Naruto Au S.Fic [Sasuke x Itachi] จะรักตลอดไป... : Special Part


Naruto Au S.Fic [Sasuke x Itachi]    จะรักตลอดไป... : Special Part

: Naruto Fanfiction Au
: Sasuke x Itachi
: Drama Incest (แหงแซะ)
: NC-17 เพราะมัน Incest และซาสึมันเกรียน!!


คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ





ทั้งๆที่ความรู้สึกมันเบาโหวง แต่ดวงตาและแขนขากลับหนักอึ้ง มีเพียงเสียงล้อเหล็กที่บดเบียดไปกับพื้นกระเบื้องยางเท่านั้นที่ได้ยินผ่านหูมา.....จะว่าได้ยินเขาก็ไม่แน่ใจนัก เพราะเสียงมันช่างฟังดูห่างไกลเหลือเกิน....


“ หมอ! ต้องช่วยพี่ชายผมให้ได้นะหมอ!!
เสียงแบบนั้นมัน........ซาสึเกะ?


“ ถ้าจะต้องใช้เลือดหรืออวัยวะภายในก็เอาของผมไป ผมเป็นน้องชายเค้า เลือดของเรากรุ๊ปเดียวกัน”
ทำไมเสียงของซาสึเกะถึงได้ฟังดูร้อนลนนัก? ปกติเจ้าน้องชายจอมเย็นชาจะไม่แสดงท่าทีแบบนั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่นไม่ใช่หรอ?


“ ขอร้องละ....ช่วยอิทาจิด้วย...”
ขอร้อง?  คนอย่างซาสึเกะน่ะหรอจะขอร้องใคร?   ทำไมกันล่ะ?


พยายามลืมตาขึ้นไปดู แต่ทว่ามันกลับไม่ยอมขยับ ราวกับว่ามันไม่ใช่ดวงตาของเขาอีกต่อไป เกิดอะไรขึ้น? ทำไมเขาขยับไม่ได้ทั้งๆที่ยังได้ยินเสียงรอบกายชัดเจนขนาดนี้....ร่างกาย....ก็เหมือนจะไม่มีความรู้สึก....


“ มีดตัดเส้นเลือดสำคัญ ทำให้มีช่วงเวลาหนึ่งซึ่งเลือดไปเลี้ยงสมองไม่ทัน ถึงแม้ว่าตอนนี้จะผ่าตัดเพื่อต่อให้แล้วเรียบร้อย และแผลที่ถูกแทงถึงจะสาหัสมากก็จริงแต่มันยังไม่น่าเป็นห่วงเท่าที่สมอง...คนไข้อาจจะต้องอยู่ในสภาพเจ้าชายนิทราแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน หมอก็ยังตอบไม่ได้....อาจจะไม่กี่วัน หรืออาจจะเป็นเดือน เป็นปี หรืออาจจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลยก็ได้....”

นั่นคือสภาพของเขาหรอ? น่าแปลก...ทั้งๆที่ควรจะรู้สึกเจ็บที่แผลแต่มันกลับไม่มีความรู้สึกใดๆ

บางทีเขาอาจจะตายไปแล้วก็ได้....


“ อิทาจิ....”
แม่หรอ? เสียงแม่....แม่กำลัง.....ร้องไห้...


“ ผมจะรอ...ต่อให้จะอีกนานแค่ไหนผมก็จะรอ...จะไม่มีการถอดท่อหายใจออก...บอกผมมา ถึงวิธีการดูแลเค้า จากนี้ไปผมจะดูแลเค้าเอง...ต่อให้อยู่ในสภาพไหน ขอแค่อิทาจิยังไม่ตายเท่านั้นก็พอ...แค่นั้นมันก็มีค่ามากพอแล้ว....มากพอที่ผมจะรอเค้าไปชั่วชีวิต”

เสียงของซาสึเกะ....มันช่างหนักแน่นจนคนที่คิดว่าตัวเองตายไปแล้วอย่างเขากลับรับรู้ได้ว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่

เพราะที่หัวใจมันอบอุ่นจนรู้สึกได้...







ถึงแม้ว่าตาจะมองไม่เห็น จมูกจะไม่ได้กลิ่น แต่หูนั้นยังได้ยิน....และประสาทสัมผัสของเขายังรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นที่ส่งผ่านมือของซาสึเกะมายังร่างกายของเขา ไม่ว่าจะแขนขา ใบหน้า หรือร่างกาย ทุกๆครั้งที่น้องชายจับต้องตัว เขารับรู้มันได้ดีทุกอย่าง


เพียงแต่ไม่อาจจะตอบโต้อะไรกลับไปได้ ไม่อาจบอกอีกฝ่ายได้ว่าเขารู้....


