Attack on Titan feat.KHR Au.Fic [Levi xEren , 8059] GLIDE : RED FLAG#2 end


Attack on Titan feat.KHR Au.Fic [Levi xEren , 8059]  GLIDE : RED FLAG#2 end

: Attack on Titan feat KHR Fanfiction Au
: Levi x Eren , 8059
: Romantic Drama
: NC-17


คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
           
         





ร่างที่ไม่ได้สูงใหญ่ทว่าแข็งแกร่งยิ่งกว่าใครกึ่งนั่งกึ่งยืนพิงหลังมอเตอร์ไซค์คันใหญ่เอาไว้ก่อนที่สองมือจะช่วยกันนับปึกธนบัตรที่เพิ่งได้มาสดๆร้อนๆจากการที่เด็กในปกครองของตนเอาชนะอีกฝ่ายได้แบบสบายๆและการแข่งถัดไปคงได้เยอะกว่านี้เพราะโค้ด F Line ที่เพิ่งตกลงกันมันยากกว่าพอสมควร

แต่ก็ช่างเถอะ...

ไหล่แข็งแรงหยักน้อยๆอย่างไม่ได้สนใจว่ามันจะเสี่ยงขนาดไหน นัยน์ตาสีขี้เถ้าเหลือบมองร่างบอบบางที่เดินกลับออกมาจากการแข่งด้วยใบหน้าที่ยังนิ่งไม่เปลี่ยนทั้งๆที่เป็นผู้ชนะ...จะสะใจซักนิดก็ยังไม่มี...มือเล็กโยนกุญแจรถคืนมาให้ก่อนจะรับเป้ที่ใส่เงินมาถือไว้แทน

เพราะต่อไป...คนที่แข่งคือรีไว

นัยน์ตาสีมรกตเฉยชามองตามแผ่นหลังของคนที่ได้ชื่อว่าผู้ปกครองซึ่งกำลังเดินไปที่รถ ก่อนจะต้องหรี่ตาเล็กน้อยเมื่อมองเห็นแสงไฟหน้ารถคันหนึ่งวิ่งมาจากที่ไกลๆ แต่ก็ไม่ได้สนใจเพราะคิดว่าคงจะเป็นใครสักคนในแก๊งค์พนันรถที่มาสาย

แต่ที่จริงแล้ว.....


เสียงกระหึ่มจากเครื่องยนต์ดังขึ้นอีกครั้งท่ามกลางเสียงเชียร์ที่ดังลั่น

อันที่จริงมันก็มีคนอื่น คู่อื่น แข่งกันอยู่ไม่น้อยในแต่ละคืน แต่เมื่อใดที่ชายที่ชื่อรีไวลงแข่ง  เสียงตะโกนลั่นมันมักจะมีมากกว่าคนอื่นๆเสมอ....มีไม่น้อยที่ชื่นชม แต่ก็ไม่น้อยที่ผสมความหมั่นไส้เพราะต้องการให้ใครสักคนมาล้มเขาได้สักที แล้วก็ดูเหมือนความหวังอันริบหรี่พวกนั้นเริ่มจะพุ่งเป้ามาที่เจ้าฮายาโตะ...สักวันเจ้าพวกนี้คงจัดให้เขาแข่งกันเองแน่และเสียงมันคงดังจนถนนแตก

ใบหน้านิ่งที่อยู่หลังพวงมาลัยยิ้มมุมปากราวกับซาตานที่เห็นความตายอันหอมหวานอยู่ตรงหน้า และเมื่อธงโบกสะบัด ฝ่าเท้าก็เหยียบคันเร่งให้รถทะยานออกไปทันที


ใบหน้าสวยมองตามรถที่เพิ่งออกตัวไป...ก่อนจะมีใครบางคนแหวกฝูงชนเข้ามาหา...ท่ามกลางควันบุหรี่ที่คละคลุ้งนัยน์ตาสีมรกตจึงเห็นเพียงแค่เป็นกลุ่มคนที่อยู่ในชุดตำรวจ...

“ เอ่อ...เธอ...ขอคุยด้วยหน่อย...ไม่ต้องห่วง เราไม่ได้จะบุกเข้ามาจับตัว”   ตำรวจที่มีท่าทางกล้าๆกลัวๆไม่สมกับเสื้อผ้าที่ใส่อยู่เอ่ยออกมา นัยน์ตาเลิ่กลั่กนั่นหันมองรอบๆตัวด้วยท่าทางหวาดๆ...ก็นะ...ถึงจะเป็นตำรวจแต่ถ้าต้องมาอยู่ท่ามกลางวงล้อมของอันธพาลชั้นต่ำด้วยจำนวนที่ต่างกันมากขนาดนี้มันก็ต้องมีกลัวกันบ้าง แล้วยิ่งต้องมาเผชิญหน้ากับนัยน์ตาสีมรกตที่ไม่มีแววสะทกสะท้านหวาดหวั่นกับเรื่องอะไรยิ่งรู้สึกกดดันกันไปใหญ่

“........?”   ใบหน้าสวยยังคงมองสวนกลับไปด้วยความนิ่งเฉย ร่างบอบบางที่นั่งอยู่บนหลังมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ก็ไม่คิดจะลุกขึ้นมาต้อนรับแต่อย่างใด

พอได้มาเห็นใบหน้าและแววตาหลังจากที่เอาฮูดออกจากหัวแล้วแบบนี้ ทีมบอสของเฟอร์รารี่จึงพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมตำรวจของมิลานถึงได้พากันบอกว่าเด็กนี่เป็นตัวอันตราย....ถึงแม้จะหน้าตาดีอย่างที่คิดไว้...แต่กลิ่นของความตายที่โชยหึ่งออกมาจากตัวก็ทำให้ไม่น่าเข้าใกล้เลยจริงๆ

แต่ยิ่งพยศ ยิ่งเลี้ยงยาก...ก็อาจจะคุ้มมากก็ได้หากทำให้สัตว์ร้ายที่เคยอันตรายเชื่องได้...

เพราะหากไม่แน่จริงก็คงไม่ใช่สิ่งที่จะเป็นอันตรายหรอก...


“ คนที่แข่งอยู่นั่น คือคนที่ขับรถไปรับเธอหรือเปล่า?”   แต่แล้วคำถามที่โพล่งออกไปจากปากของทีมบอสเฟอร์รารี่ก็ทำเอานัยน์ตาสีมรกตที่นิ่งสนิทมาตลอดถึงกับฉายแววสงสัยขึ้นมา....อ่า....จำได้แล้ว...ผู้ชายผมทองคนนี้คือคนที่ล็อคตัวเขาหลังจากที่เข้าไปวิ่งราวกระเป๋าตังค์ของเจ้าพวกชุดแดงมานั่นเอง...ถ้างั้น...คนที่ถามหาก็คือรีไวละสินะ

นัยน์ตาสีมรกตกวาดมองร่างสูงใหญ่ที่อยู่ในชุดสีแดงตั้งแต่หัวจรดเท้า เท้าจรดหัว ถึงจะรู้สึกถึงอำนาจอะไรบางอย่างแต่กลับมีความรู้สึกว่าพึ่งพาได้และน่าเชื่อใจแฝงออกมาด้วย

ผู้ชายคนนี้....ไม่เหมือนตำรวจพวกนั้น...

ใบหน้าสวยจึงพยักหน้าช้าๆทั้งๆที่นัยน์ตาสีมรกตแข็งกร้าวยังจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของร่างสูงใหญ่

“ คุณเอลวิน เราไม่ได้มาถามเรื่องนี้กันนะครับ!...เธอ...เอ่อ...ถ้าเราจะขอกระเป๋าตังที่เธอไปวิ่งราวคืน...คือ...เงินไม่ต้องก็ได้..ขอเอกสารข้างในน่ะ ได้ไหม?”   ตำรวจเหมือนอยากจะรีบๆเจรจา รีบๆจบเรื่อง แล้วจะได้รีบๆกลับ ซึ่งดูจะตรงกันข้ามกับทีมบอสของเฟอร์รารี่ที่หันไปยืนจ้องรถที่กำลังแข่งกันอยู่บนถนนด้วยดวงตาเป็นประกาย

ถึงรถที่ใช้แข่งอยู่จะต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับรถสูตรหนึ่ง แต่สายตาที่เฉียบคมกลับมองเพียงแค่วิธีการขับที่น่าประทับใจนั่นมากกว่า

ต่อให้ไม่รู้เลยว่าคนที่ตามหาอยู่นั่นขับรถคันไหนกันแน่...แต่วิธีการขับกลับทำให้รู้ได้ในที่สุด...ว่ารถคันที่เบียดแซงรถอีกคันก่อนจะพุ่งตรงเข้าหาหญิงสาวซึ่งยืนอยู่กลางถนนอย่างไม่กลัวว่าจะชนต้องเป็นรถของคนที่เขาตามหาอยู่แน่ๆ กะบะสีถลอกคันนั้นแตะเบรกเสียงดังลั่นก่อนจะหมุนวนอยู่รอบหญิงสาวสองรอบ แรงเสียดสีจากล้อกับถนนทำเอาได้กลิ่นยางไหม้คละเคล้าไปกับเขม่าควันซึ่งถูกแสงไฟสาดส่อง จากภาพที่น่าหวาดเสียวกลับดูเท่ห์ในสายตาของคนที่รักความเร็ว ความตื่นเต้นที่ไม่ได้รู้สึกมานานทำให้ขนบนแขนถึงกับลุกเกรียว แล้วรอบที่สามที่รถหมุนวนรอบหญิงสาวคนนั้น มือที่สวมถุงมือหนังตัดปลายนิ้วก็ยื่นออกมาจากหน้าต่างรถ  ก้านกุหลาบสีแดงที่เขาเพิ่งจะสังเกตเห็นว่ามันถูกคาบอยู่ในริมฝีปากสีเชอร์รี่ถูกมือข้างนั้นดึงออกไปในเสี้ยววินาที...ซึ่งการขับรถเข้าไปใกล้จนสามารถทำแบบนั้นได้โดยที่ไม่ชนหญิงสาวนับว่าไม่ธรรมดาเลยจริงๆ

นอกจากเทคนิคการขับรถที่ต้องยอดเยี่ยมแล้ว...คนคนนั้นยังต้องใจถึงมากๆด้วย

คนแบบนี้แหละ...ที่เฟอร์รารี่ต้องการ....


F Line นี้ยังเป็นรอง GLIDE”   เสียงนิ่งดังออกมาจากใบหน้าภายใต้กรอบผมสีเงิน คงเป็นเพราะเขาจ้องการแข่งซะเขม็งแบบนั้น เด็กนี่ก็เลยรู้ว่าเขากำลังสนใจและเอ่ยโค้ดอะไรบางอย่างออกมา ถึงเขาจะไม่เข้าใจแต่ก็รับรู้จากคำพูดของเด็กคนนี้ได้ว่า...นี่ยังไม่ใช่ฝีมือทั้งหมดที่คนคนนั้นมี

น่าสนใจ...

น่าสนใจจริงๆ....



กุหลาบสีแดงถูกโยนเอาไว้หน้ารถก่อนที่นัยน์ตาขี้รำคาญจะเหลือบมาเห็นกลุ่มคนแปลกหน้าที่ยืนอยู่ตรงเส้นสตาร์ทเข้า ฝ่าเท้าจึงยิ่งเหยียบคันเร่งเพื่อกลับมาให้ถึงเส้นชัยเร็วกว่าเดิม...เพราะเห็นชุดที่คนพวกนั้นใส่ ยิ่งเข้ามาคุยกับเด็กในปกครองของตนก็ยิ่งเป็นห่วง

พวกตำรวจเข้ามาเองแบบนี้แสดงว่าต้องมีอะไรแน่ๆ

และทันทีที่รถกลับมาถึงเส้นชัย ขาเรียวก็แทบจะก้าวพรวดๆออกมาตั้งแต่รถยังไม่ทันจะจอดสนิทดี

“ มีอะไร?”   ใบหน้านิ่งหันไปถามเด็กในปกครอง

“ คนพวกนี้มาขอกระเป๋าคืน บอกว่าเงินไม่ต้องก็ได้แค่อยากได้เอกสารข้างใน”   ใบหน้าสวยตอบกลับมาอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับการที่ตัวเองไปขโมยของของเขามาแท้ๆ แต่ก่อนที่ร่างแข็งแกร่งจะได้พูดอะไร ทีมบอสของเฟอร์รารี่ที่แทบจะพุ่งเข้ามาหาก็โพล่งออกไปว่า

“ นาย...สนใจไปขับฟอร์มูล่าวันไหม?!”  

คำพูดที่ไม่มีที่มาที่ไป ไม่มีการแนะนำตัว เพราะคนพูดเองก็ไม่เคยตื่นเต้นกับการที่ได้เห็นการขับที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้มาก่อน มันเลยทำเอาคนฟังถึงกับชะงักค้าง....พูดเรื่องอะไรของมันน่ะ? หมอนี่มันไม่เต็มหรือไง? ฟอร์มูล่าวันมันจะมาหานักแข่งในแก๊งซิ่งกันง่ายๆแบบนี้หรือไง? ไอ้หมอนี่มันต้องบ้าแน่ๆ!!

ร่างแข็งแกร่งผงะถอยหลังก่อนจะมองร่างสูงใหญ่อย่างไม่ไว้ใจ สองขารีบเดินกลับไปที่รถก่อนจะมุดเข้าไปคุ้ยหากระเป๋าตังค์ที่จำได้ว่าโยนๆไว้แถวนั้นและเมื่อได้ของที่ต้องการจึงเอามันมาโยนให้ตำรวจที่รับไว้ด้วยความตกใจ

มือในถุงมือหนังหันมาคว้าข้อมือของเด็กในปกครองก่อนจะลากให้เดินไปที่รถอย่างไม่คิดจะพูดอะไร ไม่คิดจะเจรจาต่อรองใดๆทั้งสิ้น...เชื่อก็บ้าแล้ว...ไอ้หมอนั่นมันต้องบ้าแหงๆ


แล้วกะบะสีถลอกก็ปาดมากลับรถตรงหน้าก่อนจะพุ่งทะยานออกไปอย่างไม่สนใจว่าใครจะว่ายังไง

ทีมบอสของเฟอร์รารี่จึงได้แต่ยืนมองด้วยสายตาที่ไม่ละความตั้งใจ

เขาตัดสินใจแล้ว....

ว่านี่คือเพชรที่เขาจะต้องเอากลับไปเจียระไน เพื่อให้มันมาทำให้เฟอร์รารี่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกให้ได้!










