Attack on Titan. S.Fic [Reiner x Eren] - beLIEve - : 03


Attack on Titan. S.Fic [Reiner x Eren]  - beLIEve - : 03

: Attack on Titan Fanfiction 
: Reiner x Eren
: Romance
: NC-17


คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชายหากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
     
      
         




วันหยุดยาวผ่านพ้นไปแล้ว กองทหารฝึกหัดจึงกลับมาคึกคักตามเดิม


ผมเดินถือถาดอาหารเย็นที่กินเสร็จแล้วไปที่โต๊ะสำหรับวางจานก่อนนำไปล้าง แต่ก่อนที่ถาดของผมวางลงไปก็มีถาดของใครบางคนวางลงมาพร้อมๆกันทำให้ขอบถาดไม้ชนกันโดยบังเอิญ

“ อ๊ะ?!”   ผมเงยหน้ามองเจ้าของเสียงอุทานซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหน...ใบหน้ามนอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรแต่จนแล้วจนรอดก็หุบไป...ผมจึงเหลือบมองกลีบปากสีสดนั่นด้วยรอยยิ้มจางๆ

และเขาก็คงรู้ว่าผมจงใจมองไปที่ปากของเขา...แก้มใสถึงได้แดงระเรื่อขึ้นมาทันทีพร้อมกับใบหน้ามนหันหนีไปที่อื่น...

ตั้งแต่กลับมาจากงานเทศกาล เราก็ไม่ได้คุยกันอีกเลย...ไม่ใช่ว่าไม่มีโอกาสแต่เขาพยายามจะไม่อยู่กับผมสองต่อสอง...ผมรู้...ว่าเขากำลังหลบหน้าผม

จะด้วยยังไม่แน่ใจในความรู้สึกของตัวเองหรืออาจจะแน่ใจแล้วแต่ไม่รู้จะปฏิเสธผมยังไง....นั่นคือสิ่งที่ผมไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่

ความอึดอัดจุกแน่นอยู่ในอก...ที่ผ่านมาผมมัวคิดถึงแต่ความรู้สึกของตัวเอง...มัวแต่ห่วงเรื่องในอนาคตว่ามันจะเป็นยังไงหากตัดสินใจที่จะรักกันทั้งๆที่เขาก็ไม่เคยบอกสักคำว่าจะรับรักผม

ที่ผ่านมาต่อให้ปฏิกิริยาที่เขามีให้ผมมันจะมากกว่าที่มีให้คนอื่นแต่มันก็ไม่เคยเกินไปกว่า “เพื่อน” เลยไม่ใช่หรือไง ทำไมผมไม่เคยคิดถึงความจริงข้อนี้

ว่าบางที...อนาคตที่เขาจะต้องเจ็บปวดเพราะคำโกหกของผม...มันอาจจะไม่เกิดขึ้นเลยก็ได้

นัยน์ตาสีทองได้แต่มองเขาเดินผ่านหน้าไปด้วยไม่อาจจะฉุดรั้งอะไรได้

แม้แต่คำว่าเพื่อน...ผมอาจจะเรียกคืนมาอีกไม่ได้ด้วยซ้ำ

“ ไรเนอร์...”  เป็นเสียงของเบลทรูทที่ทำให้ผมยอมละสายตาที่ทอดมองตามแผ่นหลังของเขาไป

“ ฉัน...มีเรื่องจะคุยด้วย...มา...ด้วยกันหน่อย...”   ผมเพียงแค่พยักหน้าก่อนจะเดินตามร่างที่สูงกว่าผมไปยังด้านหลังโรงเก็บแป้งและวัตถุดิบทำอาหาร

“ มีอะไรล่ะเบลทรูท?”  ผมมองใบหน้าที่ดูอึกๆอักๆของคนที่เป็นทั้งเพื่อนสนิททั้งสหายร่วมรบ...หมอนี่ที่จริงแล้วเก่งพอๆกับผม ขาดก็แต่ความมั่นใจ ไม่งั้นคงเป็นที่ถูกใจของสาวๆมากกว่านี้แน่ๆ

“ คือ...ชั้นก็รู้ว่านี่เป็นเรื่องส่วนตัวของนาย...แต่ชั้นก็อยากจะเตือนนาย...ในฐานะเพื่อน...ว่านายควรจะ...เอ่อ....ควรจะ....”   เสียงของเบลทรูทแผ่วหายไปอย่างที่เจ้าตัวคงไม่มั่นใจว่าจะพูดมันออกมาดีไหม แต่ดูจากท่าทางอ้ำๆอึ้งๆของอีกฝ่ายแล้วผมก็พอจะเดาได้ว่าเบลทรูทต้องการจะเตือนผมเรื่องอะไร...คงจะเป็นเรื่องที่ผมเริ่มจะลืมไปว่าหน้าที่ของผมคือการเป็นนักรบ...ไม่ใช่ทหาร

“ เข้าใจแล้ว....ขอบใจนะที่ช่วยย้ำเตือนให้ชั้นรู้ว่าหน้าที่ของชั้นคืออะไร”  ผมพยักหน้าให้ด้วยรอยยิ้มจางๆแต่อีกฝ่ายกลับส่ายหน้าก่อนจะเริ่มพูดจาติดๆขัดๆต่อไปเพราะเหมือนเรื่องที่ต้องการจะเตือนมันไม่ใช่เรื่องนี้

“ นั่นมันก็ใช่...แต่เรื่องที่ฉันอยากจะบอกนาย......คือเรื่องของ....เอเลน....”   ผมได้นิ่งค้าง ร่างทั้งร่างรู้สึกชาวาบ...

“ นายรู้...?”  แต่ก็อาจจะไม่แปลกที่เบลทรูทจะรู้เรื่องระหว่างผมกับเอเลน ในเมื่อหมอนี่เป็นเพื่อนสนิทที่ตัวแทบจะติดกับผม

“ ........”  เบลทรูทพยักหน้าให้และหลังจากที่ต่างฝ่ายต่างเงียบไป ร่างสูงยาวก็ถอนหายใจราวกับตัดสินใจที่จะพูดออกมาจนได้

“ คือ...ชั้นไม่คิดว่าการที่นายจะรักใครสักคนจะเป็นเรื่องไม่ดีหรอกนะไรเนอร์...แต่ว่า...กับเอเลน...นายเองก็น่าจะรู้ใช่ไหมว่าในอนาคตมันจะเป็นยังไง...ต่อให้เราทำหน้าที่ลุล่วงและได้รับอนุญาตให้พาคนที่เรารักเข้าไปอยู่ใน “บ้านเกิด” แต่นายคิดหรอว่าอย่างเอเลน...จะยอมไปกับเราดีๆ....จะยอม.......”   ......จะยอมให้อภัยพวกเราหรอ....นั่นคือสิ่งที่เบลทรูทคงอยากจะพูดออกมาแต่ก็เลือกที่จะเงียบไปเพราะต้องการจะรักษาน้ำใจผม

ผมได้แต่ทิ้งตัวพิงผนังไม้ก่อนจะเงยหน้ามองท้องฟ้ายามราตรี...สิ่งที่เบลทรูทพูดมามันถูกต้องทุกอย่าง...และใช่ว่าผมจะไม่รู้ตัว

แต่ก็แค่ทำเป็นมองข้ามมันไป...

ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ...ที่นักรบหมายเลขหนึ่งซึ่งถูกคัดมาจากคนนับพันเพื่อให้มาปฏิบัติภาระกิจในครั้งนี้ยอมปล่อยให้สิ่งที่เรียกว่าหัวใจขึ้นมาอยู่เหนือหน้าที่

“ อืม...เข้าใจแล้วละเบลทรูท...ขอบใจนะที่เตือน...”   น้ำเสียงลอยๆเอ่ยออกไปจากใบหน้าของผม....คงถึงเวลาแล้ว...ที่ผมคงต้องตัดใจจากเขาอย่างจริงจังสักที

แต่ก็นั่นแหละ...บางทีเบลทรูทอาจจะไม่ต้องกังวลอะไรเลยก็ได้...เพราะคงเป็นเอเลนเอง...ที่ปฏิเสธผม












เป็นเรื่องธรรมดาเมื่อเวลาเด็กผู้ชายมาอยู่รวมตัวกัน...กับการพูดถึงเรื่องอย่างว่า


ผมก้าวขาเข้าไปในห้องพักที่มีเตียงสองชั้นตั้งเรียงรายพลางเช็ดหัวตัวเองด้วยผ้าขนหนู ผมคงจะเป็นกลุ่มสุดท้ายที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จ พวกที่อาบก่อนหน้าจึงนอนแผ่หลาพักผ่อนจากการฝึกหนักมาทั้งวันกันไปบ้างแล้ว

แต่ก็ดูเหมือนจะมีบางกลุ่มที่กำลังสุมหัวมุงดูอะไรบางอย่าง...

