัพตอนที่สามยัง(คิดถึงเรื่องนี้มากเลยค่ะTOT)

    ตอบลบ