เพราะแบบนั้น...วันรุ่งขึ้น...แทนที่ทีมบอสจะอยู่ดูแลลูกทีมอยู่ที่สนามมอนซ่า ร่างสูงใหญ่กลับมาเดินเตร็ดเตร่อยู่ในแหล่งเสื่อมโทรมของมิลานแทน

ผมสีทองสว่างไสวกับใบหน้าอบอุ่นช่างดูไม่เข้ากับสถานที่ที่เดินอยู่เลยสักนิด นัยน์ตาสีฟ้ากวาดมองตึกแถวโทรมๆที่อยู่ตรงหัวถนน ตอนกลางวันแบบนี้เหมือนมันกำลังหลับใหลแต่ในตอนกลางคืนตรงนี้คงไม่ใช่ที่ที่ดีนัก ดูจากภาพหญิงสาวเก่าๆที่เอาไว้เรียกแขกที่แปะอยู่เต็มไปหมดนั่น  สองขาที่ยังอยู่ในชุดฟอร์มสีแดงก้าวเข้าไปในตรอกซอกซอยสกปรกๆ สองข้างทางเต็มไปด้วยกองขยะและเศษสิ่งปฏิกูลเน่าเหม็นและที่ทำให้รู้สึกน่าหดหู่ใจมากกว่าก็คือข้างกองขยะพวกนั้นมีร่างของมนุษย์ที่ยังมีลมหายใจนอนอย่างไร้เรี่ยวแรงอยู่ ร่างสูงใหญ่ไม่ได้หยุดยืนมองแต่กว่าจะเดินผ่านไปได้ก็ต้องรอให้เด็กเล็กๆหน้าตามอมแมมสองสามคนที่กำลังทะเลาะแย่งเศษอาหารที่ได้มาจากกองขยะวิ่งหายไปเสียก่อน....สภาพน่าสมเพชเวทนาทำให้ทีมบอสของเฟอร์รารี่ถึงกับถอนหายใจออกมา

เพราะถูกหล่อหลอมมาในที่แบบนี้สินะ ถึงได้ขับรถด้วยหัวจิตหัวใจที่ไม่ได้เกรงกลัวต่อความตายแบบนั้น

ร่างสูงใหญ่มาหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูที่ดูเหมือนจะเป็นโกดังเก่าๆมากกว่าจะเรียกได้ว่าบ้าน นัยน์ตาสีฟ้ามองเห็นกะบะสีถลอกคันเมื่อคืนจอดอยู่ในนั้น...ไม่ใช่ว่าเขาเก่งมากจนสามารถหาอีกฝ่ายเจอจากสลัมที่มีเป็นพันๆหลังคาเรือน....แต่เป็นเพราะไม่ว่าจะถามใครในย่านนี้ต่างก็รู้จักสองคนนั้นเป็นอย่างดีต่างหาก...

ราชาแห่งโลกใต้ดิน...จะเรียกผู้ชายร่างเล็กคนนั้นแบบนี้ก็คงไม่ผิดนัก

ทีมบอสของเฟอร์รารี่ก้าวขาเข้าไปในโกดังเก่าๆที่มีแสงลอดเข้ามาจากรูของสังกะสีที่ถูกตีเป็นผนัง ถึงสภาพจะดูโทรมๆแต่ข้างในกลับสะอาดสะอ้านกว่าที่ไหนๆในย่านแหล่งเสื่อมโทรมแห่งนี้

นัยน์ตาสีฟ้าลอบมองร่างที่ไม่ได้สูงใหญ่ซึ่งกำลังไขอะไหล่อะไรบางอย่างอยู่ที่ใต้กระโปรงรถ ผู้ชายผมดำที่เขาตามหามาหลายวันอยู่ในเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ขาดๆ แขนเสื้อยืดสีขาวพันๆพับๆขึ้นไปจนมองเห็นมัดกล้ามแข็งแรง ถึงจะตัวเล็กแต่ความรู้สึกว่าแข็งแกร่งกลับแผ่ออกมาจนรับรู้ได้

“ โฮ่ย...คิดว่าจะย่องเข้าบ้านคนอื่นเขารึไงไอ้คนบ้า”   เสียงทุ้มดุดันที่ทักขึ้นมาทำให้ทีมบอสของเฟอร์รารี่ถึงกับยกมือขึ้นเกาหัว  ใบหน้าไม่สบอารมณ์เงยขึ้นมาจากเครื่องยนต์หน้ารถก่อนจะมองร่างสูงใหญ่ด้วยดวงตารีขวางอย่างหาเรื่อง

ตั้งแต่เกิดมาก็เจอคนมาหาเรื่องบ้าง ก่อกวนบ้างไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ แต่เพิ่งจะมีคราวนี้แหละที่ถูกคนบ้ามาตามตื้อ!

ใบหน้าหงุดหงิดสบถอย่างรำคาญ ก่อนตั้งใจจะไล่ไปให้พ้น ถ้าพูดดีๆไม่รู้เรื่องคงต้องเตะสักทีสองทีแล้วมั้งแบบนี้

“ ชั้นไม่ใช่คนบ้า...แล้วที่มาหานายก็เพราะจะมายืนยันคำเดิม...ชั้นอยากให้นายไปเป็นนักขับรถฟอร์มูล่าวันของชั้น...เมื่อวานยังไม่ทันแนะนำตัว...ชั้น เอลวิน สมิธ ทีมบอสของสครูเดอเลียเฟอร์รารี่”   มือใหญ่ยื่นออกไปอย่างเป็นมิตรแต่อีกฝ่ายกลับปัดมือนั้นทิ้งอย่างไม่ไว้ใจ

ใครจะไปเชื่อว่าทีมบอสของทีมรถแข่งชื่อดังนั่นจะมาควานหานักขับจากในกองขยะแบบนี้ 

ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีทองเพียงแค่ยิ้มน้อยๆถึงแม้จะถูกปัดมือทิ้งไป...เพราะอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้มันก็ไม่น่าแปลกละนะที่คนตรงหน้าจะไม่เชื่อใจใครง่ายๆ...เขาคงต้องพิสูจน์ว่าเขาเป็นทีมบอสของเฟอร์รารี่จริงๆ

ร่างสูงใหญ่เดินเข้าไปหาอย่างไม่ได้กลัวเกรง ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีทองชะโงกเข้าไปใต้ฝากระโปรงรถเพื่อมองดูเครื่องยนต์ของรถเก่าๆคันนั้น ถึงเขาจะไม่ใช่วิศวกรแต่กับคนที่คุ้นเคยกับรถซูปเปอร์คาร์ที่ทั้งแรงทั้งเร็วอย่างเฟอร์รารี่มาเป็นสิบปี การดูเครื่องยนต์แค่นี้ย่อมดูออกเป็นธรรมดาและเขายังรู้ด้วยว่าทำไมเฟอร์รารี่ถึงได้แรงกว่ารถทั่วไป ตรงไหนบ้างที่ต่างกัน

“ เครื่องใช้ได้เลยนี่”   ทีมบอสของเฟอร์รารี่เอ่ยชมเมื่อมองเครื่องยนต์ที่อยู่ในรถเก่าๆคันนั้น ดูท่าว่าจะยกเครื่องใหม่มาทั้งคัน เพราะรุ่นของรถกับเครื่องยนต์มันคนละรุ่นกันเลย

“ ชั้นไม่รู้วิธีประกอบอะไหล่หรอกนะ แต่บอกได้แค่ว่าถ้านายอยากให้รถแรงขึ้นต้องทำยังไง”   เขาเอ่ยออกไปและอีกฝ่ายก็ทำตามด้วยสายตาที่ไม่ได้เชื่อหรอกเพียงแต่อยากจะท้าทายว่าเขารู้จริงหรือเปล่าก็เท่านั้น

อันที่จริงการปรับเปลี่ยนจากอะไหล่ที่มีอยู่ตอนนี้ไม่ได้ทำให้เห็นผลอะไรมากมายนัก แต่อย่างน้อยๆมันก็ทำให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาไม่ใช่คนบ้าและมีความรู้เรื่องของเครื่องยนต์พอที่จะเป็นทีมบอสได้ ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีดำหันมามองเขาด้วยสายตาเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งก่อนจะเดินไปยังที่นั่งคนขับ มือที่เลอะน้ำมันเครื่องน้อยๆลองบิดกุญแจสตาร์ทรถดูแล้วเสียงเครื่องยนต์ที่ดังกระหึ่มขึ้นมาก็ทำให้นัยน์ตาสีขี้เถ้าชะงักไป

เสียง....มันต่างไปจากทุกที...?

มันไม่ใช่เสียงที่ใกล้จะพังเพราะเจ้าผู้ชายหัวทองนั่นบอกมั่วๆ แต่มันเป็นเสียงทุ้มๆที่ฟังดูแล้วเบาสบายจนชักอยากจะเอาออกไปขับดูจริงๆว่ามันเร็วขึ้นบ้างหรือเปล่า

ร่างที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยนิ่งไปแล้วปล่อยให้เครื่องยนต์ติดอยู่แบบนั้น ท่าทางอึ้งๆของรีไวทำให้ทีมบอสแห่งเฟอร์รารี่ลอบยิ้มออกมาที่มุมปาก  แต่ก่อนที่จะได้โน้มน้าวอะไรเสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาก็ทำให้เขาจำต้องหันไปมอง

เด็กผู้ชายผมสีเงินคนเดิมเดินหอบถุงกระดาษใบใหญ่เข้ามาและอีกฝ่ายก็ดูท่าว่าจะมองไม่เห็นเขา

“ รีไว....แมรี่ให้นี่มา”   ยอดผักและขนมปังฝรั่งเศสที่โผล่ออกมาจากถุงกระดาษทำให้รู้ว่าในนั้นเป็นอาหาร

“ ชั้นบอกแกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าไปรับของจากยัยพวกนั้น ยัยหิวผู้ชายนั่นมันก็หวังแค่จะลากแกเข้าห้องเท่านั้นแหละและชั้นสั่งห้ามแกอย่างเด็ดขาดเลยนะ”  ทีมบอสของเฟอร์รารี่ลอบมองเด็กผู้ชายรูปร่างเล็กบางที่ยังไม่รู้ตัวว่าเขาอยู่ที่นี่ด้วย ถ้าเขาไม่รู้มาจากปากของตำรวจพวกนั้นคงไม่มีทางมั่นใจแน่ว่าเด็กคนนี้เป็นผู้ชาย ยิ่งได้มามองใกล้ๆ....ใบหน้าที่เรียกได้ว่าสวยเกินกว่าจะเป็นเด็กผู้ชายกับผิวพรรณที่สะอาดหมดจดเกินกว่าจะมาอยู่ในที่แบบนี้ทำให้ทีมบอสของเฟอร์รารี่ลอบยิ้ม...เพราะดูเหมือนเด็กนี่จะเป็นจุดอ่อนของผู้ชายที่ได้ชื่อว่าราชาแห่งโลกใต้ดินสินะ

จนกระทั่งถุงกระดาษใบใหญ่ถูกวางลงไป นัยน์ตาสีมรกตถึงได้เพิ่งเห็นว่าในบ้านของพวกเขามีคนอื่นยืนอยู่ด้วย แต่ร่างบอบบางก็ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกลับหันไปสนใจผักในถุงมากกว่าจะสงสัยว่าร่างสูงใหญ่นั่นมาทำอะไรกันแน่...เพราะยังไงรีไวก็คงจัดการเอง

“ นายไม่อยากออกไปจากที่แบบนี้หรอ? ดูจากสภาพบ้านของนายที่สะอาดสะอ้านกว่าที่ไหนๆในแหล่งเสื่อมโทรมนี่ก็พอจะรู้ว่านายไม่ได้พอใจที่จะอยู่แบบไร้อนาคตไปตลอดหรอก...ใช่ไหม?”   นัยน์ตาสีฟ้าละจากร่างเล็กบางที่ยืนคุ้ยผักในถุงง่วน แล้วหันไปหว่านล้อมเป้าหมายของตนต่อไป

“ ถึงนายจะไม่สนใจตัวเอง...แต่นายไม่อยากให้เด็กคนนั้นได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีกว่านี้งั้นหรอ? นายจะปกป้องเขาไปได้ตลอดหรอในที่แบบนี้....”   ดูเหมือนทีมบอสของเฟอร์รารี่จะจี้ถูกจุด เพราะเมื่อพูดมาถึงตรงนี้ผู้ชายร่างเล็กก็ดูจะนิ่งไป


ทำไมจะไม่คิดล่ะ...เรื่องออกไปจากที่นี่

อันที่จริงเขาไม่คิดจะลังเลหรอกถ้ามีโอกาสออกไป...แต่เขาจะเชื่อคำพูดของคนตรงหน้าได้แค่ไหนกัน....


“ ถ้านายไม่ไว้ใจชั้น....วันนี้นายไปดูที่สนามมอนซ่าก็ได้ เฟอร์รารี่กำลังเก็บของเตรียมกลับมาราเนลโล่พอดี และชั้นก็จะอยู่ที่พิตการาจสีแดงนั่น”   ใบหน้าภายใต้กรอบผมสีทองหันมายิ้มให้ ก่อนจะทำท่าว่าจะเตรียมตัวกลับ ปล่อยให้อีกคนนิ่งคิดต่อไปตามลำพัง

“ แล้วเจอกัน”  ทีมบอสของเฟอร์รารี่โบกมือให้แล้วเดินออกมาจากโกดังหลังนั้นอย่างมั่นใจว่ายังไงอีกฝ่ายก็ต้องตามไปดูแน่ๆ....










แล้วชายที่ได้ชื่อว่าราชาแห่งโลกใต้ดินก็ไปจริงๆ










ร่างที่ไม่ได้สูงใหญ่ทว่าแข็งแกร่งยิ่งกว่าใครยืนมองพิตการาจของเฟอร์รารี่อยู่ที่ม้านั่งคนดู  ชายเสื้อโค้ทสีดำโบกสะบัดตัดกับสีขาวของเก้าอี้ ทั้งใบหน้านิ่งสนิทและสายตาคมกล้าที่มองตรงมายังพิตการาจสีแดงอย่างไม่ลดละทำให้รู้สึกราวกับซาตานกำลังจ้องมองเหยื่อ...

ดูเหมือนผู้ชายที่ชื่อ เอลวิน สมิธ นั่นไม่ใช่คนบ้าที่เข้ามาหลอกลวงเขา ร่างสูงใหญ่เป็นทีมบอสของทีมรถแข่งรถระดับโลกจริงดังว่า เพราะไม่ว่าใครในพิตการาจต่างก็ดูจะให้ความเคารพผู้ชายคนนั้นกันทั้งสิ้น

ใบหน้านิ่งละจากพิตการาจสีแดงก่อนจะมองไปรอบๆสนามออโตโดรโม่ ดิ มอนซ่า….สนาม....ที่เรียกได้ว่าสนามแข่งรถจริงๆอย่างบอกความรู้สึกไม่ถูก 

อันที่จริงที่เขาใช้ชีวิตอยู่แบบนั้นทั้งๆที่ไม่ใช่ว่าจะไม่มีทางเลือกอื่นเลยซะทีเดียว...มันก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาน่ะ...คงจะหลงรักความเร็วของการแข่งรถไปเสียแล้ว

นัยน์ตาสีขี้เถ้าหันกลับไปมองที่พิตการาจของทีมเพียงทีมเดียวที่ยังเหลืออยู่ คงจะเป็นเพราะทีมอื่นๆไม่ได้มีฐานอยู่ในอิตาลีเหมือนเฟอร์รารี่จึงขนของกลับไปกันหมดแล้ว

สายตาคมกล้าหยุดอยู่ที่ทีมช่างซึ่งกำลังเข็นรถสูตรหนึ่งสีแดงสดออกมาจากพิตการาจเพื่อเตรียมจะเข็นไปขึ้นรถบรรทุกคอนเทนเนอร์....ถึงจะมีผ้าคลุมอยู่แต่สายลมที่โบกพัดก็ทำให้ชายผ้าปลิวขึ้นมาจนเขาสามารถมองเห็นรถสีแดงเพลิงได้อย่างชัดเจน


ถ้าได้ขับรถที่เร็วที่สุดในโลกอย่างเจ้านั่น...จะเป็นยังไงกันนะ....





