Psycho Pass. OneShot.Fic [Kogami x Ginoza] ชื่อ...ของสัตว์ที่ไร้นาม : หมายเลขสามสิบสอง [END]



Psycho Pass. OneShot.Fic [Kogami x Ginoza]    ชื่อ...ของสัตว์ที่ไร้นาม : หมายเลขสามสิบสอง [END]

: Psycho Pass  Fanfiction
: Kogami Shinya x Ginoza Nobuchika
: Bitter Romance
: NC-17


คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ








เสียงเอี๊ยดๆของแรงเสียดสีระหว่างน็อตที่ถูกขันใส่เข้าไปยึดในอะไหล่รถดังขึ้นเป็นระยะๆ นัยน์ตาที่เคยอยู่ภายใต้กรอบแว่นจ้องมองแผ่นหลังกว้างที่ก้มๆเงยๆอยู่ที่กระโปรงรถยนต์โบราณคันสีแดง  แขนเสื้อเชิ้ตสีขาวถูกพับขึ้นไปจนถึงข้อศอก ใบหน้าคมมีคราบน้ำมันติดอยู่เป็นหย่อมๆ ถึงแม้จะดูมอมแมมแต่นั่นกลับเป็นภาพที่ทำให้เขาเผลอยิ้มออกมา


ไม่เคยคิดไม่เคยฝันมาก่อนเลย...ว่าชีวิตที่ตั้งใจใช้มาอย่างดีจะมาจบลงในรูปแบบนี้

ทั้งๆที่ตั้งใจเอาไว้...ว่าต่อให้ตายเขาก็จะไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองกลายเป็นอาชญากรแบบพ่อ...ต่อให้ต้องอยู่คนเดียว ต่อให้ไม่มีใครรักก็ตาม

แล้วดูตอนนี้สิ....เขากลายเป็นอาชญากร....เพราะแก้แค้นให้พ่อ....เขาต้องหนี ต้องหลบๆซ่อนๆแต่ก็ไปกับคนรัก

ถึงจะรู้ว่าทางข้างหน้าคงจะมีแต่ความลำบาก แต่เป็นเพราะมีโคงามิอยู่ มันทำให้เขาไม่รู้สึกกลัวกับการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้

ถึงจะรู้ว่าคงอยู่ในญี่ปุ่นไม่ได้อีก รู้ว่าจะต้องระหกระเหินไปในสถานที่ในสังคมที่ไม่คุ้นเคย แต่กลับไม่รู้สึกกลัวเลยแม้แต่นิดเดียว


“ แกคิดว่าจะใช้รถนั่นหนีออกนอกประเทศได้หรือไง?”        เมื่อเสียงเอ่ยออกไปใบหน้าคมจึงหันกลับมายิ้มให้ ในหัวยุ่งๆนั่นคงจะคิดแผนอะไรเอาไว้อยู่แล้ว

“ เปล่า....เราแค่จะใช้มันไปท่าเรือฟุชิกิ ที่ทาคาโอกะ”       มือใหญ่ยังคงขันน็อตต่อไป ใบหน้าคมนั่นดูไม่มีวี่แววของความอ่อนล้าหรือท้อแท้เลยแม้แต่น้อย โคงามิยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย ดวงตาสีดำคู่นั้นยังคงไม่สะทกสะท้านต่อสิ่งใดเหมือนเช่นเคย

มันเลยทำให้เขาคิด....ว่าที่พวกเขาต่างยังสบายใจในการหลบหนีอยู่แบบนี้....มันเป็นเพราะพวกเขาอยู่ด้วยกัน...รู้....ว่ายังมีกันและกันอยู่แบบนี้หรือเปล่านะ?

เพราะหากว่าต้องเผชิญกับเรื่องนี้ตามลำพัง....เขาเองก็อาจจะยอมถูกจับกลับไปรับโทษอยู่ในสถานกักกันนั่นไปแล้ว...และโคงามิเองก็คงไม่คิดจะดิ้นรนให้มีชีวิตรอดต่อไปหลังจากฆ่ามาคิชิมะได้แบบนี้


" ท่าเรือฟุชิกิ......"        แค่โคงามิพูดออกมาเท่านั้นเขาก็เข้าใจได้ในทันที....ว่าหมอนั่นตั้งใจจะพาเขาหนีไปที่ไหน....ประเทศญี่ปุ่นนั้นเป็นเกาะ....การจะหนีออกนอกประเทศโดยที่การตรวจจับหละหลวมที่สุดก็คงมีแต่ทางเรือเท่านั้น....และในเมื่อโคงามิเลือกที่จะไปท่าเรือฟุชิกิแทนที่จะไปท่าเรืออื่นๆที่มีอยู่ทั่วเกาะญี่ปุ่น

ปลายทางก็คงจะหนีไม่พ้น...

เมืองท่า...วลาดิวอสต็อก...ประเทศรัสเซีย


“ รัสเซียงั้นหรอ?”      คำพูดแผ่วเบาหลุดออกมาจากริมฝีปากสีระเรื่อให้ใบหน้าคมยิ้มน้อยๆทั้งๆที่ยังไม่ละออกมาจากเครื่องยนต์ตรงหน้า....สมแล้วที่เป็นตำรวจ...อย่างน้อยๆในหัวของกิโนสะก็มีแผนที่และรู้เส้นทางของพวกอาชญากรเป็นอย่างดี

“ อื้อ....ก็นายอยากเลี้ยงไซบีเรียนซักฝูงนึงไม่ใช่หรอ?”      ใบหน้าคมเงยขึ้นมาเอ่ยหยอกเย้า ทำเอาใบหน้าเรียวถึงกับผงะไป  ในใจกำลังนึกถึงคำพูดน่าโมโหของเจ้าพ่อบ้าที่เคยหยอกเขาเมื่อนานมาแล้ว....และมันทำให้รู้สึกเสียใจที่ต้องมากลายเป็นอาชญากรเพราะคนแบบนั้นขึ้นมาทันที




นี่โค...ลูกชายตัวเล็กๆของชั้นน่ะเคยฝันว่าอยากจะไปเลี้ยงไซบีเรียนฮัสกี้ที่ใช้ลากเลื่อนเป็นฝูงๆอยู่ที่รัสเซียด้วยนะ....เรียกคุณพ่อๆกอดคอหมาที่เลี้ยงเอาไว้แล้วเล่าให้ฉันฟัง น่ารักมากๆเลยละ...อ่า...ถ้าสต๊าฟให้ตัวแค่นั้นตลอดไปได้ก็ดีสิน้า




มือบางสั่นพั่บๆกำแน่นอยู่บนหน้าตักอย่างนึกเคือง....ไม่เห็นจะจำได้เลยว่าเขาเคยเป็นแบบนั้นด้วย!

ว่าแต่เจ้าโคงามิคงจะไม่ได้ถือเป็นจริงเป็นจังกับคำพูดพวกนั้นหรอกนะ?! ถะ ถึงแม้ว่าหมาพันธ์ไซบีเรียนมันจะน่ารักดีก็เถอะ.....ใบหน้าร้อนผ่าวได้แต่เสมองไปที่อื่น....แต่พอพูดถึงหมาขึ้นมามันก็ทำเอานึกห่วงเจ้าโคยะที่ไม่รู้ว่าตอนนี้จะยังปลอดภัยดีหรือเปล่า?

ที่คอนโดของเขาเองก็คงจะถูกรื้อค้นทุกซอกทุกมุมแน่ๆ

“ นี่โคงามิ.....”      ถึงจะรู้ว่ามันเป็นการเอาแต่ใจและอันตรายเกินไปสำหรับช่วงเวลาที่ถูกไล่ล่าอยู่แบบนี้ แต่ว่า....

“ หื๋อ?”        ใบหน้าคมละจากเครื่องยนต์เมื่อเห็นว่าเขานิ่งเงียบไป

“ คือ......”        แต่จนแล้วจนรอดก็เหมือนคำพูดมันจะจุกอยู่ที่ลำคอ...ถึงจะมีค่าสัมประสิทธิ์อาชญากรรมเข้าขั้นอาชญากรไปแล้ว แต่ไอ้เรื่องที่จะให้พูดสิ่งที่ใจคิดอยู่ออกไปเนี่ย...มันก็ยังทำไม่ได้เหมือนเคย...จะให้พูดเอาแต่ใจกับโคงามิ...ทำไมมันทำไม่ได้สักที

“ ว่าไงกิโนะ?”       ร่างสูงใหญ่ยืนเต็มความสูงมองมาด้วยสายตาสงสัย

“ ปะ เปล่า...ไม่มีอะไร”        ใบหน้าได้แต่เสมองลงไปที่พื้นอย่างนึกหงุดหงิดตัวเอง ก็แค่พูดออกไปว่าอยากให้ไปรับโคยะ....พูดเอาแต่ใจตัวเองกับโคงามิ....กับคนที่เป็นคนรัก...ยังจะต้องอาย จะต้องกังวลอะไร

ทำไม่ได้....จนแล้วจนรอดก็ทำไม่ได้....

ใบหน้าเรียวถอนหายใจก่อนจะก้มหน้าจมอยู่ในความมืดมน จนอีกคนได้แต่ยิ้มน้อยๆ ร่างสูงใหญ่ก้มลงไปจัดการกับอะไหล่ในกระโปรงรถต่อ แต่คำพูดที่ริมฝีปากรสบุหรี่เอ่ยออกมาก็ทำให้กิโนสะถึงกับนัยน์ตาเบิกกว้าง

“ อ่า....อีกเดี๋ยวก็จะเสร็จแล้วละ....แล้วเราค่อยไปรับเจ้าลูกหมานั่นด้วยกันนะกิโนะ”         ริมฝีปากสีระเรื่ออ้าออกเล็กๆ นัยน์ตาที่เคยอยู่ภายใต้กรอบแว่นซึ่งเบิกค้างค่อยๆหรี่ลงก่อนจะสั่นไหวน้อยๆ.....

