Attack on Titan. S.Fic [Reiner x Eren] - beLIEve - : 02


Attack on Titan. S.Fic [Reiner x Eren]  - beLIEve - : 02

: Attack on Titan Fanfiction 
: Reiner x Eren
: Romance
: NC-17


คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชายหากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
     
      
         





ขึ้นชื่อว่ากองทหารคงจะไม่มีแม่บ้านมาคอยดูแลชีวิตประจำวันให้ ทั้งการทำความสะอาดอาคารที่พักและสถานที่ของกองฝึกพวกผมก็ล้วนแล้วแต่ต้องดูแลตัวเอง...นั่นรวมไปถึงการทำอาหารด้วย

ทุกๆอาทิตย์พวกเราจะแบ่งกลุ่มผลัดเวรกันทำกับข้าวเพื่อให้พอเลี้ยงคนทั้งกองฝึก ห้องครัวขนาดใหญ่จึงผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันใช้จนครบทุกคน

“ เอเลน...อย่าเดินหลับตาสิ”  เสียงและชื่อที่คุ้นหูดังออกมาจากปากของมิคาสะในขณะที่ผมกำลังยืนเตรียมแป้งสำหรับอบขนมปังอยู่ด้านในสุดของห้องครัวที่มีเตาอบรายล้อมจนแทบจะกลายเป็นห้องอีกห้องหนึ่ง มิคาสะเดินเข้ามาพร้อมๆกับเขาที่ยังหาวหวอด

“ ใครมันจะไปเดินหลับตาได้กันล่ะ! แล้ววันนี้....จะทำอะไร....ฮ้าว~~”  ริมฝีปากสีแดงอ้ากว้างอย่างไม่คิดจะมีมาดก่อนที่นัยน์ตาสีมรกตคู่โตจะเปิดอยู่แค่ครึ่งเดียวอย่างคนสะลึมสะลือ...เวลาตีห้าแบบนี้ก็นับว่ายังเช้าไปสำหรับเขาจริงๆนั่นแหละ

“ แมลงวันบินเข้าปากแล้ว...เวลาหาวต้องเอามือปิดปากด้วยสิเอเลน”  เขายังคงยืนขยี้ตาปล่อยให้มิคาสะจัดการใส่ผ้ากันเปื้อนให้ ถึงแม้ว่าผ้ากันเปื้อนที่ใช้จะเหมือนกันหมดทุกคนแต่ทำไมเวลามันอยู่บนร่างกายของเขาแล้วผมถึงได้รู้สึกว่ามันน่าดูกว่าผืนอื่นเป็นไหนๆ

ผมลอบมองทั้งสองคนอยู่ในห้องอบขนมปัง มิคาสะยืนอยู่หน้าเตาไฟในมือถือทัพพีคนหม้อซุปไปมา นับว่าเธอเป็นผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบเพราะแม้แต่เรื่องทำอาหารเธอก็ยังมีพรสวรรค์ จนบางครั้งผมก็นึกอยากจะปล่อยมือจากเอเลนเพื่อให้เขามีชีวิตแบบคนปกติ...มีครอบครัวที่อบอุ่นในแบบที่ผมคงมีให้เขาไม่ได้...


ไม่รู้กี่ครั้งที่ผมอยากจะตัดใจ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เคยทำได้เลย...


“ เอเลน...อย่าร้องไห้สิ ทำกับข้าวแค่นี้”  ผมละสายตามามองร่างโปร่งบางที่ยืนอยู่ใกล้ๆมิคาสะ มือบางข้างหนึ่งกำลังหั่นหอมหัวใหญ่ส่วนอีกข้างก็ยกขึ้นมาปาดน้ำตาปรอยๆ....คงจะโดนเจ้าผักกลิ่นฉุนนั่นเล่นงานเข้าสินะ

“ ฮึก...ร้องที่ไหน...ฮึก...กันล่ะยัยบ้า...นี่มัน....เป็นบททดสอบจากพระเจ้า...ถ้าแค่หัวเล็กๆแบบนี้ยังฆ่าไม่ได้ จะไปฆ่าหัวใหญ่ๆอย่างไททันได้ไง...ฮึก”   ........อย่าเอาหัวผมไปเปรียบกับหัวหอมจะได้ไหม.....ผมได้แต่มองดูเจ้าคนดื้อรั้นที่ยืนหั่นหอมหัวใหญ่ไปก็ร้องไห้ไปด้วยสายตาอ่อนใจ

“ พอเถอะเอเลน....เดี๋ยวชั้นทำเอง...ไปช่วยไรเนอร์อบขนมปังแทนก็แล้วกัน”  .....อ่า....คงต้องขอบคุณหอมหัวใหญ่นั่นสินะที่ทำให้อยู่ดีๆมิคาสะก็ยอมปล่อยให้เขาละไปจากสายตาของเธอได้

“ ให้ชั้นช่วยทำอะไรไรเนอร์?”  เขาเดินเข้ามาหาทั้งๆที่ยังปาดน้ำตา ปลายจมูกโด่งรั้นยังคงแดงระเรื่ออย่างน่าเอ็นดู

“ อืม...เอาแป้งที่พักไว้ตรงนั้นมาปั้นขึ้นรูปแล้วกัน”  ผมชี้ไปที่ก้อนแป้งผสมเรียบร้อยซึ่งถูกวางเอาไว้เพื่อรอให้ฟู...สิ่งที่เขาต้องทำก็แค่เอามันมาแบ่งเป็นก้อนๆแล้วกลึงให้พอเป็นรูปวงรีก่อนจะเอาเข้าเตาอบซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้าย

“ อื้ม”  เขาพยักหน้ารับก่อนจะเดินไปใกล้ๆเขียงไม้แผ่นเรียบ

“ เฮ้เอเลน...ล้างมือซะก่อนนะ ไม่งั้นเราคงได้กินขนมปังรสหอมหัวใหญ่กันแน่ๆ”   ผมเอ่ยแซวทั้งยังหัวเราะน้อยๆให้ใบหน้ามนบูดนิดๆ เขาเดินไปล้างมือตามที่ผมบอกก็จริงแต่แทนที่เขาจะเช็ดมันด้วยผ้าเช็ดมือที่แขวนอยู่ข้างๆอ่างล้างจาน เขากลับวางสองมือแปะลงมาบนเสื้อของผม

“ อ๊ะ?”  ผมยังไม่ทันจะอ้าปากห้ามเขาก็จัดการถูไถสองมือเปียกๆนั่นกับเสื้อผมเรียบร้อย

“ นี่แน่ะๆๆ ฮ่ะๆๆ”  ผมพยายามเบี่ยงตัวหลบแต่เขาก็ยังตามมาเช็ดอย่างกับกำลังแก้แค้นที่ผมแซวเขาเมื่อกี้ เสียงหัวเราะและรอยยิ้มของเขามันทำให้ผมยิ้มตามอย่างห้ามไม่ได้

“ ฮ่ะๆๆ พอแล้วน่า...เดี๋ยวขนมปังก็ฟูอืดกันพอดี”  ผมไล่เจ้าคนที่ยิ้มอย่างผู้ชนะให้กลับไปปั้นขนมปังต่อ

“ เอาแป้งโรยที่เขียงก่อนนะ มันจะได้ไม่ติด”

“ รู้แล้วน่า”  เขาบ่นออกมาอย่างรำคาญก่อนที่มือบางจะหยิบผงแป้งขนมปังในถ้วยมาโรยไปจนทั่วเขียงหน้าเรียบ รวมไปทั้งสองมือของเขาด้วย

ก้อนแป้งเหนียวหนึบถูกแงะออกมาจากชามที่ใช้ผสมก่อนจะวางลงไปบนเขียง เขาใช้มีดตัดแบ่งเป็นชิ้นเท่าๆกันก่อนจะลงมือกลึงให้เป็นรูปวงรี ดูจากท่าทางที่พอจะทำได้ทำให้ผมหันกลับมาสนใจแป้งที่ผมต้องผสมต่อไปในชามอีกใบที่อยู่ตรงหน้าอย่างวางใจ

แต่ผมเพิ่งรู้ว่าผมคิดผิดที่ปล่อยให้เขาอยู่กับก้อนขนมปังตามลำพังก็เมื่อเงยหน้าขึ้นไปอีกครั้งแล้วพบว่า...แทนที่มันจะเป็นขนมปังรูปวงรีอย่างที่มันควรจะเป็น...เอเลน เยเกอร์ กลับปั้นมันเป็นหัวไททันซะงั้น!