บรรยากาศแห้งๆสะอาดๆทำให้เขาพอจะรู้ว่าตัวเองยังนอนอยู่ที่โรงพยาบาล และตลอดเวลาอาทิตย์กว่ามานี้ ซาสึเกะแทบจะไม่ห่างไปไหน...น้องชายยังคงวนเวียนอยู่รอบๆตัวเหมือนตอนที่เขายังเป็นปกติ ทั้งๆที่คนที่อยู่ในช่วงวัยแบบนี้ไม่น่าจะทนอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมได้นานแท้ๆ แต่ซาสึเกะก็ยังเฝ้าคอยเขาอยู่


ทั้งๆที่เขาจะฟื้นหรือเปล่าก็ยังไม่รู้....แล้วหากนานวันไป...จะเบื่อบ้างไหม....กับการรอคอยที่ไม่มีจุดสิ้นสุดแบบนี้


แค่เผลอคิดก็รู้สึกราวกับขอบตาจะร้อนผ่าว



เขาอยากกลับไป......กลับไปหาซาสึเกะ



มือใหญ่ๆที่ไม่ได้อ่อนนุ่มซึ่งเขารู้ดีว่าเป็นมือของใครกำลังลูบอยู่ที่แก้ม ปลายนิ้วโป้งเกลี่ยมาที่ขอบตาของเขา....นี่น้ำตามันเผลอไหลลงไปงั้นหรอ?


และไม่นานอ้อมแขนของมือคู่นั้นก็โอบกอดลงมาก่อนจะรู้สึกว่าใบหน้าของซาสึเกะซบอยู่ที่หัวไหล่


“ ฮึก.....”
เสียงสะอื้นที่ดูเหมือนจะพยายามเป็นอย่างหนักที่จะกักเก็บมันเอาไว้ดังอยู่ใกล้ๆหูเขา แรงสั่นน้อยๆของอ้อมแขนที่กอดลงมาที่หน้าอกทำให้รู้ว่าซาสึเกะกำลังร้องไห้...


ถึงน้องชายจะขี้อ้อนแต่ก็ไม่เคยแสดงความอ่อนแอให้เขาเห็น ซาสึเกะไม่เคยร้องไห้ไม่ว่าจะเจอเรื่องเลวร้ายแค่ไหนก็ตาม...แล้วคราวนี้ที่ร้องออกมา คงเพราะสุดจะทนแล้วจริงๆ


ซาสึเกะร้องไห้เพราะเขา


ขอโทษ....


ขอโทษนะ....



อยากกลับไป....


อยากกลับไปเหลือเกิน.....




เวลาล่วงเลยผ่านไปเรื่อยๆ ดูเหมือนบรรยากาศที่เคยอึมครึมเศร้าหมองจะค่อยๆดีขึ้นมานิดหน่อย

“ อุจิวะคุง...”
เสียงของคุณหมอเจ้าของไข้ของเขาที่ได้ยินมาเป็นเดือนดังขึ้นหลังจากที่เสียงเคาะประตูหยุดลง


“ พี่ชายแผลหายสนิทแล้วนะ จะออกไปพักอยู่ที่บ้านไหม?”
บ้านงั้นหรอ?....นี่เขาจะได้กลับไปที่นั่นอีกงั้นหรอ?  มือใหญ่ของน้องชายลูบลงมาที่เส้นผมของเขาแผ่วเบา


“ ครับ”
ซาสึเกะตอบคุณหมอก่อนที่มือที่ลูบอยู่บนหัวจะย้ายมาที่แก้มของเขา น้ำเสียงอบอุ่นที่เอ่ยประโยคถัดไปออกมาทำเอาขอบตาร้อนผ่าว


“ กลับบ้านกันนะ อิทาจิ”








บรรยากาศที่คุ้นเคยทำให้รู้ว่าที่นี่คือห้องของเขาเอง และตอนนี้เขาก็กำลังนอนอยู่บนเตียงของเขาเอง


แต่ถึงแม้จะย้ายสถานที่ แต่อุปกรณ์ที่จะใช้ยื้อชีวิตแทบทุกอย่างก็ยังคงเหมือนกับตอนที่อยู่โรงพยาบาล.....เขายังต้องให้อาหารทางสายอยู่