รู้สึกเหมือนกับว่าที่หัวใจกำลังได้รับการเยียวยาจนเกือบจะหายดีภายในชั่วพริบตา



เสียงเครื่องยนต์ดังขึ้นหลังจากโคงามิลองไปสตาร์ทดู เห็นหัวยุ่งๆนั่นก้มๆเงยๆเช็คอะไรต่อมิอะไรจนเรียบร้อยก่อนที่เสียงทุกอย่างจะเงียบลง กระโปรงรถถูกปิดจนได้ในที่สุด

“ เตรียมใส่เสื้อผ้าได้แล้วนะกิโนะ”        ใบหน้าคมเงยขึ้นมาส่งสายตาหยอกเย้าให้กับร่างโปร่งบางที่ผงะไปทันทีที่ริมฝีปากรสบุหรี่เอ่ยจบ ใบหน้าของกิโนสะงอง้ำก่อนจะเสไปที่อื่นด้วยรอยแดงระเรื่อบนแก้ม

“ ยะ อย่ามาพูดเหมือนชั้นนั่งแก้ผ้าอยู่สิเจ้าบ้าโคงามิ!”        ถึงจะไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วละ นัยน์ตาสีดำไล่มองร่างโปร่งบางตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า....เป็นเพราะว่าพวกเขาไม่ได้มีเสื้อผ้าสำหรับใช้เปลี่ยน  แล้วทั้งเสื้อทั้งกางเกงของกิโนะก็โชกไปด้วยเลือด จะให้หลบหนีด้วยชุดนั้นมันก็คงไม่ไหว เขาเลยต้องเอามันไปซักให้....และตอนนี้ร่างโปร่งบางนั้นก็นั่งอยู่บนเก้าอี้โดยมีเสื้อแจ็กเก็ตสีน้ำเงินของกรมความปลอดภัยคลุมไหล่อยู่แค่ตัวเดียว

ถึงแม้ว่าท่อนล่างจะมีสูทของเขาปิดอยู่ แต่เรียวขาขาวที่โผล่ออกมาก็ทำเอาต้องตั้งสมาธิอย่างแรงเลยล่ะกว่าจะประกอบเจ้ารถนี่จนเสร็จได้

ถึงจะรู้ดีว่าไม่ควรคิดอะไรกับคนป่วย...แต่ถ้าเจ้าคนป่วยนี่จะยั่วโดยไม่รู้ตัวแบบนี้ละก็.....เขาก็ไม่น่าจะผิดถ้าคิดจะทำอะไรคนป่วย?

“ ละ แล้วก็...........”        เสียงตะกุกตะกักดังออกมาจากใบหน้าแดงระเรื่อ มือขวาของกิโนสะที่ไม่ได้บาดเจ็บลูบเบาๆไปที่แขนเทียมข้างซ้ายซึ่งถูกผ้าคล้องกับเอาไว้กับลำคอ

“ อ๊ะ! ลืมไปว่านายใส่เองไม่ได้นี่นะ”        ใบหน้าเรียวยิ่งแดงหนักกว่าเก่าก่อนจะบ่นขมุบขมิบแล้วหันหน้าหนีสายตาเจ้าเล่ห์ที่เขาส่งไปให้  ตอนนี้กิโนะยังทำอะไรเองไม่ได้เพราะงั้นไม่ว่าจะถอดหรือใส่ก็ต้องให้เขาทำให้

ขายาวเดินไปที่ราวตากผ้าก่อนจะหยิบเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกง เนคไท และสูทสีดำเข้ารูปกลับมา....คงต้องบอกว่าแจ็คเก็ตสีน้ำเงินของกรมความปลอดภัยที่เอาไว้ให้พวกผู้สังเกตุการณ์ใส่นั้นมันมีคุณสมบัติที่ดีเยี่ยมเลยละ ถึงมันจะปกป้องกระดูกแขนของกิโนะเอาไว้ไม่ได้แต่หากไม่ใช่น้ำหนักกดทับมหาศาลขนาดนั้น รับรองว่าแขนของกิโนะคงไม่ต้องถูกตัดแน่...เพราะตอนนี้แม้แต่แขนเสื้อเชิ้ตก็ยังไม่มีรอยฉีกขาดเลยสักนิด...เรียกว่าแรงดึงทำอะไรมันไม่ได้เลยจริงๆ


แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็จะต้องทิ้งเสื้อแจ็คเก็ตสีน้ำเงินนั่นไป.....


สองมือใหญ่ค่อยๆบรรจงถอดเสื้อแจ็คเก็ตออกจากไหล่บาง  ร่างโปร่งตอนนี้จึงมีเพียงกางเกงชั้นในตัวเดียวเท่านั้นที่ปิดบังร่างกายอยู่และใบหน้าเรียวก็แดงเถือกอย่างไม่ต้องสงสัย

นัยน์ตาสีดำมองลามเลียไปตามร่างกายขาวผ่องที่ตอนนี้ติดจะซีดไปเล็กน้อย ถึงแม้ว่าที่แขนซ้ายจะทำให้ปวดใจอยู่บ้างแต่ร่างกายของกิโนะก็กำลังทำให้เบื้องล่างรู้สึกอยากจะตื่นขึ้นมา

ถึงแม้ว่าหน้าตาของเขาจะยังเฉยเมย แต่กิโนะคงรู้สึกได้จากสายตาราวกับหมาป่าที่จ้องมองลงไปตามร่างกายของตัวเอง ปลายเท้าจึงกระดุ้งเข้าที่ข้อขาของเขาให้รู้สึกตัว

มือจึงยื่นไปหยิบเสื้อที่กองอยู่บนโต๊ะ ก่อนที่จะค่อยๆจับปลายแขนเทียมใส่เข้าไปในแขนเสื้อเชิ้ตตัวบาง ถึงใบหน้าเรียวจะนิ่วหน้าไปบ้าง แต่ก็จัดการใส่มันจนสำเร็จจนได้ และแขนขวาก็ตามเข้าไปอยู่ในแขนเสื้อได้ไม่ยาก...ไอ้ตรงที่จะยากก็คือกระดุมนี่แหละ.....

เปล่าหรอก...การติดกระดุมให้คนอื่นไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่การติดกระดุมให้ “กิโนสะ” ต่างหากที่ทำเอาเขาต้องกัดฟันทน ทั้งยอดอกที่โผล่ให้เห็นรำไร ทั้งหน้าท้องแบนเรียบน่าซุกไซร้....

แล้วใครมันจะไปทนได้.....


“ นี่......กิโนะ.....”         ใบหน้าเรียวเงยขึ้นมามองใบหน้าคมที่จ้องมาตรงๆ ก็ไอ้ใบหน้าแบบนี้ของโคงามิมันไว้ใจได้เสียที่ไหน...

“ มี SEX กันซักรอบก่อนไปดีไหม?”       นั่นไงมือบางรีบยันใบหน้าราวกับปลาตายนั่นออกไปโดยไว...ทั้งๆที่เขาไม่กล้าจะพูดจาเอาแต่ใจกับหมอนั่นแท้ๆ แล้วดูที่เจ้าโคงามิพูดกับเขาสิ!

“ งั้น...ขอกัดเอาไว้ทีนึงได้ไหม...”       นัยน์ตาสีดำมองมาที่ต้นคอของเขา ถึงจะไม่ยอมตอนนี้แต่โคงามิก็คงตื้อทำจนได้....ยอมๆไปซะจะได้ไม่ไปทำรุ่มร่ามที่อื่น

ใบหน้าเรียวจึงพยักลงส่งๆไป อีกคนจึงยิ้มอย่างดีใจจนเขาเห็นหางสีดำฟูๆกระดิกไปมาอยู่ข้างหลังเลยละ

ใบหน้าคมยื่นเข้ามาใกล้ต้นคอก่อนที่ลิ้นร้อนจะแล่บออกมาเลียเบาๆให้เขาเผลอหลับตาแน่น  ใบหน้าเอียงไปอีกข้างให้โคงามิฝังริมฝีปากลงมาได้ถนัดๆ แรงกดจูบขบเม้มทำเอาร่างทั้งร่างสั่นสะท้าน ใบหน้าคมยังคงฝังอยู่อย่างนั้น ต่อให้คิสมาร์คจะปรากฏขึ้นมาบนต้นคอของเขาแล้วก็ตาม

“ โคงามิ?!”       เสียงดุเรียกเตือนให้ใบหน้าหงอยๆถอยออกมา 

“ ไม่ต้องมาทำหน้าแบบนั้นเลย ไอ้หมาเจ้าเล่ห์!

“ จูบด้วยได้ไหม?”

“ พอเลย....ไปกันได้แล้ว!”        จะหนีกันไม่รอดก็เพราะหมอนี่นี่แหละ!

และกว่ากางเกงจะถูกสวมจนเสร็จคิสมาร์คอีกสองรอยก็ฝังอยู่บนต้นขาด้านในจนได้

“ เชื่อมันเลยจริงๆ”       คำบ่นเบาๆเอ่ยออกมาจากริมฝีปากที่กำลังคลี่ยิ้มน้อยๆ มือที่เหลืออยู่ข้างเดียวยกกรอบรูปขึ้นมาก่อนจะพยายามเปิดมันออก

ถ้าแค่รูปในกรอบละก็....เขาก็พอจะพกมันติดตัวได้อยู่หรอกนะ...