“ ทะ ทำอะไรของนายน่ะ”  ผมยืนอึ้งกับผลงานศิลปะของเขาด้วยริมฝีปากอ้าค้าง

“ นายไม่คิดหรอว่านี่เป็นวิธีการที่ดีที่จะทำให้พวกเราไม่กลัวไททันน่ะ...ถ้าเรากินหัวมันทุกๆวันเราก็จะฮึกเหิมเวลาที่เจอตัวพวกมันไง?”  ........อ่า...สมกับที่เป็นเขาแหละนะ...เจ้าคนที่ทุกลมหายใจก็มีแต่ “จะฆ่าไททันให้หมดๆ” คนนั้น

“ นี่...แต่ชั้นคิดว่านายกำลังทรมานพวกเราอยู่มากกว่านะ ใครจะไปกินไอ้ของแบบนี้ลงเนี่ยเอเลน”  ผมได้แต่หัวเราะในลำคอพลางส่ายหน้า ก่อนจะหยิบก้อนแป้งมาก้อนหนึ่งแล้วกลึงเป็นครึ่งวงกลม แปะเม็ดเล็กๆเป็นสองตา แล้วเอาแป้งยาวๆมาแปะเป็นสองหูก่อนจะยื่นให้เขาดู

“ ไง...แบบนี้ดูน่ากินกว่าไหม?”

“ กระต่าย....”  ผมเผลอยิ้มออกมาเมื่อเห็นนัยน์ตาสีมรกตเป็นประกาย...จริงๆแล้วเขายังมีความเป็นเด็กอยู่เต็มตัวเลยต่างหากถึงได้คิดจะปั้นของกินเล่นแบบนี้

“ ดีละ...ชั้นไม่ยอมแพ้นายหรอกนะไรเนอร์”  สรุปว่าวันนี้คนบนโต๊ะอาหารคงได้แปลกใจกันแน่ๆที่ขนมปังมีทั้งหมา แมว กระต่ายมาเดินกันให้เป็นแถว

ผมเงยหน้าขึ้นมามองเขาหลังจากนวดแป้งก้อนสุดท้ายเสร็จ ใบหน้ามนยังคงง่วนอยู่กับการปั้นขนมปังจนไม่ได้รู้ตัวเลยว่ามีผงแป้งติดเต็มหน้า ผมจึงยืนมือไปเช็ดแป้งที่ปลายจมูกโด่งรั้นนั่นให้

“ หื๋อ?”   เขาเงยขึ้นมามองอย่างสงสัย

“ แป้งติดน่ะ”  เขายอมยืนนิ่งๆให้ผมเช็ด แต่มือของผมเองมันก็เต็มไปด้วยแป้ง เพราะงั้นแทนที่มันจะสะอาดเลยกลับเปื้อนยิ่งกว่าเดิม

“ ไร...เนอร์......”  และเหมือนเขาจะเริ่มรู้ตัวแล้ว เสียงลากยาวจึงดังขึ้นมาพร้อมกับดวงตาขวางๆที่มองผม

“ ฮ่ะๆๆ”  ผมขำจนทนไม่ไหวเลยหัวเราะออกไปเสียงดัง

“ นายแกล้งชั้นใช่ไหม?! หนอย...เอาไปกินซะ นี่แน่ะๆ!”  แล้วฝ่ามือบางก็กางมาเต็มหน้าผม ผงแป้งต่างฟุ้งไปทั่วห้องจนบรรยากาศราวกับอยู่ในสายหมอก

ผมพยายามปัดมือของเขาด้วยรอยยิ้ม เขาเองก็ไม่ได้จริงจังที่จะเอาคืนมากนัก เลยกลายเป็นว่าเราต่างหยอกล้อกันอยู่แบบนั้น

ผมจับสองมือของเขาได้ก่อนจะเผลอดึงตัวเขาจนเข้ามาปะทะแผงอก ใบหน้าอมยิ้มที่เงยขึ้นมาของเขาอยู่ใกล้แค่คืบ ร่างกายของเขาที่เล็กกว่าผมครึ่งหนึ่งเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนโดยไม่ทันตั้งตัว ใบหน้าของเราต่างชะงักค้างในขณะที่สายตาต่างมองตรงไปยังกันและกัน ริมฝีปากสีสดของเขามันราวกับมีแรงดึงดูดให้ผมขยับริมฝีปากเข้าไปหา

ก่อนจะแตะมันลงไปที่กลีบปากนุ่มอย่างแผ่วเบา...


เอเลน....ชั้นบอกนายแล้วใช่ไหม...ว่าเวลาอยู่กับผู้ชายสองต่อสอง...ให้ระวังตัวเอาไว้บ้าง...


หัวใจเต้นโครมครามทันทีที่ริมฝีปากละออกจากกัน เขามองหน้าผมด้วยดวงตาเบิกกว้าง สองแก้มใสแดงเถือกยิ่งกว่าสีของดวงอาทิตย์ที่เยี่ยมหน้าขึ้นมาจากขอบฟ้าเสียอีก

“ ชะ ชั้นจะเอาขนมปังไปอบ...”   เขาพูดออกมาราวกับหุ่นยนต์ก่อนจะหันไปหยิบถาดขนมปังที่ปั้นเสร็จแล้วหันไปหันมาด้วยใบหน้าที่แดงราวกับจะมีไฟลุกออกมาให้ได้...เขากำลังเขินอาย...

แค่เขาไม่วิ่งหนีไปมันก็ยิ่งตอกย้ำว่าผมยังมีหวังและคงไม่สามารถตัดใจไปจากเขาได้แน่ๆ

“ เตาอบอยู่ทางนี้เอเลน”   ผมได้แต่อมยิ้มกับท่าทางเลิกลั่กของเขา

รู้สึกมีความสุข....


สุข....จนผมเผลอคิดไปว่า อยากจะให้ช่วงเวลาแบบนี้คงอยู่ตลอดไป...

หากเขาไม่รู้ความจริงว่าผมเป็นใครไปตลอดชีวิตก็คงจะดี...











ในรอบปีจะมีเพียงอาทิตย์เดียวเท่านั้นที่กองทหารฝึกหัดจะเงียบสงบ....จากที่เราไปเก็บขยะรอบเมืองกันมาก็เพื่ออาทิตย์นี้อาทิตย์เดียวนี่แหละ

ตอนนี้มวลมนุษยชาติกำลังอยู่ในช่วงเทศกาลเฉลิมฉลองกำแพงซึ่งเป็นทั้งวันหยุดยาวที่ญาติพี่น้องจะได้กลับบ้านหรือไม่ก็ไปมาหาสู่กัน เป็นวันแห่งครอบครัวที่เต็มไปด้วยบรรยากาศที่สนุกสนานรื่นเริง...เหล่าทหารฝึกหัดเองก็ได้รับอนุญาตให้กลับบ้านด้วยเช่นกัน


เฉพาะคนที่มีบ้านให้กลับน่ะนะ


ทั้งผมทั้งเขา พวกเราต่างก็ไม่มีที่ที่จะให้กลับไปแล้ว กองฝึกจึงเหลืออยู่แค่พวกเขาสามคน และพวกผมอีกสามคน

แต่ก็ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้เศร้าอะไรที่ต้องมาแกร่วอยู่ในอาคารไม้แห่งนี้แทนที่จะได้อยู่กับครอบครัว...เขาคงทำใจได้และเปลี่ยนมันให้กลายมาเป็นพลังในการจะกำจัดไททันแทน


ทุกครั้งที่ภาพในจินตนาการถึงแผ่นหลังบอบบางของเขากำลังนั่งคุกเข่าอยู่เหนือป้ายหลุมศพที่ไม่มีแม้แต่ร่างไร้วิญญาณให้ฝัง มันก็ทำให้ผมได้แต่กลืนน้ำลายไม่ลงคอเพราะก้อนอะไรบางอย่างมันจุกแน่น ที่หัวใจรู้สึกปวดแปลบจนหลายต่อหลายครั้งก็อยากจะไปก้มลงตรงหน้าเขาแล้วสารภาพทุกอย่างออกไป...ว่ามันเป็นเพราะใคร...แม่ของเขาถึงต้องจากเขาไป...

แต่ทั้งๆที่รู้สึกผิดต่อเขาอยู่ตลอดเวลา แต่ผมก็ยังอยากจะให้เขารักผม อยากให้เขายกโทษให้ผม

ผมมันช่างเห็นแก่ตัวจริงๆ...

คิดจะทำร้ายเขาอีกสักกี่ครั้งกัน...



แปะ!!!



เสียงแผละของอะไรบางอย่างทำให้ผมหลุดออกมาจากวังวนความคิดที่ชวนหดหู่ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาดูกระจกหน้าต่างที่มีก้อนหิมะสีขาวกำลังไหลลงไปเป็นทาง ดูเหมือนจะมีคนขว้างมันมา?