และก็เพราะแบบนั้นแหละ เขาถึงยังต้องมีคนคอยดูแลเกือบจะตลอด 24 ชั่วโมง


“ อิทาจิ...ข้อมือเหลือแค่นี้ นายจะสู้ฉันได้ไง...”    
เสียงของน้องชายพูดเบาๆ ถึงมันจะฟังดูเป็นประโยคขำๆแต่น้ำเสียงกลับเหงาหงอย ผ้าชุบน้ำอุ่นๆถูกลูบไล้ลงมาที่มือก่อนจะไล่ขึ้นไปยังท่อนแขนจรดหัวไหล่ ซาสึเกะยกตัวเขาขึ้นช้าๆเพื่อถอดเสื้อออกแล้วผ้าผืนนั้นก็เช็ดไปตามร่างกายเขาอย่างแผ่วเบา เสื้อตัวใหม่ถูกสวมลงมาแทนที่


“ ถ้าเป็นเมื่อก่อน ขืนฉันจับนายถอดกางเกงแบบนี้คงโดนดีดหน้าผากแดงแน่ๆเลย ว่าไหม”
เนื้อผ้าถูกรูดลงไปตามเรียวขา ก่อนที่ผ้าขนหนูผืนนั้นจะลูบลงไปตั้งแต่ต้นขาจรดปลายเท้า มือของซาสึเกะจับเท้าของเขาเอาไว้ก่อนจะค่อยๆเช็ดตามง่ามนิ้วเบาๆ การกระทำที่ยิ่งกว่าดูแลแบบนี้หากเขายังเป็นปกติคงจะหน้าแดงจนยิ่งกว่าสีของเลือดแน่ๆ


และหากมีเครื่องวัดหัวใจอยู่ใกล้ๆ น้องชายก็คงจะรู้ทันที ว่าสิ่งที่อยู่ในหน้าอกซ้ายของเขา มันเต้นรุนแรงแค่ไหน


ใบหน้าคือสิ่งสุดท้ายที่ซาสึเกะเช็ดให้ ผ้าขนหนูผืนใหม่ถูกบรรจงซับลงมาตามสันจมูก ถึงจะไม่ได้กลิ่นแต่เขากลับรู้สึกว่ามันหอม ปลายนิ้วยาวเกลี่ยปอยผมไปทัดไว้ที่ใบหูก่อนจะลากไล้ผืนผ้านุ่มไปทั่วใบหน้า


“ นายรู้ไหม...ว่าทำไมฉันถึงเช็ดหน้าให้หลังสุด ทั้งๆที่มันควรจะเช็ดก่อนที่อื่น”
เสียงกระซิบนั้นฟังดูเหมือนอยู่ใกล้ และก็เพราะแบบนั้นแหละจึงไม่ต้องสงสัยว่าอะไรกำลังแนบลงมาที่ริมฝีปากของเขา


“ นั่นก็เพราะว่า...ฉันมักจะเก็บของกินที่ชอบเอาไว้กินทีหลังไง”
ทำไมเขาถึงได้รู้สึกว่าน้ำเสียงมันช่างเจ้าเล่ห์ ถ้ามือเขายกขึ้นมาได้คงจะตรงไปดีดหน้าผากใสๆนั่นไปแล้ว


มือของซาสึเกะค่อยๆจับร่างกายของเขาพลิกไปอีกข้าง ทุกๆสองหรือสี่ชั่วโมงน้องชายจะมาพลิกขยับร่างกายให้เขาเสมอ เพราะหากปล่อยให้นอนอยู่ท่าเดียวอาจทำให้เส้นประสาทถูกกดทับได้


ทั้งอาหารการกิน ทั้งกายภาพบำบัด....การที่ต้องอยู่ดูแลเขาทำให้ซาสึเกะแทบจะไม่มีเวลาทำอะไร


ในตอนแรกๆมันก็ยังไม่เป็นไร...


แต่พอนานๆเข้า....



จากวัน.....ผ่านไปเป็นเดือน.....เลื่อนไปจนเกือบปี......







“ ซาสึเกะ....”      
เสียงของแม่?