ร่างโปร่งเดินออกจากเซฟเฮ้าส์ก่อนจะเปิดประตูรถเข้าไปนั่งลงที่เบาะข้างคนขับ เสียงปิดประตูม้วนดังขึ้นเมื่อโคงามิดึงมันลงมา นัยน์ตาที่เคยอยู่ภายใต้กรอบแว่นเหม่อมองมันพรางนึกถึงคนที่สร้างมันขึ้นมา....ผู้ชายคนนั้นคงไม่เคยคิด...ว่าวันหนึ่งลูกชายที่เฝ้าทะนุถนอมมาอย่างดีอย่างเขา...จะต้องมาใช้เซฟเฮ้าส์แห่งนี้

เสียงปิดประตูรถฝั่งคนขับดังขึ้น เรียกให้ใบหน้าเรียวละออกมาจากเซฟเฮ้าส์ที่พวกเขาจำเป็นจะต้องทิ้งมันเอาไว้ข้างหลัง

ไฟหน้ารถกระพริบติดขึ้นในความมืด...ถึงแม้ว่าแสงของมันจะไม่ได้สว่างเจิดจ้า แต่ก็คงจะพาพวกเขาวิ่งผ่านหนทางที่มืดมนนี้ไปได้

“ ไปกันเถอะกิโนะ”        รถยนต์โบราณคันสีแดงออกตัวช้าๆ นัยน์ตาของพวกเขาทั้งคู่ต่างก็มองตรงไปข้างหน้า....ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็จะฝ่ามันไปให้ได้!





“ แล้วจะเอายังไงกับเจ้าโคยะ?”        ใบหน้าเรียวเอ่ยถามทั้งๆที่สายตายังคงมองตรงไปข้างหน้า

“ ถ้าชั้นคิดไม่ผิด...เจ้าลูกหมานั่นจะต้องยังอยู่ที่คอนโดของนายแน่ๆ....เวลาแค่วันสองวันพวกกรมความปลอดภัยน่าจะไปวุ่นกับเรื่องอื่นมากกว่าเรื่องมาจัดการกับหมานะ...สมัยนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะเอาไปกำจัดหรือหาที่อยู่ใหม่ให้ได้ง่ายๆเสียด้วย ยังไงก็ต้องให้มันอยู่ที่นั่นไปก่อนน่ะแหละ”       

“ แกคิดที่จะบุกเข้าไปในคอนโด....ซึ่งอยู่ติดกับกรมความปลอดภัยแบบนั้นน่ะหรอ?”       ใบหน้าเรียวเอ่ยออกไปด้วยสายตาที่ยังนิ่งเฉย...น่าแปลก...ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงจะโวยวาย แต่ไม่รู้ทำไมตอนนี้ถึงกลับคิดว่ามันเป็นไปได้....

“ สุภาษิตโบราณเค้าถึงว่าไว้ไงกิโนะ...ว่าที่ที่อันตรายที่สุดคือที่ที่ปลอดภัยที่สุด...หึ....แต่ถ้าชั้นยังอยู่ในกรมฯละก็...ชั้นจะตั้งป้อมอยู่หน้าคอนโดนายเลยละ”     

“ แต่ตอนนี้แกก็ไม่ได้อยู่ในกรมแล้วนี่”       เพราะงั้นคงจะไม่มีใครคิดว่าพวกเขาจะบ้าระห่ำพอที่จะบุกเข้าไป....และคงยิ่งไม่มีใครคิดไปใหญ่...ว่าแม้กระทั่งมี กิโนสะ โนบุจิกะ อยู่ด้วย โคงามิ ชินยะ จะยังกล้าทำเรื่องแบบนี้อีก....คงไม่มีใครคิด..ว่าคนอย่างเขาจะไม่ห้าม

“ ฟังนะกิโนะ....ถึงแม้ว่าพวกนั้นจะป้องกันเอาไว้แบบหละหลวม แต่ยังไงก็ต้องมีการตรวจจับอะไรบางอย่างแน่ๆ...เพราะงั้นเราจะแบ่งหน้าที่กัน....นายไปเอาตัวเจ้าลูกหมาออกมาโดยไม่ต้องสนใจเรื่องอื่น ส่วนฉัน...จะเป็นคนไปเอาพาสปอร์ตกับโน้ตบุคของนายออกมา”

“ หมายความว่าเราจะบุกเข้าไปพร้อมกัน?”

“ ใช่”       

“ ถ้างั้นก็......ตามนั้น....”

" เหมือนบุกไปช่วยตัวประกันเลยนะ"       ริมฝีปากที่คาบบุหรี่อยู่เอ่ยออกมาด้วยท่าทางสบายๆ แขนข้างหนึ่งท้าวอยู่บนประตูรถที่เลื่อนกระจกลงจนหมด ควันบุหรี่จึงลอยออกไปเป็นสาย

ใบหน้าเรียวยิ้มน้อยๆโดยไม่ได้พูดอะไรอีกเพราะในหัวกำลังนึกถึงวันเก่าๆ ที่เคยทำงานแบบนี้มาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง......จากนี้ไป...ก็คงจะไม่ได้ทำอีกแล้วสินะ...

“ นี่.....คิดว่าเจ้าซาซายามะจะโกรธเราไหม?”       อย่างน้อยๆหมอนั่นก็ตายในหน้าที่ ตายเพราะตามจับคนร้ายจนวินาทีสุดท้าย

“ ถ้าไอ้บ้านั่นจะโกรธ ก็คงโกรธที่ว่าพวกเราหนีไปมีอิสระ จะไปหาผู้หญิงที่ไหนก็ได้แบบนั้นมากกว่า”       ใบหน้าคมหัวเราะเบาๆออกมาทำให้เขาเผลอยิ้มตามเมื่อจิตนาการถึงใบหน้าที่คงจะโวยวายของไอ้ตัวหน้าหม้อประจำกรมฯ


รถยนต์โบราณคันสีแดงแล่นเข้าไปจอดช้าๆในที่จอดรถใต้คอนโด....ถึงแม้มันจะโดดเด่นอยู่บ้าง แต่ก็เพราะหน้าตามันดูน่ารักแบบนั้นแหละนะ ทำให้พวกเขาขี่มันมาจนถึงนี่ได้โดยไม่มีใครสงสัยว่ามันจะถูกขับมาโดยอาชญากร

เวลาดึกสงัดแบบนี้ ที่คอนโดก็ยังคงเงียบเชียบเช่นปกติ

ขาสองคู่ก้าวไปตามทางเดินที่เงียบสนิท ก่อนจะมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องของตนเอง ใบหน้าต่างพยักให้แก่กัน ก่อนที่ฝ่ามือจะยกขึ้นแนบไปกับสแกน


....ติ้ด........


ถึงแม้ว่าเสียงสัญญาณจะดังเพียงสั้นๆตามปกติ แต่นัยน์ตาของทั้งคู่ก็ต้องเบิกกว้างอย่างที่รู้ว่ามันไม่ปกติ

“ กิโนะ เร็วเข้า!”        เสียงทุ้มร้องเตือนเมื่อแถบสีเขียวบนสแกนเนอร์เริ่มวิ่งขึ้นเรื่อยๆ...ทำไมพวกเขาจะไม่รู้ว่านี่คือสัญญาณที่จะส่งตรงไปยังกรมความปลอดภัยแล้วประกาศบอกใครต่อใครว่าพวกเขามาที่นี่

และอีกไม่นาน....พวกนั้นก็จะแห่กันมาอย่างแน่นอน

ประตูเปิดออกก่อนที่ร่างทั้งสองจะพุ่งเข้าไป ถึงแม้จะเสี่ยงที่จะมีใครบางคนรออยู่แล้วเอาโดมิเนเตอร์จ่อหัวเข้าให้เมื่อพวกเขาเข้าไป แต่ก็คงจะรอช้าไม่ได้


แต่ทว่าก็ไม่มีใครรออยู่....


เป็นเพราะว่าอยู่ใกล้กรมความปลอดภัย....พวกนั้นเลยคิดว่าคงจะมาทัน....เพราะฉะนั้นจึงไม่ทิ้งใครเอาไว้ที่นี่

“ โฮ่งๆๆ”      มีเพียงเจ้าลูกหมาขนดำเท่านั้นที่วิ่งอย่างดีใจเข้ามาให้กิโนสะกอดเอาไว้แนบอก  ลิ้นเล็กเลียใบหน้าใสเช่นเดียวกับหางสีดำที่สะบัดอย่างเอาเป็นเอาตาย

“ กิโนะ!”       โคงามิกลับออกมาจากห้องนอนพร้อมด้วยพาสปอร์ตและโน้ตบุคในมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างหนึ่งมีเสื้อโค้ทของเขากับของตัวเอง

“ ไปกัน!”       เขาใช้มือข้างเดียวที่เหลืออยู่อุ้มเจ้าลูกหมาที่ยอมอยู่นิ่งราวกับว่ารู้หน้าที่  สองขาวิ่งอย่างสุดแรงไปที่บันไดหนีไฟไม่ใช่ลิฟท์

ประตูบันไดหนีไฟปิดลงพร้อมๆกับเสียงลิฟท์ที่กำลังจะเปิดออกดังไล่หลังมา แต่จะถอนหายใจตอนนี้ก็เร็วไปเพราะไม่รู้เลยว่าที่สุดปลายบันไดนั้นจะมีอะไรรออยู่....

ขาทั้งสองคู่วิ่งลงไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนในที่สุดก็มองเห็นประตูเหล็กโปร่งของชั้นล่างสุด สายตากวาดมองไปจนทั่วแล้วว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้น


แต่ทว่า....


มันก็ไม่ได้ออกไปได้ง่ายๆ

เพราะที่อีกฝั่งของประตูเหล็กโปร่ง...มีแม่กุญแจคล้องอยู่!!

“ โธ่เว้ย!”      โคงามิสบถออกมา มือทั้งสองข้างเขย่าประตูที่ไม่มีทีท่าว่าจะพังง่ายๆ

“ ทำไมถึงมีไอ้ของพรรณนี้อยู่วะ?!!”       ใบหน้าคมกัดฟันกรอด นัยน์ตาดุดันจ้องเขม็งไปที่แม่กุญแจที่ไม่ใช่ของที่จะมีอยู่ทั่วไปในสมัยนี้ ซึ่งเป็นสมัยที่ไม่มีการใช้กุญแจล็อคบ้านกันแล้ว

“ สมัยก่อน...การใส่กุญแจประตูทางเข้าด้วยรูปแบบทางกายภาพนั้นถือเป็นเรื่องปกติ...”        แต่แล้วเสียงที่คุ้นเคยของใครบางคนก็ดังขึ้นมาทำให้ใบหน้าของพวกเขาทั้งสองคนถึงกับซีดเผือด หัวใจหล่นวูบไปที่ตาตุ่ม ถึงแม้นัยน์ตาจะมองหาทางออกเท่าไหร่ แต่ก็ดูเหมือนจะถูกเจ้าของเสียงนั้นปิดกั้นเอาไว้หมด

“ เพราะการตั้งข้อสงสัยบุคคลอื่นนั้นเป็นพื้นฐานของสังคมค่ะ....”          เงาร่างเล็กๆโผล่พ้นมุมตึกออกมาและคนที่เดินเข้ามาหาก็ไม่ใช่ใครอื่น...