“ เฮ้~~~ ถ้าแน่จริงก็ออกมาสู้กันสิไรเนอร์!”   ดูเหมือนผมจะกังวลเหมือนคนบ้าอยู่คนเดียวนะ ในเมื่อเจ้าคนที่เป็นต้นเหตุกลับกำลังเล่นปาหิมะกับมิคาสะและอาร์มินอย่างสนุกสนานอยู่กลางลานที่เต็มไปด้วยสีขาวโพลน

“ หนอย...รอก่อนเถอะ!”  ผมเปิดหน้าต่างเอาหน้าปะทะลมหนาวก่อนจะตะโกนออกไป เสียงเจี๊ยวจ๊าวราวกับเด็กๆดังมาจากคนทั้งสามที่ไม่ได้รู้ร้อนรู้หนาวออกไปวิ่งเล่นกันอยู่บนหิมะ และความไม่สบายใจของผมก็หายไปทันทีที่ได้เห็นรอยยิ้มร่าเริงของเขา....อนาคตจะเป็นยังไงก็ช่างมัน...ขอแค่เวลานี้เท่านั้นก็พอ...

ขอให้ผมได้อยู่ข้างๆเขา...


“ เบลทรูท แอนนี่! ออกไปข้างนอกกัน อย่าให้เสียคำท้า!”   ทั้งสองคนเงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือและเตาผิง นัยน์ตาที่มองมนุษย์ราวกับเป็นสิ่งไร้ค่ากลับนึกสนุกขึ้นมาจนยอมปล่อยตัวตามสบาย...พวกผมกลับมาใช้ชีวิตเหมือนมนุษย์ได้ก็เพราะ เอเลน เยเกอร์ คนเดียว

ผมรู้...ว่าไม่ได้มีแต่ผมหรอกที่มีความรู้สึกที่พิเศษให้กับเขา...แต่แอนนี่และเบลทรูทก็เป็นเหมือนกัน...เพียงแต่รูปแบบมันอาจจะต่างจากผมนิดหน่อย


ตอนนั้นผมยังไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรเขาถึงดึงดูดไททันได้อย่างยอดเยี่ยมขนาดนี้...


ในขณะที่พวกผมกำลังใส่เสื้อกันหนาวเดินออกไปก็เห็นพวกเขาสามคนกำลังพยายามเลื่อนบังเกอร์ทหารที่ใช้ฝึกให้มันประจันหน้ากัน...นี่เอาจริงใช่ไหมเนี่ย?

“ พวกนายสามคนอยู่ด้วยกันก็แล้วกัน ส่วนกติกาก็ไม่มีอะไรมาก...ปาจนกว่าจะล้มกันไปข้างเลย!”   ........ไม่มีอะไรมากหรือไม่ได้คิดอะไรเลยมากกว่า? เขาก็แค่อยากจะหาเรื่องออกแรงเท่านั้นไม่ใช่หรือไง?...แล้วก็ไม่ต้องบอกผมก็รู้ว่าเขาจะต้องคิดว่ากำลังปาหิมะใส่ไททันอยู่แน่ๆ

“ แต่เดี๋ยวก่อนนะ...แอนนี่? เธอจะไม่แข็งตายแน่นะ ใส่แค่เสื้อตัวบางๆแบบนั้น?”   เขาถามออกมาด้วยท่าทางเป็นห่วง ส่วนแอนนี่เพียงแต่ส่ายหน้า...เพราะความใส่ใจแบบตรงไปตรงมาอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวของเขาทำให้สาวเจ้ายอมละทิ้งสายตาเย็นชาเมื่อมองใบหน้ามนนั่น...จู่ๆผมก็รู้สึกเหมือนมีคู่แข่งเพิ่มขึ้นมาอีกคนเลยแหะ

แต่ก็เอาเถอะ...สำหรับแอนนี่แล้วคงจะไม่ถึงมือผม ในเมื่อยังมีมิคาสะยืนปล่อยรังสีดำทะมึนอยู่ข้างหลังตลอดเวลา...ดูท่าว่าการเล่นปาหิมะในครั้งนี้อาจจะถึงขั้นตายได้เลยนะเนี่ย...ผมได้แต่อมยิ้มน้อยๆ

“ พร้อมยัง?!”  เขาตะโกนถามเสียงใส ดูเหมือนฝั่งนั้นจะมีอาร์มินเป็นคนคอยปั้นหิมะให้

“ พร้อม!”  ผมตะโกนตอบกลับไปก่อนจะหันหลังพิงบังเกอร์ ในมือถือก้อนหิมะด้วยท่าเตรียมพร้อม

“ งั้นก็....ลุย!!”  ....จะบอกว่าผมรู้สึกถึงก้อนหิมะที่ปาข้ามหัวผมไปมาก่อนจะได้ยินคำว่า “ลุย” จากเขาเสียอีก....แล้วก็ไม่ใช่ใครเลยที่ก่อสงครามกันโดยไม่คิดจะฟังเสียงนกหวีด ในเมื่อตอนนี้สองสาวแอนนี่และมิคาสะกำลังปาหิมะกันอย่างเอาเป็นเอาตายโดยไม่สนใจชายหนุ่มอีกสี่ชีวิตข้างๆ


ตุบ!


ในขณะที่ผมมัวแต่ยืนอึ้งกับสองสาวที่ราวกับกำลังสาดกระสุน M16 เข้าใส่กันโดยมีอาร์มินและเบลทรูทปั้นหิมะส่ง ความเย็นยะเยือกก็ปะทะมาที่ใบหน้าให้ผมได้แต่ขนลุกเกรียว

“ ฮ่ะๆๆ”  ได้ยินเสียงของเขากำลังหัวเราะชอบใจ

“ ได้....เอเลน....”   แล้วผมก็ปาหิมะในมือไปหาเขาบ้าง แต่ร่างโปร่งบางนั่นก็หลบได้ทัน


ตุบๆๆ!


ทั้งผมแล้วก็เขาต่างก็ผลัดกันลุกผลัดกันหลบ หลายครั้งที่ใจตรงกันจึงลุกขึ้นยืนพร้อมๆกันก็เลยกลายเป็นว่าโดนก้อนหิมะปาหัวบ้าง หน้าบ้าง ตามตัวบ้างให้หนาวเย็นเล่นๆ

สงครามหิมะยังคงดำเนินต่อไปท่ามกลางเสียงหัวเราะและรอยยิ้ม...กับวันที่ไม่ต้องคิดถึงภารกิจ ไม่ต้องคิดถึงหน้าที่แบบนี้มันทำให้ผมรู้สึกราวกับได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง

ไม่เคยรู้สึกสนุกแบบนี้มานานแล้ว....


ผมทิ้งตัวนอนลงแผ่หลาบนผืนหิมะสีขาวโดยไม่รู้สึกถึงความหนาว...คงเป็นเพราะร่างกายได้เผาผลาญพลังงานจนตอนนี้มันอุ่นเกินพอแล้วก็เป็นได้...ลมหายใจหอบหนักที่พ่นออกไปกลายเป็นควันสีขาวจางๆ

ผมยกมือยอมแพ้ก่อนจะปล่อยมันให้ลงมากางอยู่บนหิมะ ตอนนี้ผมรู้สึกปลอดโปร่งทั้งๆที่ใช้พลังงานไปจนหมดเกลี้ยง ได้ยินเสียงฝีเท้าของเขาขยับเข้ามาใกล้โดยไม่ต้องเงยหน้ามอง...ที่รู้ว่าเป็นเขาก็เพราะว่าทั้งอาร์มินและเบลทรูทต่างนอนคว่ำหน้าจมกองหิมะอย่างหมดสภาพไปนานแล้ว


ส่วนสองสาวก็......ปล่อยมิคาสะกับแอนนี่ไปก็แล้วกัน สงสัยว่าสงครามนี้คงจะไม่จบง่ายๆ


ตุบ!


ก้อนหิมะสีขาวหล่นลงมาบนหน้าอกของผม ก่อนที่ลำตัวโปร่งบางจะล้มลงนอนข้างๆด้วยรอยยิ้ม หัวสีน้ำตาลขยับมาหนุนท่อนแขนของผมเอาไว้พลางพ่นลมหายใจหอบๆออกมา...ตอนนี้ผมไม่รู้แล้วว่าทั้งใบหน้าของผมและของเขาที่มันแดงระเรื่ออยู่นี้มันเป็นเพราะเหนื่อยหรือเป็นเพราะอะไรกันแน่

“ คราวหน้า...เรามาเล่นด้วยกันอีกนะไรเนอร์...”   เขาพูดออกมาในขณะที่หงายหน้ามองท้องฟ้า

“ อื้อ”   ผมได้แต่หวังว่าสัญญาที่ผมให้กับเขาเอาไว้...ผมจะสามารถรักษามันได้...อย่างน้อยก็ขอให้พวกเรามีฤดูหนาวหน้าก็ยังดี...

“ จริงสิ...คืนนี้พวกฉันตกลงกันว่าจะไปงานเทศกาล...ไปด้วยกันไหมไรเนอร์?”   เขาพลิกตัวมานอนเท้าคางมองผมตาแป๋ว...แล้วจะให้ปฏิเสธยังไงไหว? ผมจึงพยักหน้าลงไป

“ ดีจัง~~ ถ้ามีนายไปด้วยก็ค่อยอุ่นใจได้หน่อย”  เขาพลิกกลับไปนอนหงายหนุนท่อนแขนผมไว้ตามเดิม...ต่อให้ถูกใครบอกว่าผมเป็นคนที่พึ่งพาได้มากแค่ไหน ความรู้สึกดีใจมันก็ไม่เท่ากับที่ออกมาจากปากของเขาแค่คนเดียวเลย

นับวัน...สิ่งที่เรียกว่าการตัดใจก็ยิ่งหายไปจากในหัวผมมากขึ้นเท่านั้น...









