Touken Ranbu Au.Fic [Yamato x Kashu] GLIDE : SF16-H Raspberry #01


Touken Ranbu Au.Fic [Yamato x Kashu]  GLIDE : SF16-H Raspberry #01

: Touken Ranbu feat. Attack on Titan , KHR , A/Z  Fanfiction Au
: Yamato no kami Yasusada x Kashu Kiyomitsu  with Levi x Eren , 8059 , Cruhteo x Slaine
: Romantic Drama
: NC-17


คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
             : ไม่จำเป็นต้องอ่าน GLIDE ภาคก่อนๆก็ได้ค่ะ เพราะตัวละครของภาคก่อนแค่มาก่อปัญหา(?)เล็กน้อยแต่ไม่มีผลอะไรกับเนื้อเรื่องในภาคนี้ค่ะ
             : เนื้อเรื่องเกี่ยวข้องกับวงการแข่งรถฟอร์มูล่าวันและมาเฟียในอิตาลีค่ะ อาจมีคำศัพท์เทคนิคค่อนข้างมากแต่จะอธิบายใส่เนื้อเรื่องไปเรื่อยๆค่ะ
             : มีแผนผังตัวละครให้ดูด้วยค่ะ จะได้ไม่งงว่าใครเป็นใครในองค์กรนี้555(จิ้มที่รูปเพื่อให้เป็นรูปใหญ่)
             
         










สายลมบางเบาพัดเอาเส้นผมสีดำให้พลิ้วไหวเท่าที่ผมสั้นๆจะทำได้ นัยน์ตาสีเปลือกไม้เหยียดมองลงไปยังช่องว่างระหว่างตึกที่แออัดยัดเยียดของกรุงโตเกียว เมืองหลวงของประเทศบ้านเกิดที่ไม่ได้กลับมาเสียนาน รอยยิ้มเย็นๆราวกับเด็กได้เจอของเล่นที่ถูกใจฉาบอยู่บนใบหน้าหล่อเหลา ดวงตาที่มืดมนยังคงทอดมองลงไปยังกลุ่มคนเบื้องล่างอย่างไม่กระพริบ

เจ้าพวกที่ต่อสู้เหมือนหมาหมู่พวกนั้นไม่ใช่ลูกน้องในหน่วยพิรุณของเขาหรอก แต่ที่เขายังไม่ก้าวขาผ่านไปก็เพราะติดใจคนที่ถูกรุมอยู่นั่นต่างหาก

“เข้ามาแส่แบบนี้อยากตายไปด้วยหรือไงวะ?!”   เสียงข่มขู่ดังมาจากเบื้องล่าง ฉากที่เห็นก็คล้ายๆในการ์ตูนทั่วๆไป ที่คนดีคนหนึ่งยอมยื่นมือเข้าไปช่วยหญิงสาวที่ถูกรังแก...เพียงแต่...กลุ่มคนที่รุมล้อมอยู่นั้นมันไม่ใช่นักเรียนอันธพาลธรรมดาๆแต่เป็นยากูซ่า...

นัยน์ตาสีเปลือกไม้เหลือบมองใบหน้าที่น่ารักเหมือนเด็กผู้หญิงแต่ที่จริงน่าจะเป็นผู้ชายของคนที่ถือไม้ซึ่งหยิบมาง่ายๆจากกองขยะแถวนั้น....จะว่ากล้าหาญหรือว่าบ้าบิ่นไม่กลัวตายดีล่ะ?

แต่จะอะไรก็แล้วแต่ มันก็ทำให้เพชฌฆาตมือหนึ่งของวงการมาเฟียอิตาลีอย่างเขาถึงกับหยุดดูได้....ก็นับว่าไม่ธรรมดา

“ผมไม่ได้อยากตาย แต่เห็นผู้หญิงถูกรังแกแล้วไม่เข้าไปช่วยก็อย่าเรียกตัวเองว่าลูกผู้ชายเลย”   ฮู้ว~ มาดแมนต่างจากรูปร่างหน้าตาจริงๆ เสียงนิ่งๆที่พัดมากับสายลมทำให้ใบหน้าหล่อเหลาของยามาโมโตะ ทาเคชิถึงกับผิวปาก...ใช่...คำพูดที่ดูดีนั่นมันช่างต่างจากแววตาของปีศาจร้ายที่ฉายชัดอยู่บนใบหน้าหวานๆนั่นจริงๆ ด้วยเกียรติของเพชฌฆาตที่สังหารคนมานับร้อยนับพันอย่างเขากล้ายืนยันได้เลยว่าคำพูดพวกนั้นมันก็แค่คำลวง ใบหน้าคนดีที่เด็กนั่นสวมไว้มันก็แค่หน้ากาก

“นังนั่นมันติดหนี้พวกชั้นอยู่ มันก็ต้องใช้หนี้ด้วยร่างกายของมัน! ถ้าแกอยากจะตายในมาดลูกผู้ชายละก็...ได้....เดี๋ยวจัดให้!”   แล้งฝูงไฮยีน่ารนหาที่ตายก็วิ่งกรูกันเข้าไปด้วยอาวุธครบมือ ฮึๆๆ ฮะๆๆ ใบหน้าหล่อเหลาได้แต่เงยขึ้นหัวเราะกับท้องฟ้ายามราตรี ฉากนองเลือดแบบนี้ก็คงจะมีแต่ปีศาจเท่านั้นแหละที่เห็นแล้วยังหัวเราะได้...อ้าวๆ...ก็แม้แต่ผู้หญิงที่เด็กหนุ่มคนนั้นอุตส่าห์ยืนขาเข้าไปช่วยก็ยังวิ่งกรีดร้องหนีไป ปล่อยเด็กหนุ่มคนนั้นเอาไว้คนเดียว

รอยยิ้มเย็นๆยกอยู่ที่มุมปากอย่างถูกใจ เพราะถึงจะถูกทิ้งไว้แต่ใบหน้าหวานๆนั่นกลับดูจะชอบมากกว่า มันถึงได้เต็มไปด้วยแววสนุกสนานขนาดนั้น....ไม่ได้ต่างไปจากเขาเลยสักนิด

ร่างในชุดฮากามะที่น่าจะเป็นชุดฝึกเคนโด้ตวัดไม้ที่หามาได้จากกองขยะนั่นราวกับตวัดดาบ ดูจากความคมของมันที่ซัดจนพวกหมาหมู่ลงไปหมอบราบกับพื้นก็ต้องยอมรับเลยว่าเด็กนั่นฝีมือไม่ธรรมดาเลย อาจจะใกล้เคียงกับเขาด้วยซ้ำ...อ่า...หมายถึงเรื่องจิตสังหารที่เอาเรื่องนั่นด้วยน่ะนะ


โครม!!


แต่แล้วจู่ๆร่างในชุดฮากามะก็ถูกท่อแป๊บสนิมเขรอะซัดกระเด็นจากมุมที่มองไม่เห็นเพราะถูกรุม...หว่ะ...ไม้ที่ใช้แทนดาบนั่นหักเป็นสามท่อนเลยแหะ

ร่างโปร่งลุกขึ้นมายืนโซเซ ถึงแม้ว่าประชากรไฮยีน่าจะถูกซัดร่วงไปเยอะแล้วก็ตาม แต่จำนวนที่เหลือกับการที่จะต้องสู้ด้วยมือเปล่ามันก็หนักไปหน่อยละนะ น่าเสียดายจริงๆ ก็เขาอยากเห็นฝีมือของเด็กนั่นอีกซักหน่อยนี่นา...


ถ้างั้นก็ช่วยไม่ได้...


“เฮ้...”   เสียงทุ้มเอ่ยลอยๆแต่มันก็มากพอที่จะทำให้การต่อสู้ต้องหยุดชะงัก ใบหน้าที่ล้อมกรอบด้วยเส้นผมสีดำเหมือนท้องฟ้าราตรีที่มัดรวบไว้บนหัวเงยขึ้นมามองด้วยสองตาที่เบิกกว้าง มือใหญ่ๆปล่อยชิงุเระคินโทคิดาบคู่ใจจากยอดตึกลงไป...และในชั่วพริบตาที่ไม่มีใครเข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น...เด็กหนุ่มคนนั้นกลับตวัดกายหลบหนีออกมาจากฝูงไฮยีน่าแล้วกระโดดรับดาบสีดำเอาไว้ด้วยท่วงท่าที่สง่างาม

“จัดการซะสิ...”   ยามที่ดาบอาบโลหิตอยู่ในมือของปีศาจร้ายแล้วแววตาของพวกมันก็จะวาวโรจน์...ไม่ต่างจากดวงตาสีฟากฟ้าในยามนี้เลย

สองมือบางๆค่อยๆปลดคมดาบออกจากฝัก นัยน์ตาคมกล้าจ้องมองฝูงหมาขี้เรื้อนทีละคน...แล้วเด็กหนุ่มผู้นั้นก็ทำให้ยามาโมโตะ ทาเคชิต้องผิวปากอย่างถูกใจอีกครั้ง...เมื่อชิงุเระคินโทคิถูกตวัดด้านสันลง

หึ...ไม่ได้คิดจะฟังคำสั่งของคนไม้รู้หัวนอนปลายเท้าที่หยิบยืนอาวุธให้อย่างเขางั้นสินะ เลยไม่คิดจะฆ่าพวกนั้นด้วยดาบนั่น

แล้วในชั่วพริบตาสันดาปก็ตัดสติการรับรู้ของหมู่ไฮยีน่าจนไม่มีใครยืนอยู่ได้อีก...ไม่มีแม้แต่เสียงกรีดร้อง ไม่มีแม้แต่เสียงโวยวาย...แน่นอนว่าไม่มีใครหนีรอดไปได้สักคน

“หึ...ฮ่าๆๆๆ”   ใบหน้าหล่อเหลาหัวเราะราวกับคนบ้าอยู่ตรงนั้นแม้ว่าคมดาบจะถูกเก็บเข้าฝักและเด็กหนุ่มก็เพียงวางมันคืนเอาไว้ให้บนลังไม้ใกล้ๆ นัยน์ตาสีเปลือกไม้มองตามร่างโปร่งบางในชุดฮากามะนั่นไปอย่างถูกใจ



ในที่สุด...ก็หาเจอจนได้...

คนที่จะมาเป็นสายฝนโลหิตต่อจากเขา...



อะไรคือสิ่งที่ทำให้ตัวเขาเองก้าวเข้ามาเดินในเส้นทางสีเลือดนี่น่ะเหรอ?

เคยคิดทบทวนและพยายามจะหาเหตุผลที่สวยหรูอยู่เหมือนกัน แต่ลึกๆในใจของเขาย่อมรู้ดีว่าเขาไม่ได้มาเป็นมาเฟียเพราะต้องการปกป้องเพื่อนรักหรือพิทักษ์ความสงบสุขอะไรพวกนั้นหรอก...แต่ที่มาเป็นมาเฟีย ที่ยอมเป็นเครื่องจักรสังหารให้กับวองโกเล่...ที่จริงแล้ว...มันก็แค่การเติมเต็มแรงกระตุ้นจากสัญชาติญาณที่หิวกระหายเลือดของตัวเองก็เท่านั้น

เพราะมีจิตวิญญาณที่เป็นนักฆ่ามาแต่กำเนิด...

และเจ้าเด็กตรงหน้าก็มีแววตาและกลิ่นไอที่ไม่ได้ต่างไปจากเขาเลย


“ยินดีที่ได้รู้จักนะ...ชั้น ยามาโมโตะ ทาเคชิ ผู้พิทักษ์แห่งพิรุณของวองโกเล่เดซิโม่”   เสียงทุ้มเอ่ยเบาๆ ถึงคนที่เดินจากไปจะไม่ได้ยินในตอนนี้แต่อีกไม่นานหรอก...ชั้นจะไปบอกนายด้วยตัวของชั้นเองแน่นอน




















ร่างทั้งร่างราวกับถูกห่อหุ้มอยู่ในที่แคบและอึดอัด ไม่ว่าจะสะบัดไปทางไหนกลับถูกรัดแน่นยิ่งกว่าเดิม

อย่า!!

เสียงของตัวเองกู่ร้องก้องอยู่ในหัว ลมหายใจหนักหน่วงที่เป่ารดอยู่บนต้นคอทำให้ร่างกายเปลือยเปล่าบิดเร่าราวกับกำลังหลบหนีอย่างบ้าคลั่ง แต่กรงขังที่เรียกว่าอ้อมแขนก็แข็งแกร่งเกินไปจนเขาทำได้แค่ยอมรับมันเอาไว้ ฝ่ามือทั้งผลักไสทั้งจิกเล็บสีแดงลงไปบนต้นแขนที่ไม่ได้ใหญ่โตนั่น...มันมีพละกำลังมากกว่าเขาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? หรือจะเป็นเขาเองที่อ่อนแอลง?

บอกให้หยุด!!