“ สึเนะโมริ...”        ถึงจะบอกว่าไม่ใช่ใครอื่น ทว่าดวงตาที่เคยใสซื่อกลับเย็นชาขึ้นจนรู้สึกได้ 

“ กรุณาเรียกผู้สังเกตการณ์ด้วยค่ะ”     โดมิเนเตอร์ถูกดึงออกมาจากซองปืนด้านหลัง แต่ว่ามันยังไม่ถูกยกขึ้นจ่อมาที่พวกเขาสองคนเท่านั้นเอง

“ เธอ.....”        เก่งกาจถึงขนาดตามทันความคิดของอาชญากรอย่างพวกเขาแล้วสินะ...ไม่สิต้องบอกว่าเก่งมากถึงได้ตามโคงามิมาถึงนี่ได้....ถึงจะถูก


แต่แล้วใบหน้าแข็งกร้าวของเด็กสาวกลับอ่อนแรงลง โดมิเนเตอร์ที่ควรจะจ่อมาที่หัวพวกเขากลับถูกทิ้งอยู่แค่ข้างกาย...

“ พวกคุณน่ะ...มันโหดร้ายที่สุด....”       น้ำเสียงขึ้นจมูกถูกยกขึ้นมาต่อว่า ใบหน้าเล็กก้มลงไปมองที่พื้น ภาพของเด็กสาวทำให้พวกเขาสองคนรู้สึกปวดแปลบในใจขึ้นมาน้อยๆ

“ เป็นแค่อาชญากรก็อย่ามาใจอ่อนกับลูกหมาตัวเล็กๆแบบนี้สิ....แล้วแบบนี้จะหนีรอดไปได้ยังไง!”       สองมือเล็กกำแน่นก่อนจะตะโกนใส่หน้าพวกเขา นัยน์ตาของพวกเราเบิกกว้างอย่างที่เข้าใจถ่องแท้แล้วว่าสึเนะโมริไม่ได้ตั้งใจจะมาจับพวกเขากลับไป แต่ที่ใส่กุญแจเอาไว้นั้นก็เพื่อ...

“ อยากคุยกับคุณสองคนเป็นครั้งสุดท้าย....อยากจะขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมาค่ะ”      แล้วเด็กสาวก็ก้มหัวลงไป....ให้คนที่ไม่คู่ควรเลยอย่างพวกเขาสองคน

มือของโคงามิยื่นผ่านลูกกรงเหล็กออกไปก่อนจะลูบหัวสีน้ำตาลนั้นเบาๆ

“ จากนี้ไป...ก็ฝากดูแลหน่วยที่หนึ่งแทนชั้นด้วยล่ะ ผู้สังเกตการณ์สึเนะโมริ”       เสียงอ่อนโยนเอ่ยออกไปจากใบหน้าเรียวที่บัดนี้ไม่มีนัยน์ตาจิกกัดเข้มงวดส่งให้เด็กสาวอีก

“ ค่ะ!!”      เด็กสาวรับคำทั้งน้ำตา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาแล้วไขกุญแจให้

“ ต้องมีชีวิตที่มีความสุขให้ได้นะคะ!”     เสียงใสยังคงส่งมาให้ และก่อนที่จะได้เดินสวนร่างเล็กๆนั่นไป มือของสึเนะโมริก็ยื่นมาจับมือของร่างโปร่งบางเอาไว้

“ กิโนสะซัง.....”       กระดาษพับจนเล็กแผ่นหนึ่งถูกส่งมาให้ ตอนนั้นเขาได้แต่รับมันมาโดยที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร

“ ไปกันเถอะกิโนะ”     

“ อะ อื้อ”


ดูเหมือนจะเป็นเพราะสึเนะโมริที่บอกคนอื่นๆให้ขึ้นไปตามจับพวกเขาอยู่ข้างบน ทำให้ที่จอดรถนั้นว่างเปล่าไร้เงาของใครและนั่นมันก็ทำให้พวกเขาหนีออกมาได้ไม่ยากอย่างที่คิด


รถยนต์โบราณคันสีแดงออกมาโล้ดแล่นอยู่บนถนนยามราตรีอีกครั้ง

“ หลับไปแล้วหรอ...เจ้าหมานั่น”       นัยน์ตาสีดำแลมองเจ้าลูกหมาที่หลับปุ๋ยอยู่บนหน้าตักของกิโนสะอย่างนึกหมั่นไส้ บางทีก็นึกอยากจะเหยียบเบรคแรงๆให้มันกลิ้งกลุกๆลงไปจากตักของกิโนะอยู่เหมือนกันนะ

“ ว่าแต่สึเนะโมริให้อะไรนายมา?”       แล้วกระดาษแผ่นนั้นก็ถูกคลี่ออก...

หน้ากระดาษส่วนใหญ่นั้นว่างเปล่า.....เพราะมันมีคำเพียงคำเดียวที่เขียนอยู่ในนั้น


มันคือชื่อ.....ของสุสานแห่งหนึ่ง


แต่แค่นั้นมันก็เพียงพอที่จะทำให้ใบหน้าของกิโนสะนิ่งค้างไป....

และเมื่อโคงามิเหลือบเห็นสิ่งที่เขียนอยู่ในกระดาษ...คำพูดก็เปรยออกมาจากริมฝีปากรสบุหรี่ทันที

“ อ่า....ฉันต้องเอากุญแจเซฟเฮ้าส์ไปคืนลุงนี่นะ....นายไปกับฉันหน่อยได้ไหมกิโนะ?”







ซากุระยามค่ำคืนโปรยปรายลงมาเป็นสาย กลีบสีชมพูสะท้อนแสงจันทร์นั้นสวยงามไม่แพ้ตอนกลางวัน เพียงแต่มันไม่ได้ดูอ่อนหวานน่ารัก แต่กลับดูเยือกเย็นและสงบ

นัยน์ตาที่เคยอยู่ภายใต้กรอบแว่นจ้องมองไปที่ชื่อซึ่งสลักเอาไว้บนแผ่นหิน....ไม่อยู่แล้วจริงๆสินะ...พ่อของเขา

พอมายืนอยู่ตรงหน้า...ถ้อยคำมากมายที่อยากจะพูดก็กลายเป็นพูดไม่ออกไปเสียแบบนั้น ร่างโปร่งบางจึงได้แต่ยืนนิ่งงันอยู่หน้าหลุมศพ โคงามิเสียอีกที่เป็นฝ่ายเอ่ยออกไปก่อน

“ เอากุญแจเซฟเฮ้าส์มาคืนให้น่ะลุง”         แล้วมือใหญ่ก็วางพวงกุญแจลงไปที่หน้าแผ่นป้าย

“ เพราะว่าจากนี้ไปคงไม่ได้อยู่ที่นี่อีกแล้วละ.....แล้วก็นะ....ลูกชายของลุงน่ะ ฉันจะเป็นคนดูแลให้...ไม่ต้องเป็นห่วง”        เสียงทุ้มราบเรียบเอ่ยบอกคนที่นอนนิ่งอยู่ในหลุม

สายลมเย็นๆพัดซู่หอบเอากลีบซากุระมากมายให้โปรยปรายลงมาอีก....พัดมา....ราวกับว่าคนที่พูดไม่ได้จะใช้มันแทนคำว่ารับรู้แล้ว....

ใบหน้าเรียวได้แต่ก้มลงมองที่พื้น กลีบซากุระที่ปลิวว่อนอยู่รอบกายทำให้นึกถึงความอบอุ่นของอ้อมแขนของพ่อที่เคยกอดเขาเอาไว้เมื่อตอนเด็กๆ

“ ไม่ว่าจะทางไหนก็กลายเป็นลูกอกตัญญูไปแล้วสินะ....”     เสียงที่เปล่งออกมาพยายามที่จะไม่ให้สั่นพร่า

“ แต่เรื่องเดียวที่พอจะตอบแทนบุญคุณได้ก็คือ....จะมีชีวิตอยู่ต่อไป....อยู่ต่อให้สมกับชีวิตที่พ่อให้มาละนะ”       แล้วน้ำหยดเล็กๆก็ร่วงกราวลงไปที่พื้น มือใหญ่ของคนที่ยืนอยู่ข้างๆดึงหัวของเขาไปซบอยู่ที่ไหล่ก่อนจะลูบเบาๆ

ไม่มีคำพูดใดๆถูกเอ่ยออกมาอีก....แสงรำไรของเช้าวันใหม่ทำให้เขาสองคนจำต้องหันไปมองป้ายหน้าหลุมศพนั่นเป็นครั้งสุดท้าย

กลีบซากุระที่ยังคงโปรยปรายลงมาราวกับจะโบกมือลาและอวยพรให้พวกเขาโชคดี






รถยนต์โบราณคันสีแดงแล่นไปตามถนนหลวงที่รถราเริ่มจะบางตาลงเรื่อยๆ เพราะเป็นเส้นทางที่เชื่อมต่อไปยังเมืองที่เป็นเพียงท่าเรือและโกดังกระจายสินค้า รถที่วิ่งสวนมาส่วนใหญ่จึงเป็นรถขนตู้คอนเทรนเนอร์.....จากโตเกียวมายังทาคาโอกะใช้เวลาหนึ่งวันพอดี....ตอนนี้ทุกอย่างรอบกายจึงมืดลงอีกครั้ง

“ กิโนะ...”        เสียงทุ้มเอ่ยเรียกทั้งๆที่ใบหน้ายังคงมองไปที่ถนน

“ ........?”