ผมได้แต่หัวเราะในลำคอพลางส่ายหน้าน้อยๆ เสียงพากย์ที่ดังมาจากกลางฝูงชนนั่นมันก็ทำให้ผมรู้แล้วละว่าสิ่งที่เจ้าพวกนั้นแอบดูอยู่คือหนังสืออย่างว่าซึ่งถือว่าค่อนข้างจะต้องห้ามในกองฝึกนี่น่ะนะ แต่มันก็ช่วยไม่ได้...ในเมื่อพวกผมเป็นผู้ชาย...เรื่องแบบนี้มันก็คงต้องเรียนรู้กันเอาไว้บ้าง

ผมยังคงเดินเช็ดหัวต่อไปโดยไม่ได้เข้าไปดู สองขาไปหยุดอยู่ที่ขอบหน้าต่างก่อนจะพิงมันเอาไว้แล้วยืนเช็ดหยดน้ำที่ไหลลงมาจากเส้นผมสั้นสีทอง แสงจันทร์ที่ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาทาบทับลงบนตัวผมที่ยังคงก้มหัวเพื่อขยี้เส้นผมโดยไม่ได้สนใจเงาร่างสูงใหญ่ของตัวเองที่สาดลงไปกระทบพื้น...ไม่ได้สนใจ...ว่าจะมีสายตาของใครจับจ้องมองอยู่

และกว่าจะรู้ตัว...ก็เมื่อเส้นผมเหลือเพียงความชื้น...

ในขณะที่กำลังเงยหน้าขึ้นมา...นัยน์ตาสีทองของผมก็สบประสานกับนัยน์ตาสีมรกตของเขาเข้าอย่างจัง

ใบหน้ามนรีบสะบัดหนี...ดูเหมือนเขากับอาร์มินจะเพิ่งกลับเข้ามาในหอพักชายหลังจากโดนมิคาสะลากไปเทศน์เรื่องหมกเสื้อเอาไว้จนราขึ้น

ผมทอดสายตามองตามร่างกายโปร่งบางของเขาไป ริมฝีปากขยับยิ้มน้อยๆอย่างนึกสมเพชตัวเอง...ไม่ต้องพูดถึงในฐานะนักรบ...เอาแค่ในกองทหารฝึกหัดนี้ตัวผมก็ถือได้ว่าเป็นTOPของผู้ชายทั้งหมด...ไม่ว่าจะเรื่องอะไรผมก็ทำได้ดีกว่าใคร...แต่กับผู้ชายตัวเล็กๆอย่างเขา...ผมกลับจัดการอะไรไม่ได้เลย



เสียงอื้ออึงที่ดังมาจากมุมห้องทำให้ผมหลุดออกมาจากความคิดของตัวเองและไม่ว่าใครที่เข้ามาเห็นกลุ่มที่มุมห้องนั่นก็คงต้องสงสัยจนเดินไปดูทั้งนั้นแหละว่าพวกนั้นกำลังทำอะไรอยู่?...เขาเองก็เช่นกัน

ร่างโปร่งบางเดินเข้าไปดูโดยที่ผมก็ห้ามไม่ทัน...ถึงแม้ผมจะรู้ว่าด้วยอายุของเขาก็น่าจะถึงเวลาที่ต้องเรียนรู้ได้แล้ว แต่อีกใจก็อยากจะเก็บความไร้เดียงสานี้เอาไว้เหมือนกันแหะ

อยากจะเป็นคนสอนให้เขา...

แต่มันคงจะเป็นไปไม่ได้...


ผมยังคงยืนพิงขอบหน้าต่างเฝ้ามองเขาอยู่แบบนั้น ลมอุ่นๆจากฮีทเตอร์เป่าเส้นผมสีทองตัดสั้นให้แห้งสนิทจนแม้แต่ผ้าขนหนูที่พาดคออยู่ก็ลดความชื้นลง

ยิ่งดึกเสียงคึกคักก็ยิ่งเพิ่มขึ้น...ไอ้พวกที่มุงดูอยู่น่ะไม่ค่อยน่าห่วงเท่าไหร่หรอกเพราะคงจะเคยมีประสบการณ์มาบ้างไม่งั้นคงจะดูของแบบนั้นด้วยใบหน้าไร้ซึ่งความอายไม่ได้....แต่กับเขาแล้วดูเหมือนมันจะไม่ใช่...

ร่างโปร่งบางมีอาการแปลกๆอย่างที่ผมรู้สึกได้ในเมื่อมองเขาอยู่ตลอดเวลา….ใบหน้ามนแดงระเรื่อแล้วก็เหมือนจะมีเหงื่อออก? ท่าทางก็กระสับกระส่ายลุกลี้ลุกลน...อย่าบอกนะว่า........

ถึงจะเศร้าใจนิดๆที่เขามีปฏิกิริยากับร่างกายของผู้หญิง แต่ในเมื่อเขาเองก็เป็นผู้ชายเหมือนกันแถมยังไร้เดียงสาแบบนั้นอีกมันก็อาจจะไม่น่าแปลกใจ

ผมยกมือขึ้นมาบีบหัวคิ้วก่อนจะตัดสินใจเดินตรงไปหาเขา...ปล่อยไว้แบบนี้ไม่ดีแน่...อย่างเขาคงไม่รู้จะจัดการกับมันยังไง

“ เอ๊ะ?!”  เขาอุทานออกมาเบาๆเมื่อมือของผมจับลงไปบนข้อมือบางก่อนจะออกแรงลากให้เขาเดินตามมา...เรื่องเขาจะปฏิเสธผมหรือไม่เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน แต่ตอนนี้คงต้อง...

“ ไรเนอร์? จะไปไหน?!  ร่างกายของเขากำลังสั่นน้อยๆอย่างที่ผมรู้สึกได้...ดูเหมือนความต้องการมันจะเกิดขึ้นมาโดยที่เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร

“ เงียบก่อนเอเลน”  เขาเดินตามผมมาด้วยท่าทางที่เหมือนจะไม่ไหว ลมหายใจของเขาติดขัดอย่างเห็นได้ชัด

“ โทษทีนะ”  ผมบอกเขาเบาๆก่อนจะอุ้มเขาขึ้นมาด้วยท่าทางสบายๆ ยิ่งใบหน้าของเราอยู่ใกล้กัน ยิ่งเขาประสานสายตากับผม ใบหน้ามนนั่นก็ยิ่งแดงเถือก

ริมฝีปากสั่นๆนั่นคงอยากจะพูดอะไรแต่ตอนนี้ความรู้สึกที่เขาไม่เข้าใจคงกำลังเล่นงานเขาอยู่ที่ช่วงล่าง สองแขนบางจึงทำได้แค่ตวัดมากอดคอผมไว้ไม่ให้ตกลงไปก่อนจะหลับตาขมวดคิ้วมุ่น

“ ฮ้า...ฮ้า....”   เสียงหอบหายใจที่ดังอยู่ใกล้ๆมีแต่จะทำให้ผมต้องกัดฟันอุ้มเขาไปจนถึงโรงเก็บวัตถุดิบที่มีเพียงแสงจันทราส่องลอดรอยแตกของฝาไม้เข้ามาเท่านั้น

ผมวางเขาลงข้างกระสอบแป้งสูงท่วมหัวก่อนจะจัดให้เขานั่งพิงมันเอาไว้...ใบหน้ามนยามนี้มันช่างเซ็กซี่เสียจนผมต้องกัดริมฝีปากห้ามอารมณ์ของตัวเอง....ทำให้เขาเท่านั้น....นั่นคือคำที่ผมต้องท่องให้ขึ้นใจ

“ ทำอะไรของนายน่ะ? หยุดนะไรเนอร์! ฮึก...”   เขาพยายามจะห้ามมือของผมที่ล้วงเข้าไปในกางเกงนอนของเขา ใบหน้าที่ดูทรมานสะดุ้งเฮือกเมื่อผมตัดสินใจดึงกางเกงลงไปจนส่วนอ่อนไหวของเขาเป็นอิสระและมันก็ขยายตัวจนส่วนหัวเริ่มเปียกแฉะอย่างที่คิดจริงๆ

“ ยะ อย่ามองนะ...ฮะ....หะ ห้ามจับ...นะ...ไรเนอร์..อ๊ะ!..ตรงนั้น....อย่า”   ผมไม่ได้สนใจคำพูดตะกุกตะกักจากอารมณ์ที่กำลังร้อนระอุของเขา มือยื่นออกไปกอบกุมแกนกลางลำตัวของเขาเอาไว้ให้ใบหน้ามนยิ่งดูทรมานหนักกว่าเดิม

“ แล้วนายรู้หรือไงเอเลน...ว่าต้องทำยังไงกับมันน่ะ?...นี่มันเป็นความต้องการพื้นฐานของผู้ชาย ไม่ใช่เรื่องน่าอายหรอก”   ผมกระซิบบอกที่ใบหูแดงระเรื่อ ฝ่ามือเริ่มขยับรูดขึ้นลง

“ ฮะ...อื้อ!....”  สองมือของเขาเกาะลงมาที่แขนของผม ใบหน้ามนซุกอยู่ที่แผงอกก่อนจะปล่อยเสียงครางครือในลำคอออกมาเมื่อผมยังคงขยับมือต่อไป

“ ฮ้า...อ่ะ...ไร...เนอร์....”   แค่เสียงครางของเขามันก็ทำให้ผมแทบแย่แล้ว ยิ่งได้ยินชื่อของตัวเองออกมาจากปากของเขาในเวลาแบบนี้........มวลมนุษยชาติกำลังลงโทษผมอยู่ใช่ไหม?