ถึงแม้ว่าหิมะจะหยุดตกไปนานแล้วแต่พอเป็นเวลาพลบค่ำแบบนี้ อากาศมันก็หนาวเย็นจับใจอย่างไม่ต้องสงสัย

พวกผมยืนรอพวกเขาอยู่ที่หน้าประตูโรงอาหาร เสียงบ่นผสมโวยวายดังมาบอกให้รู้ว่าพวกเขาสามคนกำลังจะมาถึงในไม่ช้า และเมื่อผมเงยหน้าขึ้นไปก็เห็นเขาเดินอยู่ข้างๆมิคาสะที่กำลังพันผ้าพันคอให้เขาราวกับเขาเป็นเด็กเล็กๆให้ต้องคอยดูแล

“ ชั้นผูกเองได้น่า”

“ เอเลนน่ะอยู่ไม่สุข...ถ้าไม่ผูกให้ดีๆมันก็จะหลุดหายไปได้นะ”  และกว่าพวกเขาจะเดินมาถึงตรงที่ผมยืนอยู่ ผ้าพันคอก็ถูกผูกเสร็จพอดี

ผมเอง...ก็อยากจะดูแลเขาแบบนั้นบ้าง...


ม้า 6 ตัววิ่งฝ่าความมืดและหนาวเหน็บไปตามถนนดินซึ่งมุ่งหน้าไปยังเมืองที่อยู่ใกล้ๆ ไอเย็นที่ปะทะเข้ามาตามตัวทำให้แทบจะแข็งถึงแม้จะมีเสื้อกันหนาวตัวหนาก็ตาม ทำเอาผมที่อยู่หัวขบวนอดคิดไม่ได้ว่าเราน่าจะหาที่นอนอยู่ในเมืองดีกว่าฝ่าความหนาวที่น่าจะมากกว่าตอนนี้ในช่วงขากลับ

จากเขตป่าอันเงียบสงบ สองหูเริ่มได้ยินเสียงแว่วมาไกลๆ จากความมืดเริ่มมองเห็นแสงไฟระยิบระยับมาจากตีนเขา และจากตรงนั้นอีกไม่กี่อึดใจพวกเราก็มาถึงเขตเมืองในที่สุด

ผมกระโดดลงจากหลังม้าด้วยใบหน้าที่รู้สึกชาๆจากความหนาว ขนาดผมตัวใหญ่และมีการเผาผลาญพลังงานได้ดีขนาดนี้ยังรู้สึกว่าหนาว แล้วพวกบางร่างน้อยอย่างเขาจะไม่....

“ ไรเนอร์~~~”  เสียงยานคางดังมาพร้อมๆกับอะไรเย็นๆที่ตะปบมาที่ข้างเอวของผมให้ขนลุกชัน และเมื่อก้มลงไปดูจึงเป็นว่าเป็น เอเลน เยเกอร์ ที่กำลังกอดผมด้วยตัวสั่นหงึกๆ

ไอเย็นที่แผ่เข้ามาราวกับว่ากำลังดูดความอบอุ่นของตัวผมออกไป แต่ใบหน้าของผมกลับยิ้มก่อนจะมองเขาด้วยสายตาเอ็นดู...อย่างน้อยก็มีแต่เวลาแบบนี้แหละนะ ที่มิคาสะดูแลเขาได้ไม่เท่าผม...และก็เพราะว่าเธอไม่รู้ว่าผมคิดไม่ซื่อกับเอเลน เพราะงั้นสายตาที่มองมาจึงมีแต่ความละเหี่ยใจที่เขาทำตัวเป็นเด็กๆอย่างไม่คิดจะเกรงใจผม...ก็ขนาดอาร์มินที่กระโดดไปมาให้ร่างกายอบอุ่นด้วยตัวเองยังไม่คิดจะทำอย่างเขาเลย

ม้าถูกผูกเอาไว้ก่อนที่พวกเราทั้ง 6 คนจะเดินไปตามถนนปูหินที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คน เสียงดนตรีที่ทำให้บรรยากาศครื้นเครงบรรเลงออกมาจากร้านค้าที่ต่างก็ประดับประดาโคมไฟกันอย่างสวยสดงดงาม ทั้งร้านอาหาร ร้านของเล่น ร้านของใช้กระจุกระจิกต่างก็มีคนเดินเข้าออกไม่ขาดสาย พวกเราได้แต่เดินฝ่าย่านร้านค้าละลานตาเข้าไปเรื่อยๆ บรรยากาศแห่งความสุขทำให้รู้สึกอิ่มเอมใจถึงแม้จะทำได้แค่มองก็ตาม

ยิ่งเข้าใกล้ลานกลางเมืองที่มีการออกร้านผู้คนก็ยิ่งหนาตาขึ้นมาเป็นเท่าตัว ผมหันไปมองเขาที่เดินอยู่ใกล้ๆ ใบหน้ามนมองนู่นมองนี่ด้วยดวงตาเป็นประกาย ท่าทางที่ดูสนุกสนานของเขาทำให้ผมเผลอยิ้มออกมา มือค่อยๆเอื้อมไปจับมือของเขาเอาไว้โดยไม่ให้ใครรู้ และถึงแม้เขาจะเงยหน้าขึ้นมามองหน้าผมด้วยสายตางงๆ แต่ผมก็ไม่ได้อธิบายเป็นคำพูดออกไป จงใจยิ้มให้เขาก่อนจะเงยหน้ากลับมามองถนนโดยที่มือก็ยังจับมือของเขาเอาไว้

อยากรู้...ว่าเขาจะเข้าใจการกระทำของผมว่ายังไง...

“ ชั้นไม่หลงหรอกน่า...ไม่ใช่เด็กๆแล้วนะ”  เขาบ่นงึมงำออกมา ถึงความเข้าใจของเขาจะดูไร้เดียงสาแต่แค่แก้มใสขึ้นสีแดงระเรื่อ...เท่านั้นผมก็พอใจแล้ว...


เสียงดนตรีดังอยู่รอบตัวพวกเรา ร้านรวงที่เดินผ่านมามันตระการตาสู้การออกร้านของงานเทศกาลที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่ได้เลยสักนิด ทั้งร้านค้า ร้านอาหารง่ายๆ ร้านเกมท้าทายต่างๆรวมไปถึงคณะละครสัตว์ก็มาเปิดทำการแสดง ทำให้บริเวณลานกลางเมืองเต็มไปด้วยผู้คนมหาศาล ทั้งคู่รักที่จูงมือกันและครอบครัวที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของเด็กตัวเล็กๆ ความจริงแค่ได้เดินผ่านแค่ได้ยืนมอง มันก็รู้สึกสนุกและสุขใจอย่างบอกไม่ถูก

พวกผมเดินดูร้านรวงต่างๆด้วยรอยยิ้ม ได้เดินตามพวกเขาสามคนที่ชี้ชวนกันดูนู่นนี่ด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นก็อดที่จะรู้สึกสนุกไปด้วยไม่ได้  ทั้งไส้กรอกหน้าตาน่ากินที่แปะป้ายโฆษณาว่าเป็นแบบพิเศษที่มีขายเฉพาะงานนี้ที่เขาซื้อมาแล้วแบ่งกันกินคนละคำสองคำ  ทั้งแอปเปิ้ลชุบช็อกโกแลตเพียงลูกเดียวที่พวกเราผลัดกันแทะคนละมุม  ทั้งไก่ปิ้งเสียบไม้ ทั้งขนมหน้าตาแปลกๆ ทั้งของกินอีกหลายอย่างที่ถึงแม้จะไม่ได้กินจนอิ่มแต่การได้กินด้วยกัน ได้แบ่งกัน ได้หยอกล้อระหว่างที่กินมันกลับทำให้รู้สึกอิ่มไปจนถึงข้างใน...มีความสุขจนอยากจะลืมไปเลยว่า...ผมเป็นใครและมีหน้าที่อะไร

“ นี่พวกนาย...ดูนั่นสิ....”  เขาละจากผลไม้ชุบน้ำตาลที่ยังคาปากไปมองร้านของเล่น...จะว่าไปมันก็คงเป็นร้านเกมที่แข่งขันเพื่อให้ได้ของรางวัลอะไรบางอย่างมากกว่า และตอนนี้นัยน์ตาสีมรกตก็กำลังมองของรางวัลนั่นด้วยประกายระยิบระยับ เมื่อผมมองตามไปก็ได้แต่หัวเราะแห้งๆเพราะไม่คิดว่าจะมีใครอยากได้ไอ้รางวัลที่แปะป้ายที่หนึ่งนั่นเอาไว้หรอกนอกจากเขา...เพราะมันคือ...

