“เพราะพบ”
:
KHR Fanfiction Au
:
14Yamamoto x 24Gokudera
:
Dark
: NC-17
คำเตือน : เนื้อเรื่องต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้านี้ไปนะคะ
หลังสงครามโลกครั้งที่สอง...สภาวะข้าวยากหมากแพงกำลังแพร่ระบาดไปทั่ว....มีทั้งคนที่ต้องอดอยากยากจนอยู่ข้างท้องถนน....แต่ก็ยังมีกลุ่มคนที่ยังคงฐานะมั่งคั่งเพราะยังเป็นตระกูลเก่าแก่....แต่ก็มีบางตระกูลที่ต้องหมดสิ้นเงินทองเพราะระบบการปกครองที่เปลี่ยนแปลงไป....มีคนเริ่มทำการค้าขายกับชาวต่างชาติซึ่งนั่นคือจุดเริ่มต้นเล็กๆที่ทำให้อิทธิพลของคนตะวันตกเริ่มเผยแพร่เข้ามายังแผ่นดินญี่ปุ่นซึ่งปิดกั้นตัวเองมาตลอดร้อยกว่าปี...
บางคนก็ยินดีรับ...
แต่บางคนก็ต่อต้าน....
ตามเมืองสำคัญบนแผ่นดินใหญ่ของญี่ปุ่นนั้นเริ่มที่จะมีผู้คนหันมาใช้ชีวิตตามแบบชาวตะวันตก ทั้งเสื้อผ้า รถรา บ้านเรือน ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มที่จะเปลี่ยนไป....แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงมีพวกที่ยังคงยึดมั่นตามธรรมเนียมประเพณีวิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวญี่ปุ่น ยังไม่ยอมเอนเอียงหรือแม้เพียงยอมรับกับวัฒนธรรมตะวันตกเลยแม้แต่น้อย
เรือขนาดกลางแล่นสู่ท้องทะเลสีฟ้าครามสดใส...เบื้องหน้าคือเกาะที่เล็กที่สุดซึ่งเป็นหนึ่งในสี่เกาะใหญ่ของญี่ปุ่น มันยังคงเป็นดินแดนที่ยังไม่ถูกรุกรานจากชนชาติตะวันตกด้วยความที่เป็นดินแดนที่ยังไม่เป็นที่รู้จักและอยู่ไกลจากแผ่นดินใหญ่ จึงเป็นดินแดนที่ไม่มีใครสนใจ...
นัยน์ตาสีมรกตเหม่อมองไปยังเกาะที่ถูกปกคลุมด้วยสีเขียวขจีที่อยู่ตรงหน้า....ยังคงความงดงามและบริสุทธิ์ตามแบบฉบับญี่ปุ่นเอาไว้ได้อย่างหมดจดจริงๆ.....พวกเขาอาจจะเป็นคนกลุ่มแรกที่จะนำเอาวิถีชีวิตแบบชาวตะวันตกไปเผยแพร่ ณ ดินแดนแห่งนั้นก็เป็นได้
กลุ่มคนบนเรือทั้งหมดนี้เป็นกลุ่มคนที่ถูกส่งมาจากชาติตะวันตกในคราบของหมอ มิชชันนารี และอาสาสมัครผู้ที่จะมาช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภัยของสงคราม เป็นพวกนักบุญที่เดินทางไปทั่วโลกเพื่อดูแลคนยากไร้และป่วยไข้....
“ หมอ....กำลังจะถึงแล้วละ....ข้าส่งท่านแล้วข้าคงต้องกลับเลย กลัวจะค่ำมืดซะก่อน” ชายชาวประมงเจ้าของเรือที่อาสาจะมาส่งให้ เดินเข้าไปยืนข้างๆชายหนุ่มที่น่าจะอายุราวยี่สิบต้นๆ แต่ทั้งรูปร่างและหน้าตากลับไม่เหมือนชายชาวญี่ปุ่นในวัยรุ่นราวคราวเดียวกันเลย
ร่างบางคนนี้เป็นลูกครึ่ง.....
ถึงแม้จะเกิดในญี่ปุ่น...แต่ก็คลุกคลีอยู่กับชาวต่างชาติจากเชื้อสายของมารดาซึ่งเป็นหมอที่เข้ามาตั้งรกรากอยู่ในญี่ปุ่น...
“ ขอบคุณมาก” ใบหน้าเนียนใสหันกลับมาส่งยิ้มน้อยๆให้ชาวประมง มันเป็นรอยยิ้มที่ชวนให้รู้สึกถึงเสน่ห์ที่อันตราย กลิ่นกายหอมอ่อนๆโชยมาจากร่างที่อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวแบบชาวตะวันตก เรือนร่างที่อยู่ภายใต้เสื้อผ้าพวกนั้นทำให้ชายผิวคล้ำถึงกับลอบกลืนน้ำลาย.....เจ้าตัวเองจะรู้หรือไม่....ว่าตัวเองนั้นมีเสน่ห์เย้ายวนต่อผู้ชายด้วยกันเองมากขนาดไหน......