จากที่แผ่นหลังเคยแทบจะถูกฝังอยู่บนเตียงแต่ตอนนี้สองขากลับกำลังวิ่งอยู่ในตรอกสกปรกๆของโตเกียว ลมหายใจแทบจะขาดจากกันให้ได้แต่เขาก็ยังตะเกียกตะกายที่จะวิ่งต่อไป...หนี...เขาต้องหนีไปจากหมอนั่นให้ได้

ถอยไป!! เลิกยุ่งกับชั้นซักที!!

เสียงกระหึ่มของรถยนต์ดังคละเคล้าไปกับเสียงกรีดร้องที่อยู่ในใจของเขา ฝ่าเท้ากดคันเร่งก่อนจะปล่อยเป็นเพื่อเป็นสัญญาณเตือนให้อีกฝ่ายถอยไป แต่คนที่ยืนอยู่ปลายถนนกลับมองมาด้วยสายตาแน่วแน่ราวกับมัจจุราชที่จะเกาะหลังเขาไปจนวันตาย...ทำไมกัน...ทำไมต้องเป็นเขาด้วย....ไม่เข้าใจ...ไม่เข้าใจเลย...ถึงอีกฝ่ายจะกอดเขาเอาไว้แน่นขนาดไหนแต่เขาก็ไม่เคยเข้าใจเลยว่ามันคืออะไร...เขาก็แค่อยากจะเป็นอิสระ...ปล่อยเขาไปไม่ได้เหรอ...

นัยน์ตาสีเพลิงจับจ้องไปที่ร่างในชุดฮากามะสีดำที่ยังคงยืนมองตรงมาด้วยสายตานิ่งสนิท...ดี!! ถ้านายไม่คิดจะยกฟากฟ้าที่ชั้นโหยหาให้ ชั้นก็จะช่วงชิงมันมาด้วยฝ่ามือคู่นี้เอง!

ฝ่าเท้าปล่อยเบรกก่อนจะเหยียบคันเร่งอย่างเต็มกำลัง รถสีดำพุ่งตรงไปข้างหน้าราวกับพายุ มุ่งตรงไปหาคนที่ยืนอยู่ปลายถนน

หายไปซะ!!

หายไปจากชีวิตชั้นเสียที!!


เอี๊ยดดดดดดดดดดดดดดด!!




เฮือก!

นัยน์ตาสีเพลิงเบิกโพลงขึ้นมาจากความฝันอันยาวนาน เหงื่อกาฬไหลท่วมจนรู้สึกเปียกไปหมดทั่วทั้งใบหน้าและแผ่นหลัง ร่างเพรียวบางลุกขึ้นนั่งก่อนจะหอบหายใจขนาดหนัก...ฝัน...งั้นเหรอ....

ใช่...มันก็แค่ความฝัน...ภาพเหตุการณ์ที่สันสนปนเปมันทำให้เขารู้ว่าเขาอยู่ในฝัน...เพียงแต่....มันเป็นความฝันที่เกิดจากเศษเสี้ยวของความเป็นจริง เป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับตัวเขา แล้วก็เป็นความฝันซ้ำๆที่ตามมาหลอกหลอนเขาตั้งแต่วันที่ตัดสินใจหนีมา...หนีออกมาจากเงื้อมมือของปีศาจร้ายที่ได้ทุกสิ่งทุกอย่างของเขาไป

ได้ไปหมดไม่ว่าจะเงินทอง บ้าน รถ เกียรติยศ ชื่อเสียง

ได้ไปแม้แต่...

“อึก...”   ความรู้สึกที่ร่างกายของอีกฝ่ายฝังแน่นอยู่ในร่างกายกายของเขายังไง ขยับแบบไหน มันชัดเจนเสียจนต้องขดตัวเข้าหากันก่อนจะใช้สองแขนโอบกอดตัวเองเอาไว้ ริมฝีปากสีสดกัดแน่นเพื่อให้ความเจ็บแสบไล่ความทรงจำอันเลวร้ายนั่นไป

หมอนั่นได้จากเขาไปขนาดนั้นแล้วยังจะเอาอะไรอีก!

สายตาดำมืดที่มองตรงมานั่นมันอะไร ต่อให้ความตายอยู่ตรงหน้าหมอนั่นก็ไม่หวั่นไหวเลยหรือไง?

สองมือกอดเข่าก่อนจะนั่งอยู่บนเตียงที่มีเพียงแสงไฟจากภายนอกลอดเข้ามา นัยน์ตาสีเพลิงสั่นไหวราวกับจะร้องไห้เสียให้ได้ ใบหน้าที่ควรจะสวยสง่ากลับเต็มไปด้วยแววเจ็บปวด

หมอนั่นมันฝันร้ายชัดๆ...

แล้วเขาจะต้องเอาแต่หนีแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่กัน...



ต่อให้เฝ้าถามมานานแค่ไหนเขาก็ไม่เคยได้รับคำตอบ....



ร่างกายที่ค่อยๆหายสั่นเทาเริ่มกลับสู่ความเย้ายวนตามปกติ...ช่างเถอะ...ต่อให้รู้ว่าหนีไปก็ไม่รอดแต่เขาก็ยินดีจะหนีต่อไป ดีกว่าตกไปอยู่ในเงื้อมมือของหมอนั่นเป็นไหนๆ...เขายังจำรสชาติของการถูกขังได้เป็นอย่างดีและจะไม่มีวันยอมให้เป็นแบบนั้นอีก

ร่างสีขาวราวกับหิมะลุกจากเตียงช้าๆ ผ้าแพรสีแดงที่ใช้แทนผ้าห่มถูกพันรอบร่างกายเปลือยเปล่า ฝ่าเท้าเหยียบลงไปบนพรมหนานุ่มก่อนจะเดินมาหยุดอยู่หลังหน้าต่าง มือบางแง้มผ้าม่านก่อนจะทอดสายตาออกไปมองภายนอก...

มาราเนลโล่งั้นเหรอ...

คงพูดได้ไม่เต็มปากละนะว่าไม่ได้คิดอะไรเลยตอนตกลงใจว่าจะหนีมาหลบอยู่ที่นี่...เมืองของเฟอร์รารี่แห่งนี้...ก็ถ้าใครได้ตกหลุมรักสิ่งที่เรียกว่าความเร็วแล้วละก็...ครั้งหนึ่งในชีวิตก็คงอยากจะมาเหยียบที่นี่ด้วยกันทั้งนั้นแหละ

เอาเถอะ เรื่องของหมอนั่นช่างมันก่อนก็แล้วกัน...สำหรับวันนี้เรื่องที่ต้องคิดก็คือเขาจะใช้ชีวิตอยู่ยังไงในอิตาลีที่เพิ่งจะหนีมาถึงนี่ต่างหาก...


















การแข่งขันรถสูตรหนึ่งหรือฟอร์มูล่าวันเริ่มเปิดฤดูกาลไปได้สามสนามแล้วสำหรับปีนี้ และเฟอร์รารี่ก็กำลังประสบปัญหาใหญ่ที่ทำให้ผู้บริหารระดับสูงจำต้องเร่งประชุมแก้ไขโดยด่วน เพราะงั้นเอลวิน สมิธ ทีมบอสหนึ่งเดียวของม้าลำพองถึงได้ต้องมานั่งเผชิญหน้ากับครูเทโอ CEOหนุ่มหัวแข็งปากร้ายจนได้รับฉายาว่าCEOปีศาจอยู่ในห้องประชุมของสำนักงานใหญ่อยู่แบบนี้ไง

“สนามเว้นสนามเลยเหรอ....”   คนที่มีตำแหน่งสูงสุดในเฟอร์รารี่เอ่ยออกมาเมื่อไล่สายตามองแฟ้มในมือ ถึงใบหน้าของCEOหนุ่มจะยังเคร่งขรึมแต่หัวคิ้วสีทองที่ขมวดเข้าหากันมันก็ทำให้รู้ว่าผลงานของเจ้าของแฟ้มไม่ได้เป็นที่พอใจนายใหญ่แห่งค่ายม้าลำพองนัก

“ใช่...จริงๆก็เริ่มออกอาการให้เห็นมาตั้งแต่ช่วงปลายฤดูกาลที่แล้วแล้วละ แต่เพราะยังไงคะแนนสะสมก็ทำให้เจ้าตัวได้แชมป์โลกสมัยที่สามไปแล้ว ทางทีมแข่งเลยปล่อยไป”   หัวข้อการประชุมในครั้งนี้ต้องเกี่ยวข้องกับนักขับหนึ่งในสองของทีมแน่นอนและมันก็ไม่น่าใช่สเลน ทรอยยาร์ด เพราะหากเป็นเรื่องของนักขับมือสองของทีมคนนี้ คนที่รู้ดีที่สุดก็น่าจะเป็นตัวCEOหนุ่มเอง คงไม่ต้องให้ใครมาเขียนรายงานหรอก  เพราะงั้นคนที่ทำให้ทุกใบหน้าในห้องนี้มีแต่ความเคร่งเครียดก็คือนักขับมือหนึ่งของทีม โกคุเดระ ฮายาโตะนั่นเอง...แฟ้มที่มีรูปของคนที่ชักสีหน้าเย็นชา ทั้งใบหน้าถูกล้อมเอาไว้ด้วยกรอบผมสีเงินถูกโยนลงไปบนโต๊ะ

“จะมีผลข้างเคียงขนาดนั้นมันก็ไม่แปลกเลยไม่ใช่หรือไง...ในเมื่อเคยเกือบจะเดินไม่ได้ด้วยซ้ำ ที่กลับมาได้ขนาดนี้ก็มีแต่ต้องเรียกว่าปาฏิหาริย์แล้ว”  CEOหนุ่มตีสีหน้าหงุดหงิดเหมือนเวลาที่ใครเอาเรื่องไร้สาระมาบอกตอนที่เขากำลังยุ่งกับการประชุมจนหัวหมุน...ก็ในเมื่อเรื่องของเจ้าเด็กหัวเงินนั่นมันไม่ได้เกินความคาดหมายเลยสักนิด...โกคุเดระ ฮายาโตะเคยเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงจากการแข่งขันจนขาใช้การไม่ได้เป็นปีๆ กว่าจะผ่าตัดกว่าจะทำกายภาพกลับมาเดินได้ กลับมาขับรถได้นี่ก็แทบจะไม่มีใครเชื่อแล้ว...แล้วหากอีกสิบปีให้หลังมันจะเกิดผลกระทบจากเหตุการณ์เหล่านั้นบ้างมันก็ไม่เห็นจะแปลก

ไม่แปลกเลยที่บางวันเด็กนั่นจะปวดขาจนทำอะไรไม่ได้...ลงแข่งก็ไม่ได้...

“แล้วไง? นายให้ชั้นเปิดประชุมแบบนี้คงต้องมีทางออกเตรียมเอาไว้อยู่แล้วสินะ? รู้ใช่ไหมว่าชั้นยังมีเอกสารต้องเซ็นต์อีกเป็นภูเขาเลากา”   เอลวิน สมิธได้แต่เหลือบมองไม้เบื่อไม้เมาของตนเองอย่างระอา...เอกสารของเฟอร์รารี่เองมันก็ไม่เท่าไหร่ไม่ใช่หรือไง? แต่ไอ้ที่มันเพิ่มมาอีกเท่าตัวนั่นมันเป็นงานกิจการของบ้านแฟนตัวเองแท้ๆยังจะมาบ่น! ทีมบอสแห่งพิตการาจสีแดงจึงเอ่ยแนวทางแก้ไขที่ตนคิดไว้ออกไป

“จริงๆก็ไม่อยากทำแบบนี้หรอกนะ แต่ยังไงก็ทิ้งคะแนนแทบจะสนามเว้นสนามไม่ได้หรอก...ก็เลยคิดว่าคงต้องหานักขับสำรอง...”

“ไม่อนุมัติ”   ยังไม่ทันจะพูดจบเจ้าCEOปีศาจก็ตอบปฏิเสธกลับมาอย่างชัดถ้อยชัดคำจนน่าซัดให้คว่ำสักหมัด จะฟังเหตุผลของเขาบ้างนี่จะตายไหม?! ทีมบอสร่างสูงใหญ่ได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพลางมองใบหน้าหยิ่งทระนงนั่นบ่นฉอดๆ

“นายรู้ไหมว่าค่าเซ็นต์สัญญานักขับเอฟวันมันเท่าไหร่? นายคิดจะจ้างเอาไว้ถึงสามคนมันจะเป็นไปได้ยังไง? ถ้าต้องให้เลือกละก็หานักขับใหม่ไปเลยไม่ดีกว่าหรือไง?”


ปัง!!