กระสอบทรายรูปไททัน

“ เชิญเลยคร้าบ...เชิญเลย...แค่ดวลดื่มน้ำมะเขือเทศสดจากไร่ของเราให้หมดลังนี่ภายในเวลาที่กำหนดก็จะได้ของรางวัลไปเลย!”  เสียงเชิญชวนดังมาจากลุงเจ้าของร้านซึ่งจริงๆแล้วคงเป็นเจ้าของไร่มะเขือเทศที่คิดกลอุบายแปลกใหม่เพื่อขายน้ำมะเขือเทศนั่นแหละ และเขาก็ตรงดิ่งเข้าไปในร้านทันที

“ เอามาเลยลุง! ผมจะเอาไอ้นั่น!”  เขานั่งลงไปที่เคาน์เตอร์ร้านโดยไม่คิดจะปรึกษาใคร ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขาจะเอากระสอบทรายรูปไททันไปทำอะไร ผมได้แต่ยิ้มกับความมุ่งมั่นของเขาจริงๆต่างจากเบลทรูทที่มีเหงื่อหยดเพราะไททันที่ถูกเอามาทำเลียนแบบเป็นกระสอบทรายก็คือ Colossal Titanนั่นเอง

“ ถ้าจะเอารางวัลที่หนึ่งต้องดื่มหมดสองลังภายใน 30 นาทีเลยนะเจ้าหนู”  ลังไม้ที่บรรจุกระป๋องน้ำมะเขือเทศไว้เต็มถูกวางลงมา ตามกติกาแล้วถ้าดื่มไม่หมดในเวลาที่กำหนดพวกเราจะต้องเสียค่าน้ำมะเขือเทศนี่แทน

“ ไม่เท่าไหร่หรอกน่า”   ใบหน้ามนยิ้มอย่างไม่ดูตัวเอง แต่ก่อนที่พวกเราจะต้องเสียค่าน้ำมะเขือเทศ มิคาสะก็เดินเข้าไปจับไหล่เขา

“ เอเลน...ดื่มน้ำมะเขือเทศไม่ได้ไม่ใช่หรอ?”   แล้วสิ่งที่มิคาสะพูดก็ทำเอาเขาถึงกับอ้าปากค้างร่างทั้งร่างแทบจะแข็งเป็นหิน

“ นะ นี่มัน...น้ำมะเขือเทศงั้นหรอ....”  ดูเหมือนเขาจะเพิ่งรู้ตัวนะ ว่าสิ่งที่จะต้องกินเข้าไปมันคืออะไร...พวกผมได้แต่ยิ้มอย่างอ่อนใจ...แต่พอเห็นใบหน้าละห้อย นัยน์ตาหงอยๆมองกระสอบทรายไททันนั่นอย่างอาลัยอาวรณ์แล้วมันก็.....

“ ฉันจะดื่มน้ำมะเขือเทศนั่นเอง”   เปล่า...ผมยังไม่ทันจะได้พูดอะไรออกไป...แต่เสียงที่ได้ยินนี้กลับเป็นเสียงของมิคาสะกับแอนนี่ที่พูดออกมาพร้อมกัน

แล้วประกายไฟเปรี๊ยะๆก็ลั่นออกมาจากสายตาของหญิงสาวทั้งคู่เมื่อจ้องมองหน้าของกันและกัน....ดูเหมือนนอกจากการดวลกับทางร้านแล้ว สองสาวยังคิดจะดวลกันเองเพื่อให้ได้กระสอบทรายไททันมาให้เอเลนด้วยสินะ

“ จริงหรอ...ขอบใจนะ....”   ยิ่งได้เห็นนัยน์ตาซาบซึ้งของเจ้าตัวต้นเหตุก็ยิ่งทำให้สองสาวราวกับมีไฟลุกอยู่รอบกาย มิคาสะและแอนนี่นั่งลงไปที่เคาน์เตอร์ด้วยสายตามุ่งมั่น แล้วน้ำมะเขือเทศกระป๋องแล้วกระป๋องเล่าก็ถูกกระดกเข้าปากไปราวกับว่ามันเป็นน้ำเปล่า คนที่เดินผ่านไปผ่านมาเมื่อเห็นบรรยากาศน่าสนุกก็เริ่มเข้ามาส่งเสียงเชียร์จนร้านที่เคยโล่งๆกลับมีคนแน่น ความร้อนแรงของการแข่งขันยังคงดำเนินต่อไปโดยมีอาร์มินกับเบลทรูทค่อยดูอยู่ข้างๆ....แต่เจ้าตัวต้นเหตุน่ะ.....กลับหายไปไม่เหลือแม้แต่เงา?

อ้าว?...เขาหายไปไหนแล้วเนี่ย?

เห็นอะไรแล้วเดินออกไปดูจนหลงไปหรือไง?

ผมกระซิบบอกเบลทรูทว่าให้อยู่ดูแอนนี่กับมิคาสะ ก่อนที่ตัวผมจะละออกมาจากร้านแล้วกวาดสายตามองหาร่างโปร่งบางของเขา...ไปไหนกันนะ?

ผมเดินวนดูรอบๆที่จัดงานออกร้านแต่ก็ไม่เห็นเขาแม้แต่เงา...ยิ่งดึกบรรยากาศก็ยิ่งน่ากลัวเพราะหลายคนก็เริ่มเมาจนส่งเสียงเอ่ะอ่ะโวยวาย...ผมยังคงสอดสายตามองหาเขาต่อไป แต่ไม่ว่าจะในร้านไหนๆก็ยังไม่มีเขาเหมือนเดิม

สองขาเริ่มเดินออกห่างไปจากบริเวณลานกลางเมือง ได้ยินเสียงคนกำลังเถียงกันแว่วเข้ามาในหู และผมจะไม่เฉียดเข้าไปใกล้เลยถ้าหนึ่งในเสียงนั้นมันจะไม่ใช่เสียงของเขา!

ผมรีบวิ่งเข้าไปในตรอกที่ทั้งแคบทั้งมืด แสงสลัวๆทำให้ผมต้องเพ่งตามอง ก่อนจะจำได้ทันทีว่าคู่กรณีของเขาเป็นใครกัน....กลุ่มอันธพาลที่เคยเข้ามาหาเรื่องพวกเราตอนเก็บขยะ...

ผมไม่รู้หรอกนะว่าพวกนั้นจำเอเลนได้หรือว่ามีเรื่องอะไรอีกหรือเปล่า แต่ภาพที่พวกนั้นกำลังเข้ามารุมทำร้ายเขาที่ต่อสู้ตามลำพังมันทำให้ผมรู้สึกโกรธอย่างควบคุมตัวไม่อยู่

ร่างทั้งร่างจึงพุ่งเข้าไปปล่อยหมัดเข้าใส่โดยไม่ต้องยั้งคิด ความหนักหน่วงของมันทำเอาชายร่างยักษ์ถึงกับตัวปลิวไปชนกำแพง เลือดกระอักออกมาจากริมฝีปากที่บิดเบี้ยวก่อนจะหมดสติไปทันที

“ เฮ้ย...ไอ้หมอนั่น....”   เมื่อพวกมันเห็นว่าเป็นผม หลายคนก็ทำหน้าเลิ่กลั่ก หลายคนก็ทำท่าจะถอยหนี

“ มะ ไม่ต้องไปกลัวมัน...คราวนี้เรามีอาวุธ!”  พวกมันจะพล่ามอะไรผมไม่ได้สนใจ มือยกขึ้นไปลูบใบหน้าใสของเขาที่บัดนี้มีรอยช้ำน้อยๆอยู่สองสามรอย...ถึงแม้ว่าเขาจะเก่งเรื่องการต่อสู้ตัวต่อตัวยิ่งกว่าใครในชั้นปี แต่ถูกรุมขนาดนี้มันก็ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมถึงสู้ไม่ได้

“ ไม่เป็นไรนะเอเลน..”  เขาส่ายหน้าน้อยๆ ปลายนิ้วลูบรอยแผลนั้นด้วยหัวใจที่ปวดแปลบ มืออีกข้างที่ทิ้งอยู่ข้างลำตัวได้แต่กำแน่น

พอเห็นเขาถูกทำร้ายแบบนี้ผมถึงเพิ่งรู้ตัวว่าผมรักเขามากขนาดไหน...

ผมทนไม่ได้ที่จะเห็นเขาบาดเจ็บ...ผมโกรธ ผมโมโหจนนึกอยากจะฆ่าไอ้คนที่ทำให้เขาต้องมีแผลให้ตายอย่างทรมานที่สุด

สิ่งเดียวที่ผมบอกกับตัวเองในตอนนั้นคือผมจะต้องปกป้องเขา...ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่ว่าอนาคตจะเป็นแบบไหน...ผมก็จะไม่ยอมให้เขาถูกทำร้ายอีก


ผม...