ขาเรียวเหยียบย่างลงไปที่ผืนทรายของชายหาดที่จะเชื่อมต่อไปยังตัวเกาะ มองเห็นเรือที่มาส่งนั้นลอยออกไปไกลริบ....จากนี้พวกเขาก็คงเหมือนถูกปล่อยเกาะ....มีแต่จะต้องเข้าไปคลุกคลีกับพวกชาวบ้านที่นี่อย่างที่เคยทำมาตลอดเมื่อเหยียบย่างไปที่ไหนๆก็ตาม....พวกเขาได้แต่หวังว่า....คนของที่นี่จะต้อนรับพวกเขาเหมือนดั่งที่อื่นๆที่เคยไปมา
กล่องยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์แผนตะวันตกถูกยกขึ้นสะพายไว้ที่บ่า บาทหลวงที่มาเพื่อเผยแพร่ศาสนาด้วยกันก็ถือคัมภีร์และตำรามากมายเดินเกาะกลุ่มตามมา
ขาที่เดินไปเรื่อยๆ ผ่านแปลงผักและเรือกสวนไร่นา กำลังหวังว่าจะเจอหมู่บ้านในไม่ช้า
พวกเขาไม่รู้จักใครที่นี่เลย....
ไม่รู้เลยด้วยซ้ำ.....ว่ากำลังเหยียบย่ำเข้าไปในเขตของตระกูลเก่าแก่ที่มีอิทธิพลมากที่สุดบนเกาะชิโกกุแห่งนี้.......ตระกูลที่สืบเชื้อสายมาจากนักรบซึ่งหลบหนีมาตั้งรกรากที่นี่เมื่อร้อยกว่าปีก่อน จากผู้นำตระกูลรุ่นแรกที่มีกันเพียงสองคนกลับสร้างความยิ่งใหญ่จนไม่ว่าใครในเกาะแห่งนี้ก็รู้จักและต้องเคารพยำเกรง
แต่ผู้มาใหม่กลุ่มนี้กลับเดินเลยผ่านไป....สถานที่เป้าหมายของพวกเขาไม่ใช่บ้านหลังใหญ่ แต่เป็นเพียงวัดหรือศาลเจ้าเล็กๆที่จะขอซุกหัวนอนก็เท่านั้น
เสียงคมดาบเฉือนท่อนฟางดังอย่างต่อเนื่องมาจากลานดินที่มุมหนึ่งของบ้านแบบญี่ปุ่นหลังใหญ่
นัยน์ตาสีเปลือกไม้จ้องมองไปที่เป้าหมายด้วยสายตาเยี่ยงนักฆ่าก่อนที่จะตวัดดาบลงไปจนท่อนฟางขาดสะบั้นออกจากกันด้วยรอยแผลที่คมกริบ ดาบสีดำถูกเก็บเข้าฝักซึ่งเป็นสีดำสนิทเช่นกันเมื่อการฝึกของวันนี้จบสิ้นลง
“ ยังคงเฉียบคมเหมือนเคยนะ ทาเคชิ” ใบหน้าคมของเด็กหนุ่มวัยสิบสี่ปีหันไปมองตามเสียง ร่างสูงใหญ่ถึงแม้จะอยู่ในวัยชราแล้วแต่ก็ยังคงไว้ซึ่งบรรยากาศของคนที่มีอำนาจและน่ากลัวยืนมองอยู่ที่ระเบียงทางเดิน เด็กหนุ่มก้มหัวให้ชายชราซึ่งเป็นทั้งปู่และอาจารย์ที่จับมือของเขาฝึกดาบมาตั้งแต่ยังเล็ก
“ รู้สึกคล่องมือขึ้นบ้างหรือยังล่ะ...ดาบเล่มนั้น...” ถึงแม้จะเป็นผู้นำตระกูลที่ขึ้นชื่อเรื่องความเฉียบขาดแต่ก็เป็นคนที่ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ของคนในบ้านเป็นอย่างมาก แววตาที่ชายชรามองดูหลานชายนั้นจึงเต็มไปด้วยความเอ็นดู
“ ยังมีส่วนที่ยังสื่อถึงกันไม่ได้อยู่บ้าง แต่ข้าคิดว่าอีกไม่นานคงจะใช้มันได้ดีกว่านี้” หลานชายซึ่งมีเส้นผมสั้นสีดำสนิทหันไปหาผู้เป็นปู่ ในมือยังคงถือดาบเล่มสีดำเอาไว้....ตระกูลของเขาเป็นตระกูลใหญ่ซึ่งมีทายาทอยู่มากมาย...ซึ่งต่างฝ่ายต่างถูกเลี้ยงมาให้สามัคคีกัน....เพราะฉะนั้นจึงแทบจะไม่มีเรื่องแย่งชิงสมบัติและอำนาจใดๆในตระกูล...เพราะหากใครคิดที่จะผิดกฎ...โทษคือตายสถานเดียว......เขาเองไม่ใช่ทายาทอันดับหนึ่ง....แต่ที่ได้รับดาบที่สำคัญที่สุดของตระกูลเล่มนี้มาไว้ในครอบครอง...นั่นก็เป็นเพราะว่า.....
ชื่อของเขาคือ....ยามาโมโตะ ทาเคชิ....
นามนั้นถูกตั้งให้เหมือนกับบรรพบุรุษผู้ครอบครองดาบสีดำ....
“ ดูเหมือนที่วัดจะมีคนพวกนั้นมาอาศัยอยู่” ผู้มีอำนาจสูงสุดในตระกูลเปรยออกมาให้หลานชายฟัง....