“ นายกุมพวงมาลัยด้วยมือขวาข้างเดียวไหวไหม?”

“ ก็...น่าจะพอได้...ว่าแต่มีอะไร?”

“ คงต้องทำอะไรกับพาสปอร์ตของเราทั้งคู่ซักหน่อยน่ะ ป่านนี้พวกกรมความปลอดภัยคงรู้กันแล้วละว่าที่นายกับฉันบุกเข้าไปในคอนโดเมื่อคืน...สิ่งที่หายไปก็คือพาสปอร์ต ซึ่งพวกนั้นคงเดาได้ไม่ยากเลยว่าพวกเราตั้งใจจะหนีออกนอกประเทศ”

“ ปลอมแปลงเอกสารราชการ....โทษหนักเลยนะแกเนี่ย”       ใบหน้าเรียวยิ้มน้อยๆก่อนจะเปลี่ยนไปนั่งฝั่งคนขับแทน  เสียงฮื่อๆดังขึ้นมาทันทีที่เจ้าหมาขนดำทั้งคู่ต้องไปนั่งอยู่ด้วยกัน

มือบางวางอยู่บนพวงมาลัยก่อนจะหมุนให้ตรงทาง...เสียงรัวนิ้วลงบนแป้นพิมพ์ดังมาจากคนที่นั่งอยู่ข้างๆ

“ ดูเหมือนตั๋วเถื่อนจะส่งมาถึงพอดี”      เสียงของโคงามิเอ่ยบอกเมื่ออีเมล์ฉบับหนึ่งถูกส่งเข้ามาในเมล์บอกซ์

“ เป็นเรือค้าน้ำมันที่ลักลอบขายตั๋วให้พวกเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมายโดยให้โดยสารไปในห้องว่างใต้ท้องเรือน่ะ คดีนี้ฉันดูอยู่ แต่ยังไม่ทันจะได้ทำอะไรก็มาเกิดเรื่องเจ้ามาคิชิมะขึ้นซะก่อน...”       ถึงได้บอก...ว่าถ้าผู้รักษากฎหมายทำผิดขึ้นมา มันจะน่ากลัวว่าคนธรรมดาหลายเท่า.....ใบหน้าเรียวยิ้มมุมปากอย่างไม่ได้คิดจะใส่ใจกับวิธีการของโคงามินัก

ปกติก็เป็นพวกเล่ห์เหลี่ยมเยอะอยู่แล้วนี่นะ

นัยน์ตาที่เคยอยู่ภายใต้กรอบแว่นมองถนนสลับกับกระจกหลัง เพราะปกติเขาจะชอบขับรถเองมากกว่าจะใช้ระบบนำทาง การเหลือบมองกระจกหลังเป็นระยะๆจึงติดเป็นนิสัย

และเพราะแบบนั้นมันจึงทำให้นัยน์ตาคมกล้าสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่าง

“ โคงามิ.....ใกล้เสร็จรึยัง?”

“ อื้อ เรียบร้อยพอดี...ว่าแต่มีอะไรหรือเปล่า?”

“ น่าจะมี....คนตามมา....”        ประสาทสัมผัสที่กำลังผ่อนคลายสบายๆกลับมาตึงเครียดอีกครั้ง ใบหน้าคมหันมามองประจกหลังพรางคิดอะไรในใจ

“ ที่ไม่เข้ามารวบตัวพวกเราตอนนี้เลยคงเป็นเพราะไม่รู้ว่าเรามีอาวุธอะไรอยู่หรือไม่ก็ฝ่ายนั้นมีคนไม่พอ......กิโนะ เลี้ยวซ้ายที่แยกหน้า เราคงต้องจอดรถไว้แล้ววิ่งไป....จะให้พวกนั้นรู้ไม่ได้ว่าเราขึ้นเรือลำไหน”

ใบหน้าเรียวพยักหน้า รถที่วิ่งในจังหวะสม่ำเสมอมาตลอดค่อยๆเพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็ดูเหมือนรถที่วิ่งตามมาตลอดทางคันนั้นก็จะเร่งความเร็วตามขึ้นมาด้วย...แบบนี้ไม่ผิดแน่....


เอี๊ยด!!!


และเมื่อถึงสี่แยก เจ้ารถโบราณก็แหกโค้งฝ่าไฟแดงไปทันที รถขนตู้คอนเทรนเนอร์ที่สวนมาต่างหลบกันให้จ้าละหวั่น


ปรี๊นนนนนนนนนนนนนน


เสียงบีบแตรยาวดังลั่นไปทั้งถนนเสียงรถชนกันโครมครามและเพราะแบบนั้นเจ้ารถคันที่ตามมาจึงคลาดสายตาไปกับรถโบราณคันสีแดงจนได้


“ จะ จอดตรงนั้นแหละกิโนะ....”         ร่างสูงใหญ่ของโคงามิยกมือขึ้นมากุมหน้าอกราวกับกำลังเรียกหัวใจที่หล่นหายไปกลับมา...นัยน์ตาของอดีตหมาล่าเนื้อเหลือบไปมองใบหน้านิ่งที่ยังคงกุมพวงมาลัยหน้าตาเฉย....นี่ขนาดเหลือแขนแค่ข้างเดียวนะ....แล้วถ้าวันไหนแขนเหล็กข้างนั้นใช้ได้ขึ้นมา....เขาคงต้องระวังไม่ให้หมอนี่ขับรถด้วยค่าสัมประสิทธิ์อาชญากรรมของอาชญากรแบบนี้แล้วละ

รถยนต์โบราณคันสีแดงจอดลงตรงหน้าตู้คอนเทรนเนอร์มากมายที่ตั้งเรียงรายสูงเป็นสิบๆเมตร แถวนี้คงจะเป็นที่พักสินค้าก่อนที่จะมีรถมาขนไป...ร่างทั้งสองกระโดดลงจากรถ โคงามิอุ้มเจ้าลูกหมาพาดบ่าเอาไว้ ก่อนที่เงาทั้งสองจะหายเข้าไปในซอกหลืบของตู้คอนเทรนเนอร์

แล้วยังไม่ทันจะได้วิ่งไปได้ไกล....


เอี๊ยด!!!


รถยนต์ของกรมความปลอดภัยในส่วนภูมิภาคมากมายก็มาจอดลงตรงหน้ารถของพวกเขา ไฟหน้ารถสว่างจ้าถูกสาดส่องเข้ามา....พวกที่ตามเขาอยู่คงจะส่งรายงานไปว่าพลัดหลงกับพวกเขาแถวๆนี้ก่อนจะเรียกกำลังเสริม

ใบหน้าคมหันกลับไปมองในขณะที่สองขาก็ยังคงวิ่งไปข้างหน้า

“ ชิ!!....แบบนี้ก็แย่สิ”        ที่ว่าแย่เป็นเพราะว่า คนพวกนั้นคงจะไม่มีใครยอมปล่อยพวกเขาไปง่ายๆเหมือนคนในสำนักงานใหญ่ของกรมความปลอดภัยที่คุ้นเคยกันดีนั่นหรอก

ขาทั้งสองคู่ยังคงวิ่งผ่านตู้คอนเทรนเนอร์มากมายไปท่ามกลางความมืด


ทั้งๆที่อีกไม่ไกลก็จะถึงท่าเรืออยู่แล้วแท้ๆ

“ ปัดโธ่เว้ย....”       โคงามิได้แต่กัดฟันกรอดสบถออกมาอย่างแค้นใจ  เสียงโดรนประกาศไล่หลังมาไม่ห่างยิ่งทำให้หัวใจเต้นระรัว

“ กิโนะ รับเจ้านี่ไปที!”       แล้วจู่ๆเจ้าลูกหมาก็ถูกยื่นมาให้ ร่างโปร่งรับเอาไปด้วยใบหน้าหอบน้อยๆ

“ นายรีบวิ่งไปก่อน...เดี๋ยวชั้นตามไป”       คำที่เอ่ยออกมาทำให้ใบหน้าเรียวชะงักไป นัยน์ตาที่เคยอยู่ภายใต้กรอบแว่นเบิกกว้าง

“ ไม่นะ โคงามิ”        แต่ยังไม่ทันที่จะได้ส่ายหน้าปฏิเสธ...

“ ไปสิกิโนะ!!”       เสียงทุ้มดุดันก็สั่งออกมาก่อนที่ร่างสูงจะวิ่งแยกออกไปอีกทาง

ร่างโปร่งได้แต่ยืนนิ่งค้างอย่างไม่รู้จะทำยังไง.....จะให้เขาหนีไปก่อนได้ยังไง.....แล้วถ้านายไม่ตามไปล่ะ?

ไม่เอาหรอกนะ....


ถ้าเป็นแบบนั้นต่อให้หนีรอดไปได้....ฉันก็คงจะต้องตายเพราะอยู่ไม่ได้อยู่ดี


ใบหน้าเรียวก้มลงพรางกำมือแน่น.....

ก่อนจะตัดสินใจวิ่งตามแผ่นหลังกว้างนั่นไป......







ใบหน้าคมหันไปหันมาอย่างพยายามหาวิธีที่จะหยุดพวกนั้นให้ได้  ร่างสูงใหญ่ปีนขึ้นไปบนห้องบังคับเครนที่ใช้ยกตู้คอนเทรนเนอร์ สันมือกวาดเปิดสวิตซ์ยกแผง

และนั่นมันก็ทำให้แสงไฟจากสปอร์ตไลท์ทั้งหมดส่องสว่างจ้าไปทั่วพื้นที่ โดยเฉพาะที่กองตู้คอนเทรนเนอร์ กลุ่มคนที่วิ่งตามอยู่ต่างยกมือขึ้นบังดวงตา

และช่วงจังหวะนั้นเองที่ไม่มีใครทันรู้ตัว....ว่าเครนคันนั้นจะกวาดตู้ให้พังครืนลงมาปิดกั้นพื้นที่ออกเป็นสองส่วนเป็นทางยาวราวกับโดมิโน่ล้ม


โครมมมมมมมม!!!!