จะยอมรับว่าผมรักเขาอย่างหมดหัวใจและจะไม่สนใจอีกแล้วว่า...สำหรับเราสองคน....ความรัก...มันเป็นไปไม่ได้




โครม!!!


ลังไม้ที่วางระเกะระกะอยู่แถวนั้นพังลงมาเมื่อร่างใหญ่ของชายคนหนึ่งถูกผมเตะไปกระแทก ทั้งท่อเหล็กทั้งมีดพร้าที่ถูกนำมาทำเป็นอาวุธวางเกลื่อนไปทั่วพื้นที่มีแต่ร่างไร้สติที่บางคนก็นอนจมกองเลือด

“ เหวอ!! ไอ้ปีศาจ!!”   ชายคนสุดท้ายกระถดกระถอยหนีก่อนที่จะลุกวิ่งพรวดพราดหนีไปในที่สุด...ผมได้แต่ยิ้มบางๆรับกับคำด่านั่น...เพราะมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ

เสียงหอบหายใจดังมาจากคนที่ยืนหันหลังชนกันมาตลอดการต่อสู้ เขาก้มตัวลงไปก่อนใช้สองมือยันหัวเข่าเอาไว้อย่างหมดแรง

ผมมองเขาอย่างที่คิดว่าหากไม่สั่งสอนเสียบ้างก็คงจะไม่รู้ตัว...ว่าเขาทำให้ผมเป็นห่วงเขามากขนาดไหน...สองแขนเลยอุ้มลำตัวที่ยังหอบแฮ่กขึ้นมาพาดบ่า เขาได้แต่หันไปหันมาอย่างไม่รู้ว่าผมกำลังจะทำอะไร

“ ไรเนอร์?...”  สองขาก้าวข้ามร่างไร้สติที่พื้นไปด้วยความใจเย็น ถึงแม้ว่าเขาจะเริ่มดิ้นขลุกขลักอยู่บนบ่าแต่ก็ไม่คณามือผมหรอก น้ำหนักตัวที่น้อยกว่าผมสามสิบกิโลทำให้ผมแบกเขาด้วยท่าทางสบายๆ

ผมพาเขาไปที่ริมแม่น้ำซึ่งร้างไร้ผู้คนเพราะมันห่างออกมาจากลานกลางเมืองพอสมควร

เพราะคนที่อุ้มเขามาเป็นผม ปากช่างเจรจานั่นเลยไม่โวยวายมากนัก...ถ้าเป็นแจน...ป่านนี้คงรู้กันทั้งตลาดไปแล้ว

ผมวางเขาลงบนผืนหญ้าหนานุ่ม ก่อนจะดันตัวเขาให้นอนราบไปกับพื้นหญ้า สองมือสองขาของผมตามลงไปกางกั้นไม่ให้มีทางหนี นัยน์ตาจริงจังจ้องเขาอย่างกดดันจนใบหน้ามนต้องเสไปทางอื่น

“ อะ อะไรเล่า...ก็พวกนั้นเข้ามาหาเรื่องชั้นก่อนนะ...นายก็จะบ่นชั้นเหมือนมิคาสะอีกคนหรือไง”  ปากสีสดที่ยังคงแก้ตัวไปเรื่อยนั่นมันน่าบดขยี้เสียจริงๆให้ตาย...ผมจับปลายคางมนก่อนจะบีบมันให้หันมาสบตากับผม

“ เอเลน...ช่วยรู้ตัวสักที...ว่ามีคนเค้าเป็นห่วง”   คำพูดของผมทำให้นัยน์ตาสีมรกตถึงกับเบิกกว้าง ริมฝีปากที่ตั้งใจจะแก้ตัวน้ำขุ่นๆได้แต่อ้าพะงาบๆอย่างไม่มีคำใดหลุดออกมา และใบหน้ามนก็ยิ่งแดงจัดขึ้นเรื่อยๆเมื่อผมเอ่ยประโยคถัดไปว่า

“ นายรู้บ้างไหมว่าชั้นรู้สึกยังไงตอนที่เห็นนายโดนทำร้าย ตอนที่เห็นนายบาดเจ็บ...ถ้านายไม่รู้ชั้นก็จะบอกนายให้...ว่าชั้นเป็นห่วง”   คนที่ไม่ค่อยจะรู้เรื่องรู้ราวอย่างเขามันต้องบอกกันตรงๆแบบนี้แหละ ใบหน้ามนแดงเถือกจนแทบจะลุกเป็นไฟ...คงจะเข้าใจถึงความรู้สึกของผมได้บ้างไม่มากก็น้อย

“ กะ ก็ได้...คราวหน้า...ถ้ามีอะไร...จะ..จะเรียกนาย...”   จนแล้วจนรอดก็ไม่ยอมรับปากสินะ ว่าจะไม่ไปมีเรื่องกับใครหรือจะไม่ไปก่อเรื่องที่ไหนอีก...ผมได้แต่ถอนหายใจออกไป...ก็ยังดีกว่าไม่สำนึกละนะ



ปุ้ง! ปุ้ง! ปุ้ง!



เสียงที่ดังอยู่เบื้องหลังทำให้ผมละออกมาจากร่างกายของเขาก่อนจะหันมามองแสงสว่างวาบที่กระจายเต็มท้องฟ้า ประกายสีสันฉาบให้ความมืดมิดดูงดงาม...พลุจากงานเทศกาลกำลังแข่งกันเบ่งบานอยู่เต็มฟากฟ้ายามราตรี

ผมหันไปมองหน้าเขาที่ลุกขึ้นมานั่งอยู่ข้างๆ นัยน์ตาสีมรกตมองดอกไม้ไฟด้วยแววตาระยิบระยับ ริมฝีปากสีระเรื่อเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว แสงสีที่สะท้อนอยู่บนใบหน้าของเขาทำเอาผมไม่อาจจะละสายตาไปไหนได้...


หากดอกไม้ไฟเปล่งประกายเพียงชั่ววินาทีก็ดับไป...มันคงเทียบไม่ได้กับดอกไม้อย่างเขาที่จะเบ่งบานอยู่ในหัวใจที่มืดมิดของผมตราบนานเท่านาน...


ผมยื่นใบหน้าเข้าไปหาเขาก่อนจะแนบริมฝีปากคลอเคลียอยู่ที่แก้มใส ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักกับฝ่ามือที่ยกขึ้นมาดันแผงอกแข็งแรงของผมอย่างไม่ได้จริงจังเท่าไหร่...เขาอาจจะคิดว่าผมคงหยอกล้อเขาเล่น...แต่ครั้งนี้ผมตั้งใจจะทำจริงๆ

ริมฝีปากขยับไปแนบสัมผัสกับริมฝีปากนุ่มแล้วมันก็เป็นอีกครั้งที่นัยน์ตาสีมรกตเบิกกว้าง ร่างทั้งร่างของเขานิ่งค้างไปทำให้สองแขนของผมรวบลำตัวของเขาให้เข้ามาอยู่ในอ้อมกอด

จากที่แค่แตะเบาๆผมเริ่มแลบลิ้นออกมาหยอกเย้าริมฝีปากของเขาจนมันเผลออ้าออกเล็กน้อย...และนั่นมันก็เพียงพอแล้วที่ผมจะสอดลิ้นเข้าไป

นัยน์ตาสีมรกตที่เบิกกว้างค่อยๆปิดลงช้าๆเมื่อผมเริ่มควานหาความหอมหวานไปทั่วโพรงปากของเขา เรียวลิ้นที่ไร้เดียงสาทำอะไรไม่ถูกจึงถูกลิ้นของผมเกี่ยวกระหวัดพันพัวจนแทบจะไม่มีที่ว่าง เช่นเดียวกับลมหายใจที่แทบจะถูกดูดกลืนจนแทบไม่มีเหลือ


ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านี่คือจูบแรกของเขา...และผมก็เป็นคนได้มันมา...


เขาหอบจนตัวโยนเมื่อผมละริมฝีปากออกมา นัยน์ตาสีมรกตเต็มไปด้วยแววสงสัยระคนสับสน

จากวินาทีนี้ไป...เขาจะมองผมด้วยสายตาแบบไหน...

จะมีความรู้สึกใดให้กับผมบ้างไหม?

หรือจะยังคงเห็นผมเป็นแค่เพื่อน?

หรือแม้แต่ความเป็นเพื่อนก็อาจจะไม่มีเหลือ ในเมื่อผมได้ทำลายมันลงไปด้วยมือของตัวเอง



เขา...

จะให้คำตอบแบบไหนกับผมกัน....?









.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.


To be Con.