“ ได้ยินท่านพ่อกับท่านอาก็พูดเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน” คนพวกนั้นจะเอาวิถีแบบใหม่เข้ามาที่เกาะแห่งนี้ จะมาสร้างความเปลี่ยนแปลงจากที่เคยใช้ชีวิตอยู่กันแบบพอเพียงและสงบสุขกันดีอยู่แล้ว ให้ยุ่งวุ่นวายจากการอยากได้อยากมีไม่มีที่สิ้นสุด......ซึ่งพวกเขาไม่มีทางยอมรับ!
“ เจ้าคิดว่ายังไงล่ะ...ทาเคชิ” ถึงชายชราจะดูเหมือนนิ่งเฉย แต่สิ่งที่เอ่ยออกมานั้นก็ทำให้ใบหน้าคมของเด็กหนุ่มยิ้มรับ....
“ ข้าว่าจะไปดูเสียหน่อย...” แต่รอยยิ้มนั้นกลับดูแล้วน่าขนลุก....
วันนี้ก็ยังคงไม่มีใครเข้ามาให้รักษา....
ทั้งๆที่เมื่อวานทั้งวันพวกเขาก็เดินเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อพูดคุยกับชาวบ้าน รวมทั้งได้รับรู้ความเป็นอยู่ซึ่งถึงแม้จะดูปกติสุขดีแต่ก็ยังมีคนป่วยจำนวนไม่น้อยที่แค่ยาสมุนไพรหรือการแพทย์แบบโบราณไม่อาจรักษาได้อยู่ รวมไปถึงคนบางส่วนที่ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตนนั้นได้รับสารพิษตกค้างจากสารกัมมันตรังสีจากระเบิดปรมาณูที่ถูกทิ้งที่ฮิโรชิมาซึ่งอยู่ห่างออกไปแค่ผืนทะเลกั้นเท่านั้น พวกเขาได้เสนอแนวทางการตรวจรักษาอย่างถูกต้องและไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งๆที่สายตาที่มองมานั้นต่างสนใจแต่มันก็แฝงเอาไว้ด้วยความรู้สึกบางอย่าง....เหมือนยังเกรงกลัวต่ออำนาจที่พวกเขาไม่รู้จัก
บางที....ที่นี่อาจจะมีตระกูลที่มีอิทธิพลอยู่....พวกเขาอาจต้องเริ่มจากการเข้าไปพูดคุยกับคนพวกนั้นก่อน
ใบหน้าเรียวสวยถอนหายใจออกมาเบาๆ....ดูท่าทางงานนี้จะยากเกินกว่าที่มือใหม่อย่างเขาจะทำได้เสียแล้ว....ก่อนหน้านี้เขายังเป็นแค่หมอผู้ช่วย แต่ด้วยกำลังคนไม่พอ งานนี้เขาจึงต้องรับหน้าที่หมอเต็มตัว....มือบางจัดเรียงเครื่องมือในกล่องให้หยิบจับง่าย นัยน์ตาสีมรกตที่ยังคงแข็งกร้าวนั้นยังส่องประกายอยู่เสมอ
แว่วเสียงฝีเท้าที่นอกห้องทำให้นัยน์ตาสีมรกตเหลือบไปมอง เงาร่างของชายคนหนึ่งซึ่งอยู่ในชุดกิโมโนและกางเกงฮากามะของญี่ปุ่นยืนอยู่ด้านนอกประตูเลื่อน ร่างบางจึงลุกขึ้นแล้วเดินไปประจันหน้า
ประตูเลื่อนถูกเลื่อนเปิดออกช้าๆ......
สิ่งแรกที่มองเห็นคือนัยน์ตาสีเปลือกไม้ที่เต็มไปด้วยความมืดมนกับรอยยิ้มน้อยๆที่มุมปาก....ขนทั้งร่างพากันลุกเกรียว.....บรรยากาศกดดันที่รายล้อมตัวเด็กหนุ่มที่น่าจะเด็กกว่าเขาแต่ตัวสูงเท่าๆกันและร่างกายดูสมเป็นชายชาตรีกว่ามากนั้นทำให้ร่างบางถึงกับผงะถอยหลัง.....เด็กคนนี้....น่ากลัว....
ดาบสีดำสนิทถูกยกขึ้นมาพาดไว้ที่ลำคอของคุณหมอทั้งๆที่ยังมีฝักดาบอยู่ ใบหน้าเนียนสวยนั้นเริ่มจะขาวซีด นัยน์ตาสีมรกตเหลือบมองดาบด้วยแววตาสั่นระริกก่อนที่สองมือบางจะพยายามกำแน่นเพื่อเรียกสติ และในไม่ช้าก็หันกลับมาจ้องมองเด็กผู้ชายตรงหน้าด้วยแววตาแข็งกร้าวดังเดิม
......แววตาดีนี่......