ร่างกายของเขาหอบหนักเช่นเดียวกับลมหายใจที่เป่ารดแผงอกของผมมันก็กำลังถี่ขึ้นเรื่อยๆ ผมก้มจรดริมฝีปากลงไปบนเส้นผมสีน้ำตาลของเขาอย่างปลอบโยนทั้งๆที่ฝ่ามือยังคงล่อลวงให้เขาไปถึงสวรรค์

“ ฮะ อ๊า!!”   เสียงครางสูงดังขึ้นมาเมื่อความต้องการพุ่งถึงจุดสูงสุด น้ำรักสีขาวขุ่นพุ่งทะลักออกมาเต็มฝ่ามือของผม ผมได้แต่มองร่างที่สั่นเทาของเขาด้วยความเอ็นดู....นี่ก็ครั้งแรกของเขา...ต่อให้หลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น ผมก็ยังดีใจที่ได้เห็นใบหน้าแบบนี้ของเขาเป็นคนแรก

“ ฮ้า...ฮ้า....”  เขาทิ้งตัวลงไปนั่งหอบพิงกระสอบแป้ง ริมฝีปากที่เผยอออกเพื่อหายใจนั่นมันยิ่งกว่าการเชิญชวน ผมจึงโน้มตัวลงไปอย่างห้ามใจไม่อยู่

ริมฝีปากแนบกลีบปากนุ่มก่อนจะสอดลิ้นเข้าไป...สำนึกในความผิดชอบชั่วดีรวมไปถึงหน้าที่ดูเหมือนจะถูกรสจูบที่หอมหวานดูดกลืนหายไปจนหมด เรียวลิ้นไล่ต้อนลิ้นร้อนที่ไร้เดียงสาของเขาจนแทบหมดลมหายใจ ก่อนจะยอมละออกมาด้วยความเชื่องช้าอย่างนึกเสียดาย

เพราะนี่อาจจะเป็นจูบครั้งสุดท้ายที่เขาจะยอมให้ผมทำ...


“ ไร....เนอร์....แฮ่ก...แฮ่ก......”   นัยน์ตาสีมรกตเชื่อมปรอยมองมายังผม ใบหน้าที่อ้อนโดยไม่รู้ตัวนี้มันทำให้ผมต้องพยายามระงับอารมณ์อย่างร้ายกาจที่สุด

“ มะ มันแปลก....แฮ่ก...แฮ่ก....”  เขายังคงพูดออกมาทั้งๆที่ยังหอบจนตัวโยน สองมือบางจับอยู่ที่ท่อนแขนแข็งแรงของผม....บางที...ถ้าเขาจะรังเกียจ ถ้าเขาจะโกรธจะโมโหกับสิ่งที่ผมทำแล้วตะโกนโวยวายไม่ก็ด่าผมออกมาเลยมันอาจจะดีกว่านี้....มันน่าจะดี...กว่าสิ่งที่เขากำลังพูดออกมา

“ ที่จริง...ตอนที่เห็นรูปของผู้หญิงในหนังสือนั่นชั้นไม่ได้รู้สึกอะไรเลย...แต่พอ...จู่ๆภาพร่างกายของนายแว่บเข้ามาในหัว...มันกลับ...ร้อน...แล้วก็...เป็นแบบนี้....”

เหมือนจะได้ยินเสียงเส้นด้ายแห่งความอดทนขาดผึงอยู่ในหัว...เขาทำตัวน่ารักแบบนี้แล้วผมจะไปทนไหวได้ยังไง?!

สองมือจับไหล่ของเขาเอาไว้มั่นก่อนจะก้มลงไปจูบเขาโดยไม่สนใจอะไรอีกต่อไปแล้ว

เรียวลิ้นสอดเข้าไปครั้งแล้วครั้งเล่า จากจูบที่หอมหวานกลับค่อยๆเร่าร้อนเรียกร้องขึ้นเรื่อยๆ.....


ไม่พอ.....ผมรู้ตัวดีว่าจูบแค่นี้มันไม่พอ...


ผมยกตัวเขาให้ขึ้นไปนั่งอยู่บนกระสอบแป้งกองที่สูงแค่เอวก่อนจะกดไหล่ให้เขานอนราบลงไป กางเกงนอนที่ค้างๆคาๆอยู่บนต้นขาถูกดึงถอดออกไปโดยที่เจ้าของมันยังไม่ทันได้คัดค้าน ริมฝีปากยังคงตามไปกดแนบริมฝีปากสีสดที่บัดนี้เริ่มจะบอบช้ำ เสียงลมหายใจสอดประสานจนไม่รู้ว่าของใครเป็นของใคร ฝ่ามือของผมปลุกเร้าส่วนอ่อนไหวกลางร่างกายของเขาขึ้นมาอีกครั้ง

ผมจู่โจมเขาราวกับสัตว์ป่าหิวกระหาย ทั้งๆที่ตั้งใจว่าจะไม่ทำอะไรเขาจนกว่าเขาจะยอมผมด้วยความเต็มใจ แต่ดูเหมือนอุดมคตินั้นมันจะใช้ไม่ได้กับ เอเลน เยเกอร์ เจ้าคนที่ทำให้คนที่ควบคุมตัวเองได้ดีอย่างผมต้องตบะแตกมาแล้วไม่รู้กี่รอบ!

มือแข็งแรงเลิกเสื้อของเขาขึ้นไปก่อนจะลูบไล้ผิวเนื้อที่อยากสัมผัสมันมานานแล้ว ถึงมันจะกระชับตึงแน่นและไม่ได้นุ่มนวลเหมือนผิวของผู้หญิงแต่มันก็ทำให้ผมรู้สึกดีอย่างที่คิดไว้จริงๆ  ผมละริมฝีปากออกมาจากปากของเขาที่ทำได้แค่อ้ากว้างอย่างต้องการกอบโกยอากาศเข้าไป นัยน์ตาคลอมองมาที่ผมด้วยความสงสัยนั้นมันทำให้นึกอยากจะรังแกให้ร้องไห้เลยจริงๆ ผมก้มลงไปคลอเคลียยอดอกสีชมพูด้วยปลายลิ้นทำเอาร่างกายที่ไร้เดียงสาถึงกับบิดเร่า เขาถูกผมปลุกเล้าทั้งข้างบนและข้างล่างไปพร้อมๆกันจนไม่ได้สนใจว่าฝ่ามือที่ลูบบั้นท้ายของเขาอยู่มันกำลังขยับไปที่ช่องทางด้านหลังอย่างเชื่องช้า  เรียวขาขาวถูกจับแยกออกจากกันก่อนที่ผมจะค่อยๆสอดปลายนิ้วซึ่งชุ่มโชกไปด้วยของของเขาเข้าไป

“ อึก...อื้อ!!”   ถึงจะเคลิบเคลิ้มจากการเล้าโลมของผมแต่ช่องทางที่ยังบริสุทธิ์ก็รับรู้ได้ทันทีที่มีสิ่งแปลกปลอมถูกใส่เข้าไป ร่างกายที่สั่นระริกของเขาจึงสะดุ้งเฮือกก่อนจะมองมาที่ผมด้วยความสงสัยระคนสับสน

“ อ๊า!”   ริมฝีปากแดงช้ำเหมือนอยากจะเอ่ยถามแต่เสียงที่เปล่งออกมาก็ถูกเปลี่ยนเป็นเสียงครางเมื่อนิ้วที่ถูกสอดเข้าไปได้มันเริ่มขยับไปพร้อมๆกับฝ่ามือที่กอบกุมส่วนอ่อนไหวของเขาอยู่ ใบหน้ามนได้แต่สะบัดเงยขึ้น เส้นผมสีน้ำตาลละอยู่บนกระสอบแป้ง ร่างกายที่ดูทรมานและต้องการจะปลดปล่อยบิดไปมา และเมื่อสองนิ้วของผมเริ่มรู้สึกว่าผนังภายในที่อ่อนนุ่มนั้นมันเริ่มบีบรัดผมน้อยลงจนขยับได้สะดวก...ผมก็ถอนมันออกมาแล้วเอาสิ่งที่ใหญ่กว่าหลายเท่าไปจ่อไว้ที่ปากช่องทางนั้นแทน