มือใหญ่ของเอลวิน สมิธตบโต๊ะอย่างไม่มีเกรงใจว่าอีกฝ่ายใหญ่กว่าตัวเองขนาดไหน คนที่อยู่รอบข้างเริ่มถอยห่างเพราะรู้ดีว่าปีศาจกำลังจะทะเลาะกับปีศาจ คนธรรมดาสามัญชนควรจะออกห่างให้ไกลถ้าไม่อยากโดนลูกหลง!

“อย่ามาพูดบ้าๆ! นายถ่างตาดูซะก่อนว่าสองสนามที่โกคุเดระลง เด็กนั่นได้ที่เท่าไหร่? แชมป์ทั้งสองสนามเลยนะแชมป์!! แล้วชั้นก็เชื่อด้วยว่าถ้าเราปล่อยโกคุเดระไป ถึงจะลงได้สนามเว้นสนามแต่ทีมอื่นคงรีบแจ้นมาแย่งตัวกันแน่! ต่อให้รถสู้เราไม่ได้แต่เด็กนั่นก็ใช่ว่าจะได้ดีด้วยสมรรถนะของรถเพียงอย่างเดียว โกคุเดระ ฮายาโตะเป็นของจริง! มีฝีมือและหัวสมองในการขับเอฟวันของจริง!    ทีมบอสร่างสูงใหญ่ถึงกับหยุดหอบหายใจหลังจากตะโกนใส่หน้าอีกฝ่ายแบบแทบไม่เว้นจังหวะ

“........”   และนั่นมันก็ทำให้ CEOหนุ่มยอมนิ่งคิด

“อีกอย่าง...นายก็คงไม่อยากจะปล่อยสัญลักษณ์ของเฟอร์รารี่อย่างเด็กนั่นให้คนอื่นใช่ไหมล่ะ?”   มันก็จริงที่ว่าโกคุเดระ ฮายาโตะอยู่กับเฟอร์รารี่มานาน ตั้งแต่สนามแรกของชีวิตการขับเอฟวันจนถึงสนามปัจจุบัน เด็กนั่นก็อยู่ภายใต้ธงม้าลำพองมาตลอดจนแทบจะกลายเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของพิตการาจสีแดงแห่งนี้ไปแล้ว ใบหน้าหยิ่งทระนงครุ่นคิดอยู่ไม่นานก่อนจะตัดสินใจด้วยความเด็ดขาดตามประสาผู้บริหารค่ายรถยักษ์ใหญ่

“.......คงต้องบอกอีกครั้งว่าชั้นเป็นผู้บริหารไม่ใช่ทีมบอสอย่างนาย ชั้นไม่คิดจะประเมินอะไรด้วยจิตใจแต่จะดูที่ผลลัพธ์เท่านั้นว่ามันทำกำไรให้กับเฟอร์รารี่ได้หรือเปล่า”   เอลวิน สมิธถึงกับกัดฟันกรอดกับความหัวดื้อของเจ้าCEOปีศาจตรงหน้า คุยกันทีไรเป็นได้ทะเลาะกันทุกทีก็เพราะความเห็นไม่ตรงกันแบบนี้นี่แหละ!  โธ่โว้ย! รู้งี้ให้สเลนไปกล่อมไว้ก่อนก็ดีหรอก!

“ครึ่งฤดูกาลเท่านั้น...ระยะเวลาเซ็นต์สัญญาของนักขับสำรอง...จากนั้นค่อยเอาผลงานมาคุยกับชั้น เพราะมันก็รับประกันไม่ได้ใช่ไหมล่ะว่านักขับคนใหม่จะรับความกดดันจากการเป็นนักขับของเฟอร์รารี่ได้หรือเปล่า ดีไม่ดี ไม่มีเสียเลยอาจจะยังดีกว่า”   หื๋อ? อ้าว? ตกลงอนุมัติ? ทีมบอสของม้าลำพองได้แต่ทำหน้าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง...ไอ้ที่ด่าไปมากมายเมื่อกี้ต้องรีบเก็บกลับมาทันที...เปลี่ยนไปเหมือนกันนะเจ้าครูเทโอ...ตั้งแต่มีสเลนคอยอยู่ข้างๆ

“แล้วหาได้รึยัง นักขับสำรองที่ว่า?”   CEOหนุ่มเอ่ยถามอย่างไม่ได้สนใจในคำตอบนัก ร่างสูงใหญ่ในสูทภูมิฐานลุกขึ้นจากโต๊ะประชุมทันทีเพราะว่ายังมีการประชุมและงานยาวเหยียดรออยู่

“รีไวกำลังดูอยู่...ก็อย่างที่นายบอกนั่นแหละ ไม่ใช่ว่าใครจะมาขับให้เฟอร์รารี่ก็ได้ ต่อให้เป็นนักขับมือดีจากทีมอื่นก็ใช่ว่าจะรับแรงกดดันได้ง่ายๆเสียที่ไหน”   ทีมบอสแห่งค่ายม้าลำพองได้แต่ยืนพูดกับแผ่นหลังเพราะอีกฝ่ายเดินจากไปแล้ว...นี่ไม่คิดจะฟังกันบ้างเลยเร๊อะเจ้าครูเทโอบ้านั่น! ให้มันได้อย่างงี้สิ!

ทีมบอสร่างสูงใหญ่ยืนฟึดฟัดอยู่ตามลำพังหลังจากทีมบริหารคนอื่นๆเดินยิ้มแห้งตามนายตัวเองออกไปจนหมด โทรศัพท์มือถือที่ปิดเสียงเอาไว้สั่นระรัวเมื่อมีข้อความเข้ามาจากทีมแข่งที่สนามฟิโอราโน่ทำให้นัยน์ตาสีฟ้าเหลือบไปมอง...แล้วใบหน้าหล่อเหลาก็แสยะยิ้มออกมาอย่างชอบใจ

หึๆๆ ในที่สุดเขาก็หาทางแก้แค้นเจ้าCEOบ้างานนั่นได้สักที งานนี้หมอนั่นได้เต้นแร้งเต้นกาเป็นเจ้าเข้าแน่!












แล้วมันก็เป็นอย่างที่เอลวิน สมิธคิดไม่มีผิด...

เมื่ออีกสามวันให้หลัง ใบหน้าที่ปกติจะหยิ่งทระนงของCEOแห่งค่ายรถหรูคู่อิตาลีกลับบูดบึ้งราวกับไปกินรังผึ้งที่ไหนมา ร่างสูงใหญ่แทบจะฟาดงวงฟาดงาใส่หน้าใครก็ตามที่เดินผ่านจนกระทั่งบัดนี้ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ห้องผู้บริหารของเฟอร์รารี่ที่ปกติก็น่าสะพรึงกลัวอยู่แล้วเลยสักคน

ยกเว้นก็แต่ต้นเหตุของเรื่องที่เดินยิ้มแห้งพลางผงกหัวขอโทษขอโพยทุกๆคนไปด้วยที่เจ้าCEOเอาแต่ใจนั่นพาลใส่เพียงเพราะคนรักถูกใช้ให้ไปช่วยเดินแบบในงานสัปดาห์แฟชั่นของมิลานเพราะสปอนเซอร์ขอมา...

“โธ่...ยังไม่เลิกอาละวาดอีกเหรอครับคุณครูเทโอ...พนักงานเค้ากลัวหัวหดกันหมดแล้ว”   สเลน ทรอยยาร์ดเปิดประตูห้องผู้บริหารเข้าไปพลางถอนหายใจ

“ช่างหัวมันสิ...ถ้าจะโทษก็ต้องโทษเจ้าเอลวินกับเจ้าเมสซิน่าอะไรนั่น เจ้าของห้องเสื้ออะไรซักอย่างที่ขอให้เธอช่วยไปเป็นแขกในการเดินแบบให้นั่นแหละ! เธอเป็นนักขับนะไม่ใช่ของโชว์ อีกอย่างถ้าอยากได้จริงๆละก็มันต้องทำสัญญาว่าจ้างผ่านทางเฟอร์รารี่อย่างเป็นทางการและชั้นรับรองเลยว่าจะไม่มีแบรนด์เนมหน้าไหนจ่ายค่าตัวเธอไหวแน่ๆ!  ร่างสูงใหญ่กระแทกแผ่นหลังลงไปบนเก้าอี้ผู้บริหารราคาหลายหมื่นยูโรอย่างไม่กลัวว่ามันจะพัง ใบหน้าหล่อเหลาแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่สบอารมณ์ขนาดไหนจนร่างโปร่งบางได้แต่ยิ้มแห้ง...คนที่ต้องเหนื่อยไปเดินบนแคทวอล์คที่ไม่คุ้นเคยอย่างเขายังไม่ทันบ่นซักคำ แต่กลับเป็นคุณครูเทโอที่โทรไปด่าบอสเช้า-เย็นแถมขู่เข็นบังคับสารพัดให้ยกเลิกสัญญาไป แต่ก็ทำไงได้ล่ะทางทีมแข่งก็รับปากเค้าไปแล้วว่าจะไปเป็นนายแบบให้ ถึงจะไม่ใช่สปอนเซอร์รายใหญ่แต่ยังไงก็เป็นผู้สนับสนุน ย่อมมีความสำคัญด้วยกันทั้งนั้น

ใบหน้ามนถอนหายใจอีกรอบ ถึงจะดีใจที่คุณครูเทโอเป็นห่วงเขาก็เถอะแต่บางครั้งความหวงที่ดูจะมากกว่ามนุษย์มนาปกติอยู่หลายเท่านี่ก็ทำเอาปวดหัวได้เหมือนกันนะ

“แหะๆๆ...อ่า...ไปกันเถอะครับ...กว่าจะถึงมิลานเดี๋ยวจะไม่ทัน”   สองแขนบางพยายามลากร่างหนาออกมาจากเก้าอี้ อันที่จริงเขาไปกับพวกทีมแข่งก็ได้แต่พอคุณครูเทโอดึงดันจะไปด้วย ทุกคนเลยพร้อมใจโบกมือบ๊ายบายแล้วปล่อยให้เขาไปกันตามลำพัง...โธ่~ ทุกคนนี่ก็จะกลัวอะไรกันนักหนานะ นี่ดีกว่าเมื่อก่อนตั้งเยอะแล้วนะ

“ฮึ่ม...ขอชั้นโทรไปด่าเจ้าเอลวินก่อน ไม่งั้นชั้นคงได้ควันออกหู”   อ่า...ก็ยังเหลือแต่เรื่องนี้แหละที่เมื่อก่อนเป็นไงเดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นอย่างงั้น...ตีกับบอสได้ทุกครั้งที่เจอกัน...แล้วเชื่อเถอะว่าที่เขาถูกระบุให้ไปเดินแบบในครั้งนี้ต้องเป็นแผนการแก้แค้นอะไรสักอย่างของบอสแน่ๆ เพราะโกคุเดระก็ว่างแสนว่างและคุณหมีก็ไม่ได้หวงหน้ามืดเหมือนคุณครูเทโอเสียหน่อยกลับไม่ส่งไป

ก็นะ...สรุปว่าเขาต้องนั่งฟังคุณครูเทโอโทรไปวีนใส่บอสตลอดทางตั้งแต่มาราเนลโล่ยันมิลานนั่นแหละ...

Ferrari 458 Italia จอดลงในที่จอดรถวีไอพีที่ทางแบรนด์เมสซิน่าจองเอาไว้ให้ แค่เป็นเฟอร์รารี่ก็มีแต่คนมองกันเป็นแถวแล้วนี่ยังจะเป็นเฟอร์รารี่สีขาวอีกต่างหาก ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในขณะที่เขากับCEOหนุ่มแห่งค่ายม้าลำพองก้าวขาลงไป นัยน์ตาแทบทุกคู่ที่อยู่แถวนั้นจะหันมามองกันขนาดไหน

“คุณครูเทโอ สวัสดีครับ ยินดีเป็นอย่างยิ่งเลยที่คุณให้เกียรติมาในงานเดินแบบแบรนด์เมสซิน่าของเรา”   เมสซิน่า คาตันซาโร่เจ้าของแบรนด์เดินมาต้อนรับพวกเขาด้วยตัวเองและมันก็ทำเอาหัวใจดวงน้อยเต้นตุ้มๆต่อมๆเพราะกลัวว่าคุณครูเทโอจะหันไปวีนใส่อีกฝ่ายเหมือนที่เพิ่งจะด่าบอสทางโทรศัพท์ไปหยกๆ

“ยินดีเช่นกันครับ...ต้องขอขอบคุณที่สนับสนุนสคูรเดอเลียเฟอร์รารี่ของเรามาตลอดเช่นกันนะครับ”   แต่แล้วปฏิกิริยาที่พลิกหน้ามือเป็นหลังเท้าของร่างสูงใหญ่ก็ทำเอาใบหน้ามนถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อไม่กี่นาทีที่แล้วยังดุร้ายเป็นหมีขาวขั้วโลกเหนืออยู่เลยแท้ๆแต่พอเข้าวงสังคมปุ๊บใบหน้าการค้าของCEOก็ถูกหยิบมาใช้ทันที...เขาได้แต่หัวเราะแห้งๆ...เอาเถอะ...ถึงจะหน้าไหว้หลังหลอกแต่ก็ถือว่าดีแล้วละสำหรับตอนนี้ เขาจะได้ไม่ต้องเหนื่อยคอยห้ามทัพ

“รับรองว่างานเดินแบบของเราในวันนี้ต้องมีชื่อไปทั่วโลกแน่เพราะได้นายแบบเป็นถึงนักขับของเฟอร์รารี่มาช่วยทำให้เสื้อผ้าของเราดูดีขึ้น”   ใบหน้ามนยิ้มแหยๆรับในใจกลับคิดว่าอย่างเขาน่ะจะมาทำงานล่มเสียมากกว่าละมั้ง ก็เรื่องเดินแบบอะไรนั่นเขาเคยทำเสียที่ไหน...จะไหวไหมเนี่ยสเลน...