“ มาหลับอยู่ตรงนี้อีกแล้ว....เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก....”      
ทำไมเสียงของแม่ฟังดูเหนื่อยและเต็มไปด้วยความกังวลขนาดนี้

นอกจากเรื่องของเขาแล้ว แม่คงจะกังวลเรื่องของซาสึเกะด้วยสินะ ในเมื่อน้องชายแทบจะไม่ยอมห่างไปจากเขาเลย ไม่ต้องบอกก็พอจะเดาออกว่าซาสึเกะเอาแต่เฝ้าดูแลเขา...จนไม่ใส่ใจตัวเอง...





จนวันหนึ่งแม่ก็ทนต่อความกังวลใจและกักเก็บมันเอาไว้ไม่ไหวอีกต่อไป.....





“ ซาสึเกะ....แม่คงต้องคุยกับลูกให้รู้เรื่องสักที....แม่ดีใจมากๆนะที่ลูกรักพี่ขนาดนี้...แต่นี่มันผ่านมาจะเป็นปีอยู่แล้ว อิทาจิก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะฟื้นขึ้นมาเลย....แม่บอกตามตรงนะว่าตอนนี้...แม่เป็นห่วงลูกมากกว่าอิทาจิซะอีก...ดูสภาพของตัวเองบ้างสิซาสึเกะ!
เสียงของแม่สั่นเครือ....การที่จะเปล่งเสียงแบบนี้ออกมาได้ ภายในใจต้องเจ็บปวดแค่ไหนกันนะ?


แม่กำลังร้องไห้...

อยากจะลุกขึ้นไปขอโทษ....ที่เขาเป็นต้นเหตุ....เป็นต้นเหตุทุกอย่าง...เป็นคนทำให้ซาสึเกะต้องเป็นแบบนี้

อยากจะบอกแม่ว่าขอโทษ....แต่ก็ทำไม่ได้


“ แม่เสียอิทาจิไปคนนึงแล้วนะ แล้วแม่ก็จะไม่ยอมเสียลูกไปอีกคนอย่างแน่นอน....ถ้าจะต้องตัดใจจากอิทาจิเพื่อปลดปล่อยให้ลูกเป็นอิสระ แม่ก็ยอม...พอได้แล้วนะซาสึเกะ”
แม่พูดออกมาทั้งเสียงสะอื้น แต่แม่คงไม่เคยรู้ว่าลูกชายคนเล็กของตัวเองนั้นน่ากลัวกว่าที่คิด โดยเฉพาะเรื่องชองพี่ชายอย่างเขา ซาสึเกะจะไม่มีวันยอมปล่อยไปง่ายๆแน่ตราบใดที่เขายังมีชีวิตอยู่


“ หมายความว่าไง?....จะปล่อยให้อิทาจิตายงั้นหรอ?...ไม่มีวัน...ไม่....ไม่.......ไม่!!!!
เสียงของซาสึเกะนั้นแข็งกร้าวจนแทบจะไม่รู้เลยว่านี่กำลังพูดกับคนที่ได้ชื่อว่าแม่อยู่ น้ำเสียงที่ตะโกนออกมานั้นเต็มไปด้วยจิตมุ่งมั่นและความปรารถนาอันแรงกล้า


“ ถ้าคิดจะถอดท่อหายใจออก...ถ้าคิดจะเอาชีวิตของอิทาจิไปละก็....ข้ามศพผมไปก่อน!! ถ้าอิทาจิตายรับรองว่าแม่จะไม่ได้เห็นผมอีกเป็นครั้งที่สองแน่!!
น้ำเสียงของซาสึเกะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แค่ฟังจากเสียงเขาก็รู้แล้วว่าตอนนี้น้องชายกำลังโกรธจัด


ไม่ได้นะ ซาสึเกะ...ได้โปรดหยุดเถอะ...อย่าทำร้ายจิตใจแม่เพราะฉันเลย....


“ ต่อให้เป็นแม่ ผมก็ไม่ยอม....ต่อให้น้อยนิดแค่ไหน ผมก็จะยื้อลมหายใจของอิทาจิเอาไว้....”  
เสียงของซาสึเกะดุดันและสุดท้ายมันก็สั่นเครือ....

ซาสึเกะ.....นาย.........