เสียงดังสนั่นหวั่นไหวมาพร้อมๆกับฝุ่นตลบอบอวนจนมองไม่เห็นอะไร ร่างสูงใหญ่รีบปีนลงมาพรางนึกขอโทษในใจ  ได้แต่หวังว่าตู้คอนเทรนเนอร์เปล่าๆพวกนี้จะไม่ได้มีราคาอะไรมากมายนัก

เรียวขาปีนลงมาจนเกือบจะถึงพื้นดินอยู่แล้ว และเพราะมัวแต่ตั้งสมาธิอยู่ที่บันไดลิง จึงทำให้ไม่ทันจะมองว่าข้างล่างนั้นมีโดรนตัวหนึ่งซึ่งหลุดรอดมาได้รออยู่

เพราะฉะนั้นเมื่อเท้าแตะพื้น โคงามิก็ต้องยืนเผชิญหน้ากับโดรนที่พุ่งเข้ามาพอดี!

นัยน์ตาสีดำเบิกกว้างใจหายไปอยู่ที่ตาตุ่ม แขนยกขึ้นกันใบหน้าโดยอัตโนมัติเพราะรู้ตัวว่าไม่ทันแล้ว ประกายสีเงินของกระบองไฟฟ้าที่ติดตัวโดรนนั่นอยู่แล่บเข้ามาทางหางตา


จะจบลงตรงนี้จริงๆหรอเนี่ย.....ชีวิตเขา......


จะขอโทษกิโนะที่รออยู่ยังไงดี.....




ผลั๊วะ!!!




เสียงของหนักๆกระทบกันมันทำให้นัยน์ตาสีดำหลับแน่น ที่แขนเตรียมรอรับความชาจากกระบองไฟฟ้ารวมไปถึงร่างกายที่คงจะขยับไปไหนไม่ได้แน่ๆ



แต่ทว่า....



ต่อให้ผ่านไปนานหลายวินาที....ร่างกายกลับไม่รู้สึกอะไรเลย....จะว่าชาจนตายด้านก็ไม่น่าใช่ ในเมื่อแม้แต่ความแข็งของกระบองเหล็ก เขาก็ยังไม่ได้สัมผัส

นัยน์ตาลืมขึ้นมาช้าๆ ก่อนจะค่อยๆมองลอดท่อนแขนของตัวเองที่ยกขึ้นมาบังหน้า

แล้วแผ่นหลังที่คุ้นตาของใครบางคนก็ทำให้นัยน์ตาเบิกกว้างยิ่งกว่าเมื่อกี้นี่เยอะ.....


แผ่นหลังโปร่งบางที่แขนซ้ายยังคงถูกผ้าคล้องเอาไว้กับคอ.....ทว่า....ที่มือขวากลับถือไม้หน้าสามยืนหอบน้อยๆอยู่ตรงหน้าโดรนที่ล้มกลิ้งไม่เป็นท่า


แผ่นหลังของ กิโนสะ โนบุจิกะ...


“ กิโนะ....”         เสียงครางอย่างนึกขอบใจเอ่ยออกไปจากใบหน้าคม แต่ยังไม่ทันจะได้เอ่ยขอบคุณ เจ้าโดรนที่กลิ้งไปเรื่อยๆนั่นกลับกระแทกเข้ากับตู้คอนเทรนเนอร์

และมันจะไม่ทำให้เขาใจหายวูบ....ถ้าบนตู้พวกนั้นมันจะไม่มีอะไรบางอย่างวางอยู่....และไอ้อะไรบางอย่างนั่นมันก็กำลังพังครืนลงมา....


ไม่ต้องใช้เวลาคิด.....เพราะว่าร่างกายกระโดดเข้าไปตะครุบลำตัวโปร่งบางเอาไว้ก่อนจะตวัดให้กิโนสะพลิกมาหลบอยู่ภายใต้เงาของเขา

สองแขนกอดร่างโปร่งเอาไว้ มือใหญ่กดหัวสีดำของกิโนสะให้ซุกอยู่กับแผงอกก่อนจะใช้แผ่นหลังของเขารับอะไรก็ตามที่กำลังร่วงหล่นลงมา




โครม!!!!!!!






เสียงราวกับฟ้าถล่มเงียบลงได้ในที่สุด แล้วทุกสิ่งทุกอย่างต่างก็นิ่งค้างอยู่แบบนั้น

ร่างกายของเขายังคงกอดกิโนสะเอาไว้แน่น เสียงหอบหายใจของเราสองคนดังอยู่ท่ามกลางกองสิ่งของที่ร่วงลงมาจนสูงท่วมหัว

และเมื่อทุกอย่างนิ่งสนิท....เขาจึงสะดุ้งสุดตัว สองมือรีบผลักร่างโปร่งบางออกจากแผ่นอกของตัวเอง ก่อนที่มือทั้งสองจะย้ายไปประคองใบหน้าเรียวเอาไว้  นัยน์ตามองไล่สำรวจไปทั่วใบหน้าที่ยังหอบน้อยๆ.....กิโนะไม่ได้รับบาดเจ็บ ไม่มีแผลใดๆ ไม่มีเลือดออก....

เขาเผลอถอนหายใจออกไปแรงๆ หัวใจที่เต้นระรัวด้วยความกลัวว่าคนตรงหน้าจะเป็นอะไรไปดูเหมือนจะค่อยๆผ่อนคลายลง

“ นายไม่เจ็บตรงไหนใช่ไหมกิโนะ”        เมื่อใบหน้าเรียวส่ายไปมา สองแขนจึงกระชับลำตัวโปร่งบางเข้ามาในอ้อมกอดอีกครั้ง

“ แล้วแกล่ะโคงามิ?”        เสียงอู้อี้ดังออกมาจากแผ่นอก มือขวาของกิโนะตบไปทั่วแผ่นหลังของเขา

“ ไม่เลย”       และเมื่อมองดูรอบกายก็ทำให้พอจะเข้าใจได้ว่าทำไมพวกเขาถึงไม่ได้รับบาดเจ็บ เพราะสิ่งที่ร่วงลงมาเป็นเพียงขวดพลาสติกเปล่าๆที่อยู่ในลังไม้มากมายเท่านั้น....ก็ยังนับว่าโชคดีที่ไม่ได้ไปอยู่ในวิถีที่จะโดนลังนั่นหล่นทับเอา

ร่างสูงใหญ่รีบลุกขึ้นโดยไว ก่อนจะจับมืออีกคนแล้วดึงให้ลุกขึ้นตาม ขาทั้งสองคู่ก้าวข้ามกองขวดขึ้นไปก่อนจะออกวิ่งไปยังเป้าหมายต่อ

เจ้าลูกหมาที่หลบอยู่ในซอกของคอนเทรนเนอร์วิ่งออกมาหาอย่างรู้หน้าที่เมื่อพวกเขากำลังจะวิ่งผ่าน

ท่าเรือมองเห็นอยู่ไม่ไกล....แสงสว่างรำไรที่ทอดไปยังสะพานปลานับร้อยทำให้ขาทั้งสองคู่วิ่งไปอย่างไม่คิดจะหยุดหายใจ  มือใหญ่ยังคงจับกระชับมือบางข้างขวาให้คนที่วิ่งตามมาไม่พลัดหลงกันไปไหน

ถึงแม้เสียงที่ตามหลังมาจะดังอยู่ไกลๆ....แต่ตอนนี้พวกเขาไม่มีเวลาจะมาสนใจมันอีก

ต้องหาเรือให้เจอ....


และแล้ว....สายตาคมกล้าก็หันไปเห็นเรือลำใหญ่ที่ทอดสมออยู่ไกลออกไปจากฝั่ง

ชื่อของมันตรงกับชื่อเรือค้าน้ำมันที่อยู่ในแฟ้มคดีของเขา

ขาจึงวิ่งไปยังสะพานปลาอันนั้นทันที...



ที่สุดปลายสะพานปลามีลูกเรือหน้าตาเหี้ยมที่ไว้หนวดเครารุงรังยืนอยู่ ดูเหมือนจะต้องขึ้นเรือเล็กที่จอดอยู่ที่สะพานปลานี้ไปก่อนเพราะเรือค้าน้ำมันนั่นลำใหญ่เกินกว่าที่จะเข้ามาเทียบท่าเรือได้

“ ขึ้นไป”       เสียงห้วนเอ่ยบอกเมื่อพวกเขาแสดงบัตรโดยสารให้ดูและพวกนั้นก็ไม่คิดจะถามทั้งๆที่พวกเขาวิ่งกระหืดกระหอบราวกับหนีอะไรมาแบบนี้

ขาทั้งสองคู่ก้าวลงไปในเรือ ถังน้ำมันมากมายเรียงรายอยู่ตรงหน้าจนแทบไม่มีที่ยืน ชาวต่างชาติท่าทางมอซอและลุกลี้ลุกลนสองสามคนยืนหลบๆอยู่กับเงาของถังน้ำมัน

“ เข้าไปอยู่ในนี้”       เสียงห้วนของลูกเรือที่อยู่ด้านในเอ่ยบอกพวกเขาเมื่อก้าวขาเข้ามา ฝาของถังน้ำมันใบใหญ่ถูกเปิดออกและเมื่อยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ถังนั่นกลับไม่มีกลิ่นฉุนของน้ำมันอย่างที่คิด

มันมีเอาไว้สำหรับลักลอบขนคนที่หนีเข้าประเทศอย่างผิดกฏหมายนั่นเอง

ร่างสูงใหญ่ปีนเข้าไปอยู่ในนั้น  ยังดีที่มันใหญ่พอที่จะให้พวกเขาสองคนลงไปอยู่ด้วยกันได้ มือของโคงามิเอื้อมออกมารับร่างโปร่งเข้าไปก่อนจะกอดกระชับเอวบางเอาไว้ ใบหน้าทั้งคู่นั้นอยู่ใกล้กันแค่คืบ

เสียงเอะอ่ะดังมาจากบนฝั่ง และไม่นานมันก็มาดังขึ้นที่สะพานปลาใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกกรมความปลอดภัยคงจะกำลังไล่ค้นเรือไปทีละลำแน่ๆ

เสียงหัวใจทั้งของเขาและของกิโนะเต้นระรัวจนดังปนกันมั่ว ใบหน้าเรียวซบลงมาที่หัวไหล่ของเขาเพราะทนความกดดันไม่ไหว

แล้วในที่สุด.....เสียงประกาศค้นที่เรือลำนี้ก็ดังให้ได้ยินจนได้....