แล้วยิ่งได้ก้าวขาเข้าไปในห้องแต่งตัว บรรยากาศยุ่งวุ่นวายของนายแบบมืออาชีพที่กำลังแต่งหน้าทำผมกันอยู่ก็ทำให้รู้สึกกดดันขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้...อ่า...ให้เขาไปขับรถที่ความเร็ว370กิโลเมตรต่อชั่วโมงยังง่ายกว่าเลยไหมเนี่ย

ร่างโปร่งบางเดินตัวลีบเข้าไปนั่งที่มุมหนึ่งซึ่งถูกเตรียมเอาไว้สำหรับเขาโดยเฉพาะ คุณครูเทโอถูกเชิญไปนั่งรอที่เก้าอี้วีไอพีหน้าแคทวอล์คเพราะงั้นตอนนี้เขาเลยต้องผจญชะตากรรมตามลำพัง ทั้งไดร์เป่าผมทั้งแปรงปัดหน้าทำเอาตาลายไปหมด โลกทั้งโลกราวกับกำลังหมุนติ้วๆ อ่า...แย่แล้ว...ทำไงดี...แบบนี้อย่าว่าแต่จะเดินแบบเลย แค่เดินให้ตรงก็คงทำไม่ได้แหงๆ

“นี่...อมนี่ไว้สิ”   แล้วในขณะที่เขากำลังหน้ามืดตาลายคล้ายจะเป็นลม จู่ๆมือบางๆของใครสักคนก็ยื่นลูกอมมาให้

“เอ่อ.....”   เขาเผลอจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างลืมคำว่ามารยาทไป ตอนแรกก็ตั้งใจจะเงยหน้าไปดูแค่ว่าเรารู้จักกันหรือเปล่า ทำไมอีกฝ่ายถึงได้ใจดีส่งลูกอมมาให้แบบนี้ แต่พอหลังจากที่มองยังไงก็ไม่ใช่คนรู้จักแทนที่เขาจะหันกลับมา เขากลับถูกรูปหน้าสวยๆนั่นสะกดสายตาเอาเสียอย่างนั้น...ถ้านั่งอยู่ในห้องนี้ก็น่าจะเป็นนายแบบที่มาเดินแบบเหมือนกับเขา...เป็นนายแบบก็ต้องเป็นผู้ชาย...แต่ใบหน้าที่แต่งด้วยโทนสีแดงนั่นกลับดูร้อนแรงจนแม้แต่คนไม่ค่อยรู้เรื่องโลกของแฟชั่นอย่างเขายังต้องมองจนตาค้าง...สวย....เป็นผู้ชายที่สวยจริงๆ

“ไม่ต้องกลัวจะถูกวางยาหรอกน่า มันยังไม่ได้แกะ”   อ่ะ...พออีกฝ่ายเอ่ยปากมาแบบนั้นเขาถึงเพิ่งจะนึกได้ว่ายังไม่ได้รับลูกอมนั่นมา มือบางยื่นออกไปหยิบด้วยท่าทางเขินๆ...ทำเรื่องน่าอายไปอีกจนได้ โธ่~

“เอ่อ...ขอบคุณครับ....”   มือบางแกะลูกอมก่อนจะใส่เข้าไปในปากด้วยสองแก้มที่ขึ้นสีระเรื่อ นัยน์ตาสีมรกตแอบเหลือบมองอีกฝ่ายผ่านกระจกบานใหญ่ ร่างเพรียวบางนั่นกลับไปนั่งอ่านนิตยสารที่อยู่ในมือต่อ...เอ๋? นิตยสารเกี่ยวกับมอเตอร์สปอร์ต? บอกตามตรงว่าไม่เข้ากับอิมเมจสวยเปรี้ยวของอีกฝ่ายเลยสักนิดจนเขาอดคิดไม่ได้ว่าคงเป็นหนังสือที่ใครคงจะลืมทิ้งไว้แล้วอีกฝ่ายก็คงแค่หยิบมาอ่านฆ่าเวลา

“คะชู คิโยมิตสึ”   แล้วจู่ๆใบหน้าที่ยังไม่ละสายตาจากหน้าหนังสือก็เอ่ยออกมาทำเอาคนที่แอบมองถึงกับสะดุ้งโหยงก่อนจะลนลานเพราะนอกจากเขาแล้วตรงนี้ก็ไม่มีใครอีก แล้วอีกฝ่ายก็ไม่น่าจะพูดคนเดียว? ถ้างั้นก็พูดกับเขาเหรอ?

“เอ๋? เอ่อ?...”

“ชื่อของชั้นไงล่ะ...เห็นนายจ้องเอาๆเหมือนอยากจะรู้จัก อ้อ แต่ไม่ต้องแนะนำตัวก็ได้เพราะคงไม่มีใครไม่รู้จัก สเลน ทรอยยาร์ด นักขับตัวจริงของเฟอร์รารี่หรอก”   หวา~~ รู้จักเขาด้วย..แต่ที่น่าอายกว่านั้นก็คือถูกอีกฝ่ายจับได้ว่าแอบมองนี่แหละ เขาได้แต่หัวเราะแหะๆกลบเกลื่อนก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองพื้นอย่างอายๆ อีกฝ่ายก็ไม่ได้เซ้าซี้หรืออยากจะตีสนิทอะไรเขามากนัก บทสนทนาจึงหยุดลงแค่นั้น

ถึงคำพูดจะหยุดลงแต่สายตาของเขากลับไม่สามารถหยุดมองอีกฝ่ายได้เลย ทั้งๆที่พยายามห้ามตัวเองแทบตายแต่นัยน์ตาเจ้ากรรมกลับลอบมองร่างที่นั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้ข้างๆนั่นได้ตลอด...สงสัยจะเป็นเรื่องปกติของพวกนายแบบมืออาชีพละมั้งที่มักจะทำให้ใครต่อใครละสายตาไปไม่ได้แบบนี้?

ก็นอกจากจะสวยแล้วคนคนนี้ยังมีกลิ่นไอที่เย้ายวนชวนให้หลงใหล...และเพราะเขาอายุปูนนี้แล้วแล้วก็ผ่านอะไรมาหลายๆอย่างทำให้พอจะรู้...ว่ามันเป็นกลิ่นของเด็กหนุ่มที่ไม่ได้บริสุทธิ์

เป็นความเซ็กซี่ที่ผู้ชายปกติจะไม่มี...






เสียงเพลงที่ดังลอดผ่านมายังหลังเวทีทำให้ร่างโปร่งบางที่ยืนรออยู่ถึงกับสั่นพั่บๆ นัยน์ตาสีมรกตลอบมองผ่านช่องด้านหลังเพื่อที่จะเห็นว่าเหล่านายแบบมืออาชีพนั้นเดินบนแคทวอล์คกันได้ดีขนาดไหน...โธ่~~ ก็รู้ว่าไม่ใช่เวลาจะมากลัวแต่มันก็อดที่จะสั่นไม่ได้นี่นา...ถ้าให้โกคุเดระมาแทนก็ดีหรอกเพราะอย่างหมอนั่นคงไม่รู้สึกอะไรแล้วเดินหน้าตายออกไปได้แน่ๆ

นัยน์ตาสีมรกตเหลือบมองร่างเพรียวที่ยืนกอดอกอยู่ข้างๆด้วยท่าทางเฉยๆ...เอ...คะชู คิโยมิตสึ สินะ? ชื่อที่อีกฝ่ายบอกเขามา จะว่าเหมือนเคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อนก็นึกไม่ออก อาจจะเป็นนายแบบชื่อดังที่เขาคงได้ยินผ่านสื่อมาละมั้ง? ก็ใบหน้าที่ดูมั่นใจแบบนั้นมันคนละขั้วกับมือสมัครเล่นอย่างเขาเลยนี่นา

“เซตต่อไปเตรียมตัวค่ะ”    เสียงพนักงานเอ่ยเรียกยิ่งทำให้รู้สึกลนลานหนักขึ้นเพราะเซตต่อไปที่ว่านั่นมันมีเขารวมอยู่ด้วยน่ะสิ ร่างโปร่งพยายามรวบรวมสมาธิ...เอาน่า...ขนาดรถที่เร็วที่สุดในโลกเขายังขับมันได้ นับประสาอะไรกับการเดินบนแคทวอล์ค!

แสงไฟเปลี่ยนทิศทางการสาดส่องไปมา เสียงเพลงเองก็เปลี่ยนเพื่อบ่งบอกให้รู้ว่ากำลังจะขึ้นเซตใหม่แล้ว เขาจะเดินออกไปเป็นคนสุดท้ายและคนก่อนหน้าเขาก็คือคะชู คิโยมิตสึ

นัยน์ตาสีมรกตแทบจะละจากร่างเพรียวที่ก้าวขาอยู่บนแคทวอล์คนั่นไม่ได้เลย การเดินที่เป็นธรรมชาตินั่นดูต่างจากพวกนายแบบมืออาชีพคนอื่นๆอยู่นิดหน่อยแต่มันกลับมีเสน่ห์จนชุดที่สวมใส่เปล่งประกายจนเผลอคิดไปว่าเขาก็อยากจะใส่ชุดแบบนั้นอยากจะเป็นแบบนั้นบ้างเลยล่ะ นี่สินะที่เรียกว่าการเดินแบบที่ประสบความสำเร็จ

ร่างเพรียวเดินไปหมุนตัวอยู่ที่ปลายแคทวอล์คและมันก็ได้เวลาที่เขาจะต้องก้าวขาออกไปบ้าง...ทว่า...เรื่องไม่คาดฝันก็ดันเกิดขึ้นมาเสียก่อน



ปังๆๆๆๆๆ!!!



เสียงดังสนั่นทำให้สองมือยกขึ้นมาปิดหูก่อนที่ร่างทั้งร่างจะหมอบลงพื้นตามอัตโนมัติ นัยน์ตาสีมรกตปิดลงอย่างไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ได้ยินแต่เสียงกรี๊ดดังลั่นผสานไปกับเสียงวิ่งอย่างโกลาหลและเสียงปังๆนั้นก็ยังไม่หยุด

อะไรน่ะ? เสียงเหมือนปืนเลย?

“สเลน?!”    เสียงทุ้มที่คุ้นหูตะโกนเรียกเขาอยู่ไม่ไกล และเมื่อเปิดตาขึ้นไปมองก็เห็นคุณครูเทโอวิ่งหน้าตื่นเข้ามาหา

“กะ เกิดอะไรขึ้นน่ะครับ?”   มือใหญ่คว้าหมับมาที่มือของเขาก่อนจะออกแรงลากให้วิ่งตาม

“ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่เหมือนพวกนั้นจะเป็นมาเฟีย ไอ้เจ้าเมสซิน่าอะไรนั่นไปขัดผลประโยชน์อะไรมาเฟียเข้าหรือเปล่าถึงได้โดนถล่มเอาแบบนี้ รีบหนีก่อนเถอะ วิ่งไหวไหมสเลน?”   CEOหนุ่มหันมามองเป็นระยะๆด้วยความเป็นห่วง ท่อนแขนแข็งแรงตวัดมาโอบรอบคอก่อนจะกดหัวเขาให้ก้มหลบข้าวของที่หล่นกระจายเพราะแรงกระสุนไปตลอดทาง

“ครับ”    เสียงอึกทึกถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ตอนนี้มีแต่ต้องวิ่งหนีออกไปให้ไกลจากที่นี่ก่อน

“สเลน! ระวัง!”   จู่ๆมือใหญ่ก็ดึงข้อมือของเขาอย่างแรงจนร่างเซถลาไปไม่รู้ทิศรู้ทาง นัยน์ตาสีมรกตปิดแน่นโดยอัตโนมัติ รอบกายรู้สึกได้ถึงอ้อมแขนแข็งแรงที่โอบกอดเขาไว้ราวกับกำลังระวังภัย แล้วเสียงอะไรบางอย่างหล่นลงมาก็ทำให้ไหล่ถึงกับสะดุ้งโหยง


โครม!!!!