“ นะ นี่มันอะไรน่ะ?...ไรเนอร์?...นาย...กำลังทำอะไร...อ๊ะ!   นัยน์ตาสีมรกตเอ่อคลอเบิกกว้างเมื่อมองเห็นแกนกายของผม ริมฝีปากสีสดละล่ำละลักถามออกมาด้วยสีหน้าทั้งกลัวทั้งกังวล ผมโน้มตัวลงไปกระซิบที่ข้างใบหูเขา

“ มันเรียกว่าเซ็กส์...เอเลน”   พร้อมๆกับที่แกนกายค่อยๆสอดใส่เข้าไปในช่องทางคับแน่นที่แทบจะฉีกขาดเพราะความปรารถนามากมายที่ผมมีต่อเขา ร่างโปร่งบางกระตุกเฮือกแต่สองแขนของผมก็ยังโอบรั้งต้นขาของเขาเอาไว้ไม่ให้ขยับหนีซ้ำยังดึงมันเข้ามาให้ข้างล่างสอดใส่เข้าไปได้จนหมด

“ อื้อ!...เจ็บ!!!....ไรเนอร์...พอที.....”  เขาเอ่ยร้องขอด้วยน้ำเสียงเว้าวอนซึ่งผมได้แต่กัดฟัน...มาถึงขั้นนี้แล้วผมคงจะถอยไม่ได้....ต่อให้น้ำตาของเขาจะไหลลงมาตามสองแก้มเนียนใส...แต่ถ้าผมถอนกายออกไปตอนนี้เขาก็จะรับรู้แค่ความเจ็บปวดจากแผลฉีกขาดเท่านั้น

“ เอเลน....ผ่อนคลายหน่อยนะ...ฉันจะไม่ขยับจนกว่านายจะโอเค...นะ”   ผมนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น ฝ่ามือลูบลงไปบนไรผมสีน้ำตาลชื้นเหงื่ออย่างต้องการปลอบประโลม...ผมอยากทำให้เขารู้สึกดีแทนที่จะมีแต่ความเจ็บปวด...ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะบีบรัดผมจนแทบคลั่งแล้วก็เถอะ...ผมต้องทน

“ ฮ้า...ฮ้า....ไรเนอร์.....”   ผมเริ่มปลุกเล้าให้เขาคล้อยตามด้วยความนุ่มนวล ริมฝีปากกดจูบคลอเคลียอยู่ที่ซอกคอเช่นเดียวกับฝ่ามือที่ขยับสัมผัสแกนกายของเขาอย่างแผ่วเบาจนกระทั่งสองแขนบางเอื้อมมาโอบรอบคอของผมอย่างเผลอไผล ข้างในเองก็เหมือนจะหายเกร็งไปได้บ้าง

“ อ๊า?!”  ผมจึงไม่รอช้าที่จะดึงความเป็นชายออกมาก่อนจะกระแทกกลับเข้าไปให้เขาถึงกับผวากอดผมเอาไว้แน่น...ทั้งเสียงคราง ทั้งกลิ่นเหงื่อ ทั้งสัมผัสของเขามันทำเอาผมทนไม่ไหวแล้ว

“ อ๊ะ ไรเนอร์?!”  ฝ่ามือขยับไปรองแผ่นหลังของเขาก่อนจะกอดกระชับเข้าหาลำตัวหนาของผม ร่างกายท่อนบนสัมผัสได้ถึงไออุ่นของกันและกัน ผมซบใบหน้าเอาไว้ที่ไหล่ของเขาทั้งๆที่ข้างล่างยังคงสอดใส่เข้าไปในตัวเขาไม่ยั้ง ได้ยินเสียงครางหวานหูอยู่ตลอดเวลาจนนึกว่าที่นี่คือสวรรค์

“ รู้สึกดีไหมเอเลน?...”  ผมถามออกไปทั้งลมหายใจหอบหนัก เขาไม่ได้ตอบอะไรกลับมามีเพียงเสียงครางเท่านั้นที่ใช้แทนคำยืนยันว่าเขาก็รู้สึกดีไม่แพ้กัน จากความเจ็บปวดค่อยๆถูกทำให้ลืมไปด้วยความสุขสม

“ ห๊ะ อ้า!!!”   จังหวะที่เร่งเร้าจนถึงขีดสุดถูกกดกระแทกเข้าไปด้วยความหนักหน่วง ของของเขาพุ่งกระจายอยู่บนหน้าท้องของผมเช่นเดียวกับของของผมที่แผ่นซ่านอยู่ในร่างกายเขาจนบางส่วนที่เขารับเอาไว้ไม่หมดก็ล้นทะลักแล้วไหลลงมาตามเรียวขาจนผมต้องหยิบกางเกงนอนของเขามาซับมันเอาไว้ไม่ให้ไหลลงกระสอบแป้ง

ร่างโปร่งบางหอบจนตัวโยนก่อนจะโงนเงนไปมา นัยน์ตาสีมรกตหรี่ปรือก่อนจะค่อยๆปิดลงช้าๆด้วยความเหนื่อยอ่อน...และเพราะแบบนั้นมันเลยทำให้ผมไม่รู้...ว่าจากนี้ไปเขาจะเอายังไงกับผม...

หลังจากลมหายใจเข้าที่เข้าทางผมก็ได้แต่หันไปมองใบหน้าหลับปุ๋ยของคนที่หลับซุกตัวบนพื้นข้างๆ ผมเอาเขาลงมาจากกระสอบแป้งก่อนจะนั่งพักเพื่อให้หัวใจที่เต้นแรงนี้สงบลง ฝ่ามือลูบเส้นผมสีน้ำตาลที่ยังชื้นเหงื่อก่อนจะไล่มองไปตามลาดไหล่เปลือยเปล่าซึ่งมีเพียงเสื้อตัวใหญ่ของผมคลุมลำตัวของเขาเอาไว้เท่านั้น  ใบหน้าได้แต่เงยมองท้องฟ้ายามราตรีจากหน้าต่างบานสูง....พรุ่งนี้....ระหว่างเรามันจะเป็นยังไงกันนะ?

ผมทำกับเขาแบบนี้แล้ว....ไม่มีทางที่จะตัดใจได้เลย....

ทุกอย่างมันถลำลึกจนเกินจะถอนตัวไปแล้ว...มีแต่ต้องเดินหน้าต่อไป....



ผมค่อยๆแต่งตัวให้เขาก่อนจะอุ้มแล้วเดินกลับห้องพักซึ่งปิดไฟนอนกันไปแล้ว

ร่างโปร่งบางถูกวางลงไปบนเตียงอย่างแผ่วเบา ผมห่มผ้าให้เขาก่อนจะลูบแก้มใสอย่างรักใคร่

ตัวผมมั่นใจมานานแล้ว แต่คงบอกได้ว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้คงจะทำให้เขารู้สึกตัว...ว่าความใกล้ชิดของพวกเรามันก้าวล้ำคำว่าเพื่อนไปไกลแล้ว









ทั้งๆที่เขาเป็นคนขี้เซายิ่งกว่าใครแต่เช้าที่สดใสในวันนี้เขากลับตื่นเป็นคนแรกซ้ำยังออกจากหอพักชายไปตั้งแต่ไก่ยังไม่ทันจะขัน

ผมยืนมองเตียงที่ว่างเปล่าของเขาอย่างรู้สึกปวดหนึบในใจ...ผมรู้ว่ามันเป็นเพราะอะไร...

เขาตั้งใจจะหลบหน้าผม...เขาคงไม่อยากเห็นหน้าผม...เขาถึงได้จงใจหนีผมไปแบบนี้....

ผมเงยหน้าก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆ...จะไม่ยอมปล่อยให้มันเป็นเพียงแค่ความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืน...ถึงจะเป็นแค่ข้ออ้างแต่ผมจะรับผิดชอบสิ่งที่ผมทำลงไป...ถึงเขาจะไม่รักผม...แต่อย่างน้อยก็ให้ผมได้ดูแลเขา...ได้เฝ้ามองเขามีชีวิตต่อไป


ผมตัดสินใจแล้วว่าผมจะพาเขาไปให้ได้...


แล้ววันนี้ทั้งวัน...เอเลน เยเกอร์ ก็ไม่แม้แต่จะสบตาผม หน้าก็ยังไม่มองด้วยซ้ำ...