แผ่นหลังทั้งคู่ได้แต่ชาวาบ ร่างทั้งร่างต่างก็นิ่งงัน แม้แต่เสียงลมหายใจก็ยังแผ่วเบาจนราวกับคนไม่มีชีวิต


เสียงฝีเท้าเดินลงบันไดเรือมา....และมันก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ...เรื่อยๆ......

หัวใจทั้งคู่แทบจะหยุดเต้น เมื่อฝีเท้าหนึ่งมาหยุดยืนอยู่ไม่ไกลจากถังน้ำมันที่พวกเขาซ่อนตัวอยู่


ในหัวรู้สึกราวกับว่ามันกำลังหมุนคว้าง.....


จนไม่ได้รู้เลย.....ว่าเวลานั้นเดินผ่านไปนานแค่ไหน....




“ มีแต่ถังน้ำมัน ไปค้นที่อื่นต่อ”          และแล้วคำพูดนั้นมันก็ทำให้ใบหน้าของพวกเขาเงยขึ้นมามองกัน

เสียงฝีเท้าก้าวจากไปแล้ว เสียงถอนหายใจถึงได้ตามมา.....

ใบหน้าเรียวซบอยู่ที่หัวไหล่ของเขาพรางหอบหนักหน่วง....ไม่เคยลุ้นอะไรขนาดนี้มาก่อน ไม่เคยตื่นตระหนกอะไรขนาดนี้มาก่อน

และเมื่อเงยหน้าขึ้นมา  รอยยิ้มบางๆก็ถูกส่งให้แก่กันในความมืดและกลิ่นของน้ำมัน….







ในที่สุดถังน้ำมันที่มีพวกเขาซ่อนอยู่ก็ถูกขนมายังเรือลำใหญ่ที่ทอดสมอรออยู่กลางทะเล และเมื่อมันถูกย้ายเข้ามาที่ใต้ท้องเรือ พวกเขาจึงถูกปล่อยให้เป็นอิสระจนกว่าจะต้องไปขึ้นฝั่งอีกทีที่เมืองวลาดิวอสต็อก ประเทศรัสเซีย

ห้องพักแคบๆถูกเปิดออก  ในนั้นมีเพียงเตียงเดี่ยวเพียงเตียงเดียว  โต๊ะเก้าอี้เล็กๆอีกชุดนึง และหน้าต่างกลมๆบานเดียว

ร่างโปร่งบางเดินไปทิ้งตัวอย่างหมดแรงอยู่ที่เก้าอี้ ส่วนร่างสูงใหญ่พาเจ้าลูกหมาไปปล่อยไว้บนเตียงก่อนจะมายืนเหม่อมองภาพของชายฝั่งท่าเรือฟุชิกิที่ยังคงวุ่นวาย


“ เราจะได้เห็นมันอีกครั้งไหมนะ.....บ้านเกิดเมืองนอนของเรา”        ร่างโปร่งบางมายืนอยู่ข้างๆตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เสียงเหงาๆเอ่ยออกมาเมื่อนัยน์ตาได้แต่เหม่อมองเกาะญี่ปุ่นเป็นครั้งสุดท้าย

มือใหญ่เอื้อมไปจับมือบางเอาไว้โดยที่ไม่ได้พูดอะไร ปลายคางเกยเอาไว้กับไหล่บาง

ร่างทั้งสองร่างได้แต่ยืนมองภาพๆนั้นจนกระทั่งเรือเริ่มเคลื่อนตัว


ชายฝั่งที่ยังคงเต็มไปด้วยแสงไฟยามค่ำคืนค่อยๆเล็กลงเรื่อยๆ



เรื่อยๆ.....





จนในที่สุดก็มองไม่เห็นสิ่งใดอีกต่อไป........










ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่นี่...จะกลายเป็นหนึ่งในความทรงจำที่ดีที่สุดของเขา

แต่ทว่า....สองขาก็จะไม่หยุดก้าวต่อไป









จะมีชีวิตอยู่....

ด้วยกัน....











จากวลาดิวอสต็อกพวกเขามุ่งหน้าลึกเข้าไปยังแผ่นดินรัสเซียซึ่งกว้างใหญ่ไพศาล สังคมที่ไม่อุดมสมบูรณ์อาจจะช่วยพรางกายให้กับพวกเขาได้


รถไฟสายทรานส์-ไซบีเรียวิ่งฝ่าความหนาวเหน็บและผืนดินที่เต็มไปด้วยสีขาวโพลนของหิมะ ผ่านเทือกเขา ผ่านทะเล ผ่านเมืองชนบทที่ทุรกันดาร....ข้ามผ่านธรรมชาติที่โหดร้ายรุนแรงจนพวกเขาไม่คิดว่าจะมีชีวิตรอดอยู่กับมันได้




แต่ทว่า....


















เวลาก็เดินผ่านไปจนเกือบจะครบสองปีแล้ว......จากวันที่พวกเขาจากบ้านเกิดเมืองนอนมา


















ประตูโรงรถที่ทำจากไม้ง่ายๆถูกเปิดออกก่อนจะปิดลงอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้หิมะและความหนาวเหน็บเข้ามาด้านในได้

ร่างโปร่งบางนั่งยองๆลงตรงหน้ากองผ้าห่มที่บัดนี้กลายเป็นที่อาศัยของแม่หมาพันธุ์ไซบีเรียนฮัสกี้สีน้ำตาล นัยน์ตาที่เคยอยู่ภายใต้กรอบแว่นมองไปยังหน้าท้องของมันด้วยแววตาอ่อนโยน ที่ตรงนั้นมีลูกหมาตัวอ้วนกลมสี่ตัวหลับปุ๋ยทั้งๆที่ปากยังคาอยู่ที่นมของแม่มัน

มือข้างขวาเลื่อนออกไปลูบขนนิ่มเบาๆ ริมฝีปากยิ้มน้อยๆกับภาพตรงหน้า

เจ้าลูกหมาพวกนี้เพิ่งจะลืมตาขึ้นมาดูโลกได้ไม่นาน....มันเป็นลูกของโคยะ

เสียงหงิงๆดังมาจากแม่หมา ให้มือข้างที่ไม่ได้เป็นเหล็กย้ายไปลูบหัวมันเบาๆด้วยความเอ็นดู

ร่างโปร่งลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินออกมา เรียวขาวิ่งฝ่าหิมะไปยังประตูด้านหลังของบ้าน....แค่ไม่กี่นาทีก็ทำเอาหนาวสั่นจนแทบจะทนไม่ไหว...หิมะของไซบีเรียนั้นโหดร้ายมากทีเดียว

เสื้อโค้ทที่มีหิมะติดอยู่เต็มถูกถอดออกแล้วแขวนไว้กับขอเกี่ยวที่ประตูบ้าน ก่อนที่มือจะยกขึ้นมาเป่าเบาๆ แต่พอก้าวขาเข้าไปยังห้องนั่งเล่น ความอบอุ่นจากเตาผิงก็ทำให้ร่างกายรู้สึกดีขึ้นมาเยอะ

เสียงมีดกระทบกับเขียงดังเป็นจังหวะ เมื่อหันไปมองที่เคาน์เตอร์ก็เห็นแผ่นหลังกว้างกำลังยืนเตรียมอาหารเย็นอยู่ตรงนั้น  ร่างโปร่งจึงเดินมาทิ้งตัวลงนั่งรอที่โซฟาเพราะคงช่วยอะไรไม่ได้ในเมื่อเขาทำไม่เป็นและก็ไม่คิดจะทำด้วย

โน้ตบุคถูกเปิดค้างอยู่บนโต๊ะเตี้ยหน้าโซฟา นัยน์ตาที่เคยอยู่ภายใต้กรอบแว่นจึงหันไปมองด้วยความสนใจ

“ นี่แกแฮคระบบของกรมความปลอดภัยอีกแล้วหรอโคงามิ?”       ตราของ WPC เด่นหราอยู่บนหน้าจอ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเจ้าบ้านั่นกำลังแอบเข้าไปดูข้อมูลของคดีอยู่

“ เปล่าน่า...ถึงจะเป็นฉันก็เถอะ แต่มันไม่ใช่จะเจาะเข้าไปได้ง่ายๆเลยนะ....ถ้าคนในไม่เปิดช่องเอาไว้ให้น่ะ”        ใบหน้าคมเงยขึ้นมามองจากด้านหลังเคาน์เตอร์ นัยน์ตาสีดำที่เคยขุ่นมัวบัดนี้กลับสดใสจนบางครั้งก็ดูเจ้าเล่ห์จนน่าหมั่นไส้

“ คาราโนโมริ?”        จะใครก็ไม่รู้ละ แต่บางทีก็เหมือนพวกนั้นจะจงใจเปิดเอาไว้ให้ แล้วเจ้าโคงามิก็อดจะยื่นมือเข้าไปยุ่งด้วยไม่ได้สักที....แบบนี้มันน่าบอกให้ส่งเงินเดือนมาให้ด้วยนัก!