ทีมบอสที่ต้องอยู่บัญชาการแม้แต่การเก็บของกลับบ้านกวาดสายตามองไปจนทั่วพิตการาจเพื่อไม่ให้มีสิ่งใดตกหล่นหลุดรอดสายตาไปได้  ใบหน้าอบอุ่นพยักให้ลูกทีมเป็นเชิงบ่งบอกว่าเรียบร้อยดีก่อนที่จะก้าวขาออกไปยืนอยู่หน้าพิตการาจ จากที่คิดว่าจะสูดอากาศหายใจสักหน่อยใบหน้าภายใต้กรอบผมสีทองกลับยิ้มออกมาเมื่อมองเห็นเงาร่างสีดำของใครบางคนยืนอยู่บนอัฒจรรย์ฝั่งตรงข้าม

มาจนได้สินะ...

ร่างสูงใหญ่จึงเดินด้วยท่าทางสบายๆขึ้นไปหา

“ ไง?...ตัดสินใจได้แล้วสินะ”   เสียงที่มาพร้อมรอยยิ้มทำให้ความพยศลดลงไปนิดหน่อย ใบหน้านิ่งยังคงเหม่อมองท้องถนนที่เต็มไปด้วยร่องรอยการแข่งขันราวกับยังมีอะไรบางอย่างติดอยู่ในใจทำให้ยังตอบตกลงไม่ได้

“ นายไม่กลัวหรือไง...ว่าอดีตของชั้นจะทำให้ทีมของนายเดือดร้อน”   ในที่สุดร่างในชุดสีดำก็เอ่ยออกมา...เพราะรู้ดีว่าตัวเองเป็นใครและมาจากที่แบบไหน...และจะมีสักกี่คนที่จะรับได้กับอดีตที่โสมมของเขา

“ หึ...ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าราชาแห่งโลกใต้ดินก็จะเป็นห่วงกลัวว่าคนอื่นจะติดร่างแหไปด้วยแบบนี้น่ะ”   แต่ทีมบอสของเฟอร์รารี่กลับพูดออกมาด้วยน้ำเสียงไร้ซึ่งความกังวล

“..........”

“ ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก...เฟอร์รารี่ไม่ได้กระจอกขนาดนั้น”

“ หึ...แม้แต่ทีมแข่งรถเอฟวันก็ยังมาเฟียเลยสินะ...ถ้ามาจากอิตาลี”

“ ขอแค่นายขับรถพาพวกเราไปเอาถ้วยแชมป์มาได้...เรื่องอื่นๆจะเป็นยังไงก็ไม่ต้องไปใส่ใจมันหรอก”   จะบอกว่าจะเคลียร์ทุกอย่างให้งั้นสินะ....


แบบนี้....อาจจะเป็นอนาคตที่ดีแล้วก็ได้...










ร่างแข็งแกร่งเดินกลับเข้าไปในบ้านของตัวเอง สิ่งแรกที่มองเห็นคือเจ้าเด็กในปกครองกำลังนั่งแทะผักสลัดอยู่ที่กระโปรงรถ...บอกกี่ครั้งแล้วว่าให้หาถ้วยจานมาใส่ให้เรียบร้อย...

“ เดลแวะมาบอกว่าวันนี้พนันมอเตอร์ไซค์นะ ไปกันรึยัง?”   ใบหน้าสวยเงยขึ้นมาบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบเมื่อเห็นเขาเดินเข้าไป  นัยน์ตาสีขี้เถ้าทอดมองเส้นผมสีเงินเป็นประกายอย่างตัดสินใจได้สักที

“ ฮายาโตะ....”

“........?”

“ ชั้นจะไปเป็นนักขับเอฟวัน.....จะออกไปจากที่นี่........แกไปกับชั้น” 

นัยน์ตาสีมรกตถึงกับเบิกกว้างเพราะการตัดสินใจในครั้งนี้มันจะเปลี่ยนชีวิตของพวกเขาแบบพลิกฝ่ามือ ใบหน้าสวยพยักรับช้าๆอย่างไม่มีเหตุผลใดมาคัดค้าน เพราะคงไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการได้ออกไปจากที่นี่อีกแล้ว


และพวกเขา...จะไม่กลับมาอีก....











ประตูม้วนถูกดึงลงมา นัยน์ตาทั้งสองคู่มองภาพสุดท้ายภายในโกดังที่ใช้ซุกหัวนอนมานานหลายปี....ถึงจะไม่ได้มีความอาลัยอาวรแต่ก็รู้สึกขอบคุณมันอยู่ไม่น้อย….

ขาทั้งสองคู่เตรียมจะก้าวออกไปสู่โลกใบใหม่...พวกเขานัดกับทีมบอสร่างสูงใหญ่ว่าให้อีกฝ่ายไปรอรับอยู่ที่หน้ามหาวิหารแห่งมิลาน...พวกเขาตั้งใจจะเดินจากไปเงียบๆให้ตำนานของราชาค่อยๆเลือนหายไปจากความทรงจำของคนที่นี่ไปทีละเล็กละน้อย

แต่ทว่า...

ดูเหมือนนรกจะไม่เป็นใจให้เป็นแบบนั้น....


“ รีไว!!! ช่วยด้วย! พ่อ...พวกมันเอาพ่อไป ฮึก...ฮึก...”   เสียงหลงๆตะโกนเรียกด้วยความตื่นตระหนกและเมื่อเขาหันกลับไปดูก็เห็นร่างเล็กๆของเด็กอายุห้าขวบวิ่งถลาเข้ามาหา ใบหน้ามอมแมมร้องไห้ทั้งๆที่สองมือเล็กๆนั่นยังเขย่าชายเสื้อของเขาไม่หยุด

เด็กคนนี้เป็นลูกชายของเดล...

“ พ่อ...ช่วยพ่อด้วย...ฮึก ฮึก.....”   เด็กน้อยยังคงร้องไห้สะอึกสะอื้นนัยน์ตาที่รื้นไปด้วยน้ำตาเงยขึ้นมามองเขาอย่างมีความหวัง

“............”   สองมือได้แต่กำแน่นอย่างพยายามระงับอารมณ์....เอลวินกำลังรออยู่....ถึงแม้ร่างกายจะยังนิ่งเฉยแต่สันกรามกลับกัดฟันกรอด...

“ รีไว.....”   ใบหน้าเล็กๆที่เต็มไปด้วยน้ำตาทั้งหวาดผวาทั้งกลัวซึ่งกำลังเงยมองมาที่เขายิ่งทำเอาต้องกำมือแน่น....จะให้ไปมีเรื่องตอนนี้ได้ยังไง...อีกอย่างเขาก็เตือนเจ้าเดลแล้วว่าจะทำสัญญาเถื่อนอะไรก็ให้ดูดีๆ พอโดนเจ้าหนี้มาทวงเงินจะให้เขาคอยยื่นมือเข้าไปช่วยตลอดแบบนี้มันจะเคยตัวเกินไป  ร่างแข็งแกร่งจึงตั้งใจจะเดินหนีไปอย่างไม่ไยดี

“ รีไว!! อย่าเพิ่งไป ฮึก...พ่อ...ช่วยพ่อด้วย!”    สองแขนเล็กๆนั่นกอดขาเขาเอาไว้ราวกับเป็นที่พึ่งสุดท้าย เขาไม่รู้หรอกว่ามันเป็นเรื่องคอขาดบาดตายแค่ไหนแต่ว่า...ถึงจะเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบาก....แต่ถ้าให้ต้องเลือกระหว่างอนาคตของตัวเองกับชีวิตของคนอื่น....เขาคง....

“...........”    ร่างทั้งร่างยังคงยืนนิ่งก่อนจะก้มมองเด็กชายตัวเล็กๆด้วยสายตาเย็นชา....ถ้าต้องเลือกระหว่างอนาคตของเขากับชีวิตของคนอื่น...เขาคงเลือกอนาคตของตัวเองแน่

แต่ถ้าต้องเลือกระหว่างอนาคตของตัวเองกับชีวิตเจ้าฮายาโตะ.....เขาคงจะเลือกอย่างหลังอย่างไม่ลังเล เพราะงั้นแค่มองเห็นว่าเจ้าเด็กในปกครองนั่นคว้าข้อมือลูกของเดลแล้วออกวิ่งอย่างตั้งใจจะไปช่วย เขาจึงได้แต่สบถก่อนจะก้าวขาตามไปทันที!

ไอ้เจ้าเด็กบ้านั่น!!




ร่างบอบบางวิ่งตามที่เด็กชายตัวเล็กๆบอกจนมาถึงเขตโกดังร้างที่เคยเป็นโรงงานอะไรสักอย่างซึ่งอยู่ด้านหลังแหล่งเสื่องโทรม มือบางดึงเด็กชายให้หลบเข้าไปในที่ซอกตึกซึ่งอยู่ข้างๆก่อนจะเอ่บบอกด้วยสีหน้าจริงจัง

“ รออยู่นี่นะ ห้ามโผล่ออกมาเข้าใจไหม”    จากนั้นจึงปล่อยให้เด็กชายนั่งกอดเข่าตัวสั่นอยู่หลังลังไม้ตามลำพัง

ส่วนร่างบอบบางกลับก้าวขาเข้าไปในโกดังอย่างไม่ได้รู้สึกกลัวเกรง....เขารู้ดีว่าช่วงเวลาสำคัญแบบนี้จะให้รีไวไปมีเรื่องก็คงไม่ดีนัก แต่จะปล่อยเดลไว้แบบนั้นก็ไม่ได้เพราะงั้นเรื่องนี้เขาจะจัดการเอง

นัยน์ตาสีมรกตกวาดมองเข้าไปในโกดังก่อนที่มันเบิกกว้างขึ้นเมื่อมองเห็นคนที่ยืนอยู่ข้างใน....จากที่คิดว่าเดลถูกจับตัวมาเพราะไปทำสัญญาเถื่อนซึ่งเป็นเรื่องของเจ้าตัวเอง....แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่ามันไม่ใช่....เพราะเดลถูกจับตัวมาเพราะพวกเขาต่างหาก!

“ ไง? ทำไมมาคนเดียวล่ะฮายาโตะจัง?”   เสียงทักทายที่ติดจะกวนนิดๆนั่นส่งมาจากคนที่ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยเรียกว่า....เพื่อนสนิท

เคยมีช่วงเวลาที่พวกเราสี่คนเคยกินนอนอยู่ด้วยกัน เคยยิ้มเคยหัวเราะอยู่ด้วยกัน....แต่วันแบบนั้นมันไม่มีอีกต่อไปแล้ว....

ทุกอย่างมันเปลี่ยนไป...ตั้งแต่วันที่หนึ่งในสี่ของพวกเราตายไป...เพราะแข่งรถ

มันอาจจะฟังดูไร้เหตุผล แต่หากเขาเป็นอีกฝ่าย ก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าจะแค้นเคืองแบบนี้หรือเปล่า....

น้องชายของผู้ชายคนนี้มีแฟนซึ่งรักกันมากอยู่ แล้ววันหนึ่งเธอกลับถูกนำไปเป็นรางวัลของการแข่งพนันรถโดยที่พวกเขาก็ไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะอะไร  พี่ชายมาขอร้องรีไวให้ช่วยไปแข่งแทนน้องชายเพราะ F Line มันคือ GLIDE แต่รีไวกลับไม่ช่วยเพราะคิดว่า “คนรัก” มันควรเป็นเรื่องที่ตัวเองต้องแย่งชิงเอามาด้วยตัวเอง...เพราะงั้นน้องชายจึงลงแข่งเอง

แล้วก็ตายไป...ในการแข่งครั้งนั้น....

เพื่อน...จึงหันมาเป็นศัตรู....ทั้งๆที่รีไวไม่ได้ทำอะไรผิด....



“ ปล่อยเดลเดี๋ยวนี้”   ใบหน้าสวยเอ่ยออกไปด้วยความดุดัน นัยน์ตาสีมรกตเหลือบมองเดลที่นั่งตัวสั่นงันงกด้วยความกลัว ข้อมือทั้งสองข้างถูกมัดติดอยู่กับเสา แค่คิดว่าเป็นเพราะพวกเขาลากให้คนที่ไม่รู้เรื่องมาเกี่ยวด้วยแบบนี้มันก็อดที่จะกำหมัดกัดฟันแน่นไม่ได้....นัยน์ตาสีมรกตที่เคยเอาแต่เฉยชากลับมีประกายของนักฆ่าขึ้นมาทันที

“ นี่ไม่ใช่เรื่องของนายนะฮายาโตะ...ไปตามรีไวมา”   น้ำเสียงกวนๆเปลี่ยนเป็นจริงจังแต่ร่างบอบบางก็ยังยืนจ้องเขม็งอย่างไม่คิดจะทำตามที่อีกฝ่ายบอก

“ ................”

“ .......เฮ้อ...นายนี่มันขี้โกงจริงๆนะฮายาโตะจัง~~...รู้ทั้งรู้ว่าชั้นไม่ทำนาย....โอเค~~ ถ้าอยากจะลุยฆ่าเวลาก็เอาเถอะ...เพราะชั้นรู้ว่าถ้านายมาแบบนี้ อีกไม่นานรีไวต้องตามมาแน่”   นัยน์ตาสีมรกตแข็งกร้าวจ้องไปที่คนตรงหน้าอย่างไม่มีกลัวเกรง...ไม่มีทาง...เขาจะจบเรื่องนี้ก่อนที่รีไวจะมาถึงเอง!

ร่างบอบบางกระโจนเข้าไปในวงล้อมของอันธพาลชั้นต่ำ ถึงจะโดนรุมแต่ฝีมือที่ต่างกันก็ทำให้ฝ่ายเสียเปรียบไม่ใช่ร่างบอบบาง แขนขาเล็กๆที่ดูไร้เรี่ยวแรงแต่ก็ทำเอาคนที่ตัวใหญ่กว่าถึงกับลงไปกองอยู่ที่พื้น หมัดหนักๆซัดเอาหลับไม่ตื่นไปอีกหลายคน หัวสีเงินก้มหลบทั้งหมัดทั้งอาวุธที่กระหน่ำเข้ามาจากทุกทิศทาง ร่างบอบบางพลิวไหวราวกับสายลมที่ไม่อาจจับต้องได้ก่อนที่อีกฝ่ายจะรู้ตัวเมื่อท่อนขาที่เหมือนจะหักได้นั่นซัดเข้ามาเต็มหน้าท้องจนแทบจุก

เจ้าคนต้นเรื่องนั่งมองร่างบอบบางถูกรุมอยู่บนกระโปรงหน้ารถคันหนึ่ง  ริมฝีปากกวนประสาทผิวปากอย่างถูกใจ....กับร่างบอบบางเองไม่ได้มีความแค้นส่วนตัวต่อกันเลยไม่คิดจะเอาจริง

แต่ดูเหมือนกลุ่มคนที่พามาด้วยจะไม่คิดแบบนั้น อันธพาลชั้นต่ำยังไงก็ยังคงต่ำช้าอยู่วันยังค่ำ พอสู้ไม่ได้ก็เริ่มพาล พอเห็นว่ามือเปล่าเอาชนะร่างบอบบางไม่ได้ อาวุธอันตรายจึงถูกชักขึ้นมา


ปัง!!


เสียงปืนดังขึ้นพร้อมๆกับความเจ็บแปลบแล่นลิ่วขึ้นมาจากต้นแขน ใบหน้าสวยนิ่วหน้าพลางก้มลงไปมองก่อนจะเห็นเลือดสีแดงไหลเป็นทางลงไปยังข้อมือ...

“ อึก....”   มืออีกข้างยกขึ้นไปกุมปากแผลไว้....พวกนั้นมีปืน...