“ ซาสึเกะ ถึงลูกจะพูดแบบนั้น”

“ หยุด!!” 
แม่คงจะตกใจในเสียงตวาดของซาสึเกะจึงนิ่งไป


“ ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้นเพราะผมจะไม่ฟัง! ก็ได้....แค่ผมไม่มีสภาพแบบนี้ใช่ไหม? แค่ผมกลับไปเป็นปกติ กินข้าวให้พอ นอนให้พอ ดูแลตัวเอง แค่นี้ใช่ไหมแม่ถึงจะยอมให้ผมดูแลอิทาจิต่อไป ก็ได้! ผมสัญญาว่าจะดูแลตัวเอง พอใจรึยัง?!
เสียงแม่เงียบหายไป แต่เขากลับรับรู้ถึงน้ำหนักที่กดทับลงมาบนร่างกายได้....สัมผัสแบบนี้...ซาสึเกะคงกำลังกอดเขาอย่างหวงแหนราวกับเด็กหวงของที่ไม่อยากให้แม่มาดึงออกไป


“ เข้าใจแล้ว....จะรอดูอีกหน่อยก็แล้วกัน....สัญญาต้องเป็นสัญญานะซาสึเกะ”
เสียงของแม่อ่อนลง แรงกดทับบนตัวเขาก็หายไปด้วย


“ ถ้างั้น ตั้งแต่วันนี้ผมจะนอนที่นี่ก็แล้วกัน ไม่งั้นคงนอนไม่ได้เต็มที่หรอก”  
เสียงของซาสึเกะก็ยอมอ่อนลงด้วยเช่นกัน


“ ปกติลูกก็นอนที่นี่อยู่แล้วไม่ใช่รึไง  งั้นก็ไปขนที่นอนมาให้มันเป็นเรื่องเป็นราวไป ไม่ใช่มานั่งสัปหงกอยู่ข้างเตียงให้แม่เป็นห่วงอยู่เรื่อย...”
ดูเหมือนซาสึเกะจะเดินออกไปตามที่บอก เพราะงั้นตอนนี้ในห้องจึงมีเพียงแม่อยู่กับเขาตามลำพัง


...ถ้าแม่คิดที่จะถอดท่อหายใจออกตอนนี้ก็คงจะง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก....


“ มีแต่ลูกคนเดียวจริงๆด้วยที่เอาซาสึเกะอยู่...”
แต่แล้วสัมผัสอบอุ่นที่ลูบลงมาบนใบหน้าเขาก็ทำให้ต้องแปลกใจ


“ ถ้าไม่เอาลูกไปขู่ ซาสึเกะคงมีสภาพไม่ต่างจากซากศพแบบนั้นไม่เปลี่ยนแน่...แม่ขอโทษนะอิทาจิที่ต้องพูดแบบนั้นออกไป...ทั้งๆที่แม่กับพ่อไม่เคยคิดที่จะปล่อยให้ลูกตายไปจริงๆหรอก”
ถ้อยคำที่พร่ำบอกออกมาทำให้เขารู้สึกสั่นพร่า...ถ้าดวงตายังลืมอยู่ละก็....น้ำใสๆมันก็คงจะไหลลงไปเป็นทางแล้วแน่ๆ

แม่.......ขอบคุณครับ...









“ ผมจะเป็นหมอ”
เสียงถาดร่วงกระทบพื้นดังก้องไปทั่วห้อง


“ ว่าไงนะซาสึเกะ?!
แม่คงเผลอตะโกนออกมาเพราะไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองแน่ๆ ขนาดเขาเองยังอดที่จะประหลาดใจในการตัดสินใจของน้องชายไม่ได้


“ ก็บอกแล้วไงล่ะว่าจะเป็นหมอ...”
ปกติซาสึเกะตั้งใจเรียนซะที่ไหน โดดได้เป็นโดด แต่ถึงแบบนั้นคะแนนสอบก็ยังได้ที่หนึ่งของชั้นปีทุกที....เพราะงั้นเรื่องสมองคงไม่มีปัญหา....แต่ว่าไอ้ที่น่าเป็นห่วงกว่าก็คือเจ้าคนที่ได้ชื่อว่าเด็กอันตรายหมายเลขหนึ่งของโรงเรียนแบบนี้น่ะหรอ จะเป็นหมอกับเขาได้?


“ ถึงจะอยู่ในสภาพเจ้าชายนิทรา...แต่ผมไม่เชื่อว่าจะไม่มีทางรักษา”
เป็นเพราะเขางั้นหรอ?!....ซาสึเกะตัดสินใจจะกลับมาใช้ชีวิตเป็นผู้เป็นคนขึ้นมา เพราะพี่ชายที่ไม่ได้เรื่องแบบเขาน่ะหรอ

ซาสึเกะ....