“ ข้ารู้สึกว่าจะไม่สบาย...อยากให้เจ้าช่วยตรวจดูหน่อย” รอยยิ้มที่มุมปากกับสายตาที่จ้องมองมานั้นดูไม่เหมือนคนป่วยเลยสักนิด อีกทั้งยังคำพูดคำจาที่ดูเหนือกว่านั่นก็ทำให้คุณหมอร่างบางรู้ได้ไม่ยากกว่าเด็กตรงหน้าต้องมาจากตระกูลใหญ่ที่ไหนสักแห่งของเกาะนี้แน่ๆ....มาเพื่อลองภูมิเขา
“ นั่งลงสิ” ใบหน้าสวยกลับไปนิ่งเฉย ร่างโปร่งบางในเสื้อแบบชาวตะวันตกสีขาวเดินไปหยิบเครื่องมือแพทย์หน้าตาไม่คุ้นเคยสำหรับเด็กหนุ่ม ทุกท่วงท่าถูกนัยน์ตาสีเปลือกไม้จับจ้องอย่าไม่เกรงใจ....ตอนแรกคิดว่าคนที่กล้าบุกเข้ามาในที่ที่ไม่รู้จักแบบนี้จะเป็นชายชาตรีรูปร่างสูงใหญ่เสียอีก....แต่คนตรงหน้ากลับทำให้ผิดคาดเล็กๆ....ทั้งรูปร่างแบบบางดูไม่เหมาะกับการที่จะต้องไปลุยกับงานลำบาก ทั้งใบหน้าที่เรียกได้ว่าน่าจะดึงดูดคนอันตรายมากกว่าจะช่วยป้องกันตัว แล้วยังกลิ่นกายหอมอ่อนๆที่ผู้ชายในวัยนี้ไม่น่าจะมีนี่ก็อีก....รอยยิ้มร้ายปรากฏขึ้นอย่างช้าๆ....น่าสนใจ.......เขาชักอยากจะรู้...ว่าคนที่ดูอ่อนแอและบอบบางแบบนี้จะอยู่รอดจากที่นี่ไปได้สักกี่วัน
“ ไม่ได้ป่วยเป็นอะไร ร่างกายของนายก็แข็งแรงดี” เครื่องมือแพทย์ถูกวางลงเมื่อตรวจรักษาเสร็จ ใบหน้าสวยที่ยังคงนิ่งๆทำเป็นไม่สนใจสายตาคมกริบที่จ้องมองทุกความเคลื่อนไหวของตนอย่างจงใจยั่วยุ
“ เห๋....อะไรกัน....ข้าป่วยอยู่นะ เจ้าเป็นหมอประสาอะไรถึงไม่รู้ล่ะ” คำพูดกวนประสาททำให้เส้นเลือดที่ขมับของคนที่อารมณ์ร้อนเป็นทุนเดิมอยู่แล้วเริ่มเต้นตุบๆ พยายามยับยั้งชั่งใจอย่างสุดความสามารถ.....เขาโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว....จะมาถือสากับเจ้าเด็กตรงหน้าไม่ได้.....
“ ถ้าแค่นี้ยังไม่รู้.....ข้าว่าเจ้ากลับแผ่นดินใหญ่ไปซะเถอะ อย่ามาอยู่ที่นี่ให้รกที่รกทางเลย”
ตุ้บ!!
สองฝ่ามือบางทุบลงไปที่โต๊ะอย่างเหลืออด.....
“ มันจะมากเกินไปแล้ว!! นายไม่ได้ป่วยเป็นอะไรแต่ตั้งใจจะมากวนประสาทชั้น!” ใบหน้าสวยที่พยายามนิ่งมาตลอดกลับตบะแตกและตะโกนออกมา เรียกรอยยิ้มของอีกฝ่ายที่กลั่นแกล้งได้จนสำเร็จ
“ ฮึ....รู้ก็ดีแล้วนี่.....ที่นี่ไม่ต้อนรับพวกเจ้า...ออกไปซะ....ตั้งแต่ตอนนี้....ตอนที่พวกเจ้ายังมีร่างกายครบสมบูรณ์....” น้ำเสียงเย็นชานิ่งสนิทพูดเนิบๆแต่ทุกคำกลับสร้างความกดดันจนคนฟังรับรู้ได้ถึงแรงข่มขู่ ก่อนที่เด็กหนุ่มผมดำจะเดินออกไปด้วยท่าทางสบายๆ
สองมือบางนั้นกำแน่น.....
ในใจนั้นเจ็บแค้นที่ไม่อาจโต้ตอบอะไรกลับไปได้.....ตัดสินใจวิ่งตามออกไปที่ระเบียงก่อนที่จะตะโกนออกไปสุดเสียง
“ ไอ้เด็กบ้า!! อย่าคิดว่าฉันจะกลัวนะ!”
รอยยิ้มกรีดเป็นเส้นอยู่บนใบหน้าคมซึ่งเดินจากมาไกลแล้ว....นึกถึงใบหน้าสวยที่เปลี่ยนจากนิ่งเฉยจนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแล้วก็ให้นึกสนุก....อยากจะทำให้ใบหน้าสวยๆนั่นแสดงอาการอย่างอื่นอีก......เจ็บปวด....ร้องไห้.....ทรมาน......
เรื่องราวในวันนั้นเริ่มสร้างสายตาแปลกๆจากกลุ่มคนที่มาด้วยกัน.....เพราะดูเหมือนพวกนั้นจะรู้แล้วว่าเด็กหนุ่มที่ร่างบางไปมีเรื่องด้วยนั้นเป็นใครมาจากไหน....และคนทั้งหมู่คณะก็ไม่มีใครอยากจะไปมีเรื่องมีราวกับคนจากตระกูลที่กุมอำนาจสูงสุดบนเกาะที่ถูกตัดขาดนี้หรอก....การทำงานเป็นนักบุญนั้นต้องหลีกเลี่ยงการปะทะ...ต้องเอาน้ำเย็นเข้าลูบ...
แต่นี่.....