ไม่ว่าจะในโรงอาหาร ไม่ว่าจะในห้องเรียน เขาก็หลบหน้าไปจนถึงขั้นเดินหนีผมที่แค่อยากจะเข้าไปถามว่าอาการเขาเป็นยังไงบ้าง ดูจากท่าเดินที่ไม่ปกติดีของเขามันก็ทำให้ผมรู้ว่าเขาน่าจะยังเจ็บอยู่

ยิ่งตอนจับคู่ฝึก เขาก็ยิ่งทำให้ผมรู้อย่างชัดเจนเมื่อจู่ๆวันนี้เขาก็หันไปจับคู่กับมิคาสะแทน...ทั้งๆที่ผ่านมาเขาไม่เคยจับคู่กับใครนอกจากผม....ในใจปวดแปลบทุกครั้งที่สายตาหันไปเห็นเขาเข้า...

เป็นเพราะเขา...ที่ทำให้ในหัวที่ควรจะคิดถึงแต่เรื่องภารกิจกลับเต็มไปด้วยเรื่องของเขา

เป็นเพราะเขา...เจ้ามนุษย์ตัวเล็กๆที่แสนจะอ่อนแอ...แต่ดันทำให้ยักษ์หลงรักจนสองมือที่คิดจะทำลายทุกอย่างที่นี่เริ่มจะมีแต่ความลังเล....


เป็นเพราะเขา....




บ่ายแก่ๆเป็นเวลาที่จะได้ขยับร่างกายอย่างจริงๆจังๆสักที ถึงแม้ว่าวันนี้จะไม่ใช่ชั่วโมงฝึกการใช้อุปกรณ์เคลื่อนย้ายสามมิติก็เถอะ

แต่การฝึกขี่ม้าของกองทหารทีมสำรวจนั้นก็น่าตื่นเต้นไม่แพ้กัน

ถึงจะยังไม่รู้ว่าในอนาคตจะได้ไปอยู่หน่วยไหน แต่ทหารทุกคนก็จำเป็นต้องฝึกให้เป็นทุกอย่าง...และม้าตัวใหญ่ที่วิ่งได้เร็วที่สุดในกำแพงแห่งนี้ก็นับว่าเป็นอีกงานที่หินน่าดู

ถึงมันจะเป็นม้าที่เชื่องและไม่หวาดกลัวต่อไททันแต่ด้วยความสูงใหญ่ของมันก็ทำให้กว่าจะปีนขึ้นไปขี่ได้ หลายๆคนก็ทุลักทุเลน่าดู

ผมเฝ้ามองเขาด้วยสายตาเป็นห่วง ปกติแล้วเขาจะเป็นคนที่มีร่างกายซึ่งขยับตัวได้ดีจึงไม่ค่อยมีปัญหากับม้าเท่าไหร่...แต่วันนี้...การที่ต้องก้าวขากระโดดคร่อมม้า...คงไม่ใช่อะไรที่ง่ายสำหรับเขาแน่ๆ

และทันทีที่เขาต้องอ้าขาเพื่อตวัดข้ามลำตัวสูงใหญ่นั่นไป ใบหน้ามนก็เหยเกพลางร้องครางน้อยๆ

“ เป็นอะไรมากไหมเอเลน?”   และคนที่ถามออกไปกลับกลายเป็นมิคาสะ...ทั้งๆที่ที่ตรงนั้นมันควรจะเป็นของผม..แต่ผมก็ทำได้แค่เฝ้ามองเขาอยู่ห่างๆ

“ ไม่เป็นไร...”   เขาตอบออกมาด้วยสีหน้าที่ยังไม่ค่อยจะดีนัก นัยน์ตาสีมรกตยังคงเต็มไปด้วยความกังวลและสับสน ผมรู้ดี...

และสาเหตุที่ทำให้ผมไม่สามารถจะเข้าไปใกล้เขาได้ในชั่วโมงนี้มันก็เป็นเพราะว่า...ม้านั้นมันจะรับรู้ได้ถึงจิตใจของคนที่ขี่มันอยู่...ยิ่งผมเข้าใกล้เขาจนเขาคิดมากแล้วอยากหนีมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งเสี่ยงต่อการที่จะถูกม้าสลัดให้หลุดลงมามากขึ้นเท่านั้น


ทว่า...


ถึงผมจะพยายามไม่เข้าไปใกล้เขา...แต่ก็ดูเหมือนจิตใจของเขาในวันนี้มันก็ไม่แน่วแน่เหมือนทุกที แล้วความสับสนนั้นมันก็กำลังส่งผ่านไปยังเจ้าม้าตัวสีน้ำตาลที่เขานั่งอยู่!


“ ฮี้!!!”  เสียงร้องดังหลังจากที่เขาเตะขาเข้าที่สีข้างของมันเบาๆ แต่แทนที่เจ้าม้าจะออกเดินมันกลับยกขาหน้าขึ้นมาด้วยท่าทางพยศ

“ เอเลน!!!”  ผมกับมิคาสะตะโกนขึ้นพร้อมกัน ดวงตาของทุกคนต่างมองภาพตรงหน้าอย่างตื่นตะลึง

ม้าสีน้ำตาลดีดตัวไปมาอย่างพยายามจะสลัดคนที่อยู่บนหลังมันให้ร่วงลงไป ผมมองภาพของเขาที่กอดคอม้าแน่นด้วยหัวใจที่หล่นวูบ ยิ่งเสียตะโกนเอ่ะอ่ะของคนที่ยืนอยู่รอบๆดังมากเท่าไหร่ม้าก็ยิ่งตกใจ จนในที่สุดมันก็วิ่งเตลิดหนีไป

“ เอเลน!!”  ผมตะโกนเรียกก่อนที่จะกระโดดคร่อมม้าของผมแล้วเตะขาให้มันทะยานตามม้าของเขาไป ม้าของมิคาสะวิ่งฮ่อตามมาแทบจะทันทีเหมือนกัน

“ เอเลน!! จับไว้แน่นๆนะ!!”   เพราะสภาพพื้นที่เป็นป่าทึบซึ่งเต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่ขวางทางอยู่เต็มไปหมด ผมถึงไม่สามารถจะตีขนาบข้างม้าของเขาแล้วคว้าตัวเขามาได้...เจ้าม้านั่นยังคงไม่มีทีท่าว่าจะหยุดพยศจนผมกับมิคาสะได้แต่กัดฟันกรอด นัยน์ตาสอดส่ายมองหาหนทางที่จะช่วยเขาด้วยใจที่เต้นระรัว...ต้องหาที่ที่โล่งกว่านี้หน่อย...

“ มิคาสะ! เธอวิ่งขนาบฝั่งนั้นแล้วช่วยกันต้อนมันไปที่ลานฝึกฟันไททัน!”  เขาตะโกนฝ่าอากาศที่ปะทะใบหน้าไม่หยุดหย่อนนั่นออกไป หญิงสาวพยักหน้าเข้าใจก่อนจะบังคับม้าให้วิ่งไปตามตำแหน่ง ฝุ่นตลบอบอวลไปพร้อมๆกับเสียงฝีเท้าม้าดังก้องไปทั่วป่า ถึงแม้ว่าจะทุลักทุเลเล็กน้อยแต่ผมกับมิคาสะก็พาเจ้าม้าพยศมาจนถึงลานฝึกที่มีแผ่นไม้ทันทันจำลองตั้งอยู่จนได้...ถ้าเป็นที่นี่ก็ยังโล่งพอที่ม้าของผมจะมีเวลาพอที่จะวิ่งไปขนาบข้างม้าของเขาได้โดยไม่ชนต้นไม้ไปเสียก่อน

“ เอเลน!!”  และผมก็ไม่รอช้า รีบบังคับม้าให้วิ่งไปข้างๆม้าของเขาทันที

“ เอเลน!! โดดมาทางนี้!!”  ผมตะโกนบอกเขาด้วยใบหน้าตื่นๆ หัวใจเต้นรุนแรงจนแทบจะทะลุออกมาจากอก เขาหันมามองผมทั้งๆที่ยังกอดคอม้าก่อนจะยื่นแขนมาให้

“ โดด!!”   ผมตะโกนออกไปพร้อมกับคว้ามือของเขาไว้ มืออีกข้างก็จำต้องปล่อยบังเหียนเพื่อตวัดรวบลำตัวของเขาให้โดดเข้าสู่อ้อมแขนของผมอย่างปลอดภัย

“ ไรเนอร์ระวัง!!”  ได้ยินเสียงมิคาสะตะโกนมาจากด้านหลังทำให้ผมหันไปมองข้างหน้า จึงได้รู้ว่าระยะที่คิดว่าพอกลับไม่พอ!!

“ ฮี้!!!!”   ม้าของผมโยกหลบโคนต้นไม้ใหญ่ได้อย่างฉิวเฉียด...ทว่า...ผมที่อยู่บนหลังมันและไม่มีมือจะจับบังเหียนทำให้ทั้งผมและคนในอ้อมแขนร่วงลงมาจากหลังม้าตัวใหญ่นั่นทันที

ชั่ววูบที่ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นในพริบตา ผมคว้าตัวเขามากอดเอาไว้แน่น มือกดหัวสีน้ำตาลให้ซุกอยู่ในแผงอกที่จะปกป้องเขาจนวินาทีสุดท้ายนี้เอาไว้


พลั่ก!!!