เขาเผลอซุกตัวเข้าหาแผงอกกว้าง อะไรก็ไม่รู้ละที่หล่นลงมารู้แต่ว่าเสียงของมันดังมากแถมยังกระจายเกลื่อนกลาดอีกต่างหาก


เคร้ง....


เขารอจนสิ้นเสียงสุดท้ายและหลังจากที่ปล่อยให้ความเงียบปกคลุมพื้นที่ได้ไม่กี่วินาที นัยน์ตาสีมรกตก็ค่อยๆเปิดขึ้นอย่างกล้าๆกลัวๆ สิ่งที่เห็นคือลังไม้ที่แตกกระจายและกระป๋องสเปรย์ใช้แล้วกลิ้งอยู่เต็มพื้น...

“เป็นอะไรรึเปล่า? เจ็บตรงไหนไหม?”   เสียงทุ้มเอ่ยถามในขณะที่ใบหน้าหยิ่งทระนงมองสำรวจไปทั่วตัวเขา

“ไม่เป็นไรครับ”   คนที่เป็นน่าจะเป็นคุณครูเทโอมากกว่าไม่ใช่หรือไง ในเมื่อเขาเพิ่งจะเห็นเต็มๆตาว่าร่างสูงใหญ่นั่นเอาตัวกันเขาเอาไว้แล้วดูท่าว่าลังไม้จะหล่นมาโดนแขนแข็งแรงเต็มๆ

“แขนคุณ...เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?!”   นัยน์ตาสีมรกตมองมือใหญ่ข้างซ้ายที่ลูบแขนข้างขวาปอยๆ

“อึก....ถ้าไม่ขยับมากก็คงไม่เป็นไร...เราออกไปจากที่นี่กันเถอะ”   CEOหนุ่มกัดฟันก่อนจะพยายามใช้มืออีกข้างดึงแขนเขา เสียงปืนที่ดังอยู่ข้างหลังยังไม่ยอมหยุด ถึงเขาจะเป็นห่วงแขนของคุณครูเทโอแต่ตอนนี้คงไม่มีเวลามาดู สองขาจึงรีบวิ่งตามร่างสูงใหญ่ไป

พวกเขาวิ่งไปจนถึงเฟอร์รารี่สีขาวที่จอดอยู่ในที่จอดรถวีไอพีจนได้ รีโมทปลดล็อคประตูดังอยู่ในมือCEOหนุ่ม แต่ก่อนที่ร่างสูงใหญ่จะได้ก้าวขาขึ้นรถ ความเจ็บแปลบที่แล่นลิ่วขึ้นมาตามแขนก็ทำให้ใบหน้าหยิ่งทระนงเผลออุทานเบาๆ

“โอ๊ย....”   และมันก็ทำให้ร่างโปร่งถลาจากประตูอีกฝั่งมายังฝั่งคนขับทันที

“เดี๋ยวผมขับเองครับ! แขนคุณยังเจ็บอยู่ใช่ไหมล่ะ?”   ใบหน้าได้รูปมองอีกฝ่ายด้วยความจริงจังและนั่นก็ทำให้CEOหนุ่มจำต้องยอมแต่โดยดี แล้วไม่นาน Ferrari 458 Italia ก็ทะยานออกไปด้วยความเร็ว...พอๆกับเต่าคลาน...

นัยน์ตาสีฟ้าเหลือบมองภาพข้างทางที่เคลื่อนผ่านไปช้าๆ ได้ข่าวว่าข้างหลังนั่นเค้ายิงกันจะเป็นจะตายแต่เจ้าคนที่ทำให้รถเขาเสียชาติเกิดเป็นเฟอร์รารี่ก็ยังไม่ได้มีความคิดที่จะเร่งความเร็วจากปกติเลยสักนิด...นี่เด็กนั่นตั้งใจหนีด้วยความตื่นตระหนกตกใจอยู่แน่ๆใช่ไหมเนี่ย?...CEOหนุ่มหันไปยิ้มละเหี่ยใจให้กับกระจก...ถ้าใครยังไม่รู้เขาก็จะบอกให้ฟัง ว่าสเลน ทรอยยาร์ดเป็นนักขับสองบุคลิก! ตอนอยู่ในสนามแข่งละก็เร็วยิ่งกว่าพันแรงม้า ทว่า ยามที่ขับรถบนถนนปกติกลับช้ายิ่งกว่าหอยทากเดิน! อ้า แต่เขาก็ไม่รู้จะทำอีท่าไหนแล้วจริงๆที่จะทำให้สเลนขับรถธรรมดาสามัญชนให้เร็วกว่านี้ได้ ใช่ว่าจะไม่เคยลองนะ แต่มันไม่ได้ผลเลยสักนิด! นอกจากช้าแล้วยังหลงทางอย่างมหากาพย์อีกต่างหาก!

“หึ...”   ใบหน้าหยิ่งทระนงเผลอหัวเราะในลำคอ...ก็ใครจะไปคิดละว่าคนที่ทำอะไรก็เร็วไปหมดอย่างเขาจะทนอยู่กับคนที่ทำอะไรก็ช้าไปหมดอย่างเด็กนี่ได้...ตัวเขาเมื่อห้าปีก่อนคงจะไม่มีทางเชื่อแน่ๆว่าเรื่องแบบนี้มันจะเกิดขึ้น

“.....ผมน่าจะเป็นคนที่เจ็บแทน...”   จู่ๆเสียงนุ่มก็เอ่ยออกมา ใบหน้าสลดของคนที่กุมพวงมาลัยรถเหลือบมามองแขนที่ได้รับบาดเจ็บของเขาอย่างกังวล

“ได้ไงล่ะ? ถ้าเธอบาดเจ็บแล้วจะแข่งได้ยังไง? เฟอร์รารี่เสียหายไปทั้งทีมเลยนะทีนี้ คนที่เจ็บเป็นชั้นน่ะดีแล้ว อย่างน้อยก็แค่เซ็นต์เอกสารไม่ได้ไปสองสามวันซึ่งเจ้าเอลวินมันต้องรับผิดชอบ! แล้วอีกอย่าง ถ้าเธอบาดเจ็บแล้วใครจะทำอาหารให้ชั้นกินล่ะ?”   ถึงจะชักแม่น้ำทั้งห้าหาเหตุผลมากลบเกลื่อนแต่เหตุผลแท้จริงที่ยอมเป็นฝ่ายเจ็บตัวเสียเองนั้นเขาเชื่อว่าลูกผู้ชายทั้งโลกย่อมรู้ดี เพราะคงไม่มีผู้ชายคนไหนทนได้หรอกถ้าคนที่ตัวเองรักต้องบาดเจ็บ

“ฮึๆ...ครับ...ยังไงก็ขอบคุณมากนะครับ...”   สเลนหัวเราะเบาๆในขณะที่แก้มใสค่อยๆแดงระเรื่อและมันก็ยิ่งแดงหนักกว่าเก่าเมื่อเขาพูดต่อไปด้วยใบหน้าไม่สะท้านสะเทือนว่า

“มันหน้าที่ของชั้นอยู่แล้วที่ต้องปกป้องเธอ”   ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปีเด็กนี่ก็ยังเขินอายได้ไม่เปลี่ยนเมื่อเขาพูดอะไรแบบนี้ออกไป ให้ตายเถอะจะน่ารักไปไหน ใบหน้าหยิ่งทระนงลอบยิ้มเมื่อใบหน้าที่แดงราวกับลูกเชอร์รี่ก้มงุดด้วยความเขิน...เดี๋ยวนะ...ก้มงุดงั้นเร๊อะ?!

“สเลน! มองถนนสิ! เดี๋ยวก็ เหวอ?! เบรคๆๆ!!!   พูดยังไม่ทันขาดคำเงาดำๆของอะไรบางอย่างที่กำลังวิ่งเข้ามาก็ทำให้เขาตะโกนเรียกสเลนเสียงหลง

“เอ๊ะ?”   เสียงนุ่มอุทานได้แค่นั้นเพราะถูกเสียงเบรคดังสนั่นกลบจนมิด


เอี๊ยดดดดดดดดดด!!!


ตุ้บ!....


ชน...เสียงชนแน่ๆ...ว่าแต่พวกเขาไปชนอะไรเข้าล่ะ?

ใบหน้าหยิ่งทระนงยังคงอ้าปากค้างพลางหอบหายใจอย่างตระหนกแต่เจ้านักขับมือสองของเฟอร์รารี่ที่มีประสบการณ์ขับรถชนทุกสิ่งอย่างมาอย่างโชกชนกลับได้สติเร็วกว่า สองขาบางก้าวออกไปจากรถทันที สมกับที่เป็นนักขับเอฟวันซึ่งเป็นบุคคลจำพวกที่มีปฏิกิริยาโต้ตอบอัตโนมัติดีเลิศ ร่างกายของสเลนเองจึงเคลื่อนไหวไปตามสัญชาตญาณมากกว่าสติเสียอีก

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?!”   ในขณะที่CEOหนุ่มยังนั่งตะลึงอยู่บนรถแต่ร่างโปร่งบางกลับถลาลงไปดูคนถูกชนเรียบร้อยแล้ว

“อูย...”   สิ่งที่รถของพวกเขาไปชนเข้าน่าจะเป็นคน...ใช่ เป็นคนแน่ๆเพราะเด็กนั่นมีรูปร่างไม่ได้ต่างไปจากสเลนเลยสักนิดและเมื่อร่างที่อยู่ในชุดเข้ารูปสีดำพยายามลุกขึ้นมา

“อ่ะ! นาย!”   สเลนกลับชี้หน้าอีกฝ่ายด้วยนัยน์ตาเบิกกว้าง...คนรู้จัก?...นัยน์ตาคมกล้าของCEOหนุ่มลอบมองทั้งสองคนอยู่บนรถ...เขาไม่เห็นจะเคยรู้เลยว่าสเลนรู้จักเด็กนั่นมาก่อน...ไม่มีแน่ๆหน้าแบบนี้ในบัญชีญาติโกโหติกาหรือเพื่อนที่มหาวิทยาลัยหรือจะจากที่ไหนก็แล้วแต่ของสเลน เพราะถ้ามีเขาก็ต้องจำได้สิ!

“นายนี่เอง...ชั้นไม่เป็นไรหรอก ดีนะเหมือนรถจะขับไม่เร็วเท่าไหร่”   ร่างเพรียวบางลุกขึ้นมาปัดฝุ่นตามตัว ทำไมเขาถึงได้คุ้นหน้าเด็กนั่นนัก? นัยน์ตาสีฟ้ายังคงจับจ้องไปที่คนซึ่งยืนคุยกันอยู่นอกรถ ฝ่ามือขาวยังคงปัดๆไปตามแขนเสื้อและมันก็ทำให้เขามองเห็นปลายนิ้วที่ทาเล็บสีแดงเลือดนกเอาไว้...นึกออกแล้ว!...เด็กนั่นคือนายแบบที่เดินออกมาคนสุดท้ายก่อนที่พวกมาเฟียจะมายิงถล่มงานนั่นไงล่ะ! อ๋อ คงจะรู้จักกับสเลนที่หลังเวทีตอนเตรียมตัว?

“แหะแหะ ขอโทษนะครับ”   นักขับมือสองของเฟอร์รารี่ยกมือขึ้นมาเกาท้ายทอยอย่างสำนึกผิด

“แทนที่จะมัวมาขอโทษ นายให้ชั้นติดรถหนีไปด้วยทีสิ”   อ่า ดูเหมือนอย่างน้อยเด็กนั่นก็ยังรู้ร้อนรู้หนาวมากกว่าสเลนของเขาละนะ เพราะว่าเสียงปืนจากทางด้านหลังมันยังไม่ได้เบาลงเลยสักนิด ไอ้พวกมาเฟียนั่นมันผลิตกระสุนเองหรือไง?!

“เอ๊ะ? อ่ะ?”   แล้วในขณะที่สเลนของเขายังยืนงง ร่างเพรียวบางนั่นก็ดันแผ่นหลังของสเลนให้กลับขึ้นรถ และด้วยความที่ Ferrari 458 Italia ของเขามันมีแค่สองที่นั่ง ร่างเพรียวบางนั่นจึงสอดตัวเข้าไปเกาะอยู่หลังเบาะระหว่างเขากับคนขับอย่างสเลนแทน  ใบหน้าสวยที่ดูโฉบเฉี่ยวนั่นหันมาพยักให้เขาทีนึงราวกับรู้อยู่แล้วว่าเขานั่งอยู่ตรงนี้ แต่เขาก็ไม่ได้แปลกใจหรอกที่คนทั้งโลกจะรู้ว่าเขากับสเลนเป็นอะไรกันในเมื่อทำเรื่องงามหน้าไว้ขนาดนั้น หึ!