ลูบมากว่าอาทิตย์ก็ยังไม่เห็นจะมีชาวบ้านสักคนยอมเข้ามาเกี่ยวข้องกับพวกเขาเลยสักนิด
ในขณะที่หลายคนในกลุ่มเริ่มท้อแท้.....เรื่องแย่ๆก็เริ่มก่อเค้าขึ้นราวกับเมฆดำทะมึน
“ โยม.....พวกอาตมาจำต้องไปจำศีลที่วัดซึ่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของเกาะ....พวกโยมจะอาศัยอยู่ที่นี่ไปก่อนก็ได้ แต่คงต้องดูแลตัวเองแล้วละนะ” พระในวัดซึ่งใจดีให้พวกเขาพึ่งพามาตลอดกลับมาทอดทิ้งกันเสียแบบนั้น....แต่เขาก็เข้าใจได้ว่า....บางที....แม้แต่พระของที่นี่ก็ยังต้องฟังคำสั่งของบ้านหลังนั้น
“ มันจะเกินไปแล้ว!” คุณหมอผู้เคยดูนิ่งเฉยอยู่เสมอเริ่มจะทนไม่ไหว....พวกนั้นตั้งใจจะค่อยๆตัดหางปล่อยวัดพวกเขาไปเรื่อยๆ
“ คุณหมอคะ....พวกเรากลับกันดีไหมคะ....เพราะดูท่าทางว่าคนที่นี่เขาจะไม่ค่อยต้อนรับเราเท่าไหร่” มิชชันนารีสาวคนหนึ่งเอ่ยบอกคุณหมอร่างบาง พวกเธอเองก็ต้องอดทนต่อความไม่ให้ความร่วมมือของคนที่นี่มามากพอแล้ว
“ นั่นสิคะ...ทั้งๆที่เรามาเพื่อช่วยเขาแท้ๆ” ผู้ช่วยสาวอีกคนเปรยอย่างท้อถอย...ขอเพียงรอยยิ้มต้อนรับเท่านั้น พวกเธอก็พร้อมที่จะสู้...แต่นี่...กลับมีแต่สายตาแปลกๆเท่านั้นที่มองมา
“ พ่อไปถามที่ท่าเรือมาแล้วละ...เค้าบอกว่าพรุ่งนี้มีเรือออกจากเกาะด้วยนะ” และสิ่งที่บาทหลวงเอ่ยออกมานั้นทำให้คณะนักบุญนี้แตกออกเป็นสองฝ่าย....
กว่าครึ่งท้อแท้และเดินจากไป....
ยังคงเหลือไว้แต่ผู้ที่มีความมุ่งมั่นและศรัทธาอันแรงกล้าอยู่เพียงไม่กี่คน...
นัยน์ตาสีมรกตแข็งกร้าวทอดมองกลุ่มคนที่กำลังเดินจากไปอยู่ไกลริบ.....นอกจากความศรัทธาแล้วยังมีอีกอย่างที่ทำให้เขายังไม่ยอมแพ้และตั้งใจว่าจะไม่ยอมจากไปไหน...นั่นก็คือนัยน์ตาสีเปลือกไม้มืดมนซึ่งเคยท้าทายเขาเอาไว้คู่นั้น....ฉันจะไม่มีวันยอมแพ้เจ้าเด็กนั่นเด็ดขาด!
อดทนกว่าที่คิดแหะ....
ร่างสูงของเด็กหนุ่มผมดำยืนจับจ้องร่างบางๆของคนที่อายุน่าจะมากกว่ากันถึงสิบปีอยู่บนเนินด้านหลังวัด เจ้าของร่างกายขาวผ่องนั่นกำลังก้มๆเงยๆเก็บผักอยู่ที่แปลงผักสวนครัวของวัด มือบางยกขึ้นมาปาดเหงื่อที่หน้าผากก่อนที่นัยน์ตาสีมรกตจะจ้องมองไปที่อะไรบางอย่าง...เจ้าแมวตัวน้อยสีขาวดำกำลังเดินเข้าไปออดอ้อนคลอเคลียที่ขาเรียว ร่างบางนั่งลงแล้วเล่นกับมัน...ใบหน้ายามนั้นกลับสะกดสายตาของเขาได้อย่างน่าประหลาด.....รอยยิ้มอ่อนโยนรับกับประกายสดใสของเส้นไหมสีเงิน..............สวย
รอยยิ้มน้อยๆปรากฏอยู่บนใบหน้าคมของเด็กหนุ่ม....
ข้าอยากเห็นใบหน้าของเจ้าในทุกรูปแบบ....
มือยกขึ้นให้สัญญาณกับกลุ่มคนของตน......ไม่ช้าควันไฟก็ลอยละล่องขึ้นเหนือน่านฟ้าของวัด....เสียงร้องอย่างตกใจของคนเพียงไม่กี่คนที่เหลืออยู่ในนั้นร้องขึ้นทันที....คราวนี้....เจ้าจะทำอย่างไรดีล่ะ....คุณหมอ
ประกายไฟสุดท้ายมอดดับลงไปแล้วท่ามกลางความตกอกตกใจของพวกเขา มิชชันนารีสาวที่ยังคงอยู่ด้วยกันถึงกับเข่าอ่อนแล้วทรุดนั่งลงกับพื้นดินพรางหอบหายใจอย่างเหนื่อยล้า....กว่าจะช่วยกันดับไฟจนหมดได้ก็เล่นเอาเรี่ยวแรงหายไปจนไม่เหลือหรอ.....ตอตะโกของโรงเก็บฟื้นที่อยู่ท้ายวัดคือสิ่งที่เหลืออยู่ให้ดูต่างหน้า....ว่าพวกเขา....จะอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว
“ คุณหมอคะ....กลับด้วยกันเถอะนะคะ...ฝืนอยู่ต่อไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นหรอกค่ะ” มิชชันนารีสาวหันมาเรียกคุณหมอร่างบางอีกเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ทั้งหมดจะยอมเดินออกไปจากเกาะที่เต็มไปด้วยความป่าเถื่อนแห่งนี้
ใบหน้าสวยเพียงแค่ส่ายหน้าแล้วส่งยิ้มให้...