เสียงของหนักที่หล่นลงสู่พื้นดังก้องอยู่ทั่วทุกอณูของร่างกาย เช่นเดียวกับความเจ็บแปลบที่แล่นลิ่วอยู่ทั่วศีรษะที่คงจะไปกระแทกกับอะไรเข้า...ทุกอย่างมันถึงได้ขาวโพลนก่อนที่จะดับวูบไป....


“ ไรเนอร์?! ไรเนอร์!!!”   ได้ยินเสียงของเขาตะโกนอยู่ไกลๆ แต่สติของผมก็ไม่อาจจะคงไว้ได้อีก....


ทั้งๆที่ผมต้องดูแลตัวเองให้ดีแท้ๆเพราะไม่ว่าจะยังไงก็ต้องทำภารกิจให้สำเร็จลุล่วงไปให้ได้...แต่ผมกลับไม่ลังเลเลยที่จะช่วยเขาจนตัวเองต้องมาบาดเจ็บแบบนี้

เขา...ทำให้ความตั้งมั่นในหน้าที่ของผมสั่นคลอนขึ้นทุกที...ทุกที....

บางครั้ง....ผมก็ไม่อยากทำตามแผนต่อไป...ไม่อยากจะทำลายกำแพงแห่งนี้...ไม่อยากจะทำให้เขาเจ็บปวดไปมากกว่านี้....

ผมควรจะทำยังไงดี....








เปลือกตาที่หนักอึ้งค่อยๆขยับเปิดขึ้นทีละน้อย...แสงสว่างจ้าที่ผ่านเข้ามาในห้องสีขาวทำให้ผมรู้ว่าตอนนี้ตัวเองคงจะนอนอยู่ในห้องพยาบาล...

ความเจ็บปวดพุ่งจี๊ดมาจากบนหัวทันทีที่ตั้งใจจะลุกขึ้น ผมจึงต้องยกมือที่เต็มไปด้วยผ้าพันแผลขึ้นมาสัมผัสมันเบาๆก่อนจะรับรู้ว่าที่ขมับของผมก็มีผ้าพันแผลอยู่เช่นกัน....หัวแตกงั้นหรอ?

ที่จริงหากใช้พลังของไททันรักษา แผลก็จะหายไปในชั่วพริบตา...แต่พอเหลือบมองอะไรหนักๆที่ทับข้อมืออีกข้างของผมอยู่ ผมก็ล้มเลิกความคิดนั้นไปทันที

เขาหลับซบอยู่ข้างเตียงโดยที่มือของเขายังจับมือของผมเอาไว้....

รอยยิ้มปรากฏอยู่บนใบหน้าของผมอย่างห้ามไม่อยู่...ดีใจจนบอกไม่ถูก...

ผมเลื่อนฝ่ามืออีกข้างไปลูบแก้มของเขาเบาๆ แพขนตาที่แนบอยู่บนแก้มป่องสะกดให้ผมมองอย่างหลงใหล  ในหัวใจเต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ไม่ได้พบเจอมานานแล้ว...

และเพราะสัมผัสของผมทำให้นัยน์ตาของเขาค่อยๆกระพริบเปิดอย่างงัวเงีย

“ ไรเนอร์!!”  แต่หลังจากที่เขาเห็นว่าผมลืมตาขึ้นมาแล้ว ร่างโปร่งบางของเขาก็เด้งขึ้นมาจับตัวผมด้วยใบหน้าตื่นๆ

“ นายเป็นไงบ้าง?! เจ็บตรงไหนหรือเปล่า?!”  ผมหัวเราะน้อยๆกับท่าทางกังวลระคนห่วงใยที่เขามีให้ผม...ดีใจจัง...

“ ชั้นไม่เป็นไรแล้วเอเลน...แล้วนายล่ะ บาดเจ็บหรือเปล่า?”   ผมเอื้อมมือที่ยังอุ่นๆเพราะเขาจับมันเอาไว้ไปลูบแก้มใสของเขา เขาเพียงส่ายหน้าให้ก่อนที่เราทั้งคู่จะเงียบไป เพราะนึกขึ้นมาได้ว่าก่อนหน้าที่จะมีเรื่องม้าพยศ...พวกเรามีเรื่องอะไรกันอยู่...

ผมคงต้องพูดกับเขาให้รู้เรื่อง...ไม่เช่นนั้นความกังวลมันจะทำให้เขาเป็นอันตรายแบบในวันนี้อีก....

“.......เอเลน....”   เขาเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยนัยน์ตาสั่นไหวราวกับรู้ว่าผมกำลังจะพูดเรื่องอะไร

“ เรื่องที่ชั้นทำกับนายในคืนวันนั้น...ชั้นขอโทษ....”   นัยน์ตาสีมรกตเบิกขึ้นก่อนจะกลับไปเป็นปกติ เขาก้มหน้าลงไปเหมือนอยากจะพูดอะไรแต่ก็ไม่ยอมพูดออกมา

“ แต่ชั้นจะบอกนายเอาไว้...ว่าที่ชั้นทำลงไปมันเป็นความต้องการจากใจจริงของชั้น ไม่ได้ทำเพราะอารมณ์พาไปหรือไม่มีสติ...ชั้นรู้ตัวดีทุกอย่าง....”

“ เอเลน...นายไม่จำเป็นต้องรับความรู้สึกของชั้นก็ได้ จะมองว่าเราเป็นแค่เพื่อนกันเหมือนเดิมก็ได้...แต่ขอให้ชั้นได้อยู่ข้างๆนาย...เท่านั้นก็พอ....นะ...”   ผมพยายามสะกดน้ำเสียงของตัวเองไม่ให้เขารู้ว่าผมกำลังเจ็บแค่ไหน

“............”   เขายังคงไม่พูดอะไรและเอาแต่นั่งมองฝ่ามือของตัวเอง

“ อึก....”   จนกระทั่งผมขยับตัวลุกขึ้นนั่งและต้องร้องครางออกมาเพราะแผลบนหัว เขายื่นมือมาประคองผมอย่างกล้าๆกลัวๆแล้วนัยน์ตาสีมรกตที่ยังลังเลก็ดูเหมือนจะตัดสินใจได้ ริมฝีปากสีแดงถึงยอมพูดออกมา

“ ฉันก็แค่กำลัง...กลัว...”

“ กลัว?”   สำหรับเขาแล้ว...ความรักมีอะไรต้องกลัวด้วยหรือไง? ผมสบประสานสายตาเขาอย่างสงสัย

“ ก็นายบอกว่าเรื่องที่ทำกับชั้นมันเรียกว่าเซ็กส์ใช่ไหมล่ะ?!...แล้ว....คือ...ถ้ามนุษย์มีเซ็กส์กันมันก็จะมีเด็กใช่ไหมล่ะ?! ถะ ถ้าชั้นเกิดท้องขึ้นมา...อนาคตที่จะได้ออกไปฆ่าไททันมันก็ต้องจบอยู่แค่การเลี้ยงลูกอยู่บ้านใช่ไหมล่ะ?!...คิดว่าชั้นจะยอมได้หรอ?!

เรื่องที่เขาหลับหูหลับตาพูดมามีแต่จะทำให้ผมอึ้ง นัยน์ตาได้แต่มองหน้าเขาพลางกระพริบปริบๆก่อนที่มือจะยกขึ้นมากุมขมับแล้วหัวเราะออกมาด้วยความโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก...ผมไม่ได้ถูกเกลียด...แต่ที่เขาพยายามจะหนีผมเพราะว่าเขากลัวว่าจะท้องกับผม?....

อ้า....นายจะน่ารักเกินไปแล้วเอเลน!

ดูท่าว่าผมคงมีเรื่องอีกมากมายที่จะต้องสอนเขา....เริ่มจากความแตกต่างระหว่างร่างกายของผู้ชายกับผู้หญิงก่อนเลยแล้วกัน

ผมคงต้องบอกเขา...ว่าต่อให้เรามีอะไรกันทั้งวันทั้งคืน...เขาก็ไม่มีทางท้องป่องขึ้นมาได้หรอก

ผมพยายามกลั้นหัวเราะจนเขาหรี่ตามองมาด้วยความสงสัย เป็นเพราะเขาน่ารักเกินไปผมเลยอดใจไม่คว้าตัวเขามากอดไม่ไหว สองแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามจึงรวบเอวบางของคนที่ยืนอยู่ข้างเตียงเข้ามาหาแล้วซบหน้าลงไปที่หน้าท้องแบนเรียบ

“ เดี๋ยวสิไรเนอร์!”  มือบางพยายามดันร่างสูงใหญ่ของผมออก

“ หื๋ม?”   ผมเงยหน้ามองคนที่ยืนอยู่ข้างเตียงด้วยใบหน้าไม่ทุกข์ร้อน

“ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า...”