“ ไอ้โง่!! ใครให้พวกแกยิง!!”   ดูเหมือนชายที่เคยได้ชื่อว่าเพื่อนนั่นก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะให้มันเกิดขึ้น เสียงตะโกนจึงดังลั่นทั่วโกดัง

แล้วยังไม่ทันที่จะได้ยึดปืนมา ประตูโกดังก็เปิดกว้างขึ้นเสียก่อน....

เงาร่างที่ไม่ได้สูงใหญ่ทว่าแข็งแกร่งยิ่งกว่าใครยืนจังก้าอยู่ตรงนั้น ลมหายใจหอบหนักทำให้รู้ว่ารีไวคงจะวิ่งหาไปจนทั่ว

ร่างแข็งแกร่งย่างสามขุมเข้ามาก่อนที่นัยน์ตาจะผงะไปเมื่อเห็นว่าเรื่องทั้งหมดนี้มันเกิดขึ้นเพราะใครกันแน่...แค่รู้ว่าตัวเองเป็นคนลากเดลให้มาเกี่ยวข้องด้วยสันกรามก็กัดกันกรอดๆแล้ว ยิ่งนัยน์ตาสีขี้เถ้าเหลือบมาเห็นเลือดที่ต้นแขนของเด็กในปกครองเข้า.....


เคร้ง....


เสียงท่อแป๊บเหล็กกลิ้งกระทบพื้นก้องกังวานก่อนที่ปลายเท้าจะดีดมันขึ้นมา นัยน์ตาสีขี้เถ้าจ้องเขม็งไปที่กลุ่มคนตรงหน้าอย่างไม่คิดจะเจรจาต่อรองใดๆทั้งสิ้น...และยามที่ราชาฟิวส์ขาดขึ้นมา...แม้แต่โกคุเดระ ฮายาโตะ ก็ห้ามไม่อยู่!

“ รีไว! อย่า!!”   ร่างบอบบางตะโกนห้ามเพราะการมีเรื่องในช่วงเวลาแบบนี้ไม่เป็นผลดีแน่...ถ้าเกิดพวกเฟอร์รารี่เกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา.......


โครม!!


แต่ดูท่าว่านัยน์ตาของมัจจุราชจะมองไม่เห็นสิ่งใดนอกจากความตายอีก...

ร่างแข็งแกร่งเตะคนที่วิ่งเข้าไปหาจนแทบจะปลิวไปกระแทกผนัง ท่อแป๊บหวดกวาดอย่างไม่เลือกหน้าว่าใครจะพุ่งเข้าไป เลือดสาดกระจายจนไม่รู้ว่าของใครเป็นของใครส่งให้โกดังเน่าๆยิ่งส่งกลิ่นคละคลุ้งจนสุดจะทน ใบหน้าสวยที่ได้แต่กัดฟันมองสะบัดหน้าอย่างเจ็บใจ...มาถึงขั้นนี้แล้วคงช่วยไม่ได้....ร่างบอบบางจึงวิ่งตรงไปหาตัวประกันที่ถูกจับไว้ก่อนจะแก้มัดให้คนที่ได้แต่นั่งปิดหูปิดตาตัวสั่นงันงก


ปัง!!


กระสุนดังขึ้นมาอีกนัดแต่มันไม่ได้ช่วยอะไรไอ้พวกนั้นนอกจากจะทำให้รีไวหาตัวคนยิงได้ง่ายขึ้น ร่างแข็งแกร่งก้มหลบก่อนจะจ้องเขม็งไปที่ปากกระบอกปืน ร่างทั้งร่างหมุนตัวให้ฝ่าเท้าที่ทั้งหนักหน่วงและรวดเร็วเตะเข้าไปที่ก้านคอจนคนยิงแทบสลบ มือแข็งแรงคว้าปืนเอามาได้....และเพราะแบบนั้น...มันเลยทำให้ไอ้พวกอันธพาลชั้นต่ำที่ยังพอจะยืนไหวอยู่ไม่กี่คนถึงกับแตกกระจาย


ปัง....ปัง....ปัง.....


และมัจจุราช...ก็ไม่ปล่อยให้ใครหนีไปได้แม้แต่คนเดียว

ยกเว้นก็แต่ตัวต้นเรื่องที่หนีไปนานแล้ว...

หนีไปตั้งแต่ที่เห็นว่าโกคุเดระ ฮายาโตะถูกยิง...เพราะรู้ดียิ่งกว่าใครว่าถ้ายังอยู่ รีไวจะไม่ปล่อยตนไว้แน่....


เงาดำทะมึนของคนที่มีปืนอยู่ในมือเดินช้าๆเข้าไปหาคนยิงที่นอนหายใจรวยรินอยู่ที่พื้น ปากกระบอกปืนจ่ออยู่ที่แขนของชายคนนั้น

“ แกใช่ไหม...คนที่ยิงแขนหมอนั่น...”


ปัง!


แต่ยังไม่ทันจะได้ฟังคำตอบ เสียงปืนก็ดังลั่นให้อีกฝ่ายได้แต่ร้องครวญครางแทนคำรับสารภาพ

“ อ๊ากกกกกกกกกก”   ใบหน้านิ่งเฉยที่เหยียดมองอีกฝ่ายทั้งๆที่มีหยดเลือดกระจายอยู่เต็มหน้าทำให้ร่างบอบบางรู้สึกหวั่นใจขึ้นมา ใบหน้าสวยหันไปมองเดลที่เบิกตากว้างมองภาพตรงหน้า...หมอนี่เองคงไม่เคยเห็นรีไวในโหมดที่โหดเหี้ยมแบบนี้มาก่อนสินะ

และถึงแม้ดวงตาอำมหิตจะจับจ้องอยู่ที่เหยื่อแต่มือกลับหันปืนไปยิงใส่ใครบางคนที่ลุกไหวและพยายามจะเงื้อไม้หน้าสามจนล้มลงไปอย่างที่คงจะไม่สามารถลุกขึ้นมาได้อีกตลอดชีวิต

ใบหน้านิ่งหันกลับมามองคนที่ตัวเองยืนคร่อมอยู่ แขนที่ถูกยิงพยายามกระเสือกกระสนหนีมีแต่จะยิ่งทำให้ดูน่าสมเพช...และมัจจุราชก็ยังไร้ความปรานีเช่นเดิม

“ อั่ก!!”   ฝ่าเท้ากระทืบลงไปกลางแผ่นหลังจนอีกฝ่ายได้แต่กองอยู่ที่พื้น ปากกระบอกปืนจ่อลงไปที่หัว นัยน์ตาสีขี้เถ้ายังคงมองภาพตรงหน้าอย่างไม่มีสั่นไหวแม้แต่นิดเดียว


ปัง!


ทุกสรรพเสียงเงียบไปหลังจากที่เสียงปืนนัดสุดท้ายดังขึ้นมา สีแห่งชีวิตฉาบทาอยู่ทั่วพื้นโกดังแต่คนทำกลับไม่ได้รู้สึกอะไร นัยน์ตาสีขี้เถ้าที่ไม่สะท้อนเงาสิ่งใดเหยียดมองกองซากศพที่กระจายเกลื่อนกลาด ถึงขยะสังคมมันจะตายไปซักสิบยี่สิบคนก็คงไม่มีใครสนใจหรอก สงสารก็แต่คนเก็บขยะที่ต้องขนศพพวกมันไปทิ้ง

“ พ่อ!!”   เสียงเล็กๆของเด็กชายตะโกนเรียกพ่อของตัวเองจากที่ประตูโกดัง เด็กชายวิ่งเข้ามาหาก่อนจะโผเข้าไปกอดคนที่ยังกลัวจนลุกไม่ขึ้น เสียงเรียกพ่อดังอย่างต่อเนื่องทั้งๆที่ยังร้องไห้สะอึกสะอื้น

ภาพของสองพ่อลูกที่ถูกลากเข้ามาเกี่ยวด้วยโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่ทำเอาสองคนที่ยืนมองอยู่รู้สึกปวดใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

ร่างบอบบางตั้งใจจะลูบหัวเด็กชายเพื่อช่วยปลอบใจแต่สายตาของเดลที่มองสวนกลับมากลับทำให้มือบางถึงกับชะงัก ยิ่งนัยน์ตาที่สั่นไหวนั่นมองเห็นรีไวที่เพิ่งฆ่าคนไปต่อหน้าต่อตาก็ยิ่งหวาดผวา

ต่อให้เป็นคนที่รู้จักกันแต่ถ้าต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้ก็คงจะกลัวเป็นธรรมดา...ร่างแข็งแกร่งได้แต่ยืนมองด้วยสายตาเจ็บปวด....จากนี้ไป...ทั้งสองพ่อลูกคงจะไม่กล้าเข้าใกล้พวกเขาอีก...

แต่ก็ดีแล้วละ....เพราะอย่างน้อยก็จะปลอดภัย...


เงินปึกหนึ่งถูกยัดใส่มือลูกชายของเดล

“ ออกไปจากที่นี่ซะ...เงินนั่นมากพอที่พวกนายจะเปิดอู่เล็กๆที่ไหนสักแห่งที่ไม่ใช่ที่นี่ได้แน่ๆ”   เสียงทุ้มเอ่ยบอกสองพ่อลูกก่อนจะเรียกให้ร่างบอบบางเดินตามไป

ใบหน้าคมเงยมองท้องฟ้ากว้างอย่างไม่คิดจะหันหลังกลับไปอีก....

จะทิ้งอดีตที่ดำมืดไว้เบื้องหลัง...

ทั้งๆที่รู้...ว่าต่อให้ล้างยังไง...สองมือนี้ก็ไม่มีวันจะสะอาดไปได้


ปีกของซาตาน....ยังไงก็ต้องเป็นสีดำอยู่วันยังค่ำ










ถึงแม้ว่ามิลานจะเป็นเมืองที่ไม่เคยหลับใหลแต่ดึกดื่นเที่ยงคืนขนาดนี้จากที่เคยมีผู้คนพลุกพล่านมหาวิหารแห่งมิลานจึงตั้งตระหง่านอยู่ตามลำพัง  ลานด้านหน้าที่เคยมีผู้คนหนาตากลับแทบจะไม่มีใครเหลืออยู่อีก แต่ถึงแบบนั้นร่างสูงใหญ่ก็ยังคงนั่งรออย่างใจเย็นอยู่ภายในรถ

นัยน์ตาสีฟ้าเหลือบมองนาฬิกาเป็นระยะๆ....เลยเวลานัดมานานแล้วแต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าสองคนนั่นจะโผล่มา

หรือว่าเขาจะคิดผิดกันนะ...ที่จะฝากอนาคตของเฟอร์รารี่เอาไว้กับคนที่มาจากที่แบบนั้น

ทางด้านฝีมือเขาไม่เถียง แต่ถ้านิสัยใจคอจะมีปัญหากับทีมก็คงต้องมีการพิจารณากันใหม่...

แล้วในขณะที่กำลังจะถอดใจ...เงาร่างของคนที่เฝ้ารอมาหลายชั่วโมงก็วิ่งออกมาจากหัวถนนและเมื่อทั้งสองคนมายืนหอบอยู่ข้างๆรถ...เขาถึงได้เห็นว่าบนใบหน้าภายใต้กรอบผมสีดำมีรอยเลือดติดอยู่...

ไปมีเรื่องมาหรือไง?

ทั้งๆที่เป็นช่วงเวลาสำคัญที่จะมีผลต่ออนาคตของตัวเองแบบนี้เนี่ยนะ?

ใจหนึ่งก็คิดว่าจะไหวไหมนะกับปัญหาส่วนตัวของสองคนนี้...แต่อีกใจหนึ่งกลับอยากที่จะลองเสี่ยงดู....เพราะหากใช้ประโยชน์จากความใจถึงของรีไวได้เมื่อไหร่...เฟอร์รารี่อาจจะไปได้อีกไกลเลยก็ได้

“ ขึ้นมาบนรถก่อน”   ทีมบอสของเฟอร์รารี่เปิดกระจกเรียกว่าที่นักขับของตนให้ขึ้นรถ กระดาษทิชชู่ถูกโยนไปให้ก่อนที่น้ำเสียงจริงจังจะเอ่ยออกไป

“ เช็ดเลือดบนหน้าของนายซะ....แล้วจากนี้ไปก็อย่าให้ใครเห็น...ว่ามันมีเลือดเลอะอยู่บนใบหน้าของพวกนายอีก”   มือที่ยังมีคราบเขม่าดินปืนรับห่อกระดาษทิชชูมาก่อนที่นัยน์ตาสีขี้เถ้าจะจับจ้องไปที่ใบหน้าของคนที่เขากำลังจะเอาชีวิตไปฝากไว้....ผู้ชายคนนี้ไม่ได้หวาดหวั่นต่อสิ่งที่เขาทำลงไป...ไม่คิดจะถอยหนีเหมือนใครๆที่รู้ว่าเขาเป็นใครและมาจากที่แบบไหน....ไม่ได้บอกให้กลับตัวกลับใจเป็นเด็กดี ไม่ได้บอกว่าห้ามไปมีเรื่องอีก...เพียงแต่...อย่าให้เดือดร้อนมาถึงเฟอร์รารี่แบบนั้นสินะ...

พวกเขาคงจะเชื่อใจผู้ชายที่ชื่อ เอลวิน สมิธ คนนี้ได้ใช่ไหม....

“ เอาละ....ไปบ้านใหม่ของพวกนายกันดีกว่า...”   แล้วรถก็ค่อยๆเคลื่อนตัวออกไปช้าๆถึงจะไม่ได้รู้สึกผูกพันอะไรแต่ที่นี่ก็คือที่ที่หล่อหลอมให้เขามีวันนี้ได้

ภาพของมหาวิหารแห่งมิลานถูกทิ้งเอาไว้ข้างหลัง...ต่อให้แทบจะไม่มีความทรงจำดีๆอะไร...แต่ภาพสุดท้ายที่มองผ่านสายตาของราชาแห่งโลกใต้ดินกลับรู้สึกว่า...คืนนี้ Duomo di Milano ช่างงดงามเสียเหลือเกิน...



















ฝ่าเท้าสองคู่เหยียบย่ำไปตามพื้นถนนเฉอะแฉะด้วยความรีบร้อน ใบหน้าเหนื่อยล้าที่ไม่มีเวลาแม้แต่จะหอบหายใจหันไปมองข้างหลังอย่างภาวนาว่าอีกฝ่ายจะตามมาไม่ทัน



ต้องฆ่า...ต้องฆ่าให้หมด....

คนทรยศต้องไม่มีสิทธิ์หายใจ....