ทุกคนจากไปกันหมดแล้ว....
วัดที่กว้างใหญ่แห่งนี้...เขาเหลืออยู่ตัวคนเดียว....
แต่ทว่า....เมื่อนึกถึงเปลวเพลิงที่เกิดขึ้น....มันกลับทำให้ไฟในใจของเขาลุกโชติช่วง....มันราวกับเป็นสารท้ารบให้คนที่ดื้อดึงและไม่เคยยอมแพ้ต่อสิ่งใดแบบเขายิ่งอยากจะสู้....ถึงแม้จะไม่อาจเดาได้เลยว่าจะมีสิ่งเลวร้ายอะไรเกิดขึ้นกับตนเองในอนาคต....แต่ถ้าครั้งนี้เขาได้ชัยชนะมา....มันก็คงคุ้มค่าที่จะเสี่ยง
แต่ถ้าพ่ายแพ้.....ก็คงมิอาจเถียงอะไรได้ในเมื่อเป็นเขาที่ดื้อเอง
ใบหน้าคมคายแสยะยิ้มอย่างถูกใจ....กลุ่มคนที่เดินขึ้นเรือไปนั่นไม่มีร่างบางที่เขาเฝ้าตามดูอยู่
ต่อไป....ข้าอยากเห็นเจ้าร้องไห้.....
ไม่มีใครเฉียดเข้ามาใกล้วัดแห่งนี้เลยแม้แต่คนเดียว....
คุณหมอร่างบางยังคงนั่งถอนหายใจอยู่เพียงลำพัง.....แสงเทียนวูบไหวไปตามกระแสลมอ่อนๆที่พัดโชยเข้ามาจากประตูบานเลื่อนที่ถูกเปิดเอาไว้น้อยๆ บรรยากาศของธรรมชาติที่ยังคงบริสุทธิ์ทำให้บนท้องฟ้ายามราตรีนั้นพร่างพราวไปด้วยหมู่ดาวให้มองเห็นอย่างชัดเจน
เสียงกอกแกกที่ดังขึ้นภายนอกทำให้เกิดความสงสัย ใบหน้าสวยชะโงกออกไปมองดูแต่ก็ไม่มีสิ่งใดนอกจากความมืด คุณหมอร่างบางตัดสินใจปิดประตูลง ก่อนที่จะล้มตัวลงนอนไปทั้งๆที่แสงเทียนนั้นยังคงอยู่....เขาไม่ไว้ใจ....ว่าเจ้าเด็กนั่นจะแอบมาลอบทำร้ายเขาหรือเปล่า
แต่จนแล้วจนรอดก็นอนไม่หลับ...ด้วยเสียงคนเดินบ้าง....เสียงตอกตะปูบ้าง....เสียงขูดข่วนผนังบ้าง.....ทุกๆครั้งร่างบางจะต้องโผล่หน้าออกมาดู....เขาไม่ได้กลัวผี...แต่กลับเป็นคนมากกว่าที่เขากลัว....ดูเหมือนฝ่ายก่อกวนคงจะเริ่มถอดใจ ในเมื่อเสียงต่างๆเริ่มจะเงียบหายลงไป....เปลือกตาหนักอึ้งค่อยๆปิดลงอย่างช้าๆในที่สุด
แสงเทียนวูบไหวอยู่ในห้อง ทำให้สายตาที่จับจ้องอยู่มองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าคนที่ตนเฝ้าก่อกวนอยู่ตั้งแต่หัวค่ำนั้นหลับนิ่งไปแล้ว ใบหน้าคมยิ้มอย่างถูกใจ....เขาตั้งใจว่าจะก่อกวนจนอีกฝ่ายไม่อาจข่มตาหลับได้....ไม่นาน....ก็จะยอมแพ้ไปเอง
นัยน์ตาสีเปลือกไม้เหลือบมองท้องฟ้า...อีกไม่นานก็จะรุ่งสางแล้ว....อะไรบางอย่างดลใจให้เด็กหนุ่มขยับกายออกมาจากหลังต้นไม้ก่อนจะเดินอย่างเงียบเชียบไปที่ห้องห้องนั้น....ประตูเลื่อนถูกเปิดออกอย่างช้าๆ ก่อนที่เด็กหนุ่มผมดำจะแทรกกายเข้าไปโดยที่คนซึ่งกำลังอยู่ในห้วงนิทรานั้นไม่ทันรู้ตัว
ร่างสูงคุกเข่าลงก่อนจะวางดาบสีดำไว้ข้างตัว นัยน์ตาจ้องมองใบหน้ายามหลับใหลของคนที่ถือเป็นคู่อริ ร่างบางๆอยู่ในชุดยูกาตะสีขาวมีเพียงผ้าผืนบางคลุมอยู่เท่านั้น...ไม่หนาวหรืออย่างไรกัน...