เขียนทอล์คก่อนเลยตอนนี้ เพราะเมื่อตอนที่แล้วเขียนช่วงเวิ่นไว้ได้ชั่วร้ายมาก5555 งานเยอะบัดซบมากอ๊ากกกกกกกก

ก็....เวิ่นถึงฟิคเรื่องนี้ก่อน....ก็นะ...ทำตามใจตัวเองล้วนๆเลยค่ะเรื่องนี้555 ดูจากสภาพฟิคแล้วไม่คิดว่าจะไปแต่งให้ใครได้อ่ะนะฟิคแบบนี้ เลยแต่งให้ตัวเองบ้างไรบ้าง555 คือก็อย่างที่บอกค่ะว่าคุณกวางเป็น All Eren เพราะงั้นคุณกวางแต่งได้หมดค่ะ ทั้ง รีไวเอเลน  มิคาสะเอเลน  ไรเนอร์เอเลน  เอลวินเอเลน  แอนนี่เอเลน  แจนเอเลน  เบลเอเลน  เอเลนเอเลน(เฮ้ย!!) จริงๆสมการที่ว่ามานี่ส่วนใหญ่มีพล็อตเกือบหมดแล้วแหละ เหลือแค่จะมีอะไรมากระตุ้นหรือเปล่าเท่านั้นเอง555 เพราะงั้นก็อยากให้เข้าใจคุณกวางด้วยนะคะสำหรับใครที่ต้องรีไวเอเลนเท่านั้น ^ ^a

มาพูดถึงชื่อเรื่องกันก่อน กับคำว่า beLIEve  พอเขียนแบบนี้แล้วขนลุกเลยเนอะคะ ทั้งๆที่ believe หมายถึงความเชื่อ แต่ตรงกลางของคำว่าความเชื่อกลับมีคำว่า lie ที่แปลว่าโกหกแฝงอยู่ อร๊ากกกกก สุดยอดเลยอ่ะ มันไรเนอร์เอเลนสุดๆ >////< คือการเขียนแบบนี้คุณกวางไม่ได้คิดเองหรอกค่ะ แต่ไปลอกมาจากชื่อตอนหนึ่งของมังงะ Bleach ค่ะ555 *ก้มลงไปชาบูๆอ.คุโบะแป๊บ* คือไอ้เรื่องสรรหาคำเท่ห์ๆมาใช้นี่ต้องยกให้เฮียแกละ m(_ _)m ตอนเห็นครั้งแรกนี่ถึงขั้นขนลุกอ่ะ สุดยอดดดดดด

แล้วก็ประกอบกับความรู้สึกของคู่ไรเนอร์เอเลนนี่มันก็ช่างเข้ากับคำๆนี้ได้ดีเหลือเกิ๊นนนนน อยู่ด้วยกันมาตั้งหลายปีก็โกหกเค้าว่าเป็นพี่ชายที่แสนดีมาตลอดเลยสินะ จะรู้สึกผิดบ้างไหมนะไรเนอร์? แต่ถึงขั้นลืมไปว่าตัวเองเป็นนักรบนี่ก็คงต้องผูกพันกับพวกรุ่น104ไม่น้อยแน่ๆ คือในมังงะอ่ะ ช่วงศึกชิงตัวเจ้าหญิงเลน(?)นี่คุณกวางจิ้นกระจาย จิ้นมันส์มากกกกกกกกก ได้พล็อตไหลออกมาเป็นฉากๆแถมหลายคู่อีกต่างหาก =[ ]=!! คือสงสัยไปหมดว่าไรเนอร์มีอะไรที่นอกเหนือไปจากหน้าที่หรือเปล่าถึงได้ต้องเอาตัวเอเลนไปให้ได้ขนาดนั้น ตัวเองนี่แทบจะเอาชีวิตไม่รอดเลยอ่ะ  ป๋าเองก็เหมือนกันยอมเสียแขนให้หมาน้อยแบบนั้นมันจะไม่จิ้นไงไหว แต่ที่สุดของช่วงนี้ขอยกให้ มิคาเอเลนเบยค่ะ ไม่ไหวๆ มิคาสะหล่อว์ไปแล้วเธอ โฮกกกกกกกกกกกกก....ก็นะ...ฟุ้งซ่านมานานพอกลับเข้ากำแพงก็หนีไปจากรีเอไม่รอดเหมือนเดิม กร๊ากกกกก พล็อตช่วงนั้นเลยเป็นอันโดน GLIDE เขี่ยลงไหไป TT[ ]TT

แล้วทำไมวันที่ 12 มกราของปีนี้ถึงได้หยิบฟิคแรร์ระดับตำนานคู่นี้มาเขียน? 5555ก็เพราะใครบางคน(ชื่อรีเซ็ท) ส่ง MMD ตัวหนึ่งมาให้ดูค่ะ คือดูแล้วความไรเนอร์เอเลน(?)เข้าสิงคุณกวางทันทีอ่ะ อ๊ากกกก ขนลุกตั้งแต่เริ่มเพลงกันเลยทีเดียว....ก็นะ...จากที่ตั้งใจว่าจะลง GLIDE ตอนที่ 12 ในวันที่ 12 เลยได้ไหใหม่มาซะงั้น =[ ]=!!

สนใจก็เชิญรับชมได้ก๊ะ









แล้วก็...ต้องขอขอบคุณของขวัญทุกชิ้น รูปทุกรูป คำอวยพรทุกข้อที่ส่งมาให้นะคะ ซึ้งใจจนน้ำตาปริ่มเลยอ่ะ โฮวววววว โดดกอด คือถ้ามีคำไหนที่มากกว่าคำว่า “ดีใจ” ก็อยากจะพูดออกไปจริงๆเลยค่ะ ขอบคุณมากๆๆเลยนะค้า ^ ^

สำหรับฟิคเรื่องนี้ ตอนแรกว่าจะ 2 ตอนจบ....= =”” แต่จนแล้วจนรอดก็.............ก็มันเพลินอ่ะ...นานๆทีจะได้เขียนเมะอบอุ่นๆแบบนี้ แบบที่มีอะไรก็พูดไปตรงๆ(ยกเว้นเรื่องใหญ่ที่ดันโกหกเค้าเอาไว้555) ห่วงก็บอกว่าห่วง รักก็บอกว่ารัก แลดูลูกหมาของมี๊จะมีความสุขดี ไม่ต้องไปดราม่าตามหาดอกซ่อนกลิ่นให้วุ่นวาย (โดนฟันหลังคอดับข้อหาพาดพิง) เพราะงั้นเลยอาจจะยืดออกไปอีกตอนสองตอนนะก๊า ขอบคุณทุกการติดตามและทุกๆคอมเม้นต์มากๆนะคะ มีคนอ่านเก๊ากะดีใจแบ้ว555 แรร์ซะไม่สนใจใครขนาดนี้ *ซับเหงื่อ*




6 ความคิดเห็น:

  1. //คลานเข้ามาอย่างอดอยาก...
    สุดท้ายก็ทนไม่ไหวเข้ามาอ่านจนได้....ว่าจะรอให้พี่กวางแต่งให้จบนะ.. แต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหว......พี่จะมีต่อสินะ
    แต่ช่วงนี้มันขาดแคลนจริงๆไม่มีไรให้อ่านเลย....
    อีกทั้งเคะเอเลนที่ยั่วสายตาก็ทำให้ความอดทนสิ้นสุด(?)
    อา ....เมะอบอุ่นจริงใจแต่ก็หลอกลวงกระแทกใจอย่างแรงเลย..เหมือนลุงซินแบคเลย(?#ผิดเรื่องแล้ว!!!)

    ตอบลบ
  2. หากดอกไม้ ไฟเปล่งประกายเพียงชั่ววินาทีก็ดับไป...
    มันคงเทียบไม่ได้กับดอกไม้อย่างเขา ที่จะเบ่งบานอยู่ในหัวใจที่มืดมิดของผมตราบนานเท่านาน...
    …..…..เค้าชอบประโยคนี้มากๆๆเลยค่ะกวางซามะ
    มันแบบ….สวย….สวยมากๆๆ ประทับใจ ฮืออออ

    อ่านมาสองพาร์ทแล้วอยากบอกว่าเค้ารู้สึกโชคดีที่ตัวเองก็ All Eren(?)
    ถึงได้มีความสุขกับการอ่านฟิคของกวางซามะแบบนี้ แม้ว่าจะเป็นคู่แรร์ 555555
    คือถึงจะฟินและอิน(?)กับรีเอ........
    แต่ว่ามาเจอฟิคที่มันโฮกฮากแบบนี้เค้าก็ไม่ทนนะคะ > ___ <
    พ่อบึกบึนหล่อมากกกกกกกกกกก โฮกกกกกกกกกกกก
    อ่านแล้วแบบโอ่ยยยย จะมาพูดตรงให้เขินกันไปถึงไหนนนน
    ช่างแตกต่างกับไอ้อารมณ์ลำบากลำบน(?)เพราะอีกคนมันกลัวพิกุลจะร่วง(?)นี่ซะจริ……
    #โดนเตะและกระทืบตายก่อน(?)ได้พูดจบ 55555