จากวันนั้นมาก็ดูเหมือนแม่จะเห็นดีเห็นงามด้วยทุกประการ....ตั้งแต่ที่เขานอนหลับอยู่แบบนี้ ซาสึเกะก็แทบจะไม่ได้ออกไปมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับใครอยู่แล้ว ยิ่งพอตัดสินใจจะสอบเข้าคณะแพทย์....เจ้าน้องชายขี้อ้อนเลยยิ่งอยู่ติดบ้านเข้าไปใหญ่

ทุกๆวันเขาจะได้ยินเสียงพลิกหน้ากระดาษไปมา ซาสึเกะคงกำลังอ่านหนังสืออย่างตั้งอกตั้งใจ  ทั้งๆที่เขาควรจะลุกไปเตรียมน้ำเตรียมขนมมาให้...แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านอนฟังอยู่เฉยๆแบบนี้เลย

เสียงหนังสือปิดลงก่อนที่เสียงทุ้มจะเรียกเขาเบาๆอย่างที่เรียกอยู่ทุกวัน ทุกเวลา ที่ซาสึเกะจะนึกขึ้นได้

“ อิทาจิ....”
แต่คราวนี้มีสัมผัสนิ่มๆแตะลงมาที่ริมฝีปากแถมให้ด้วย


“ ฉันจะเอานายกลับมาให้ได้...สัญญาเลย”
ถึงจะเป็นแค่เสียงกระซิบ แต่ทำไมเขาถึงรับรู้ถึงความหนักแน่นในทุกคำพูดนั้นได้อย่างชัดเจน


ถ้าตอนนี้ถามเขาว่า ใครที่รักและต้องการเขามากกว่าใคร


เขาคงจะตอบว่า “ซาสึเกะ”  อย่างไม่ลังเล...


นายพิสูจน์ให้ฉันเห็นแล้วจริงๆ ว่าคนที่รักฉันมากมายยิ่งกว่าใคร คือนายเอง







“ อิทาจิ...ฉันสอบติดแล้วนะ”     
น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยบอกเบาๆราวกับไม่ได้ดีใจอะไรมากมายนัก ไม่ใช่ว่าไม่ดีใจหรอก แต่คนอย่างซาสึเกะคงจะมั่นใจอยู่แล้วละว่าจะสอบเข้าได้แน่ๆ....ก็ถ้าเป็นเรื่องของเขา...ไม่มีอะไรที่ซาสึเกะทำไม่ได้นี่นะ


“ ซาสึเกะ!! คะแนนสอบเข้าเป็นที่หนึ่งของคณะด้วยใช่ไหม โอ้ย...แม่จะต้องยิ้มยังไงดีเวลาเพื่อนบ้านมาทักเนี่ย”
แม่เปิดประตูเข้ามาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจเสียยิ่งกว่าเจ้าคนที่สอบได้เองตั้งไม่รู้กี่เท่า รู้สึกว่าแม่จะเข้ามากอดลูกชายคนเล็กแน่นจนเจ้าตัวร้องอู้อี้


“ เดี๋ยวแม่โทรบอกพ่อก่อนนะ อ้า....”
นั่นคือคำพูดสุดท้ายที่แม่ทิ้งเอาไว้ ก่อนจะวิ่งดีใจออกไปเป็นเด็กๆ


“ ผมยาวแล้วนะอิทาจิ...ตัดออกบ้างดีไหม?”
และก็แทนที่เจ้าน้องชายจะไปฉลองที่ไหน แต่กลับมานั่งลูบผมของเขาอยู่แบบนี้....ไม่นานก็รู้สึกว่าร่างกายถูกจับให้นั่งพิงกับหมอน  เส้นผมถูกสางเบาๆด้วยหวีในมือของซาสึเกะ


เสียงกรรไกรดังอยู่ใกล้ๆใบหน้า เส้นผมที่ร่วงลงมาละไปตามแก้มจนรู้สึกได้ ปลายนิ้วของน้องชายปัดเศษผมออกให้อย่างเบามือ


“ ทั้งๆที่ฉันห้ามนายตัดผมแท้ๆ แต่ต้องมาเป็นคนตัดให้เองแบบนี้ ปวดใจชะมัด”
ซาสึเกะน่าจะพูดทั้งรอยยิ้ม เพราะเขารู้สึกได้ถึงน้ำเสียงที่อบอุ่น เส้นผมที่ยาวลงไปเคลียแผ่นอกถูกมือของซาสึเกะสางเบาๆ ก่อนที่เสียงกรรไกรจะดังขึ้นอีกแถวๆปลายผม