CEOหนุ่มได้แต่ถอนหายใจในขณะที่หันไปมองใบหน้าที่กำลังหัวเราะแหะๆราวกับเป็นเรื่องปกติของสเลน...คราวนี้เจ้าเด็กนี่ไม่ได้ชนแค่หัวดับเพลิงหรือชนประตูรั้วแต่ชนคน! แล้วคราวนี้ก็ไม่ได้ไปเก็บลูกหมาลูกแมวที่ไหนแต่ไปเก็บคนมา! ให้ตายเถอะสเลน ซาสบาร์ม ทรอยยาร์ด!

ใบหน้าหยิ่งทระนงตวัดสายตาเข้มงวดมองเจ้าคนแปลกหน้าที่เพิ่งจะขึ้นมาใหม่ผ่านกระจกมองหลัง...โชคดีนะที่เป็นสเลน...นี่ถ้าคนขับรถคันนี้เป็นรีไวหรือโกคุเดระ ฮายาโตะ ป่านนี้เด็กนั่นคงได้ไปเฝ้ายมบาลไปแล้ว....แต่ก็อีกนั่นแหละ...ถ้าคนขับรถคันนี้เป็นรีไวหรือโกคุเดระคงจะไม่ชนเด็กนั่นหรอก!

เฟอร์รารี่สีขาวกลับมาแล่นต่ออีกครั้ง แต่ยังไม่ทันได้อธิบายให้เขาเข้าใจว่าไปรู้จักกันได้ยังไง ใบหน้าของสเลนก็ดูจะวิตกกังวลขึ้นมาจนเขาสังเกตได้

“สเลน มีอะไร?”

“ผมรู้สึกว่า...รถข้างหลังนั่นตามเรามาแปลกๆ...”   ห๋า? เขาเหลือบตามองกระจกข้างตามที่สเลนบอกแล้วก็ต้องตกใจ  เพราะรถสีดำสามสี่คันที่ไล่หลังอยู่นั้นมันกำลังจี้มาติดๆ  นี่มันไม่ใช่แค่แปลกๆแล้ว แต่มันกำลังตามล่ารถเราอยู่แน่ๆไม่ใช่หรือไง?!


ปัง!


นั่นไง  เสียงปืนตามมาทักทายท้ายรถเขาขนาดนี้เป็นคำยืนยันได้เป็นอย่างดีเลยละว่าไอ้พวกนั้นมันกำลังตามฆ่าพวกเขาอยู่!

“เอ๋? เกิดอะไรขึ้นน่ะ?”   เจ้าคนที่กุมพวงมาลัยเหลือบมองกระจกมองหลังด้วยท่าทางลนลาน ปกติสเลนก็ขับรถบนถนนทั่วไปได้ห่วยแตกอยู่แล้ว เล่นมาโดนกดดันแบบนี้มีหวังพวกเขาได้เอาชีวิตมาทิ้งแน่ๆ ถึงแม้จะไม่รู้ก็เถอะว่าพวกมันจะตามไล่ยิงเขาทำไม?

“นี่! ขับให้มันเร็วๆหน่อยได้ไหม? ถ้านายยังไม่รู้ตัว ชั้นก็จะบอกให้ว่านายกำลังโดนไอ้พวกที่ยิงถล่มงานนั่นล่าอยู่ ไอ้พวกข้างหลังน่ะมันเป็นมาเฟีย!   เจ้าเด็กที่เพิ่งขึ้นมาใหม่เริ่มทนไม่ไหว ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีดำเหลือบแดงนั่นหันไปมองข้างหลังพลางเริ่มมีเหงื่อซึมตามขมับ จากใบหน้าที่เหมือนจะไม่ยี่หร่ะกับอะไรกลับเริ่มยิ้มกระตุกอย่างหวาดหวั่นขึ้นเรื่อยๆ

“เอ๋?~~”  แต่ถึงสเลนจะรู้แบบนั้น...ความเร็วก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นซักกะติ๊ดดดดดด

“แล้วทำไมเค้าถึงไล่ล่าเราล่ะครับ?~   เสียงตื่นๆถามออกมาจากปากของคนขับ มือบางพยายามตั้งพวงมาลัยให้ตรงทั้งๆที่มันเริ่มสั่นพั่บๆ ทำเอาCEOหนุ่มถึงกับกุมขมับ ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆว่าตอนอยู่ในสนามแข่งเจ้าเด็กนี่จะซิ่งด้วยความเร็ว370กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ โดนไล่ยิงขนาดนี้เลขไมค์ยังไม่ขยับถึง100เลยพ่อคุณทูนหัว!

“จะไปรู้เหรอ เหว๋อ~!!”   เจ้าเด็กข้างหลังตอบกลับมาก่อนจะร้องเสียงหลงเมื่อลำตัวบางๆนั่นไหวโคลงไปมาเพราะแรงกระแทก ไม่รู้ว่าสเลนขับไปชนอะไรหรือท้ายรถปัดเพราะถูกยิงก็ไม่แน่ใจ

“ชั้นว่าชั้นพอจะรู้....”   เขาตอบออกไปด้วยเสียงนิ่งหลังจากที่คิดมาสักพักแล้วว่าทำไมพวกเขาถึงได้โดนไล่ล่าอย่างไม่มีสาเหตุแบบนี้

“อะไรนะครับคุณครูเทโอ อ๊ะ! อย่าตามมาสิ~   มือบางพยายามหมุนพวงมาลัยหลบแต่มันก็ยิ่งทำให้รถเสียหลักมากกว่าเดิม เขาพยายามตอบออกไปด้วยเสียงนิ่งทั้งๆที่จริงก็เริ่มเป็นห่วงรถของตัวเองตะหงิดๆแล้วเหมือนกัน นี่เฟอร์รารี่นะไม่ใช่รถบดขยะ ซ่อมทีคิดว่าจะหมดไปเท่าไหร่? ถึงจะเป็นผู้บริหารก็ต้องจ่ายราคาเต็มนะครับ!

“ก็รถนี่น่ะสิ...มันเป็นเฟอร์รารี่สีขาวที่หาได้ยากใช่ไหมล่ะ ชั้นเลยนึกขึ้นมาได้ว่า...เจ้าเมสซิน่า คาตันซาโร่ นั่นก็มีเฟอร์รารี่สีขาวเหมือนกัน แต่เป็นคนละรุ่น...แต่ก็อย่างว่าละพวกไร้รสนิยมอย่างไอ้พวกมาเฟียนั่นคงแยกไม่ออกหรอกว่าหน้าตาของเฟอร์รารี่แต่ละรุ่นมันสวยงามไม่เหมือนกัน”  CEOหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจแต่ก็โดนเจ้าเด็กเล็บแดงนั่นขัดคอเอาเสียก่อน

“ใช่เวลามาภูมิใจไหมนั่น...นี่...ขับให้มันเร็วกว่านี้หน่อยสิ! หลังชั้นจะโดนยิงจนพรุนแล้วนะ!”   ใบหน้าสวยๆหันกลับไปมองข้างหลังที่ยังรัวปืนใส่ไม่หยุด ไม่ใช่แค่เด็กนั่นหรอก เขาเองก็รับรู้ถึงรังสีอำมหิตที่กะจะฆ่ากันให้ตายจากรถข้างหลังนั่นได้ จากที่พยายามจะใจเย็นแต่ตอนนี้มันก็ชักจะเย็นไม่ไหวในเมื่อพวกนั้นไล่เข้ามาใกล้จนแทบจะจ่อยิงหัวพวกเขาได้อยู่แล้ว!

“เอ๋~ ไม่พรุนหรอกครับ ถ้าพรุนคงพูดไม่ได้”

“อ๊า~~ นายนี่มัน~~ ยังไงก็เถอะช่วยเร่งความเร็วหน่อย!”   ใบหน้าสวยตะโกนใส่คนขับสลับกับหันไปมองข้างหลังด้วยท่าทางตื่นตระหนกมากกว่าเดิม เล็บสีแดงจิกลงไปที่เบาะจนหนังสีดำแทบจะทะลุ

“เหยียบเหมือนตอนที่อยู่ในสนามไม่ได้หรือไงสเลน!”   เขาเองก็เริ่มเร่งเร้าเจ้าคนขับด้วย บรรยากาศในรถเริ่มร้อนระอุแต่ถึงอย่างนั้นความเร็วก็ไม่ได้เพิ่มจากเดิมเลยสักนิด...

“มะ ไม่ไหวหรอกครับ ข้างถนนมีคนเดินอยู่เต็มไปหมด ขับขนาดนั้นไม่ไหวหรอกครับ คุณครูเทโอมาขับสิครับ!

“ก็แขนชั้นเดี้ยงอยู่นี่ไงล่ะ?!

“จริงด้วย...”

“โธ่ พอที! มานี่! ชั้นขับเอง! นายไปนั่งตักหมอนั่นเลยไป!”   แล้วเจ้าเด็กเล็บแดงก็ทนไม่ไหว มือบางปัดไล่ให้สเลนข้ามกล่องเกียร์มานั่งอยู่บนตักเขาส่วนลำตัวบางๆนั่นก็สไลด์มานั่งประจำเบาะคนขับแทน

“เดี๋ยว?! นี่เธอ...เคยขับเฟอร์รารี่หรือเปล่า? มันไม่เหมือนรถบ้านๆของเธอหรอกนะ”   ท่อนแขนแข็งแรงข้างที่ยังใช้การได้รับตัวสเลนมานั่งขดอยู่บนหน้าตักก่อนจะหันไปวีนใส่เจ้าเด็กไม่รู้หัวนอนปลายเท้าที่ถือวิสาสะมาขับรถราคาหลายสิบล้านของเขาด้วยสีหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาว

“โทษที ที่บ้านมีแต่ลัมโบกินี่...จะลุยละนะ!   แล้วมือที่ทาเล็บสีแดงก็เข้าเกียร์ด้วยความรวดเร็วราวกับคุ้นเคยกับรถซุปเปอร์คาร์เป็นอย่างดี เฟอร์รารี่สีขาวกระตุกเล็กน้อยเพราะเปลี่ยนความเร็วกะทันหัน จากนั้นเข็มไมล์ที่เคยเคลื่อนที่ขึ้นๆลงๆอยู่แถวๆ80กิโลเมตรต่อชั่วโมงก็หมุนวืดอย่างต่อเนื่องไปสู่จุดที่มันควรจะเป็น เสียงกระหึ่มดังรับกับรถสีขาวที่วิ่งด้วยความปราดเปรียวจนรถที่ตามอยู่ถึงกับแปลกใจว่าจากเต่ามันกลายเป็นจรวดไปได้ยังไง?

“เบาๆ!”   CEOหนุ่มยกมือขึ้นไปกันหัวให้สเลนหลังจากที่เจ้าเด็กไม่รู้หัวนอนปลายเท้าขับแบบลุยแหลกจนหัวสีชาหวิดจะชนหลังคารถไปหลายรอบ บอกตามตรงว่าขนาดเจ้าของอย่างเขายังไม่เคยขับรถคันนี้ถึง220กิโลเมตรต่อชั่วโมงอย่างที่เด็กนี่กำลังทำอยู่เลย!

เอี๊ยด!

เสียงเบรกดังลั่นก่อนที่พวงมาลัยจะถูกหมุนเกือบสุดเล่นเอาร่างทั้งร่างแทบจะแปะติดไปกับประตู ไอ้เด็กนี่มันเข้าโค้งได้เลวร้ายสุดๆ! ใบหน้าหยิ่งทระนงเตรียมจะหันไปด่าทว่าเสียงปืนที่ดังอยู่ข้างหลังก็ทำให้พวกเขาไม่มีเวลาขนาดนั้น

“นี่! แถวนี้มีสามแยกตัวทีบ้างไหม?!”   เจ้าเด็กนั่นตะโกนถามแข่งกับเสียงปืน  ห๋า? สามแยกงั้นเหรอ? เขาพยายามนึกเท่าที่สมองที่กำลังตื่นตระหนกตกใจจะคิดได้ ถึงจะไม่รู้ว่าเด็กนั่นมีแผนอะไรแต่เขาก็ตอบออกไป

“เลี้ยวซ้าย! ตรงไปสุดทางจะเป็นสามแยก!”   เขาตอบด้วยเสียงรัวๆ พวงมาลัยถูกหมุนกะทันหันเพื่อเข้าโค้งซ้าย เขาต้องตวัดท่อนแขนกอดเอวสเลนไว้ไม่ให้กลิ้งไปชนประตู ใบหน้าหยิ่งทระนงได้แต่กัดฟัน ถึงเด็กนั่นจะขับรถได้ชั่วร้ายแต่กลับแม่นยำจนหาคำด่าไม่ถูก ก็ทั้งๆที่เหยียบมิดขนาดนี้กลับไม่มีเฉี่ยวหรือชนอะไรเลย แถมใบหน้าสวยโฉบเฉี่ยวนั่นก็มองตรงไปข้างหน้าด้วยความมั่นใจทุกครั้งที่เข้าเกียร์ราวกับว่ารถกลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย กลายเป็นแขนเป็นขาของเด็กนั่นไปแล้ว

“เฮ้ คิดจะทำอะไรน่ะ?”   นัยน์ตาสีฟ้าเหลือบมองเข็มไมค์ที่พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องสลับกับผนังตึกขนาดยักษ์ที่สุดปลายสามแยกตัวทีซึ่งเฟอร์รารี่สีขาวกำลังทะยานราวกับพายุเข้าไปหามัน ระยะห่างยิ่งน้อยลงก็ยิ่งแปลผกผันกับความเร็วที่ยิ่งมากขึ้น...มากขึ้น...มากขึ้นจนเจ้าของรถได้แต่นั่งอ้าปากค้างตัวเกร็ง ก็ระยะขนาดนี้น่ะไม่มีทางหักหลบพ้นแน่ๆ!