    ไม่รู้สิ ฟีลฟิคสองพาร์ทนี้มันไม่อึดอัด
    ทั้งๆที่มันมีความดราม่าของการหลอกลวงเอาไว้อยู่แท้ๆ
    แต่ไอ้อารมณ์มุ้งมิ้งน่ารักไม่ได้จะเหมาะกับรูปร่าง(?)พ่อบึกบึนนั่นนี่ก็ทำให้คนอ่านนั่งยิ้มเป็นคนบ้า(?)ไม่เลิกจริงจังอ่า
    คือโดนคนที่บ้านที่เดินผ่านมา(?)ทักว่ายิ้มอะไรอยู่ได้คนเดียว
    จนเริ่มอยากหาหน้ากาก(?)มาใส่อ่านฟิคกวางซามะ 55555
    ปกติว่าเก็บอารมณ์ทางหน้าดี(?)แล้วนะ
    ทำไมมันอดหลุดยิ้มออกมาไม่ได้แบบนี้ละหืออออออ > __ <

    ทั้งหวานกิ๊ว(?)กันในห้องครัว ชวนกันปั้นแป้งขนมปังเป็นรูปสัตว์น่ารัก!!!!
    ทั้งอาการอ้อนอ่อย(?)ของเจ้าลูกหมาที่ไปกอดพ่อบึกบึนเพราะอากาศหนาว!!!!!
    ไหนจะอาการเขินของเอเลน!!!!!!!!!!!!!!!!
    คนเขาก็บอกให้ระวังตัวแล้วแท้ๆ แบบนี้มันสมยอม(?)นะรู้มั้ยยยย
    แม่เจ้า~~~ กวางซามะมาจับเอเลนขึง(?)กันเถอะค่ะ 55555 #หลุดประเด็นตลอด!!

    แล้วคือพ่อบึกบึนอ่อนโยนมากกกกกก แม้จะเป็นการอ่อนโยนไถ่บาป(?)กลายๆ
    แต่มันก็อดรู้สึกอบอุ่นไม่ได้อยู่ดีง่ะ
    มันเป็นบาปที่ยากจะให้อภัยกันได้จริงๆ
    และมันดันมายากสุดๆเพราะมันดันไปเกี่ยวกับหัวใจอีก
    ท้ายที่สุดแล้ว หัวใจ มันเป็นอะไรที่ควบคุมไม่เคยได้จริงๆ #บ้าจริงชูกิลไตน์
    #555555ยังคงชอบที่จะเอานามสกุลแจนมาพูดโพล่งแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยแบบนี้ = _ =

    แล้วก็เพิ่งรู้สึกตัวถึงชื่อค่ะ ถ้ากวางซามะไม่ทักก็คงจะยังไม่ตั้งใจมองให้ดี
    จริงๆแปลกใจตั้งแต่พาร์ทแรกแล้วว่าทำไมชื่อเรื่องถึงมีอักษรพิมพ์เล็กพิมพ์ใหญ่ต่างกัน
    และก็เพราะไม่ยอมตั้งใจมองดีๆนั่นแหละ ถึงได้ต้องรอให้มาบอกแบบนี้ T ___ T
    แล้วก็ทำการชาบูด้วยอีกคน คือ ขนลุกจริงๆ มันมีคำว่า LIE อยู่ในคำที่มีความหมายว่าเชื่อ
    ฮืออออออออออ อะไรจะลึกซึ้งถูกใจได้ขนาดนี้!!!!!!
    ชอบบบบบบบบบบบบบบบบ #ชาบูคำนับฟ้าดินจริงจัง

    ฟิคเรื่องนี้สารภาพเลยว่าอ่านไปอ่านมาก็เกิดไม่อยากคิดมโนไปก่อนว่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ซะแบบนั้น
    บอกตรงๆว่ายังกลัว 17ฝนมันร้าวในใจสิ้นดี(?)ไม่หาย 5555555
    เลยทำหัวสมองว่างสุดๆรอให้กวางซามะซัด(?)เข้ามาให้เต็มที่เลยล่ะค่ะ
    #บางทีก็ไม่เข้าใจว่าตัวเองจะหัดพิมพ์อะไรที่มันรู้เรื่องง่ายๆบ้างเป็นไหม T _ T
    ท้ายที่สุดแล้วพ่อบึกบึนจะเป็นยังไง ยังมีเค้ารออยากรู้อยู่น้า
    เป็นกำลังใจให้กวางซามะเสมอคับ!!! รักษาสุขภาพด้วยนะคะ :)

    ปล. ดูMMDแล้วเข้าใจเลยค่ะ ว่าทำไมถึงมีฟิคคู่นี้ออกมา มันใช่เลยจริงจัง!!!! พ่อบึกบึนนนน~~~~
    ปล.อีกรอบ เก๊าก็งานยุ่งมากๆเลยเหมือนกันค่ะ ช่วงนี้มีแต่อะไรวุ่นวายมากๆแล้วก็เครียดมากๆเลย
    เพราะอย่างนั้นถ้าเก๊ามาช้าก็อย่าเพิ่งคิดว่าเก๊าจะหายไปไหนน้า
    เก๊ามาแน่นอน(?)นะคะ T [ ] T )/

    ตอบลบ
  3. ตอนแรกเฉยๆ กับคู่นี้ แต่พอได้มาอ่านบ้างมันก็เฮ้ย คู่นี้ก็มีซัมติงเยอะอยู่นา แถมตอนฝึกทหารมาด้วยกันยังมีโมเม้นเยอะด้วย เป็นคู่ซ้อมให้กัน กินด้วยกัน นอนด้วยกัน (?) มันก็ อ๊ากกกกกกก ทำคลั่งได้อีกแล้วค่ะ!

    ได้อ่านเหมือนได้ถอดแบบมาจากเนื้อเรื่องเป๊ะเลย หุหุ ถ้าจินตนาการว่าไรเนอร์คิดแบบนี้กับเอเลนอยู่ตลอดมันก็ลงล็อกพอดีเลยเนอะ *O* (พลังจิ้นแกมากมายมาก) คนอบอุ่นๆ กับคนดื้อๆ มาเจอกันเคมีก็เข้ากันไปอีกแบบ 5555

    ว่าแต่ว่า....เมะทุกคนนี่ต้องรุกรุนแรงกับเอเลนตลอด 555 มือไวใจเร็ว แหมก็อย่างว่า...หนูเอน่ารักขนาดนี้ใครจะอดใจไหวละเนอะะะะ ><

    ตอบลบ
  4. อรั้ง ๆ ๆ ๆ (((>_<)))

    เอเลนฮาอะ จะกินหัวไททัน กล้ามก็นะ มาทำเป็นรูปกระต่ายน่ารักมุ๊งมิ๊ง เข้าใจแก้สถานการณ์ดีนะคะกล้ามเนี่ย

    ชอบโมเมนท์ที่เอเลนกอดกล้ามแก้หนาวอะ ...มันอบอุ่นใช่มั๊ยหนู ...อบอุ่นไปจึงถึงขั้วหัวใจเลยใช่มั๊ยล่ะ มันจะอบอุ่นกว่านี้อีกนะ ถ้าไม่มีออฟชั่นอะไรในร่างกายเลย (((*..,,*))) เป็นอะไรที่น่ารักมากกกเลยค่ะ อบอุ่นมากถึงมากที่สุด อ่านแล้วอยากกอดคนเขียนเพิ่มความอบอุ่น (((>_<))) ไม่น่าเชื่อว่ากล้ามจะเป็นคนที่โรแมนซ์ได้ขนาดนี้

    // แอบอยากเห็นไรเนอร์หึงเอเลนรุนแรงแบบรีไวล์มั่ง ถ้าคนที่อบอุ่นขนาดนี้อยู่ในโหมดหึงเนี่ย จะเป็นไยังไงน๊า //

    พี่กวางทำให้หนูอ่านไปกลิ้งไปนอนเตะขาไป จนคนข้าง ๆ หันมามอง 555

    ขอบคุณสำหรับฟิคอบอุ่นหน่วงหัวใจแบบนี้นะคะ ถึงมันดูจะหน่วง แต่อ่านแล้วไม่อึดอัดนะ เพราะความอบอุ่นของกล้ามมันกลบไปหมดเลย >_< ชอบอ๊ะ!!!

    ตอบลบ
  5. จะอีกกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง มันก็ allำพำื อยู่ดีอะเจ้าคะ(ในความคิดเราน่ะนะ)
    แอบสนับสนุนให้คุณกวางแต่งแบบ Allเอเลน แบบหลายๆพีสักเรื่องให้เป็นบุญตาจังเจ้าคะ =w=
    แต่ถึงกระนั้นฟิคเรื่องนี้กฌโอเคเซย์เยส(?)อยู่ดีนั้นเเลเจ้าคะ~ >w<~

    ตอบลบ
  6. ตุดยอดมากเลยค่ะคุณกวาง มันม้อบแม้บอยุ่ในใจ น่ารักมากแงแอ

    ตอบลบ