แต่คำพูดที่ลอยมากับจิตสังหารทำให้คนที่กำลังวิ่งหนีกลับไม่ได้รู้สึกเลยว่าอยู่ห่างจากฝ่ายตามล่าทั้งๆที่ไม่เห็นแม้แต่เงา ความกดดันจากไออำมหิตที่ไม่รู้ว่าแผ่มาจากที่ไหนทำให้ขาทั้งสองคู่ราวกับกำลังวิ่งอยู่ในความมืด

ต่อให้วิ่งแค่ไหนมันกลับไม่ได้รู้สึกเลยว่าจะสามารถหลุดพ้นออกไปจากเงื้อมมือของปิศาจร้ายตนนี้ได้ แต่พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากวิ่งต่อไปเท่านั้น

เพราะนี่มันไม่ใช่การละเล่นของพวกอันธพาลข้างถนน....แต่มันคือการตามล่าของมาเฟีย

ถ้าถูกจับได้มีแต่คำว่าตายกับตายเท่านั้น



ร่างสูงใหญ่ในสูทสีดำสนิทเดินทอดน่องสบายใจตรงเข้าไปในตรอกสกปรก น้ำเฉอะแฉะที่ฉาบอยู่ทั่วพื้นสะท้อนเงาหน้าคมคายที่มีรอยยิ้มน้อยๆซึ่งดูจะไม่เข้ากับดาบที่พาดอยู่บนบ่าเลยสักนิด  ถึงดาบญี่ปุ่นเล่มนั้นจะยังอยู่ในฝักแต่ไอแห่งความตายที่ปกคุลมมันอยู่ก็ทำให้รู้ว่ามันคงถูกชโลมด้วยเลือดมาไม่ใช่น้อย

สองขายังคงก้าวเดินต่อไปอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรถึงแม้ว่าสิ่งที่กำลังจะไปทำคือการฆ่าคนก็ตาม

นัยน์ตาสีเปลือกไม้เหลือบมองท้องฟ้าที่มืดมิด...บอกตามตรงว่าเขาก็ไม่เคยคิดเหมือนกันว่าตัวเองจะด้านชาต่อสิ่งรอบกายได้ขนาดนี้...ทั้งๆที่เมื่อก่อนเขาก็เคยเป็นแค่เด็กผู้ชายที่มีความฝันธรรมดาๆคนหนึ่ง เคยมีเพื่อน เคยมีครอบครัว เคยมีหัวใจ...

แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปหลังจากที่ก้าวขาเข้ามาในวงการที่มีแต่กลิ่นคาวเลือดแห่งนี้เพียงเพราะปล่อยเพื่อนสนิทให้ต้องมาเผชิญกับมันตามลำพังไม่ได้ แล้วเขาก็ได้เรียนรู้ด้วยบทเรียนราคาแพงว่าวงการนี้ไม่มีที่ให้ถอยหลัง ไม่มีคำว่าปรานี

หากอยากจะยืนหยัดอยู่ได้ก็ต้องยิ่งใหญ่คับฟ้า...หากไม่เป็นฝ่ายฆ่าก็จะตายด้วยน้ำมือคนอื่น...

ความใจอ่อนของเด็กหนุ่มที่ยังอ่อนต่อโลกช่วยสอนพวกเขาทันทีหลังจากที่ขึ้นเป็นผู้นำของวองโกเล่ได้ไม่นาน....เพียงเพราะความสงสารที่ยอมปล่อยคนทรยศไปมันกลับมาแว้งกัดให้พวกเขาแทบจะเอาตัวไม่รอด

เขาสูญเสียครอบครัวและไม่มีบ้านให้กลับอีกต่อไปเพราะเหตุการณ์ครั้งนั้น....


และมันจะไม่มีอีกแล้ว ยามาโมโตะ ทาเคชิ ที่มีหัวใจ....



ดาบที่พาดอยู่บนบ่าถูกยื่นออกไปตรงหน้าก่อนที่ประกายคมกล้าจะค่อยๆสะท้อนแสงจันทร์เมื่อมันค่อยๆถูกชักออกมาจากฝัก...ปล่อยให้วิ่งเล่นมาพอควรละถึงเวลาจัดการให้มันจบๆไปเสียที

นัยน์ตาสีเปลือกไม้ทอดมองเข้าไปในความมืด เสียงฝีเท้าที่วิ่งเข้ามาหาถึงกับชะงักค้างไปเมื่อมองเห็นว่าร่างสูงใหญ่ยืนรออยู่ที่ปากทาง...ทั้งๆที่วิ่งหนีมาขนาดนั้นแต่มันกลับเป็นเพียงแค่การวิ่งอยู่บนฝ่ามือ!

ร่างทั้งสองถึงกับทรุดลงอย่างหมดแรง จะหันหลังกลับก็คงจะไม่พ้นดาบอำมหิตเล่มนั้นแน่ๆ

ใบหน้าคมก้มมองสองสามีภรรยาด้วยดวงตามืดมน....สองคนนี้เป็นสายที่ปลอมตัวเข้ามาอยู่ในแฟมมิลี่ของเขาเพื่อคอยล้วงข้อมูลต่างๆของวองโกเล่ไปให้แฟมมิลี่ที่ไม่ประสงค์ดีกับพวกเขา

หึ...ถ้ากล้าที่จะยื่นขาเข้ามาทำเรื่องแบบนั้น ก็ต้องกล้าที่จะตายด้วยสินะ...


“ นี่...ขอร้องละ...พวกเรามีลูกเล็กๆรออยู่..ปล่อยเราไปเถอะนะ...”   ดูเหมือนจะจนตรอกแล้วจริงๆ ชายหญิงตรงหน้าจึงยอมก้มหัวเพื่อร้องขอชีวิต

“ ลูก?...อ่า...งั้นหรอๆ...ฮะฮะฮะ”   ใบหน้าคมเงยขึ้นไปยิ้มกับท้องฟ้าสีดำ เสียงหัวเราะราวกับคนวิปริตทำให้สองสามีภรรยาถึงกับจับมือกันแน่น...ไม่ได้ผล...ใช้ความน่าสงสารกับปิศาจร้ายตนนี้ไม่ได้เลยจริงๆ


ฉั๊วะ!!


“ อ๊ากกกกก!!!”    คมมีดที่กรีดลงมากลางลำตัวนั้นช่างบางเฉียบและแผ่วเบา แต่มันกลับเข้าลึกไปจนถึงตับไตและใส้พุงจนฝ่ายสามีร้องโหยหวนก่อนจะโงนเงนล้มลงไปในกองเลือด

“ กะ แก๊!!!”  ฝ่ายภรรยายจึงหยิบมีดขึ้นมากระโจนเข้าใส่ร่างสูงใหญ่อย่างไม่กลัวแล้วซึ่งความตาย

“ อั่ก!!”   แต่ร่างได้สัดส่วนกลับถูกถีบกระเด็นจนกระแทกกำแพงอย่างไร้ความปรานี เงาดำทะมึนที่ถือดาบย่างสามขุมเข้ามาให้ความรู้สึกน่ากลัวจนขยับไม่ได้  จิตสังหารมหาศาลไม่ได้ลดลงเลยแม้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าจะเป็นผู้หญิง

“ ลูก....ฮะ ฮะ ฮะ...ชั้นอนุญาติ!”   เสียงหัวเราะในลำคอกับคำพูดที่ดูเหมือนคนเสียสติทำให้หญิงสาวยิ้มด้วยริมฝีปากสั่นๆเพราะคิดว่าคนตรงหน้าจะยอมปล่อยเธอไป

“ ชั้นอนุญาติ....ให้มันมาแก้แค้นชั้นได้เท่าที่ต้องการ!”   แต่แล้วประโยคถัดมากลับฉุดให้เธอดำดิ่งลงสู่นรกอีกครั้ง...

“ กะ...แก....แกมันไอ้คนไม่มีหัวใจ!! ชั้นขอสาปแช่งแก! ถ้าแกรักใครก็ขอให้มันตายโหง! ขอหะ........”


ฉั๊วะ!


ช่างเป็นคำสาปแช่งที่หอมหวานจริงๆ...

แต่เสียงสาปแช่งก็ขาดหายไปเพราะเจ้าของมันไร้ลมหายใจไปแล้ว ร่างในชุดรัดรูปสีดำล้มทับลงไปบนศพของสามี....ก็นับว่าเขายังปรานีที่ปล่อยให้ตายในดาบเดียว


คนไม่มีหัวใจงั้นหรอ?


หึ....ถ้าต้องเจอเรื่องที่เขาเคยเจอมาแล้วจะรู้ว่า....


หัวใจมันไม่จำเป็น....






“ สึนะ...เรียบร้อยแล้วละ จะกลับวองโกเล่คืนนี้เลย”   เสียงทุ้มเยือกเย็นกรอกลงไปในโทรศัพท์มือถือ

“ เดี๋ยวก่อนยามาโมโตะ...ฝากไปเอาเอกสารที่คุณดีโน่ให้ที นายน่าจะอยู่แถวนั้นพอดี?”  เสียงของคนที่เป็นทั้งบอสทั้งเพื่อนสนิทดูร้อนลนนิดๆดังมาจากปลายสาย...ไปทำอะไรให้เจ้าฮิบาริโมโหอีกหรือไงนะ ฮะฮะ

“ ได้สิ เดี๋ยวแวะคาบัคโรเน่ก่อนกลับก็แล้วกัน งั้นแค่นี้นะ”  โทรศัพท์มือถือถูกเสียบลงไปในอกเสื้อสูทสีดำ ก่อนที่ดาบในมือจะถูกสะบัดจนโลหิตซึ่งชโลมอยู่สาดซัดไปบนผนังตึกแทน  ประกายคมกล้าถูกเก็บลงฝักก่อนที่ร่างสูงใหญ่จะเดินฮัมเพลงจากไป

ใบหน้าคมเงยมองจันทราพลางนึกถึงที่ที่กำลังจะไป


ไม่ได้ไปเสียนานเลยน้า.........มาราเนลโล่....




















“ ยินดีต้อนรับสู่...มาราเนลโล่...”    เสียงทุ้มเอ่ยออกมาจากใบหน้าภายใต้กรอบผมสีทองซึ่งเป็นคนขับรถมาทั้งคืน เพราะถึงจะเป็นทีมบอสของเฟอร์รารี่แต่เอลวิน สมิธก็ไม่ใช่คนที่จะขับรถเร็ว จากมิลานจึงมาถึงมาราเนลโล่ตอนที่พระอาทิตย์โผล่ขึ้นมาเยือนท้องฟ้าพอดีๆ

แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่สมกับการเริ่มต้นชีวิตใหม่จริงๆ...

“ โฮ่ย...ฮายาโตะ...ตื่น”   ใบหน้านิ่งของว่าที่นักขับคนใหม่ของเฟอร์รารี่หันกลับไปเรียกเด็กในปกครองที่นอนขดตัวยึดเบาะหลังทั้งหมดเอาไว้คนเดียว เสียงอืออาดังออกมาจากริมฝีปากสีระเรื่อก่อนที่ร่างบอบบางจะลุกขึ้นมานั่งขยี้ตาด้วยความงัวเงีย  นัยน์ตาสีฟ้าเหลือบไปมองภาพนั้นผ่านกระจกมองหลังก่อนที่จะถามออกไปเพราะมันคงจะเป็นสิ่งที่ทีมบอสอย่างเขาต้องรู้

“ พวกนายสองคนเกี่ยวข้องกันยังไง? เด็กนั่นเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่นหรอ?”  ร่างสูงใหญ่เบือนหน้าจากถนนไปหาคนข้างๆอย่างต้องการคำตอบ  ถึงแม้ว่ากับนักขับคนอื่นเขาจะไม่ได้เข้าไปยุ่งในเรื่องส่วนตัวแต่ดูท่าว่ากับสองคนนี้เขาคงต้องเข้าไปจัดการอะไรหลายๆอย่างให้ เพราะอีกฝ่ายคงไม่เคยชินกับการออกมาใช้ชีวิตอยู่ในโลกของคนปกติที่ต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย 

เสียงทุ้มติดจะรำคาญนิดๆค่อยๆเล่าให้ฟังโดยทีมบอสของเฟอร์รารี่พยักหน้ารับเป็นระยะๆ ในหัวสีทองกำลังกลั่นกรองความคิด เพราะจากสิ่งที่ได้ฟังคงมีหลายอย่างที่เขาต้องจัดการ ทั้งเรื่องของที่อยู่ ทั้งเรื่องของสื่อที่คงจะให้ความสนใจกันไม่น้อยแน่ๆ



รถที่วิ่งมาทั้งคืนจอดพักอยู่หน้าร้านสะดวกซื้อในจุดพักรถ

เอลวิน สมิธกำลังเติมลมยาง ส่วนเจ้าเด็กในปกครองก็กำลังนั่งกัดแฮมเบอร์เกอร์พลางเหม่อมองทิวทัศน์อันสวยงามของมาราเนลโล่  ร่างแข็งแกร่งจึงตั้งใจจะเดินไปล้างหน้าล้างตาที่ห้องน้ำ แต่แล้วเสียงทะเลาะของอะไรบางอย่างทำให้ต้องชะโงกหน้าไปดู

ที่บอกว่ามันเป็นเสียงทะเลาะของอะไรบางอย่างเพราะว่าคู่ต่อสู้ที่เขามองเห็นนั้นฝ่ายหนึ่งเป็นสัตว์สี่ขาขนฟูตัวไม่ใหญ่ไม่เล็กกำลังขู่กรรโชกทั้งๆที่มีรถของเล่นคาอยู่ในปาก กับอีกฝ่ายที่เป็นเด็กผู้ชายน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับเจ้าฮายาโตะกำลังแยกเขี้ยวด่าพลางยื้อแย่งรถของเล่นคันนั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย

อะไรน่ะ?

ลูกหมากัดกัน?

ใบหน้าคมเผลอถอนหายใจ ทำไมถึงได้รู้สึกว่าทนดูต่อไปไม่ไหวแล้วยังไงก็ไม่รู้ ร่างแข็งแกร่งจึงเดินเข้าไปก่อนจะหิ้วคอเจ้าหมาขนฟูนั่นขึ้นมาและพอมันเห็นหน้าเขาจากที่เมื่อกี้ยังดูดุร้ายกลับหูลู่หางตกทันที รถของเล่นถูกดึงออกมาจากปากของมันอย่างง่ายดาย น้ำลายที่ไหลยืดทำให้เขารีบส่งรถนั่นให้เจ้าเด็กหัวสีน้ำตาลอย่างขยะแขยงน้อยๆ...สกปรกจริงๆให้ตายเถอะ...

“ ขอบคุณมากนะครับ!”   แต่เจ้าเด็กนั่นกลับรับรถของเล่นคืนไปด้วยใบหน้าดีใจ  คำขอบคุณที่ส่งออกมาจากใบหน้ามนที่มีดวงตาสุกใสสวยงามสมกับที่มันมีสีราวกับอัญมณีทำให้ใบหน้าของเขาร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว

ร่างโปร่งบางโค้งให้ก่อนจะวิ่งกลับไปที่รถซึ่งจอดรออยู่และก่อนที่เด็กนั่นจะก้าวขาเข้าไปก็ยังไม่วายหันมาโบกมือให้เขาอีก

มือข้างหนึ่งถูกยกขึ้นมาปิดริมฝีปากก่อนจะเสหน้าไปทางอื่น คงเป็นเพราะเพิ่งเคยมีคนขอบคุณเขาด้วยรอยยิ้มแบบนี้ละมั้งถึงได้ทำให้รู้สึกประหม่า...ขอบคุณ...ทั้งๆที่เรื่องที่ทำให้ช่างเล็กน้อยจนไม่คิดว่าจะได้รับคำขอบคุณด้วยซ้ำ....

นัยน์ตาสีขี้เถ้าลอบมองจนกระทั่งรถคันนั้นเคลื่อนที่ออกไป รถบรรทุกคอนเทนเนอร์ที่จอดอยู่ข้างๆกันวิ่งตามรถคันนั้นไปด้วย....เด็กนั่นก็กำลังย้ายมาอยู่ที่มาราเนลโล่เหมือนกันงั้นหรอ?

ร่างแข็งแกร่งสะบัดหน้าสองสามทีก่อนที่จะเดินเข้าห้องน้ำไป....อาจจะเดินสวนกันที่ไหนสักแห่งในมาราเนลโล่อีกก็ได้เพราะมันก็เป็นแค่เมืองเล็กๆ แต่ถึงจะคิดแบบนั้น...เขากลับไม่เคยคิดเลยว่าอีกสามปีให้หลัง...พวกเราจะมาพบกันอีกครั้งในฐานะคนรัก...