“เฮ้ๆๆ คิดจะทำอะไรของเธอ! หยุดเลยนะ เบรกๆๆ บอกให้เบรก!!!”   CEOหนุ่มหันไปตะโกนใส่ใบหน้าสวยที่แสยะยิ้มอย่างชอบใจ แต่หัวใจเขานี่ปลิวหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ก็จะไม่ให้ขนพองสยองเกล้าได้ไงในเมื่อกำแพงมันอยู่ตรงหน้าแล้วนี่ไง!!

ชน! ชนเละแน่งานนี้!

โธ่โว้ย! เขาไม่น่าไว้ใจไอ้เด็กไม่รู้หัวนอนปลายเท้านี่เลย!


เอี๊ยดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!


เสียงเบรกดังสนั่นหวั่นไหวมาพร้อมๆกับกลิ่นยางไหม้ เขาได้แต่หลับตาภาวนาถึงพระผู้เป็นเจ้า แรงต้านที่เกิดจากการเบรกทำให้ร่างกายโยกคลอนไปมาจนไม่รู้ทิศรู้ทาง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ารถของเขามันพลิกคว่ำไปหรือยัง!


โครม!!!


เสียงเหล็กปะทะกับกำแพงดังราวกับฟ้าถล่ม ได้ยินเสียงระเบิดตามมาจนเขาได้แต่หลับตาแล้วกอดสเลนเอาไว้แน่นอย่างพร้อมรับทุกบาดแผลและความเจ็บปวดที่จะเกิดตามมา สงสัยว่างานนี้CEOปีศาจแห่งเฟอร์รารี่คงได้สิ้นชื่อเสียแล้วละมั้ง

เวลาเดินผ่านไปเป็นนาทีๆแต่สิ่งที่เขาสัมผัสได้กลับมีเพียงเสียงกระหึ่มของ Ferrari 458 Italia ที่ยังคงดำเนินต่อไป? แต่เหมือนจะลดความร้อนแรงลง?  อ้าว? เอ๊ะ? ฝ่ามือใหญ่ลองแตะไปตามร่างกาย นอกจากแขนข้างที่บาดเจ็บมาก่อนแล้วก็ไม่มีส่วนไหนที่รู้สึกเจ็บอีก  เขายังไม่ตาย? แถมไม่เป็นอะไรเลยด้วย? นัยน์ตาสีฟ้าจึงเปิดพรวดขึ้นมาก่อนจะกวาดมองภายในรถที่ยังคงสภาพเดิมเป๊ะ อ้าว? รถของเขาไม่ได้ชนกำแพงหรอกรึ? ถ้างั้นเสียงปะทะกับเสียงระเบิดนั่นมันรถใครล่ะ?

ใบหน้าหยิ่งทระนงจึงหันกลับไปมองเบื้องหลังที่มีแต่ควันโขมง รถที่เคยไล่ตามเขาสามคันอัดกำแพงเละและตอนนี้มันก็กำลังลุกไหม้อยู่ในกองไฟ เสียงแห่งความโกลาหลวุ่นวายดังขึ้นมาแทนเสียงปืนที่ดูจะเงียบหายไปเป็นปลิดทิ้ง อย่าบอกว่า...เจ้าเด็กนี่มันสลัดมาเฟียพวกนั้นหลุดจริงๆ...ด้วยการล่อให้อีกฝ่ายพุ่งชนกำแพง?...

CEOหนุ่มเหลือบตามองคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย ใบหน้าเชิดๆนั่นอมยิ้มอย่างอารมณ์ดีพลางฮั่มเพลงเป็นภาษาญี่ปุ่นเบาๆ.....ไอ้เจ้าเด็กนี่.....ถ้าพลาดไปนิดละก็ รถที่ต้องอยู่ในกองไฟมันก็รถเขาเลยไม่ใช่หรือไง?! ทำอะไรบ้าบิ่นเกินไปแล้ว!

เขาลอบถอนหายใจ ดีที่อย่างน้อยสวรรค์ก็ไม่ต้องการปีศาจอย่างเขาถึงไม่เอาไปอยู่ด้วย ไม่งั้นคงได้ตายโหงไปแล้วไหม!

นัยน์ตาเข้มงวดตวัดกลับไปมองคนที่ทำให้นายใหญ่ของเฟอร์รารี่อย่างเขาถึงกับหายใจไม่ทั่วท้องได้ เจ้าเด็กนี่มันจริงๆเลย! จะว่าเป็นการขับรถอย่างคึกคะนองแต่สัญชาตญาณบางอย่างก็บอกเขาว่าไม่น่าใช่ เรื่องที่เลี้ยวหลบได้ในชั่ววินาทีนั่นมันไม่ใช่ปาฏิหาริย์แต่น่าจะเป็นฝีมือของเด็กนี่จริงๆ ไม่งั้นใบหน้าสวยๆนั่นคงไม่แสดงความมั่นใจตลอดเวลาที่ได้จับพวงมาลัยแบบนั้นหรอก

หรือว่าจะเป็นของจริง?

เพราะจากการที่จับรถมาไม่กี่นาทีก็สามารถประเมินได้แล้วว่ารถของเขามีอัตราเร่งระหว่าง 0 ถึง 200 กิโมเมตรต่อชั่วโมงอยู่ที่กี่วินาที แถมยังรู้ด้วยว่าความเร็วที่รถจะหักเลี้ยวโดยไม่โอเวอร์สเตียร์หรือพลิกคว่ำอยู่ที่เท่าไหร่ แต่ที่น่านับถือยิ่งกว่านั้นก็คือหัวจิตหัวใจนี่ต่างหาก!! ไม่กลัวเลยรึไง? กำแพงเบ่อเริ่มอยู่ตรงหน้าขนาดนั้น!

มือใหญ่ยกขึ้นมาปาดเหงื่อ...แล้วในขณะที่เขายังตะลึงอึ้งค้างอยู่นั้น สเลนกลับหันไปมองเด็กนั่นด้วยใบหน้าราวกับว่าเพิ่งค้นเจอเพชรเม็ดใหญ่ นัยน์ตาสีมรกตเป็นประกายและใบหน้าได้รูปก็ดูล่องลอยๆยังไงชอบกล

“สเลน?”  ไม่ใช่ว่าช็อกไปแล้วหรอกนะ?

“สเลน?”   เขาเขย่าไหล่บางน้อยๆก่อนที่เสียงลอยๆจะหลุดออกมาจากริมฝีปากสีระเรื่อนั่น

“คะชู คิโยมิตสึ ต้องเป็นนักแข่งรถแน่ๆ...”   ห๋า? คะชูอะไรนะ? หมายถึงเจ้าเด็กเล็บแดงนี่น่ะรึ? ที่ว่าเป็นนักขับ?

“เพราะเขาทำให้ผมรู้สึกเหมือนตอนที่ผมนั่งอยู่ในรถฟอร์มูล่าวัน...ผมรู้หมดว่าเขาจะเบรกตอนไหน จะเหยียบคันเร่งตอนไหน จะหักพวงมาลัยตอนไหน ผมจินตนาการตามเขาออกทั้งหมด...นี่มันไม่ใช่การขับรถบ้านธรรมดาๆแน่ๆครับคุณครูเทโอ...แต่ว่ามันเป็นสัญชาตญาณของคนที่ขับรถด้วยความเร็วเกิน 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมงไม่ผิดแน่ และคนที่จะมีประสบการณ์การขับรถด้วยความเร็วระดับนั้นได้ก็มีแต่นักขับในรายการแข่งรถความเร็วสูงเท่านั้นครับ”   สเลนพูดออกมาเหมือนตกอยู่ในภวังค์และนั่นมันก็ทำให้เขาต้องหันไปมองเจ้าเด็กไม่รู้หัวนอนปลายเท้านั่นใหม่

“สมเป็นเฟอร์รารี่จริงๆแหะ เหยียบสนุกชะมัด”   ริมฝีปากสีสดพึมพำกับตัวเองอย่างไม่ได้สนใจเขากับสเลนนัก ในขณะที่เด็กนั่นยังตื่นเต้นกับรถของเขา แต่สเลนกับเขาต่างมองหน้ากันด้วยดวงตาเป็นประกาย เพราะรู้ว่าทักษะการขับรถและการตัดสินใจของเด็กนี่ดีมาก

“นี่ ปกติขับรถแข่งอะไรพวกนี้อยู่หรือเปล่า?”  CEOหนุ่มเลยตัดสินใจถามออกไป ถึงเขาจะฟันธงไม่ได้อย่างพวกทีมแข่งอย่างเอลวินหรือรีไว แต่ถ้าเด็กนี่มีโอกาสที่จะเป็น “เพชร” เขาก็ต้องรีบคว้าเอาไว้

“หื๋ม? ก็ใช่แหละ เคยแข่งอินดี้คาร์อยู่ที่อเมริกา”   ใบหน้าสวยหันมาบอกราวกับไม่ใช่เรื่องของตัวเอง ว่าแต่อินดี้คาร์นี่....มันก็ฟอร์มูล่าวันฝั่งอเมริกาดีๆนี่เองไม่ใช่เร๊อะ?! ไม่บอกไม่รู้เลยนะเนี่ย หน้าไม่ให้สุดๆ  เขากับสเลนต่างหันมามองหน้ากัน

“ถ้างั้นก็น่าจะทำใบขับขี่แบบ Super License ได้สินะ?”   เสียงทุ้มถามเผื่อๆเอาไว้ เพราะสมัยนี้ไม่ใช่ว่าจู่ๆจะให้นักแข่งพนันรถมาขับเอฟวันเหมือนเมื่อก่อนได้เสียที่ไหน กฎกติกามันยุ่งยากขึ้นเยอะ

“ซูเปอร์ไลเซ็นต์? ของพวกนักขับเอฟวันน่ะเหรอ?...อืม...ก็น่าจะได้อยู่หรอก เพราะจะว่าไปก็หนีไปกลบดานอยู่ที่นั่นหลายปี ไม่คิดว่าจะหนีมานี่หรอกถ้าไม่ถูกตามเจอเข้าซะก่อนน่ะ”   หนี? CEOหนุ่มหันไปมองใบหน้าสวยที่ดูจะไม่ยี่หระกับสิ่งที่ตัวเองพูดออกมานัก...เอาเถอะ จะหนีใครมาหรือว่ายังไงก็เถอะ แค่ขับรถฟอร์มูล่าวันของเฟอร์รารี่ได้แค่นั้นก็พอแล้ว เรื่องอื่นเขามีทีมงานคุณภาพคอยเคลียร์ให้ไม่ต้องห่วง

ฮึ....สงสัยจะไปติดนิสัยเสียๆของเจ้าพวกทีมแข่งมาสินะ เขาน่ะ  





Ferrari 458 Italia จอดส่งร่างเพรียวบางที่หน้าอพาทเม้นต์หลังหนึ่งในมาราเนลโล่ อะไรมันจะพอดิบพอดีขนาดนี้ที่เด็กนั่นดันพักอยู่ในเมืองเดียวกับพวกเขา จะได้ไม่ต้องเสียเวลาตามหา

สเลนกลับมานั่งประจำตำแหน่งคนขับ แล้วหลังจากที่แวะพาเขาไปหาหมอ  พอกลับขึ้นรถได้ มือใหญ่ก็หยิบโน้ตบุคมาเปิดทันที

“หมอบอกว่าอย่าเพิ่งทำงานไงครับคุณครูเทโอ?”   ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีชาเหลือบสายตาดุๆในแบบสเลนๆมามองเขา

“ไม่ได้ทำงาน แค่จะหาข้อมูลดูสักหน่อย...เกี่ยวกับเจ้าเด็กนั่น”

“....คะชู คิโยมิตสึ?”