“ นายไม่ห่วงยัยเด็กนั่นรึไง? ป่านนี้อาจจะร้องไห้ขี้มูกโป่งอยู่ก็ได้ที่ต้องเป็นผู้สังเกตการณ์เพียงคนเดียวของหน่วยที่หนึ่งน่ะ”       ห่วงสิ....แต่ว่า....เขาก็มั่นใจว่าสึเนะโมริจะผ่านมันไปได้ เพราะอย่างน้อยก็มีครั้งหนึ่ง ซึ่งเขาเคยเห็นเงาของโคงามิซ้อนทับอยู่บนตัวของเด็กคนนั้น

สึเนะโมริน่ะ...เป็นนักสืบ...เป็นตำรวจเต็มตัวอย่างไร้ข้อสงสัยเลยละ

“ เห๋?....กำลังจะรับเด็กใหม่เข้ามานี่?”        เอกสารรายงานขึ้นอยู่บนหน้าจอพร้อมๆกับรูปของผู้สังเกตการณ์คนใหม่ โคงามิเดินมาดูด้วยความสนใจ สองแขนแข็งแรงท้าวอยู่ที่พนักพิงของโซฟาก่อนจะเกยใบหน้าเอาไว้ที่ไหล่ของเขา

“ ชิโมทสึกิ มิกะ....เด็กคนนี้มัน....”  

“ คดีของ โอเรียว ริคาโกะ สินะ”

แต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรกัน เสียงประตูก็ดังกอกแก่กขึ้นมาให้พวกเขาต้องเงยหน้าขึ้นไปมอง  ขาหน้าข้างหนึ่งค่อยๆยื่นเข้ามาจากประตูบานเล็กที่ทำเอาไว้สำหรับหมาโดยเฉพาะ และไม่นานเจ้าหมาขนดำรูปร่างดีแถมตัวใหญ่ก็เข้ามายืนอยู่ข้างในได้สำเร็จ

จากลูกหมาตัวเล็กๆเติบใหญ่จนกลายเป็นโตเต็มวัย ตอนมันยังเด็กๆด้วยความที่เป็นพันทางพวกเขาจึงไม่เคยรู้เลยว่า เจ้าโคยะนั้นมีเชื้อสายของทั้งไซบีเรียนและหมาป่าผสมกันอยู่....บางทีก็สงสัยนะว่ามันไปหลงอยู่ในโตเกียวได้ยังไง?

ร่างสีดำสะบัดขนไปมาให้หิมะที่เกาะพราวอยู่กระเด็นออกไป...และนั่นมันก็ทำให้ทั้งพื้นทั้งผนังตรงนั้นเปียกโชกขึ้นมาทันที

“ โคยะ!!”       ร่างโปร่งตะโกนเรียกชื่อพรางส่งสายตาดุไปให้ เจ้าหมาตัวดีจึงวิ่งรี่เข้ามาคลอเคลียอย่างเอาใจ....ไม่ต่างจากหมาอีกตัวที่ยังคงเอาหน้ามาถูไถอยู่แถวๆแก้มและซอกคอระหง

“ นี่กิโนะ...ปีหน้าถ้าเจ้าพวกลูกหมามันโต...เราไปลงแข่งลากเลื่อนกันบ้างดีไหม? สายพันธ์ไซบีเรียนผสมหมาป่าอย่างเจ้าหมานี่น่าจะชนะสบายๆละ”        ท่อนแขนแข็งแรงโอบกอดมารอบลำคอจากทางด้านหลัง ทั้งน้ำเสียงทั้งเรื่องที่พูดช่างดูสงบสุขจนไม่คิดเลยว่า ชีวิตที่เคยอยู่ใกล้กับความตายแบบนั้น....วันหนึ่งจะมาเป็นแบบนี้ได้

มีความสุข....จนไม่คิดว่านี่มันจะเป็นเรื่องจริงเลยละ

“ ใช้ชีวิตสบายใจจริงนะแกเนี่ย”       รอยยิ้มน้อยๆปรากฏอยู่ที่ริมฝีปาก

“ หิวแล้ว...เมื่อไหร่จะเสร็จล่ะ”        เสียงหัวเราะเบาๆดังมาจากใบหน้าคมก่อนที่ลำตัวหนาจะละออกไป


กลิ่นอาหารและความอบอุ่นลอยอบอวลอยู่ในบ้านไม้หลังน้อยที่ตั้งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากหมู่บ้านเล็กๆในหุบเขาแห่งหนึ่งของผืนดินไซบีเรีย เขตแดนของรัสเซีย



ได้แต่หวังว่าหุบเขาและหิมะจะช่วยปกป้องพวกเขาเอาไว้...อย่าให้ใครหาเจอ





เพื่อให้ฉันและนายได้อยู่ด้วยกัน.....ตลอดไป......





.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

FIN

















5 ความคิดเห็น:

  1. จบฟินมว้ากกกกกกกกกกกกกกกกกก
    น่ารักอ่ะ มีบ้านหลังเล็กๆ กับหมาน้อยอีกฝูง แอร๊ยยยยย แลดูอบอุ่นดีจัง
    จะบอกว่าตอนหนีออกจากญี่ปุ่น ลุ้นแทบตาย!!! ลุ้นหลายตลบเลย กลัวจริงๆนะเนี่ยว่าจะหนีไม่พ้น
    แล้วก็ ไม่ได้สังเกตเลย ว่าผู้สังเกตการณ์คนใหม่ที่โผล่มาในตอนจบจะมาจากตอนคดีฆาตกรรมรูปปั้นศิลปะ =[]=
    อันนี้จริงๆจากในเมะใช่มะเนี่ย เดี๋ยวต้องกลับไปดูใหม่ซะแล้ว
    ขอบคุณมากมายที่สร้างฟิคดีๆโฮกๆ มาให้อาน ร้ากคนแต่งคร่าาาาา

    ตอบลบ
  2. >///< ขอบคุณค่ะ ที่แต่งฟิคดีๆแบบนี้ออกมา "ฟิน" ~~~~~
    (ทั้งๆที่ยังไม่ได้ดูอนิเมะ ดันอ่านจบซะได้ 5555555 //ติดอ่านฟิคก่อนดูอนิเมะซะแล้ว นิสัยไม่ดีเลยเนอะ)
    ตอนแรกคลั่งนายโซโงะมาก ~ พออ่านเรื่องนี้จบ... ยกกิโนะสะซังขึ้นหิ้ง ส่วนนังโซโงะ (ก็ยังชอบ //อ่าว 55)
    รักเรื่องนี้ ... มันโดน LC ป่าวแว๊ ~~ //เดินหาเนิเมะดู

    ขอบคุณผู้แต่งมากๆค่าาาา ~ // FIN

    ตอบลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ19 พฤษภาคม 2556 เวลา 15:41

    อ๊ายยยยยยยยย ตายยยยสนิทททททททททท >___<
    ขอบคุณนะคะที่แต่งฟิคคุณโคกิโนะมาให้กริ๊วกร๊าวหัวใจกันแบบนี้

    พอดีเพิ่งดูอนิเมะจบวันก่อน จบแล้วแล้วรีบเสิร์ชหาฟิคก่อนเลย *ตามฉบับวิถีแฟนด้อม*
    อ่านรวดเดียวจบสิบบท ตาห้อยกันเลยทีเดียวค่ะ เย่เย่~ (แต่เพื่อคุณโคกิโนะ เอฟซีทนได้ 55)
    ชอบที่อิงตามอนิเมะช่วงก่อนจบแบบเป๊ะๆๆๆมากเลย เพราะเพิ่งดูจบด้วย ทุกอย่างเลยแบบยังติดตาตรึงใจ อ่านฟิคนี้แล้วรู้สึกโคกิโนะมันแคน่อนอย่างแรง กร๊ากกกก

    ที่ฟินมากอีกอย่างคือ ฟิคเรื่องนี้เวลาอ่านแล้วอินอย่างแรง
    รู้สึกแน่นๆ เจ็บจี๊ดๆในอก ตั้งแต่อ่านตอนหนึ่งเลย (จริงๆไม่ได้เว่อร์ 55)
    อย่างตอนที่กิโนะซังสะบัดมือโคซังออกนั่นน่ะค่ะ ...อ่านแล้วร้าวใจ ก๊าวใจ และปวดร้าว กับอีกมากมายหลายซีน อ๊ากกก
    คือมันไม่ได้อะไรมากมาย ดูเป็นซีนธรรมดาๆ ที่ดูถ่ายทอดความรู้สึกออกมาได้ดี
    (สารภาพเลย ส่วนตัวจะอ่อนยวบย้วยกับฟิค/นิยายเรื่องไหนทำให้เรารู้สึกแบบนี้ได้ค่ะ แบบชอบมากกกก อ่านไปจี๊ดไปอินไปจิกหมอนไปโน่นนี่นั่น XDDDD)

    ขอบคุณสำหรับฟิคดีๆอีกรอบนะคะ แล้วก็ขอโทษด้วยที่เม้นท์อย่างยาวและติ่งมาก
    ไว้จะไปสตอร์คฟิคเรื่องอื่นของคุณกวางด้วย ฮิฮิ
    (จะโลภไปมั้ยถ้าจะแอบขอรีเควสฟิคคุณโคกิโนะอีก ฮรั้ยยยย :3)

    ตอบลบ
  4. ขอบคุณสำหรับฟิคดีๆจริงๆค่ะ โฮรววววว ลุ้นกับทั้งสองคนสุดๆ มีความสุขแล้วก็ดีใจด้วยนะคะ ^+++^

    ตอบลบ
  5. ขอเม้นรวบยอดนะคะ อ่านครบทุกตอนแล้ว สนุกมากกกกกก
    คืออ่านไปอินไปจิ้นไป
    ตอนจบสุดฟินมากค่ะพูดเลย ครอบครัวอบอุ่น กลางขุนเขาและฝูงหมาน้อยยย
    ที่จริงยังไม่อยากให้จบเลย เขียนต่ออีกซักภาคมั้ยคะอิๆ ไหนๆภาค2ก้มาแล้ว
    รอเรื่องใหม่นะคะ

    ตอบลบ