ยิ่งเข้าสู่เขตเมืองมากขึ้นเท่าไหร่ สัญลักษณ์ม้าพยศก็ยิ่งมีให้เห็นหนาตามากขึ้นเท่านั้น เพราะนอกจากส่วนอยู่อาศัยและย่านร้านค้าในใจกลางเมืองแล้ว พื้นที่ที่เหลือก็ราวกับจะเป็นของเฟอร์รารี่แทบทั้งสิ้น

ไม่ว่าจะกลุ่มอาคารยาวเหยียดกินพื้นที่มหาศาลซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงงานผลิตรถยนต์ เฮดออฟฟิศที่ติดคำว่าเฟอร์รารี่อยู่ด้านหน้าซึ่งเป็นส่วนสำนักงานและเป็นสถาบันวิจัยพัฒนารถซึ่งรวมกันอยู่ทั้งเฟอร์รารี่ที่เป็นรถธรรมดากับสครูเดอเลียเฟอร์รารี่ที่เป็นรถสูตรหนึ่ง  มีแม้แต่พิพิธภัณฑ์และอนุสาวรีย์ที่เป็นรูปปั้นม้าสัญลักษณ์ของเฟอร์รารี่

นัยน์ตาของคนที่เพิ่งเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรกมองรูปปั้นม้าที่ทำมาจากโลหะสีเงินด้วยความรู้สึกทึ่งเล็กๆ เพราะไม่คิดมาก่อนว่ามาราเนลโล่จะเป็นเมืองของเฟอร์รารี่ขนาดนี้

รถแล่นผ่านหน้าสำนักงานใหญ่ของเฟอร์รารี่ไปพอสมควรก่อนที่จะเลี้ยวเข้าไปในสนามส่วนตัวที่กำลังมีรถรุ่นใหม่วิ่งทดสอบอยู่ไกลๆ ถึงจะไม่ใช่ฟอร์มูล่าวันแต่เสียงของมันก็ทำให้รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก

“ โกคุเดระ นั่งรออยู่ตรงนี้ก่อนแล้วกัน ชั้นคงต้องพารีไวไปจัดการเรื่องเอกสารสัญญาต่างๆที่เฮดออฟฟิศ พอดีที่นั่นมีส่วนที่คนนอกห้ามเข้าอยู่น่ะ”   ทีมบอสพาว่าที่นักขับคนใหม่และเด็กในปกครองมาหยุดอยู่ที่ห้องพักแขกซึ่งอยู่ติดกับพิตการาจ ใบหน้าสวยพยักหน้าน้อยๆก่อนจะนั่งรอที่โซฟาอย่างว่าง่าย

“ ตอนนี้นายยังเป็นแค่นักขับสำรอง ยังมีเวลาฝึกไปจนถึงปีหน้าที่นักขับตัวจริงของเราจะหมดสัญญา เอาละ ไปกันเถอะ”   ร่างสูงใหญ่หันไปพูดกับว่าที่นักขับของตนก่อนจะพากันกลับไปที่รถอีกครั้ง ร่างบอบบางนั่งมองรถแล่นออกไปผ่านหน้าต่างกระจกก่อนจะหันกลับมาเมื่อได้ยินเสียงของใครบางคนเปิดประตูเข้ามา

“ อ๊ะ!! มาถึงแล้วหรอ? เธอคือนักขับคนใหม่ที่เอลวินจะพามาทดสอบใช่ไหม? แล้วเอลวินไปไหนแล้วล่ะ? ว่าแต่มาถึงนานรึยัง? อ๊า!! ทำไมเจ้าเอลวินบ้าไม่ไปเรียกชั้นล่ะ?!”   น้ำเสียงตื่นเต้นจนดูโอเว่อร์ถามออกมาเป็นชุดจนใบหน้าสวยได้แต่อึ้งไปเพราะไม่รู้จะตอบคำถามไหนก่อนดี...ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผู้หญิงใส่แว่นหัวกระเซิงตรงหน้านี้เป็นใคร รู้แค่ว่าคงจะเป็นคนของเฟอร์รารี่เพราะว่าใส่ชุดสีแดงเหมือนคนอื่นๆที่เดินกันอยู่ทั่วอาคาร

“ เอ่อ....ไม่ใช่...คือ...เอลวินไปเฮดออฟฟิศ”   เพราะปกติก็ไม่ค่อยจะได้พูดได้จากับใครอยู่แล้วเพราะงั้นสกิลการพูดคุยกับคนแปลกหน้าจึงเป็นศูนย์ ร่างบอบบางตั้งใจจะปฏิเสธว่าตนไม่ใช่นักขับคนใหม่แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ทันอีกฝ่ายที่มีความไฮเปอร์นำหน้า

“ งั้นหรอๆ ชั้นชื่อฮันซี่ เป็นวิศวกรที่คอยดูแลและพัฒนารถฟอร์มูล่าวันให้พวกเธอไง เอ้า! เข้าไปข้างในกันเถอะ! สงสัยเจ้าเอลวินถูกพวกตาแก่ผู้บริหารเรียกไปพบ ช่างหัวมันแล้วกัน พวกเราจะทดสอบเธอเองนะ...อ๊า!!! ตื่นเต้นๆ อยากจะเห็นจังน้าว่าเธอขับรถยังไง มานี่สิ ก่อนอื่นก็ต้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่ว่าเธอนี่ตัวเล็กจัง แต่คนสมัยนี้ก็ดูแค่ภายนอกไม่ได้ซะด้วยนะ ฯลฯ”   วิศวกรสาวประจำพิตการาจสีแดงยังคงพูดไม่หยุดและไม่ได้ฟังอีกคนที่พยายามจะปฏิเสธเลยแม้แต่นิดเดียว ริมฝีปากสีระเรื่อได้แต่อ้าพะงาบๆอย่างทำอะไรไม่ได้ จะเถียงก็ไม่ทัน จึงโดนลากเข้าไปข้างในด้วยความมึนงง

ชุดหมีสีแดงที่มีโลโก้ของเฟอร์รารี่ถูกยัดใส่ลงมาในมือ นัยน์ตาสีมรกตได้แต่มองมันอย่างไม่รู้จะทำยังไง...ก็แค่อยากจะบอกว่าตนไม่ใช่ แต่ดูเหมือนผู้หญิงใส่แว่นตรงหน้าจะคิดไปถึงไหนต่อไหนไปแล้ว

“ ใส่เป็นไหม? มา เดี๋ยวชั้นช่วย”   ริมฝีปากสีระเรื่อยังคงเอ่ยออกไปได้แค่คำว่า...ไม่..เอ่อ...คือว่า...

จนแล้วจนรอด...ประโยคปฏิเสธก็ยังเอ่ยได้ไม่จบสักทีทั้งๆที่ตอนนี้ร่างบอบบางจับพลัดจับผลูมาอยู่ในชุดนักขับของเฟอร์รารี่เรียบร้อยแล้ว....

ถนนที่ทอดยาวเข้าไปในทุ่งหญ้าสีเขียวทำให้ใบหน้าสวยหยุดคิดเรื่องที่จะปฏิเสธไปชั่วครู่ สนามแข่งที่เรียกได้ว่าสนามจริงๆนั้นมันมีมนต์เสน่ห์จนละสายตาจากไปไม่ได้เลยจริงๆ...ยิ่งได้ฟังเสียงทุ้มต่ำของเครื่องยนต์ในระยะใกล้ๆแบบนี้ก็ยิ่งรู้สึกหลงใหลอย่างบอกไม่ถูก

“ เห็นเอลวินบอกว่าเธอไม่เคยขับพวกรถแข่งจริงๆแบบนี้มาก่อนเลยใช่ไหมล่า มันไม่ได้ง่ายเหมือนรถทั่วไปหรอกนะ เพราะเจ้าฟอร์มูล่าวันนี่คือรถที่ขับยากที่สุดในโลกยังไงล่ะ ฮ่าๆๆ มันไม่ได้มีแค่ล้อสี่ล้อวิ่งไปบนถนน แต่มันยังมีปีกหน้าปีกหลังและอะไรอีกมากมาย...มา...ชั้นจะบอกให้ว่าพวงมาลัยที่มีปุ่มเหมือนของเล่นนี่ทำอะไรได้บ้าง เธอคงต้องเรียนรู้มันอีกเยอะเลยละ ฮ่าๆๆๆๆ....แต่เอาแบบที่จะใช้ขับจริงสำหรับทดสอบเบื้องต้นก่อนก็แล้วกันนะ...เอ...อะไรก่อนดีน้า...ปรับบาลานซ์เบรกเพื่อเข้าโค้งก่อนดี หรือว่าปรับปีกก่อนดี...อ้า...ชั้นชักจะสนุกขึ้นมาแล้วสิ ฮ่าๆๆๆ”  วิศวกรสาวยังคงร่ายยาวต่อไปและร่างบอบบางเองก็รู้สึกท้อที่จะปฏิเสธ ใบหน้าสวยจึงจับจ้องไปที่พวงมาลัยที่ดูต่างจากพวงมาลัยรถทั่วไปโดยสิ้นเชิงเพราะมันไม่ได้อยู่ติดกับตัวรถแต่ถอดเอาไปไหนมาไหนด้วยก็ได้ แถมปุ่มมากมายที่อยู่บนนั้นคนขับยังต้องเป็นคนปรับมันเองเพื่อให้รถวิ่งได้เร็วยิ่งกว่าใครอีกต่างหาก.....ดูน่าสนุกจัง....

หลังจากที่พยายามเรียนรู้พื้นฐานเบื้องต้นของการใช้พวงมาลัย ร่างบอบบางก็ถูกพาไปพบกับ F60รถฟอร์มูล่าวันของเฟอร์รารี่ในปีนั้นเป็นครั้งแรก

สีแดงสดของเจ้ารถที่จอดนิ่งราวกับม้าแข่งที่กำลังหลับใหลและรอให้ใครบางคนมาปลุกมันสะท้อนเข้าสู่นัยน์ตาสีมรกต สีดั่งเพลิงของมันทำให้ในกายรู้สึกร้อนราวกับไฟจนอดไม่ได้ที่จะขยับปลายนิ้วไปแตะมันช้าๆ

คงต้องขอบคุณความเข้าใจผิดที่ทำให้เขาได้สัมผัสกับรถที่สวยและเร็วที่สุดในโลกคันนี้....อย่างน้อย....ก็อยากจะลองขับมันสักครั้ง....


ร่างบอบบางสอดตัวเข้าไปในห้องนักขับ ถึงจะไม่ถนัดและดูเก้ๆกังๆไปบ้างในตอนแรกเพราะมันแทบจะเหมือนกับการนอนขับ แต่พอได้ลองจับนู่นจับนี่ก็ดูเหมือนจะคุ้นเคยได้ไม่ยาก

กว่าฟอร์มูล่าวันจะออกจากพิตได้ในแต่ละครั้ง สายระโยงรยางค์ที่ห้อยลงมาจากส่วนควบคุมก็ต้องเช็คแล้วเช็คอีกว่าไม่มีปัญหาอะไร การปรับแต่งที่พอจะทำได้ในตอนนี้เพื่อให้เข้ากับขนาดร่างกายที่ดูจะเล็กกว่านักขับคนอื่นๆเสร็จสิ้นลง และมันก็ได้เวลาที่เจ้ารถสีแดงจะทะยานออกไปเสียที

ล้อทั้งสี่ค่อยๆเคลื่อนออกจากพิตการาจ แสงสว่างจ้าที่ส่องเข้ามาในดวงตาสีมรกตทำให้รู้สึกราวกับว่ากำลังเกิดใหม่....

อาจจะดีแล้วก็ได้...อนาคตที่รีไวเป็นคนกำหนด...ไม่ใช่พระผู้เป็นเจ้า...




ถึงแม้ว่าการวิ่งในรอบแรกจะยังหลุดแทรกไปบ้างแต่พอรอบต่อๆไปก็ดูเหมือนเจ้ารถสีแดงจะทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆ...

การเข้าโค้งที่ดูขาดๆเกินๆค่อยๆปรับให้เข้าที่เข้าทาง ความเร็วเองก็ค่อยๆเพิ่มมากขึ้นจนเหล่าวิศวกรและทีมช่างที่อยู่ในพิตการาจต่างหันมาสนใจ...จะว่าเป็นเพราะการขับที่ดูไม่กลัวอะไรมันเรียกความเร้าใจจากพวกเขาที่ถูกคำว่ากฎและความปลอดภัยครอบงำมานานหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ

“ น่าทึ่งมากเลยครับคุณฮันซี่....ดูการเข้าโค้งที่ความเร็วแทบไม่ตกนี่สิครับ”  ร่างโปร่งของวิศวกรสาวท้าวแขนข้างหนึ่งเอาไว้กับโต๊ะ ใบหน้าภายใต้กรอบแว่นเงยมองมอนิเตอร์ด้วยความตื่นเต้นอย่างที่ไม่ได้เป็นมานาน....เพราะเด็กนั่นไม่กลัวอะไรเลยทำให้เข้าโค้งได้แบบไม่มีอาการเกร็ง ความเร็วมันถึงได้แทบไม่ตกเลยแบบนั้น

“ โฮ่?...เด็กคนนั้นไม่เคยขับเอฟวันมาก่อนแน่นะ? เจ้าเอลวินบ้าโกหกพวกเราหรือเปล่าฟ๊ะ?!”   ทั้งๆที่เพิ่งเรียนรู้วิธีการขับไปเมื่อชั่วโมงที่แล้วนี้เอง ถึงจะยังเป็นเกณฑ์ที่ใช้ไม่ได้สำหรับนักขับตัวจริง แต่ในทางกลับกันถ้าคิดว่าเด็กนั่นเพิ่งเคยขับรถที่ขับยากที่สุดในโลกแบบนี้เป็นครั้งแรกละก็...

นี่มันเพอร์เฟ็คเสียยิ่งกว่าเพอร์เฟ็คอีก!!

“ อร้า!!! ชั้นทนไม่ไหวแล้ว!!! นี่แหละ! มันต้องแบบนี้แหละ!! ตอนนี้ในหัวของชั้นมันกำลังเต็มไปด้วยเครื่องยนต์ตัวใหม่ ชั้นเห็นเด็กนี่แล้วชั้นมีไฟอยากจะทำรถออกมาให้ดีกว่านี้จริงๆ อ๊า!!!!   ร่างโปร่งก้าวถอยหลังก่อนจะยกมือขึ้นมากุมหัวราวกับคนกำลังตื่นเต้นเมื่อได้เจอของเล่นที่ถูกใจ

“ คุณฮันซี่ ใจเย็นๆครับ!  เดือดร้อนลูกทีมที่ต้องเข้ามาช่วยทำให้ความไฮเปอร์นั้นลดลงจนได้ แต่ก่อนที่จะได้ทำอะไรไปมากกว่านั้น ร่างสูงใหญ่ของทีมบอสที่หายไปนานก็เดินเข้าพิตการาจมา

“ กำลังทำอะไรกันอยู่น่ะ? เสียงดังไปถึงข้างนอก?”

“ บอส!