“เด็กนั่นบอกว่าเคยอยู่กับทีม Chip Ganassi Racing ในการแข่งอินดี้คาร์ของอเมริกาสินะ?”   อินดี้คาร์เป็นชื่อที่คนทั่วไปเรียกกันจนติดปากแต่ชื่ออย่างเป็นทางการของมันน่ะคือ American Championship Car Racing ต่างหาก จะว่าไปก็เป็นการแข่งรถความเร็วสูงระดับชาติของทางฝั่งอเมริกา รถที่ใช้ถึงจะไม่ได้เต็มไปด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมมากมายเหมือนรถเอฟวัน แต่การแข่งขันรายการนี้ก็นับเป็นฟอร์มูล่าวันดีๆของทางฝั่งอเมริกาเลยละ และก็เพราะว่าแค่มีรถเร็วๆก็แข่งได้ ไม่ได้พึ่งพาเทคโนโลยีล้ำๆเหมือนทางฟอร์มูล่าวัน เพราะงั้นจึงต้องพึ่งฝีมือนักขับค่อนข้างมากแล้วก็อันตรายกว่าฟอร์มูล่าวันค่อนข้างมาก นั่นคือสิ่งที่ทำให้เขาสะดุดใจทันทีที่เด็กนั่นบอกว่าเคยแข่งอินดี้คาร์มาก่อน

“หื๋ม...Chip Ganassi Racing เคยใช้เครื่องยนต์ Honda มาช่วงหนึ่งก่อนจะเปลี่ยนมาเป็น Chevrolet...ถ้างั้นก็ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมเด็กญี่ปุ่นอย่างเด็กนั่นถึงมีเก้าอี้ในทีมแข่งของอเมริกาได้”   CEOหนุ่มพูดพึมพำในขณะที่กวาดสายตามองข้อมูลที่ขึ้นอยู่บนหน้าจอ...บอกตามตรงว่าก่อนหน้านี้เขาไม่เคยคิดจะสนใจหรอกว่าการแข่งรถมันจะเป็นยังไง เพราะงานของเขาคือการบริหารและขายรถยนต์ของเฟอร์รารี่ให้ได้กำไรดีที่สุด แต่หลังจากที่คบกับนักขับของทีมอย่างสเลน มันเลยทำให้เขาหันมาสนใจการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตพวกนี้ไปโดยปริยาย ก็นะ...จากที่ไม่คิดจะไปเหยียบสนามแข่งสักครั้งเพราะเสียเวลาก็กลับกลายเป็นว่าต้องตามสเลนไปมันแทบจะทุกสนาม

“นอกจากนี้ยังได้แชมป์ติดๆกันในช่วงปีสองปีก่อนหน้านี้ด้วย...ดีไม่ดีอาจจะเป็นช่วงที่เด็กนั่นอยู่ในทีม...”   ซึ่งนั่นจะเป็นผลดีต่อการทำใบขับขี่ที่แพงที่สุดในโลกอย่าง Super License ซึ่งออกโดย FIA สหพันธ์ยานยนต์นานาชาติสำหรับนักขับฟอร์มูล่าวันโดยเฉพาะ เพราะสิ่งที่จะใช้ในการทำใบขับขี่นี้นอกจากเงินแล้วยังต้องมีตำแหน่งแชมป์หรือตำแหน่งสูงๆของรายการแข่งขันที่รับรอง หรือไม่ก็เพดานบินในการแข่งที่ต้องสูงมากทีเดียวถึงจะทำได้

เอาละ ที่เหลือก็คงต้องให้พวกทีมแข่งจับมาทดสอบว่าจะดีพอสำหรับเฟอร์รารี่อย่างที่คิดจริงๆไหม...


แต่ก่อนหน้านั้นเขายังมีเรื่องที่ต้องจัดการ...เห็นว่าหนีอะไรซักอย่างมา? CEOหนุ่มจึงใช้มือข้างที่เหลือเพื่อกดโทรศัพท์

“ก่อนอื่นก็ต้องโทรหายามาโมโตะ ทาเคชิ   โทรศัพท์มือถือถูกแนบอยู่ที่หูไม่นาน เสียงเริงร่าจากปลายสายก็ทักทายให้ได้ยิน

“เห๋~~ CEO ของเฟอร์รารี่โทรมาเองแบบนี้ต้องมีเหตุวิปโยคแน่ๆเลย”  เสียงจากปลายสายออกแนวกวนประสาทแต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจเพราะยังไงทางนั้นก็มีคนไล่กระทืบหมอนั่นแทนเขาทุกวันอยู่แล้ว

“ใช่ วิปโยคแน่ถ้านายไม่จัดการให้ชั้น”   เขาตอบกลับไปด้วยเสียงนิ่งและไม่สนใจว่าสิ่งที่พูดไปนั้นมันจะเป็นการเอาแต่ใจตัวเองแถมวองโกเล่ก็ไม่ได้มีผลประโยชน์อะไรด้วยเลยสักนิด

“คร้าบๆ”  ยามาโมโตะรับคำอย่างไม่ใส่ใจความวุ่นวายที่เขากำลังจะไหว้วาน ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะที่พวกหน่วยสังหารมือหนึ่งของวองโกเล่อย่างหน่วยพิรุณกลายมาเป็นองครักษ์ของทีมเฟอร์รารี่ไป เพราะไม่ว่าใครในทีมจะเกิดเรื่องเกิดราว ล้วนต้องโทรให้ยามาโมโตะ ทาเคชิมาคอยเก็บกวาดให้เสมอ...นี่ก็เป็นความจริงอีกข้อที่เขาจำต้องเอามาพิจารณาหากว่าจะปลดโกคุเดระ ฮายาโตะออกจากทีม เพราะนั่นหมายถึงพวกเขาจะไม่มีผู้พิทักษ์ชั้นดีอย่างยามาโมโตะ ทาเคชิอีก


วันนึง...หากผู้พิทักษ์กลายเป็นนักล่าขึ้นมา...เหล่าม้าลำพองจะทำยังไงกันนะ


“เรื่องที่จะขอให้ช่วยน่ะ.....”   ใบหน้าหยิ่งทระนงเอ่ยชื่อกับที่อยู่ของอพาทเม้นต์ที่เขาเพิ่งจะไปส่งคะชู คิโยมิตสึ ให้คนที่ปลายสายฟัง ก่อนจะสรุปสั้นๆว่าให้จัดการมาเฟียหรืออะไรก็แล้วแต่ที่กำลังรังควาญคนที่อยู่ที่นั่นให้ที 

“เห๋...อพาทเม้นต์นี่มันติดกับตึกที่หน่วยพิรุณของชั้นไปซื้อไว้เพื่อใช้ทำฐานบัญชาการในมาราเนลโล่เลยนี่นา? แบบนี้ก็คงดูแลกันง่ายหน่อย?”   ปลายสายพึมพำเหมือนพูดกับตัวเอง? แต่ก็ช่างเถอะเพราะนั่นเท่ากับรับปากเขาแล้วว่าจะคอยดูเจ้าเด็กเล็บแดงนั่นให้

หลังจากวางสายจากเพชฌฆาตมือหนึ่งของวองโกเล่ ปลายนิ้วยาวก็กดเบอร์ของสายต่อไปทันที

“ไง? นายโทรมาแบบนี้ต้องมีเหตุวิปโยคแน่ๆ”   ทำไมพูดเหมือนก๊อปปี้กันมาแบบนี้ฟ๊ะ?! ว่าแต่เขาโทรหาแล้วมันจะวิปโยคยังไง? ไม่เห็นจะเข้าใจ!

สเลนที่เหลือบมองมาหัวเราะแห้งๆ ก่อนจะหันกลับไปขับรถต่อปล่อยให้เขาคิ้วกระตุกอยู่คนเดียว

“จะเอาไหม นักขับสำรองน่ะ!   เสียงทุ้มตะคอกใส่โทรศัพท์มือถือ

“หื๋อ?”   และมันก็ทำให้เอลวิน สมิธหูผึ่งขึ้นมาได้

“ชั้นบอกว่า ชั้นหานักขับสำรองให้พวกนายได้แล้วไง! ไปดูซะ!

“อ่ะ.......มีเหตุวิปโยคจริงๆด้วย....โอเค ชั้นกับรีไวจะไปดู”   เขาเล่าเรื่องของคะชู คิโยมิตสึให้เอลวินฟังคร่าวๆ ถ้าถึงมือหมอนั่นกับรีไวแล้วละก็.....อีกไม่นานคงได้รู้....ว่าเด็กนั่นเป็นของจริงที่ควรค่าแก่การดึงมาอยู่ภายใต้ธงม้าลำพองของพวกเขาหรือเปล่า


อีกไม่นานก็รู้....






.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

To be con.






ในที่สุดมันก็มีภาค 3 จนได้....TvT....ถือเป็นฟิคมหากาพย์ของตรูโดยแท้ GLIDE เนี่ย5555 สำหรับใครที่หลงมาอ่านก็ขอกล่าวยินดีต้อนรับเข้าสู่โลกของ GLIDE นะคะ สำหรับใครที่ตามอ่านต่อมาจากภาคก่อนๆก็ขอขอบคุณที่อยู่ด้วยกันมาอย่างยาวนาน กร๊ากกกกก ถึงจะเปลี่ยนคู่มาเป็นสายยูริ // ผิด // แต่ธีมของเรื่องก็ยังคงไว้ซึ่งกลิ่นไอแบบอันตรายๆ เท่ห์ๆ ดาร์กๆ เอาไว้เหมือนเดิมค่ะ 5555 เพลงแรงบันดาลใจหลักยังเป็น “GLIDE” เหมือนเดิมแต่แอบมีเพลงแนะนำเพิ่ม เพราะตอนฟังนี่ภาพของคะชูในฟิคเรื่องนี้ลอยมาเลยค่ะฟฟฟฟฟ

Kokoronashi




อันนี้เวอร์ชั่นไทย







ส่วนอันนี้เวอร์ชั่นญี่ปุ่น โอยยยย ฟังแล้วเจ็บตามด้วยกันทั้งคู่ >////<


หนึ่งหัวใจแค่มีไว้ในร่างกายเท่านั้นเอง....ตอนฟังครั้งแรกนี่กรีดร้องกับประโยคนี้มากค่ะฟฟฟฟฟฟฟ คือความหมายมันตรงกับอิมเมจของคะชูในฟิคเรื่องนี้มากๆๆๆค่ะ TTvTT ถึงภายนอกนางจะดูเป็นมิตรกับคนทั่วไป แต่ข้างในนางมีแผลแหวะหวะอยู่ค่ะ สิ่งที่นางคิดคือหัวใจที่มีอยู่ในร่างกายก็แค่อวัยวะๆหนึ่งเท่านั้น นางไม่เคยเข้าใจเลยว่าความรักคืออะไร ต่อให้ถูกกอดเอาไว้ ถูกทำดีด้วยแค่ไหน แต่ความรู้สึกที่มีก็มีแต่ความทรมาน นางถึงได้เอาแต่หนี แต่ก็นั่นแหละ จะโทษนางคนเดียวก็ไม่ได้ต้องโทษคนที่ทำให้นางเป็นแบบนี้ด้วย >_<

ส่วนยามะตันในฟิคเรื่องนี้ต้องขอบอกกันก่อนว่าอิมเมจจะต่างจากความน่ารักใสๆในอนิเมะนาคะ น่าจะยันได้ที่ละ555

ส่วนที่เลือกเปิดตอนแรกด้วยคู่ครูสเลน จริงๆก็อยากให้คู่นี้ช่วยส่งไม้ต่อมาที่ภาค 3 นี่น่ะค่ะ เพราะตอนแรกของภาค 2 เองก็ให้รีเอส่งไม้ต่อมาให้คู่ครูสเลนเช่นกัน >w<   ดูอายุจากในผังความสัมพันธ์แล้ว แก่ๆกันไปเยอะเนอะ55555 เรียกว่าอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่15-16 จนตอนนี้ก็สิบปีได้แล้วไหมน่ะ >////<

ยังไงก็ขอฝากไหใบน้อยใบนี้ไว้อีกใบนาคะ // โดนรุมกระทืบ // ขอบคุณสำหรับทุกๆการติดตามค่า =w=







2 ความคิดเห็น:

  1. โฮรวววว ดีงาม ขอบคุณนะคะ นึกภาพคะชูฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีทั้งๆที่พึ่งทำอะไรเฉียดตายมากเลย 5555555

    ตอบลบ
  2. กริ้ดดดด คิดถึงครูเทโอ้กับสเลนมากๆค่ะเป็นการส่งไม้ต่อที่ดีมากค่ะ รออ่านทุกเรื่องเลยค่ะ อ๊าก หวังจะเห็นคู่นี้ในเรื่องซอมบี้ด้วย อิอิ อยากบอกจริงๆว่าฮาฉากสเลนขับรถโดนไล่ยิง ยาวเลย สนุกมาก!ลุ้นทุกฉาก สนุก รอเก็บเงินซื้อหนังสือเลยค่ะงานนี้5555

    ตอบลบ