“ อนุญาตให้ตัดออกแค่นิ้วเดียวพอ”
เส้นผมถูกสางอย่างทะนุถนอมอีกครั้งก่อนที่เสียงกรรไกรจะวางลงที่โต๊ะข้างเตียง น้ำเสียงถือสิทธิ์แบบนั้นมันทำให้เขานึกหมั่นไส้ขึ้นมานิดๆ แล้วก็ถ้าจะตัดออกแค่นิ้วเดียวแบบนี้ ไม่ต้องตัดเลยเสียยังดีกว่า...นี่คงไม่ได้หาเรื่องจับผมเขาเล่นเฉยๆหรอกนะ?


ร่างกายถูกน้องชายจับให้นอนลงอีกครั้ง ก่อนที่จะรู้สึกถึงอะไรบางอย่างซุกลงมาแถวๆหน้าท้อง....หัวของซาสึเกะ?


“ อยากนอนหนุนตักนายจัง....แต่ตอนนี้ยังทำไม่ได้....เพราะงั้นนะ ในระหว่างที่เรียนอยู่ฉันจะพยายามหาวิธีรักษานายไปด้วย...รอก่อนเถอะ”
ต้นประโยคก็ฟังดูซึ้งดีอยู่หรอกนะ แต่ไอ้คำที่เหมือนจะขู่หน่อยๆท้ายประโยคนี่มันยังไงกันแน่? ถ้าเขาหายแล้วจะเจออะไรแบบนั้นใช่ไหม?


แล้วซาสึเกะก็ทำจริงๆอย่างที่พูด


เพราะทุกวันที่น้องชายกลับมาจากมหาวิทยาลัย เขาจะได้ยินเสียงหนังสือหนักๆวางลงที่โต๊ะ ฟังจากน้ำหนักแล้วมันน่าจะเล่มใหญ่ไม่ใช่เล่น....ซาสึเกะอ่านหนังสือจนดึกดื่นทุกวัน ต่อให้ปิดเทอมก็ยังคงอ่าน ยิ่งอยู่ปีสูงขึ้นเรื่อยๆ บางครั้งเขาก็ได้ยินเสียงน้องชายคุยโทรศัพท์กับใครบางคนเรื่องเกี่ยวกับการวิจัยสมอง


ซาสึเกะเลือกเรียนไปสายที่เกี่ยวกับสมองโดยเฉพาะ



แล้ววันหนึ่ง ซาสึเกะก็เปิดประตูพรวดพราดเข้ามา จังหวะการวิ่งฟังดูก็รู้แล้วว่าไม่ปกติ สองมือของซาสึเกะจับอยู่ที่ขอบเตียงพร้อมกับเสียงหอบหายใจหนักหน่วง....วิ่งมางั้นหรอ?


“ อิทาจิ....แฮ่ก...แฮ่ก...”
ถึงแม้ว่าลมหายใจจะยังไม่เข้าที่ แต่น้องชายก็พยายามจะพูดออกมา ดูเหมือนว่าในน้ำเสียงจะแฝงเอาไว้ด้วยความตื่นเต้นดีใจยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ขนาดตอนสอบติดหรือเรียนจบยังไม่ดีใจขนาดนี้เลย


“ ฉันทำได้แล้ว...ฉันทำสำเร็จแล้ว ฉันรักษานายได้แน่ๆอิทาจิ จากงานวิจัยของฉัน นายต้องฟื้นขึ้นมาแน่ๆ”
เป็นเรื่องของเขา?....ที่ทำให้ซาสึเกะดีใจขนาดนี้


ความอุ่นวาบไหลท่วมไปทั่วหัวใจอีกครั้ง


ที่เขาดีใจไม่ใช่เพราะซาสึเกะบอกว่าสามารถรักษาเขาได้ แต่ที่ดีใจก็เพราะไม่ว่าเมื่อไหร่ซาสึเกะก็เห็นเขาเป็นที่หนึ่งเสมอ


แปดปีมาแล้วนะ....


แปดปีมาแล้วที่เขาได้เห็นความรักที่คงเส้นคงวาจนน่าทึ่งของ อุจิวะ ซาสึเกะ....