“ ก็กำลังทดสอบนักขับคนใหม่ไง นายนี่เจ๋งไปเลยเอลวิน! ที่ไปเจอโคตรมหาเพชรที่ยังไม่ผ่านการเจียระไนแบบนี้ได้! ฮ่าๆๆๆ”   วิศวกรสาวเดินเข้ามาตบไหล่ทีมบอสที่ได้แต่ทำหน้างงอย่างไม่รู้ว่าคนทั้งทีมกำลังพูดเรื่องอะไรกันอยู่ก็ในเมื่อ...

“ หื๋อ? นักขับคนใหม่? ก็ยืนอยู่นี่ไง?”   มือใหญ่ผายไปตรงหน้าผู้ชายร่างเล็กที่ยืนอยู่ข้างๆ ทำเอาวิศวกรสาวและลูกทีมที่เหลือต่างอ้าปากค้าง

“ ห๊ะ?!

“ นี่คือรีไว...คนที่ชั้นบอกพวกนาย...พอดีหมอนี่ไม่มีเอกสารทางราชการอะไรสักอย่าง กว่าจะพาไปทำจนครบแล้วก็ออกบัตรนักแข่งมาได้ก็แทบแย่แน่ะ แผนกกฎหมายของเฟอร์รารี่ถึงกับกุมขมับ...ก็เลยใช้เวลานานไปหน่อยน่ะ”   นัยน์ตาภายใต้กรอบแว่นเบิกกว้างก่อนจะชี้นิ้วสั่นระริกขึ้นมา

“ ว่าไงน๊า~~~!!! เด็กนั่นไม่ใช่คนที่นายพามาเร๊อะ?!   วิศวกรสาวแหกปากตะโกนขึ้นมาแล้วชี้นิ้วไปที่ F60 ซึ่งกำลังวิ่งอยู่ในมอนิเตอร์

“ เปล่า...แต่ว่านั่นมัน....”   นัยน์ตาสีฟ้าถึงกับเบิกค้างเมื่อมองเห็นภาพรถสีแดงที่วิ่งราวกับพายุเพลิงอยู่ในสนามฟิโอราโน่ของเฟอร์รารี่

“ เจ้าเด็กหัวเงินที่นั่งอยู่หน้าห้องนั่นไม่ใช่คนที่นายพามา? แล้วนั่นมันใครกันล่ะ อ๊า~~~”   วิศวกรสาวถึงกับยกมือขึ้นทึ้งหัวอย่างสงสัยระคนเสียดาย

“ หัวเงิน? อย่าบอกนะว่า...”   ทีมบอสของเฟอร์รารี่ได้แต่หันไปมองคนที่ได้ชื่อว่าผู้ปกครองของเด็กคนนั้นอย่างไม่เชื่อสายตา...เป็นเพราะว่าเขาไม่เคยเห็นจึงไม่เคยรู้...ว่าเด็กคนนั้นก็ขับรถเป็น

“ ใช่...นั่นมันวิธีการขับรถของเจ้าฮายาโตะ...เป็นพวกที่ขับทางโค้งได้ดีเพราะในหัวยุ่งยากของเจ้านั่นมักจะมีตัวเลขที่คนทั่วไปไม่เข้าใจอยู่”  ....คำนวณองศา ปรับบาลานซ์ให้เข้ากับเบรกและความเร็วอย่างที่ตัวเองก็ไม่รู้ตัวสินะว่ามันคืออะไร

“ เด็กคนนั้นก็แข่งพนันรถเหมือนนายงั้นหรอ?”  และเมื่อใบหน้านิ่งพยักรับ ร่างสูงใหญ่ก็ได้แต่อึ้งไป...เพราะเด็กคนนั้นดูยังไงก็ยังไม่บรรลุนิติภาวะ แล้วจะขับรถได้ไง....อ่า..แต่เขาอาจจะลืมไปว่ายังไงซะเด็กคนนั้นก็โตมาในแหล่งเสื่อมโทรมที่ไร้ซึ่งกฎและกติกา...ใบขับขี่อะไรไม่จำเป็นต้องมีด้วยซ้ำ


มันอยู่ที่ว่า...ใจจะกล้าแค่ไหน...


และดูจากวิธีการขับแล้วเขาก็กล้าพูดเลยว่า...

เด็กคนนี้ไม่กลัวตายเหมือนรีไวไม่มีผิด...


“ โอเคๆ เรียกเด็กคนนั้นให้กลับเข้าพิตมาได้แล้ว มาทดสอบตัวจริงกันดีกว่า”   ทีมบอสร่างใหญ่หันไปตบมือบอกวิศวกรที่ต่อเครื่องมือสื่อสารอยู่กับนักขับในสนาม

“ เอลวิน~~~~~~”   แต่ดูท่าทางว่าวิศวกรสาวประจำทีมจะเสียดายมากจนนั่งน้ำตาไหลพรากขี้มูกโป่งส่งสายตาอาลัยมาให้ จนทีมบอสได้แต่ถอนหายใจ

“ ก็ไม่ได้บอกนี่ว่าจะไม่เอาเด็กนั่น...ถ้าสอบผ่านชั้นก็ไม่ได้ว่าอะไร....ทีมหนึ่งมีนักขับตัวจริงได้สองคนนะอย่าลืมสิ...นายอนุญาตใช่ไหมรีไว? ชั้นว่ามันดีกว่านะถ้าหาอะไรให้เด็กนั่นทำ...เพราะพวกนายมันใช้ชีวิตมาอย่างไม่มีเป้าหมาย เดี๋ยวมันจะกลายเป็นความเคยชินไป”  คนเป็นผู้ปกครองหันไปมองรถสีแดงที่ยังวิ่งอยู่ในสนาม...เขาก็รู้ว่าจะปล่อยให้เด็กนั่นอยู่อย่างไร้จุดหมายต่อไปแบบนี้ไม่ได้...ถึงจะไม่รู้สึกอะไรกับความตาย...แต่พวกเขาก็ยังไม่ใช่คนตาย...

อีกอย่าง...เท่าที่รู้มา...การแข่งรถสูตรหนึ่งมันต้องบินไปทั่วโลกแทบจะตลอดทั้งปี...ถ้าหากเขายอมรับข้อเสนอนี้อย่างน้อยเจ้าฮายาโตะก็จะไปกับเขาได้ตลอด...อยู่ในสายตาของเขาตลอดเหมือนอย่างที่เคยเป็นมา

แล้วเขาก็ไม่เคยคิดว่านี่คือเรื่องเสี่ยง...ไม่คิดจะปกป้องเด็กนั่นจนเหมือนไข่ในหินที่ทำอะไรไม่เป็น...เพราะเขารู้ว่าสักวัน..ปีกสีขาวคู่นั้นมันจะต้องโบยบินอย่างอิสระออกไปจากอ้อมอกของเขาได้แน่ๆ

ใบหน้านิ่งจึงพยักลงช้าๆ...เพื่อตอบตกลง


“ โฮ~~~ ชั้นดีใจจริงๆ รับรองเลยว่าฤดูกาลหน้าแชมป์ทุกสนามจะต้องเป็นของเฟอร์รารี่!”   ถึงทีมบอสจะแค่อมยิ้ม แต่ดูเหมือนจะมีคนดีใจจนกระโดดไปรอบๆพิตการาจแทนให้แล้วนะ

นัยน์ตาสีฟ้ามองสองนักขับที่เพิ่งได้มาด้วยสายตาเต็มเปี่ยมไปด้วยประกายแห่งความหวังอย่างที่ไม่ได้มีมานานแล้ว  ก่อนจะยิ้มแห้งๆออกมาเมื่อนึกถึงความจริงอีกข้อที่ลืมไป...

ถึงพวกทีมวิศวกรจะดีใจ แต่พวกทีมกฎหมายคงจะได้ปวดหัวหนักกว่าตอนของรีไวแน่ๆ....เพราะโกคุเดระ ฮายาโตะ นอกจากจะไม่มีเอกสารทางราชการเหมือนกันแล้ว...เด็กนั่นยังอายุไม่ถึง 15 ปีด้วยซ้ำ....ทำยังไงถึงจะได้ใบขับขี่กับบัตรนักแข่งมา....นั่นน่าจะเป็นปัญหาหนักในรอบหลายสิบปีของแผนกกฎหมายเฟอร์รารี่เลยก็ว่าได้





การทดสอบผ่านไปได้ด้วยดีและสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายของเขาคือการขับของเจ้านักขับคนใหม่ทั้งคู่ดันไปกระตุ้นสัญชาติญาณดิบที่รักความเร็ว ความท้าทาย และการเสี่ยงตายอันเป็นเรื่องหอมหวานของการแข่งรถที่เขาและลูกทีมต่างลืมมันไปเพราะกฎกติกาสมัยใหม่มักจะเน้นความปลอดภัยเป็นหลัก

เพราะงั้นจึงไม่มีใครคัดค้านที่จะให้ทั้งสองคนมาเป็นนักขับตัวจริงของเฟอร์รารี่อย่างที่เขาต้องการ



เรื่องทีมก็นับว่าผ่านไปด้วยดี...ก็ยังเหลืออีกเรื่องที่ต้องรีบจัดการ...



หลังจากที่ให้นอนอยู่ที่สนามฟิโอราโน่มาสองสามวัน ในที่สุดทีมบอสร่างสูงใหญ่ก็พานักขับทั้งคู่มาที่บ้านหลังหนึ่งซึ่งตั้งโดดเดี่ยวอยู่ในเขตอุทยานของมาราเนลโล่...

สองนักขับยืนมองบ้านสไตล์โมเดิร์นซึ่งนับเป็นสิ่งแปลกตาซึ่งหาได้ยากในอิตาลีอยู่ที่หน้าประตูรั้ว ผนังส่วนใหญ่ที่เป็นกระจกสลับกับผนังปูนสีขาวทำให้ราวกับผืนป่าเองก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของบ้านไปด้วย ในเมื่อมองจากมุมไหนๆก็มองเห็นต้นไม้ได้ทั้งนั้น

“ ข้อดีของพวกนายก็คือไม่ต่อรองราคาค่าเหนื่อยเลยนี่แหละ...เพราะงั้นชั้นเลยขอบ้านแบบที่พวกนายต้องการโดยที่พวกการเงินไม่บ่นเลยสักแอะมาได้ละนะ...เอ้า เข้ามาสิ”   ร่างสูงใหญ่หันมาเรียกเมื่อทั้งสองคนยังยืนนิ่งอยู่หน้าบ้าน

“ จากนี้ไปบ้านหลังนี้คือบ้านของพวกนาย ต่อให้หมดสัญญากับเฟอร์รารี่ไปแล้ว มันก็ยังเป็นชื่อของพวกนายอยู่”   มือใหญ่เปิดประตูบ้านไปพูดไปราวกับกำลังแนะนำส่วนต่างๆของบ้านให้

“ แล้วก็...นายเป็นนักขับของเฟอร์รารี่ เพราะงั้นเพื่อป้องกันปัญหาเรื่องสปอนเซอร์...ทางเฟอร์รารี่จะจัดส่งรถยนต์ส่วนตัวให้พวกนายคนละคัน...Ferrari F12 Berlinetta กับ California...คงไม่มีปัญหานะ? พรุ่งนี้น่าจะมาถึง เซ็นต์รับให้เรียบร้อยด้วยล่ะ”   ทั้งสองคนพยักหน้ารับและนั่นก็ทำให้เรื่องที่ทีมบอสต้องจัดการให้น่าจะเสร็จสิ้นลง

“ เอาละ...พวกนายตามสบายแล้วกัน เดี๋ยวชั้นจะกลับก่อน...หึ...คงจะไม่ถนัดเรื่องการดูแลบ้านที่เรียกได้ว่าบ้านจริงๆแบบนี้สินะ...เพราะงั้นนี่เป็นเบอร์โทรศัพท์ชั้น...มีอะไรก็โทรมาแล้วกัน”   แล้วทีมบอสที่ไม่เคยพลาดเรื่องใด ก็มารู้ตัวเอาทีหลังว่านั่นคือการพลาดครั้งใหญ่ในชีวิต

เพราะตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาไม่ว่าจะท่อแตก ตัดหญ้า เปลี่ยนหลังคา รั้วไฟฟ้า ฝ้าพัง สารพัดสารเพไปจนถึงเรื่องสัพเพเหระอย่างเจอหมีตายอยู่ข้างถนน.....เจ้านักขับสองคนนั่นก็ล้วนโทรหาแต่ เอลวิน สมิธ ทั้งสิ้น





เพราะงั้นอีกสามปีให้หลัง...ทีมบอสร่างใหญ่จึงดีใจจนน้ำตาแทบจะไหลพรากเมื่อรู้ว่าเจ้าตัวปัญหาทั้งคู่มีคนช่วยดูแลอยู่ที่บ้านหลังนั้นแทนตนแล้ว....





ความรู้สึกที่ไม่เคยมีให้นักขับคนไหน ไม่เคยผูกพัน ไม่เคยคิดจะห่วงใย...เขาจึงเพิ่งจะรับรู้ก็เมื่อได้เห็นนักขับที่เขาไปขุดขึ้นมาจากโคลนตมทั้งคู่ค่อยๆเติบโตจนกระทั่งสามารถยืนอยู่ในโลกกว้างอย่างเต็มภาคภูมิได้ด้วยตัวเอง

จากพวกที่ไม่กลัวตาย ไม่มีเป้าหมายอะไรในชีวิต...กลับมีความฝันเล็กๆที่จะได้อยู่ด้วยกันกับคนที่ตนรัก


แค่ได้มองดู...ก็รู้สึกภูมิใจอย่างบอกไม่ถูก


หึหึ...แล้วก็นับว่าเจ้าพวกนั้นตาแหลมไม่เบาที่ไปคว้าเอาลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของตัวแทนรัฐบาลกับผู้พิทักษ์ของแก๊งมาเฟียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอิตาลี....เพราะมันล้วนดีกับเฟอร์รารี่แทบทั้งนั้น...ไม่ว่าจะถูกกฎหมายหรือนอกกฎหมาย...ไม่ว่าจะข้อมูลหรืออะไรที่ต้องการก็ล้วนได้มาโดยง่ายกว่าเดิม

สมเป็นเพชรที่เอลวินคนนี้ไปขุดขึ้นมาจริงๆ ฮ่าๆๆ

.
.
.
.
.


“ คุณฮันซี่...บอสยืนหัวเราะคนเดียวอยู่ตั้งนานแล้วนะครับ ตั้งแต่พวกนิตยสาร Time ที่มาขอสัมภาษณ์กลับไป....”

“ ชี่....อย่าไปทักเชียวนะ ปล่อยไว้แบบนั้นแหละ...”


.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

RED FLAG
FIN










6 ความคิดเห็น:

  1. สนุกจังงงงง เอเลนกับเฮย์โจวเคยเจอกันมาก่อนแล้วเหรอคะ ?? หรือว่ายังไง ?? =w=??