ความบริสุทธิ์ตรงหน้าราวกับมีมนต์สะกด....เด็กหนุ่มโน้มตัวเข้าไปหา ใบหน้าคมอยู่ห่างจากใบหน้าสวยซึ่งหลับพริ้มอยู่แค่คืบ.....
เจ้ามันเป็นปิศาจร้าย ที่แปลงกายมาทำให้ข้าลุ่มหลง....
ริมฝีปากสัมผัสลงไปที่กลีบปากสีระเรื่อแผ่วเบาก่อนที่จะละออกมาด้วยความตกใจของตัวเอง....ข้ากำลังทำอะไรอยู่! ร่างสูงรีบลุกขึ้นก่อนที่จะเดินออกจากห้องไป
มือนั้นแตะอยู่ที่ริมฝีปากของตนเอง...สัมผัสนุ่มนิ่มแปลกประหลาดยังคงตกค้างอยู่ให้รู้สึกได้....รู้สึกดีจนอยากจะทำมากกว่านี้.............มากกว่านี้....
เสียงนกร้องออกหากินบ่งบอกว่ายามเช้านั้นเข้ามาถึง เปลือกตาที่ปิดสนิทค่อยๆลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ แสงแดดอ่อนๆสาดส่องผ่านประตูเลื่อนกรุกระดาษเข้ามาให้นัยน์ตาสีมรกตต้องปรับให้เข้าที่เข้าทาง สองมือบางยกขึ้นมาบิดขี้เกียจก่อนจะลุกขึ้นนั่งอย่างช้าๆ....รู้สึกเหมือนมีสัมผัสอะไรบางอย่างตกค้างอยู่ที่ริมฝีปาก รีบสะบัดหัวไล่ความฟุ้งซ่าน แต่ในขณะที่จะลุกขึ้นไปล้างหน้า สายตานั้นก็เหลือบไปเห็นดาบสีดำสนิทวางอยู่ที่ข้างฟูกนอน
เหมือนดาบที่เจ้าเด็กนั่นพกไปไหนมาไหนด้วยตลอด....
แล้วทำไมมันมาวางอยู่ที่นี่....หรือว่าเมื่อคืนนี้…
ใบหน้าสวยเริ่มจะมีแววแตกตื่น....เมื่อคืนนี้ในระหว่างที่เขาหลับไปเจ้าเด็กนั่นเข้ามาในห้องนี้ มาอยู่ใกล้ๆขนาดนี้ มือบางลูบไปยังส่วนต่างๆของร่างกาย...ว่ามีอะไรขาดหายไปบ้างหรือเปล่า....น่าแปลกที่มันยังอยู่ครบ....ถ้าเช่นนั้น...เด็กนั่นเข้ามาทำไม?
มือบางยื่นไปสัมผัสที่ดาบสีดำซึ่งเย็นเฉียบสมกับที่เป็นอาวุธที่ปลิดชีวิตคนมานักต่อนัก...แต่อีกความรู้สึกหนึ่งกลับรับรู้ได้ชัดเจนไม่แพ้กัน.....คุ้นเคย....
“ เอามือของเจ้าออกไปจากดาบของข้า” เสียงนิ่งเฉยเอ่ยออกมาพร้อมกับประตูบานเลื่อนนั้นเปิดออก เด็กหนุ่มผมดำเดินตรงเข้ามาคว้าดาบออกไปจากมือบาง กิริยาโอหังแบบนั้นทำให้คนที่อายุมากกว่าเริ่มจะหมดความอดทน
“ เจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม! ที่นี่มันบ้านเจ้าหรือยังไง ถึงได้มาเดินเข้าเดินออกตามใจแบบนี้น่ะ แล้วดาบสกปรกของเจ้าข้าก็ไม่ได้อยากจะจับเลยแม้แต่นิดเดียว!” ทุกคำด่าใบหน้าคมยังคงยิ้มรับแต่กับคำสุดท้าย......