เขาถูกย้ายกลับไปโรงพยาบาลอีกครั้งเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการผ่าตัดที่ราวกับปาฏิหาริย์


ไฟในห้องผ่าตัดถูกเปิดขึ้นก่อนที่เสียงฝีเท้าหลายคู่จะก้าวเข้ามา


ฝ่ามือที่คุ้นเคยลูบแผ่วเบาอยู่บนแก้มของเขาราวกับจะขออนุญาต


แปดปีเต็มๆ ที่ถูกยื้อชีวิตเอาไว้ในสภาพเจ้าชายนิทรา....


และในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ซาสึเกะก็จะเป็นคนจุมพิตให้เจ้าชายนิทราลืมตาขึ้นมา...


ฉันเชื่อใจนาย.....


ซาสึเกะ....


และฉันจะตื่นขึ้นมาพิสูจน์ให้นายเห็น....ว่าฉันไม่ได้โกหก....


ที่บอกว่าจะรักนายตลอดไป....ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม......



.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

จะรักตลอดไป...

FIN…





จะฟินซักกี่รอบถึงจะพอใจยะเรื่องนี้ ฮี่ๆๆ

หลังจากที่แต่งฟิคไม่ได้มากว่าสองอาทิตย์ เพราะพี่เบียของลูเคีย  วันนี้สภาพจิตเริ่มเข้าที่(?)เลยขอเคลียร์ของขวัญที่ติดเค้าไปทั่วก่อน ^ ^” (ได้ข่าวว่าเดือน 8 นี่เข้าขั้นกระอักเลือดได้ เดือน 7 ก็ยังค้างไว้มิใช่น้อย แล้วที่สำคัญ เดือน 9!!! ปกติของคนนั้นต้องใช้เวลาครึ่งเดือนในการแต่งเป็นอย่างน้อยเลยนะ!!!)



สุขสันต์วันเกิดนะจ๊ะ ซาสึเกะ!!!


ขอให้ อ.คิชิรัก อ.คิชิหลง (แค่นี้อ.ยังรักซาสึเกะไม่พอใช่ไหม! ถึงขนาดใครๆก็เรียกว่าเด็กเส้นเนี่ย!) ขอให้เกรียนต่อไป(มี๊ชอบหล่อว์เลว คึหึหึ)และได้ค้นพบความจริงที่ตามหา พี่ชายฟื้นคืนกลับมาสู่อ้อมอกนะจ๊ะ (สาธู๊วววว อานิสงค์แม่ยกเลยนะนั่น เหอ) ไปเปิดไดอารี่เขียนมือเมื่อสมัย 6-7ปีก่อน...ไมมีแต่ซาสึเกะวะ?!...แถมตรูก็เพ้อใช้ได้เลยนะเนี่ย ^ ^” (เพิ่งรู้ตัวเร๊อะ!)

มาพูดถึงฟิคกันมั่ง….อาจจะมุมมองแปลกนิดนึงสำหรับตอนนี้ ที่เขียนโดยใช้มุมมองของคนที่นอนนิ่งๆอยู่อย่างอิทาจิ มันมีแรงบันดาลใจค่ะ ^ ^ เคยอ่านเรื่อง “ฤดูร้อน ดอกไม้ไฟ และร่างไร้วิญญาณของฉัน”   ของโอตสึ อิจิ ไหมคะ น่านแหละ...อยากลองแต่งโดยใช้มุมมองแบบนั้นบ้าง ในเรื่องนั้นคนเล่าเรื่องเป็น “ศพ” ค่ะ เป็นคนตายแล้วแล้วโดนหิ้วไปหิ้วมาเพราะเหตุการณ์อะไรบางอย่างนี่แหละ ตอนที่อ่านจบนี่ถึงขั้นวางหนังสือไว้ตรงหน้าแล้วก้มลงกราบเลยอ่ะ แต่งออกมาได้ยังง๊ายยยยย เป็นนักเขียนในดวงใจเลยค่ะคนนี้ มุมมองแต่ละเรื่องนี่สุดยอดมากๆๆๆอ่ะ (โดยเฉพาะ GOTH)

ส่วน “จะรักตลอดไป” นี่ ความจริงแล้วยังมีตอนพิเศษต่อจากนี้ไปอีกนะที่จิ้นไว้ (น่าน) ไว้มีโอกาสอาจจะแต่งมาอีกกะได้ แหะแหะ

แล้วเจอกันเรื่องหน้าค่า







1 ความคิดเห็น:

  1. ชอบมากๆๆๆๆๆๆๆเลยค่ะ!!!
    อยากจะให้แต่งต่ออีกจัง
    ขอบคุณสำหรับความฟินนะคะ^^

    ตอบลบ