“ ทุกคนออกไปฝึกกันหมดแล้วไม่ใช่หรือไง? ขอให้ชั้นได้กอดนายแน่นๆทีได้ไหมเอเลน”

“ เอาไว้วันหลังก็ได้ไม่ใช่หรือไง? แผลนายก็ยังไม่หายดี...แล้วไหนจะ.............”  

สิ่งที่เขาพูดตามมาจะเป็นอะไรบ้างผมก็ไม่ได้รับรู้อีกเพราะนาฬิกาของผมมันหยุดลงตรงคำว่า “วันหลังก็ได้ไม่ใช่หรือไง” ที่ออกมาจากปากของเขา...

ผมยังมีวันหลังอยู่อีกงั้นหรอ?...ยังสามารถที่จะกอดเขา...ได้อีกงั้นหรอ?


“ เอเลน...ฟังชั้นหน่อยนะ...ชั้นมีเรื่องที่จะสารภาพกับนาย...”

“ หื๋อ? อะไรล่ะ?”

ผมรู้ว่าบรรยากาศของห้องพยาบาลมันไม่เหมาะแก่การบอกรักเลยสักนิด แต่ตอนนี้ผมก็อยากจะบอกกับเขามากที่สุด

“ ฟังนะเอเลน...”  มือยกขึ้นไปลูบแก้มใสก่อนจะไล่ไปยังใบหู เขามองมาที่ผมอย่างตั้งใจฟัง


“ ฉันรักนาย...เอเลน...”


แล้วใบหน้ามนก็แดงเถือกขึ้นมาทันที...ผมคิดว่าเขาน่าจะพอรู้อยู่แล้วจากการกระทำของผม...ว่าทั้งการจูบ ทั้งการมีอะไรกันมันเป็นเรื่องของคนรัก...แต่ผมก็อยากจะบอกให้ชัดเจนถึงความรู้สึกของผมที่มีต่อเขา

อยากจะบอก...ว่าผมรักเขา...รักเขามากแค่ไหน...

ก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้บอก...

“ แล้วนายล่ะ...รู้สึกยังไงกับฉัน?”  ริมฝีปากช่างเจรจาที่ปกติจะฉะฉานแต่เวลานี้กลับทำได้แค่อ้าปากพะงาบๆ สองแก้มยังคงแดงระเรื่ออย่างเขินอาย

“ ชะ...ชั้น...มะ  มะ  ไม่รู้...”   ถึงสิ่งที่เขาตอบกลับมาจะไม่ใช่ประโยคที่ผมอยากจะฟัง แต่จากปฏิกิริยาของเขา...คิดว่า...ผมก็น่าจะเข้าข้างตัวเองได้

“ ไม่เป็นไรเอเลน...ฉันรอได้...รอนายได้เสมอ...”   ผมยิ้มให้เขาก่อนจะดึงเอวบางเข้ามากอด...ผมจะไม่เร่งเร้าให้เขาบอกรักผม...แต่ผมจะค่อยๆกล่อมให้เขารักผมจนหมดตัวและหัวใจไปเอง


จะทำให้เขารักผม...ด้วยหัวใจที่ผมมี...


จะทำให้เขาบอกรัก...ด้วยคำว่ารักที่ผมจะมอบให้เขาทุกวัน...ทุกวัน...









.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.


To be Con.






อ่านคอมเม้นต์หนึ่ง(ของคุณแน๊ต)แล้วทำให้นึกขึ้นมาได้ว่า...ปกติเรามักจะเจอแต่พระเอกที่แสร้งทำตัวเป็นคนเลวทั้งๆที่จริงๆแล้วเป็นคนดี เรื่องไหนๆก็มักจะเป็นแบบนี้....ตรงข้าม....พระเอกที่ดีแสนดีแต่ที่จริงแล้วเป็นตัวการร้ายของเรื่องกลับไม่ค่อยมีให้เห็น......*[ ]*.....เหมือนพบสัจธรรมอะไรบางอย่าง ง๊ากกกก ขอบคุณมากค่ะ >////<

สำหรับฟิคเรื่องนี้ไรเนอร์ต้องต่อสู้กับความรู้สึกของตัวเองไปอีกนานเบย555 ทั้งความรู้สึกผิดในอดีตที่เคยทำไว้กับเอเลน แล้วก็รู้สึกผิดที่ต้องหลอกเอเลน แล้วก็เพราะความรักทำให้ความคิดเริ่มขัดแย้งกับหน้าที่ อารมณ์แบบดันไปหลงรักศัตรูซะได้อะไรประมาณนี้ ใจนึงก็อยากพาเอเลนไป แต่อีกใจก็ไม่อยากทำให้ความสุขนี้หายไปจนคิดจะละเลยต่อหน้าที่ไม่ยอมทำลายกำแพง อ๊ากกกกกกกกก แค่คิดว่าตรูจะต้องแต่งก็ปวดตับแบ้ว แง้~~~

แต่คิดว่าเรื่องมันน่าหวานๆน่ารักๆแบบนี้ไปจนกว่าวันนั้น(?)จะมาถึงละนะ...>[ ]<

ยะ ยังไงก็ฝากติดตามฟิคน้อยๆเรื่องนี้ด้วยนะก๊า >////< คือที่จริงแล้วคุณกวางชอบแต่งฉากหวานมดขึ้นแบบนี้มากๆเบยค่ะ >////< ถ้าไม่มีอนาคตอันโหดร้ายรออยู่ก็คงจะดี *กระซิก*


อ่า....คราวที่แล้วแปะ Numb ไปแล้ว ที่จริงยังมีอีกเพลงที่ฟังตอนแต่งเรื่องนี้ค่ะ





Now ; Trouble Maker

คือที่จริงรู้จักเพลงนี้เพราะ โคฟเวอร์แดนซ์รีเอค่ะ  แต่ดันเอามาฟังตอนแต่งฟิคเรื่องนี้ซะงั้น5555 คือ....อยากแต่งไรเอในเรื่องนี้ให้ดูเซะซี่ๆแบบเพลงนี้บ้างอ่ะฟฟฟฟฟฟฟฟ.....ปล่อยคุณกวางมันเพ้อไป....

ละ แล้วเจอกันตอนหน้านะก๊า ^ ^






6 ความคิดเห็น:

  1. เหมือนค้นพบสิ่งที่ตามหามาตลอดในชีวิต
    ไรเนอร์ เอเรนเป็นความฝันของหนู อ๊ากกกกกกกกกกก
    ขอบคุณค่ะพี่กวาง ต่อให้เลือดหมดตัวหนูก็ไม่เสียดายแล้ว #สงบ

    ตอบลบ
  2. อรั้ย!!! พี่กวางขา อยากจะบอกว่าประโยคท่อนท้าย ๆ นี่มันจี๊ดใจมาก "ผมจะไม่เร่งเร้าให้เขาบอกรักผม แต่ผมจะค่อย ๆ กล่อมให้เขารักผมจนหมดตัวและหัวใจไปเอง", "จะทำให้เขาบอกรัก ด้วยคำว่ารักที่ผมจะมอบให้เขา ทุกวัน ทุกวัน" อรั้ง!! อ่านแล้วกรี๊ดออกมาเป็นลมเลยอะ!! // เสียงดังไม่ได้ เดี๋ยวข้างห้องตื่น 55

    เอเลนแอบน่ารัดเบา ๆ นะ ตอนเห็นหนังสือแบบนั้น แล้วภาพไรเนอร์เข้ามาในหัวอะ ...คนอาร้ายยยยย แถมยังไร้เดียงสาอย่างคาดไม่ถึงอีก กลัวท้อง 555 เด็กหนอเด็ก น่ารักเกินไปไม่ไหวแล้ว ไรเนอร์ก็อบอุ่นมาก ถ้าไม่มีฟิคนี้หนุก็ยังคงคิดว่าสองคนนี้เป็นพี่ชายน้องสาว??กันเหมือนเดิม แต่พอมาอ่นเรื่องนี้แล้วมัน .... (((>_<)))

    ปล. พี่กวางขา... เหมือนเดิมนะ อยากเห็นไรเนอร์หึงมั่งอะ >0<

    ตอบลบ
  3. จากที่ติดค้างการอ่าน+เม้นท์เรื่องนี้ไว้ตั้งแต่คราวก่อนเพราะร่างกายมันไม่อำนวยพอ T _ T
    แถมพออ่านมาถึงช่วงทอล์คแล้วน้ำตาจะไหล ฮืออออ ดีใจที่ตัวเองเลือกอ่านอันนี้ก่อน