    ตอบลบ
  2. โฮกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
    ไม่ทนกับความเท่ท่านท่อนขาาาจริงจัง!!!!!!!!!
    พ่อคุ๊ณณณณณจะเท่กระชากใจไปถึงไหนกันนนนนหืออออออ

    อะไรคือการแข่งรถที่ต้องหมุนวนรอบตัวคนแล้วคว้าเอาดอกกุหลาบที่คนคาบไว้มาเพื่อเป็นหลักฐานแห่งชัยชนะได้ง่ายดายขนาดนั่น!!!!! แต่ประเด็นความโฮกมากไม่ได้อยู่ที่ตรงนี้(?) คืออัตราที่ตัวรถพุ่งออกไปในตอนแรกคงเทียบไม่ได้กับการพุ่งกลับมาเพราะเห็นเด็กในปกครองกำลังโดนเจ๊าะแจ๊ะ(?) โฮกมากกกกกกก จริงๆๆๆนะคะกวางซาม๊า รู้เลยว่าสายตาพ่อคุณมักอยู่ที่ไหน > ____ < แล้วเค้าชอบฟีลหนูก๊กมากๆๆ หน้านิ่งๆแบบไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยแม้จะอยู่ในสถานการณ์ไหนๆแบบนี้เป็นอะไรที่ไม่ทนนนน และเจ้าตัวคงจะไม่สามารถนิ่งได้แบบนี้แน่ๆถ้าไม่เชื่อใจรีไว เชื่ออย่างสุดใจว่าการอยู่กับคนนี้ไม่ว่ายังไงตัวเขาเองก็จะปลอดภัย ฮือออออ ฟินนนนนกับคู่นี้

    ฉากที่เอลวินโพล่งถามออกไปอย่างไม่มีการแนะนำตัวอะไรเลย เค้าฮามากจริงๆนะคะกวางซามะ 555555555 และประโยคที่บอกประมาณว่า เอลวินนายจะได้รางวัลทีมบอสเบ็ดเตล็ด(?)ก็เพราะการกระทำของนายวันนี้นั่นแหละ มันก็ผุดเข้ามาในหัวเค้าไม่หยุดเลยค่ะ 55555555 เอลวินปาประแจ(?)อัดหน้าเค้าทำไม ; _ ; (บอสทีมรถแข่งบ้านป้ามันพกประแจติดตัว - _ - ) แต่ว่าเค้าชอบวิธีการแสดงตัวว่าไม่ใช่คนบ้า(?)ของเอลวินมากๆเลยล่ะค่ะ การบอกในจุดที่จะสามารถแต่งรถให้เร็วขึ้นได้ แค่นี้ก็ชัดเจนพอที่จะบอกว่าคนๆนี้รู้เรื่องเครื่องยนต์ดีมากทีเดียว และมันก็มากพอจะอ้าง(?)เป็นบอสของทีมยักษ์ใหญ่นั่นได้ถึงจะไม่มีหลักฐานพอเท่ากับการไปเห็นด้วยตาที่สนามเองก็ตาม ชาบูกวางซามะจริงจัง

    และฉากที่ท่านท่อนขาไปที่สนามแข่ง โค้ทดำที่โบกสะบัดตัดกับเก้าอี้สีขาวนั่น โฮกมากกกกกกกกกกก!!!!!!!!!! ฮืออออออออออ มโนภาพตามแล้วไม่ทนนนนนนนนนน คือมันเหมาะมากจริงๆกับลุคท่านท่อนขาจริงจัง ก่อนจะที่เค้าจะต้องไปจิกทึ้งหมอน(?)กับตัวแปร(?)การตัดสินใจจะทำอะไรของเฮย์โจวคือหนูก๊กกกกกก ฮือออออ ฟินนนนนนน

    ฉากต่อสู้ของหนูก๊กเป็นอะไรที่เค้าอยากอ่านมานานเหมือนกันค่ะ และกวางซามะก็เติมเต็มจุดนี้ให้เค้า ฮืออออ (โดดน้วยลม(?) กวางซามะหนีทำไม(?)คะ ; w ; ) หลายๆอย่างในตอนฉบับเนื้อเรื่องของ GLIDE มันไม่อำนวยจะให้มีฉากหนูก๊กต้องมาทำอะไรแบบนี้(?)นี่เนาะ มันไม่มีเหตุผลเพียงพอเลยที่จะให้หนูก๊กที่เป็นนักขับมือหนึ่งของทีมมาต่อยตีอะไรแบบนี้…………..ชักอยากจะให้มีฉากพี่สาว(?)ปกป้องน้องสาว(?)ชะแล้วแฮะ แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก(?) (ฮัลโหลลลลลลล ทั้งดาบทั้งเท้ารอประเคนแล้วค่ะหล่อนนนน ถถถถถ) แต่ว่ามันจะต้องอะฮิ้งงงมากก(?)แน่ๆเลยนะคะกวางซามะ เอเลนไปหาเรื่อง(?)แต่หนูก๊กเป็นคนสู้(?)ปกป้องเอเลน อิย๊าาาาา > [ ] < )/ (โดนสองเท้า(?)ของหนึ่งคนและหนึ่งหมี(?) ถีบกระเด็น ถถถถ) กลับมาเข้าเรื่องนะคะ(?) 5555555 คือพออ่านฉากต่อสู้ของหนูก๊กที่บรรยายว่าราวกับสายลมที่ไม่อาจจับต้องได้ เค้าฟินอารมณ์นี้มากๆๆ และเค้ามั่นใจอย่างแรงว่าถ้ารีไว หรือ หมีดำ(?) อยู่ตรงนั้นด้วย หนูก๊กไม่มีทางถูกยิงแน่ๆ ถึงจะร้าวที่เห็นหนูก๊กโดนยิง แต่เพราะแบบนี้ถึงทำให้ปลุกมัจจุราชในตัวรีไวขึ้นมา มัจจุราชที่จะสงบลงเมื่อได้พรากชีวิตของคนที่ปลุกมันขึ้นมา ฮือออออออออออออออ โฮกกกกฮากกกกกกก เค้าไม่ได้ชื่นชอบเชียร์ให้ท่านท่อนขาฆ่าคน(?)นะคะ ถถถ แต่ว่ามันโฮกฮากกกกจริงๆๆๆ ได้เห็นแบบนี้แล้วยิ่งทำให้เนื้อเรื่องมันยิ่งเข้มข้นจริงๆ เข้มข้นจนกลัวจะน้ำลายฟูมปากเพราะกวางซามะจะประเคนความดราม่า(?)เข้าให้สักตอน (กอดขา(?)) คนบ้าคนนี้หัวใจอ่อนแอ(?)นะคะ ฮือออ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. และพ่อคนค่าตัวแพงมากกกกกกกก(?)ก็มาแล้วววว โฮกกกกกกกกกกก มาแบบจิตๆๆแบบนี้(?)ยิ่งได้อารมณ์เลย17ฝนมันร้าวในใจสิ้นดีจริงๆ (หัวเราะเป็นคนบ้า(?)) อย่าลืมฉัน อย่าเดิน (พออออออ!!! เดี๋ยวมาทั้งเพลง(?)ถถถถถถ) คือเค้าชอบบบบบบบบบบบบบบบ ชอบบบบบบหมีดำโรคจิต(?)มากกกกกก ฮือออออ เรื่องนี้มันเรื่องมัจจุราชตามหารัก(?)ชัดๆ!!!!!! (กวางซามะร้องไห้ทำไมคะ(?) 55555 เค้ารู้ตัว(?)ค่ะ เค้าพยายามไม่ลิเก(?)แล้ว แต่ว่านิ้วมันไปเอง TT) เค้ายังยืนว่าเค้าชอบการวางพล็อตเรื่องของกวางซามะมากๆๆ ถึงแม้ทั้งรีไวและยามะจะอยู่ในสภาพที่ไม่ต่างจากมัจจุราชเลยแม้แต่น้อย ทั้งๆที่ทั้งคู่ก็ไม่ได้เจอเหตุการณ์อะไรทีทำให้ต้องกลายเป็นมัจจุราชเหมือนกันแท้ๆ เพราะงั้นก็คงจะหนีไม่พ้นที่จะบอกว่าเพราะมันคือ “โชคชะตา” …..คำๆนี้ชักเริ่มทำให้ขนลุกเข้าไปทุกทีจริงๆ TT ตัวยามะเองก็มีปมที่ไม่มีหัวใจมานานตั้งแต่สูญเสียครอบครัวไม่มีบ้านจะให้กลับไปพักใจ สภาพของยามะของสามปีก่อนถูกใจเค้ามากจริงๆนะคะ สภาพไร้หัวใจ….และพอคิดว่าหัวใจคนๆนี้มันกลับมาเต้นอีกครั้งเพียงเพราะเจอหนูก๊ก เค้าก็ลงนอนน้ำตาไหลพรากด้วยความฟินาเล่จริงจังเบยยยยยย ฮืออออออ อยากอ่านพาร์ทของคู่นี้เยอะกว่านี้มากๆเลยจริงจัง

      แล้ว!!!! แล้วก็!!!!!!!! ท่านท่อนขากับเจ้าลูกหมา เคยเจอกันมาก่อน!!!!!!!!!!!!!! (ลงไปดิ้นนจริงจังอ่ะกวางซาม๊าจุดนี้ไม่ทนนนนแล้ววววว นี่มันยิ่งกว่าคู่กันแล้วยังไงก็ไม่แคล้วกัน > < ) จริงๆเค้าติดใจตั้งแต่พาร์ทแรกที่เอเลนทะเลาะกับแมวดำ(?)แล้ว พาร์ทนี้มาทะเลาะกับหมา(?) มันยิ่งทำให้สกิลความน่าแกล้ง(?)ของเอเลนพุ่งพรวด!!!!!!!! 55555555 เอเลนน่ารักมากกกกกกกกกกกก แถมน่าฟัดน่าแกล้งจริงๆนั่นแหละ ฮืออออออ ลูกหมาบ้า น่ารักไปไหน

      แล้วคือกวางซามะสื่อให้เค้าฟินมากจริงๆนะคะ เค้ามานั่งคิดดูตั้งแต่แมวดำที่เค้าให้ความรู้สึกว่าเหมือนท่านท่อนขา ที่แค่อยากแหย่ให้เอเลนโวยวายพูดมากแล้วค่อยไปกดปิดปากทีหลัง (นี่กำลังพูดถึงแมวดำหรือเฮย์โจว? ถถถถถ) แหย่เอเลนคนที่ไม่ค่อยสังเกตอะไรรอบข้าง ให้ได้เห็นอะไรบนโลกที่มีมุมสวยงามเยอะพอๆกับด้านมืด ส่วนน้องหมา ตอนที่เฮย์โจวจับหมาขึ้นมาก็ชัดเจนว่าคนนี้มีสกิล(?)ทำให้หมายอมอยู่ใต้อาณัติ(?)ได้ทันที(?) แถมพร้อมจะเข้าไปคลอเคลียซะด้วยแน่ะ แล้วแบบนี้เอเลนมันจะไปรอดได้ยังไงละหืออออออ > ___ < (คือแค่แมวกับหมา คนบ้าก็ยังจะฟินได้ ถถถถถถถ)

      จริงๆเค้าชอบฮันซี่อยู่แล้วนะคะ และชอบมากขึ้นเพราะฟิคกวางซามะเลยจริงๆ 555555555 คือทุกครั้งที่รู้ว่าฮันซี่มา เค้าเตรียมฮา(?)แล้วค่ะ 55555555555555 แล้วเค้าก็ฮามากกับการพูดแบบไม่ต้องมีบทสนทนาของคนอื่นเลย โอ่ยยยย แม่คุณ จะพูดอะไรคนเดียวเป็นพรืดได้เหมือนคนบ้าทางนี้(?)ขนาดนี้ ถถถถถถ แล้วไหนจะเพราะความเข้าใจผิดของฮันซี่ เค้าเลยได้ฟินกับการขับรถแข่งของหนูก๊ก โฮกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ใครจะรู้ว่าหนูก๊กได้ขับไอ้เจ้ารถแข่งนี่ก่อนท่านท่อนขาอีกกก!!!!! แม่จ๋า หาตาข่ายดักหมีที(?)หนูจะฟัดหนูก๊ก(?) ถถถถถถถถถ แล้วแถมยังมีสกิลคำนวณองศาในหัวอีก การเรียนรู้ในแบบวิชาการที่มีตัวเลขยุ่งยากในหัวแบบนี้หนูก๊กชัดๆ ฮืออออออ ฟินมากจริงๆๆค่ะกวางซามะ ฮือออออ แล้วตอนที่เอลวินบอกให้เรียกหนูก๊กกลับมาเพื่อให้รีไวลงขับ เค้ารู้สึกว่าเค้าเป็นฮันซี่(?)มากจริงๆ 5555555 คือครวญตามฮันซี่ซะแบบนั้น

      ฟิน Red Flag โฮกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก Red Flag นี่จริงๆจะให้มองว่าเป็นแง่การโม้(?)ของเอลวิน(?) ได้เลยนะคะกวางซามะ 555555555 คือเกือบจะจบดีแล้ว เกือบแล้ว แต่แหกโค้งตลอดดดดด ถถถถ เค้ายังคงถูกใจที่เอลวินยังต้องทำทุกอย่างตั้งแต่ท่อแตกยันเก็บศพหมีจริงๆๆ ถถถถถถ ก็นะเพชรที่นายเก็บมาน่ะ สกิลขับรถขั้นเทพก็จริงแต่อย่างอื่นไม่ได้เลยเพราะงั้นนายก็ต้องเหนื่อยจนกว่าผู้ปกครองจะได้ลูกเขย(?)นั่นแล > ___ <

      ฮือออออออออ ดีใจที่ได้อ่านตอนพิเศษตอนนี้มากๆๆๆนะคะ ขอบคุณที่แต่งฟิคให้เค้าฟินอยู่ตลอดเวลา ตอนพิเศษตอนนี้จะเป็นอีกตอนที่เค้าคงจะวกกลับมาอ่านอีกบ่อยๆแน่นอนเลย หลายๆอย่างที่เติมเต็มความอยาก(?)ของเค้าอยู่ในตอนนี้เยอะมาก แม้จะยังไม่ได้เรื่องของคู่ 8059 แต่มีคู่ผู้ปกครองกับเด็กดื้อเงียบให้ฟินแทน

      รักฟิคกวางซามะมากจริงๆๆๆนะคะ
      เค้าเป็นกำลังใจให้เสมอเลยค่ะ ขอบคุณที่ทนกับเรียงความคนบ้า(?)คนนี้นะคะ :)

      ลบ
  3. สุดยอดค่ะ ชอบรายละเอียดเบื้องหลังพวกนีั้มากๆ อ่านแล้วเป็นแฟนคลับฮันซี่ เอ๊ะ ยังไง

    อยากรู้เบื้องหลังยามะมากกว่านี้อ่ะ

    ตอบลบ
  4. มันส์มากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก มันส์สุโค่ยเลยค่ะะะ!!!!!
    อ่านเพลินมาก ฉากบู้ ฉากขับรถ ฉากน่ารักกุ๊งกิ๊ง อร๊างงงงงงง
    ตัวละครหลักมาครบทุกคนจนหายคิดถึงเลย ฮ่าๆๆๆ

    ตอบลบ
  5. ไม่ระบุชื่อ7 ธันวาคม 2557 เวลา 06:13

    อดีตดุเดือดมากสมกับเป็นราชาแห่งโลกใต้ดินจริงๆเลยค่ะท่าน
    ขนาดจะไปแล้วยังต้องมียิงสั่งลา
    แต่จะว่าไปก็น่าสงสารเอลวินเนอะ
    จากทีมบอสได้กลายเป็นเจเนรัลเบ๊จนได้เพราะคำพูดที่เผลอหลุดไปตอนนั้นว่ามีอะไรวห้โทรหา
    แต่คิดว่าคงค้มค่าการลงทุนสินะคะ
    คนเพราะสะใภ้(?)และลูกเขยของช่างหาตัวจับยาก
    เอื้อประโยชน์จริงๆ ต่อไปนี้เฟอรารี่คงครองโลกได้สบายๆ
    เกือบลืม!
    ฉากเจอกันของท่านกับน้องมุ้งมิ้งมาก ><

    ตอบลบ