    ทุกครั้งที่ถูกกวางซามะพูดถึง คนบ้าคนนี้สงบสติ(?)ไม่เคยได้เลยค่ะ 555555
    ดีใจที่เรียงความ(?)ของเราสามารถทำให้กวางซามะได้อะไร(?)ไปบ้างนอกกจากความไม่เคยพูดจะรู้เรื่อง(?)ของเรา T _ T ฮา

    จริงๆมุมมองที่เราพูดไว้มันก็เป็นสัจธรรมที่ส่วนใหญ่มักจะเป็นแบบนั้นจริงๆล่ะนะคะ ถ้าสื่อออกมาในมุมที่พระเอกเลวร้ายซะเต็มประดา แต่ท้ายที่สุดกลับเป็นคนดีมากกว่าใคร แนวแบบนี้มันมักจะพาให้ฟินในตอนใกล้จบมากจริงจัง และพอเป็นแบบนั้นมันก็จะเกิดความรู้สึกที่ว่ามันเป็นเรื่องที่ดีจริงๆนะ(?) มันซึ้งมากเลย(?) ประทับใจพระเอกมาก

    และ….!!!! พอคิดแบบนี้แล้ว ก็พาให้กลัว(?)ฟิคเรื่องนี้ขึ้นมาอีกแล้วค่ะ 5555555555 เพราะในขณะที่ดำเนินเรื่องมาด้วยความหวานโฮกกกกกกกกกกกกกกกกกกกจนแทบจะดิ้นตาย(?)แบบนี้ แต่ลืมว่ามันไอ้ชนักอันใหญ่ที่ปักอยู่ที่หลังมันจะมาถูกดึง(?)ให้เลือดกระฉูดหมดตัวตาย(?)แล้วตอกเข้าไปใหม่(?)เอาตอนจบนี่นะ #นี่ฟิคสยองขวัญหรืออะไร 55555 เพราะอย่างนั้น ตอนจบคนบ้าอาจจะน้ำลายฟูมปากเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว(?) #เดี๋ยวๆหล่อน 5555555 ถึงตอนนั้นรบกวนเก็บซาก(?)เราด้วยนะคะ ถถถถถถถถถถ

    และยังคงยืนยันว่า กวางซามะสุดยอดมากกกกกกกกกกกกกกกกกก
    บอกตรงๆว่าไรเนอร์ไม่เคยหล่อขนาดนี้(?)มาก่อนนนนน แม่เจ้าาา บุคลิกไรเนอร์ดูบึกบึนสมชาย(?)ชาติทหาร(?)ก็จริงอยู่ แต่กวางซามะเขียนให้ไรเนอร์โคตรบุพการี(?)หล่อมากกกกกกกกกกกก ฮืออออออออออ ไม่ทนนนนนนนน T __ T หล่อมากจริงจังนะคะ จะหลงแบ้ววววว นี่ถ้าไม่ติดว่าฟิกเกอร์ท่านท่อนขา(?)กำลังจ้องมองมา(?) #คือคุณเอ็งสาระแนไปตั้งไว้ในจุดที่แม่มนั่งตรงไหนก็เหมือนว่ากำลังถูกจับตามอง(?)เองไม่ใช่หรือไง 55555 #ฟิกเกอร์หรือภาพโมนาลิซ่า(?)ฟ่ะวะค่ะ 55555 นั่นล่ะค่ะ ถ้าไม่ติดเรื่องนี้(?)เราคงจะต้องคลั่งไรเนอร์แบบสุดหูรูดเต็มตัวแหงๆ

    คือคลั่งไรเนอร์ฉากเช็ดผมมากกกกกกกกกกกกกกก แม่เจ้า เขียนยังไงได้หล่อขนาดเน้~~~~~ #บอกตรงๆว่า ณ จุดนี้ถ้าเป็นโคนี่(?) #เดี๋ยวๆหล่อน 55555555555555555555555555555 #โคนี่จะจำเป็นต้องเช็ดหัว(?)ไหมคะ #แล้วจะเอาโคนี่มาเสนอทำทองหยิบ(?)อะไรคะ #ปล่อยคนบ้าไปนะคะ 555555

    เค้าชอบฉากพ่อบึกบึนเช็ดผมจริงจังนะคะ แล้วไหนจะไปจบกับคนแอบมอง(?)กันที่กระสอบแป้ง(?)นั่นอีก ตายยยยยยยยยยยยยยยยย ตายยยอย่างเดียวววว ไม่ต้องทำอะไรแล้วววว อ่านวนนนนนนนน(?) 555555555555 โอ่ยยยยยยย รักฟิคกวางซามะแนวนี้มากนะคะ อาจจะเพราะไม่ได้เจอแนวนี้นาน(?) มันคนละแนวกับท่านท่อนขานี่เนอะ แต่ถ้าท่านท่อนขาเป็นแบบนี้ก็คงไม่ฟิน(?) ความรักเข้าใจยากจริงๆนะคะ (?) #ถอนหายใจ(?) #หล่อนจะถอนหายใจทำไม 55555 แล้วไหนจะมาหล่อเอาตอนฉากช่วยเอเลนจากม้าพยศอีก โอ่ยยยยยพ่อคุณจะหล่อไปไหน ฮืออออออ ชีวิตสับสน(?)คนไม่ดีทำตัวดีเกินไป(?)แย้ววววววววววววว

    และเหนือสิ่งอื่นใด เอเล๊นนนนนนนนนนนนนนนนนนนน!!!!!!!!!!!! เอเลนน่ารักมากกกกกกกกกกก คือจุดที่หลบหน้าด้วยเหตุผลนั้นมันแบบ โอ่ยยย อยากโดดกอดกวางซามะ!!!!!!!!!!!!!!!!! พลอตแบบนี้คิดได้ยังไง น่ารักมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก น่ารักมากจริงๆนะคะ ยิ่งออกมาจากปากเอเลนแล้วมันใช่!!!!(?) เอเลนเป็นแบบนั้นจริงๆง่า ยิ่งเพราะมาเจอคนที่อ่อนโยนใส่ ถึงได้มีเวลามาคิดมากแบบนี้(?)ใช่ม้ายยย #ตูก็พาดพิงไอ้คนโหดร้าย(?)ตลอด 555555

    อย่างที่เคยบอกไปว่าจะไม่คิดเดาฟิคเรื่องนี้ไปก่อน จะให้กวางซามะซัดมาโครมเดียว(?) เพราะงั้นยอมตายตอนจบ(?)กับฟิคเรื่องนี้เลยค่ะ 5555555555 คือถึงจะต้องน้ำลายฟูมปากด้วยความเจ็บปวดแค่ไหน แต่ทางระหว่างทาง(?)มันฟินขนาดนี้ เอาว่ะ(?) มันคุ้มค่า(?) โฮกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก เค้าเป็นกำลังใจให้กับฟิคเรื่องนี้นะคะ ถึงจะแรร์จะแปลก จะยังไงก็ตาม เค้าก็ยังอยากอ่านจนถึงตอนจบเลยค่ะ กวางซามะจะยืด(?)มากี่ตอนเค้าก็จะตาม(?)มาเรียงความ(?)แน่นอนนะคะ > _ <

    ปล. ถูกใจ Trouble maker (?) มันใช่!!!!!!!! #ใช่อะไรของหล่อน 555555
    ปล. อีกรอบ เหมือนจะเห็นคำแปลกๆแต่ถ้าเพราะเรามาอ่านตอนดึกใกล้เช้า(?)แบบนี้แล้วตาลายเอง ก็ข้ามผ่านตรงนี้ของเราไปนะคะ T _ T
    ------- “ มิคาสะ! เธอวิ่งขนาบฝั่งนั้นแล้วช่วยกันต้อนมันไปที่ลานฝึกฟันไททัน!” เขาตะโกนฝ่า--- ตรงนี้สรรพนามน่าจะเป็น ผมตะโกนฝ่า…..? หรือเปล่า? เพราะที่ผ่านมาไรเนอร์เป็นคนเล่าเรื่อง?
    ------ แต่ผมกับมิคาสะก็พาเจ้าม้าพยศมาจนถึงลานฝึกที่มีแผ่นไม้ทันทันจำลองตั้งอยู่จนได้----ตรงนี้….น่าจะเป็นแผ่นไม้ไททัน
    ปล.สุดท้าย ถ้าเราตาลายเอง ข้ามผ่านไปนะคะ ข้ามผ่านไป 55555

    ตอบลบ
  4. ...เอเลน ...ใสซื่อได้อีก...แต่ถ้าเอเลนท้องได้ก็ดีสิเจ้าคะ =w=(ความคิดช่วยร้ายลอยเต็มหัว)
    มาอัพต่ออีกเร็วๆนะเจ้าคะคุณกวาง

    ตอบลบ
  5. กลับมาอ่านอีกครั้งยังคิดถึงคู่นี้เหมือนเดิม555

    ตอบลบ
  6. โอ้มายยยก็อดดดดดดดดดดดดดดดดด😍😍😍😍

    ตอบลบ