“ โอ้ย! ปล่อยนะไอ้เด็กบ้า!” จะว่าอะไรเขา เขาก็ไม่รู้สึกอะไรแต่อย่ามาหยามเกียรติของดาบเล่มนี้!.....เรี่ยวแรงที่มีมากกว่ากดร่างบางของคุณหมอลงกับฟูกนอนก่อนที่จะตามขึ้นคร่อม สองมือบางที่พยายามจะต่อต้านก็ถูกมือกร้านกดเอาไว้จนขึ้นรอยแดง
“ ฮึ พวกที่จะเป็นคนชาติไหนยังไม่รู้แบบเจ้า คงไม่มีวันเข้าใจถึงความศักดิ์สิทธิ์ของดาบนี่หรอก” โอบิถูกกระตุกออกจากเอวบางก่อนที่จะถูกนำมามัดข้อมือของคุณหมอซึ่งใบหน้าสวยเริ่มจะตื่นตระหนก นัยน์ตาสีเปลือกไม้จ้องมองคนที่ใต้ร่าง.....ใบหน้าที่หวาดกลัวของเจ้า...ข้าก็อยากเห็น.......สองมือค่อยๆดึงดาบออกจากฝักก่อนที่จะปักมันลงไปที่พื้นเสื้อทาทามิเฉียดเส้นเลือดที่คอของร่างบางไปแค่นิดเดียว
“ ถ้าขยับละก็....ถึงตายนะ...” คำขู่ทำให้นัยน์ตาสีมรกตเหลือบมองคมดาบที่หันเข้าหาคอของตนด้วยใบหน้าซีดเผือด ก่อนที่จะค่อยๆหันกลับไปมองคนที่ตรงหน้าซึ่งส่งยิ้มเย้ยหยันมาให้...เจ็บใจ.....ทั้งๆที่อายุมากกว่าแต่เขากลับสู้แรงเด็กนี่ไม่ได้เลย.....เขาจะให้มันได้ใจไปมากกว่านี้ไม่ได้ เขาจะไม่แสดงออกว่ากลัวเกรงมัน
แล้วนัยน์ตาสีมรกตก็กลับมาแข็งกร้าวอีกครั้ง นั่นยิ่งทำให้คนด้านบนนั้นชอบใจ
“ ปล่อยชั้นนะ ไอ้เด็กบ้า!” แต่ยังไม่ทันที่จะได้ด่าว่าอะไรมากกว่านั้น ผ้าเช็ดหน้าผืนน้อยก็ยัดเข้ามาในปากจนไม่สามารถจะส่งเสียงใดๆได้อีกต่อไป
“ อยากรู้ไหม....ว่าเด็กบ้าอย่างข้า...ทำอะไรได้บ้าง....” นัยน์ตาสีเปลือกไม้ฉายแววเจ้าเล่ห์ก่อนที่จะไล่สายตาลงไปที่ร่างกายบาง ยูกาตะซึ่งหลุดลุ่ยเผยให้เห็นผิวกายขาวเนียนละเอียด มือหยาบลูบอย่างจงใจลงไปที่หน้าท้องแบนเรียบก่อนที่จะค่อยๆแหวกยูกาตะออกอย่างเชื่องช้าให้นัยน์ตาสีมรกตนั้นเบิกกว้าง อยากจะร้องห้ามก็ทำไม่ได้ อยากจะสะบัดหน้าปฏิเสธแต่คมมีดที่กรีดลึกจนผิวที่คอรู้สึกแสบก็ทำให้มิอาจทำได้.....ใบหน้าสวยยามนี้กำลังตื่นกลัวอย่างที่อีกฝ่ายต้องการจะเห็น...
“ อื้อ!!!” เสียงอู้อี้ที่พยายามจะร้องห้ามดังออกมาอย่างต่อเนื่อง เมื่อคนด้านบนยังคงลูบไล้ไปตามผิวนุ่มเนียนมือ จากที่คิดว่าจะแค่แกล้งเล่นกลับกำลังถูกความงดงามตรงหน้าเข้ามาครอบงำ.....สวย....จะอยากจะบดขยี้ให้แหลกคามือ
ใบหน้าคมก้มลงไปจูบที่ลาดไหล่บางให้ร่างกายของคนที่ได้รับสะดุ้งเฮือก แรงกดจูบทำให้ขึ้นสีแดงระเรื่อบนผิวที่ขาวจัด มือของเด็กหนุ่มคว้าไปที่ด้ามดาบก่อนจะออกแรงดึงมันขึ้นแล้วเหวี่ยงให้ไปปักอยู่ที่ผนังอีกด้าน ใบหน้าสวยสะบัดขัดขืนทันทีที่ได้รับอิสระ.....ยิ่งดิ้น....ยิ่งเร้าอารมณ์เขาจนแทบทนไม่ไหว...
ถึงอีกฝ่ายจะอายุมากกว่าแต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคใดๆในเมื่อร่างกายของเขานั้นมีพละกำลังมากกว่า เพียงมือเดียวก็รวบข้อมือที่ถูกมัดเอาไว้ที่เหนือหัวได้อย่างง่ายดาย ซุกไซร้ใบหน้ากับซอกคอระหงแล้วฝังร่อยรอยเอาไว้ให้เจ็บช้ำเล่นในภายหลัง ร่างกายที่เย้ายวนนี้ยังคงดิ้นรน ใบหน้าสวยที่หวาดผวานั้นร้องอู้อี้ปฏิเสธ....เขาไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเห็นใจหรือแม้แต่จะต้องเล้าโลมใดๆให้ร่างข้างใต้ยินยอม...เพราะฉะนั้น
เรียวขาขาถูกแยกออกจากกันก่อนที่จะจับข้างหนึ่งยกขึ้นพาดที่บ่า นิ้วยาวสอดใส่เข้าไปในช่องทางคับแคบทันที ความไม่เคยทำให้ร่างบางกระตุกเฮือก นัยน์ตาสีมรกตเบิกกว้าง ดูท่าทางจะหวาดกลัวสุดชีวิต นิ้วขยับเข้าออกตามแต่ใจ ภายในนั้นบีบรัดและฝืดแน่น ปฏิกิริยาทุกอย่างบ่งบอกว่านี่คือครั้งแรก....และมันคงจะเป็นประสบการณ์ที่ร่างบางคงจะจดจำไปชั่วชีวิต
ว่าครั้งหนึ่ง....เคยถูกคนที่เด็กกว่าเป็นสิบปีย่ำยีจนไม่เหลือชิ้นดี....
เพลิงแห่งอารมณ์ที่โหมกระหน่ำมันจบลงแล้ว....
คราบน้ำตายังคงไหลรินเลอะอยู่บนใบหน้าสวยที่ถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพังในห้องที่ว่างเปล่า
เด็กคนนั้นไปแล้ว....
เดินจากไปพร้อมกับทำลายทุกสิ่งทุกอย่างของเขาจนย่อยยับ...คงจะสาแก่ใจแล้วที่ได้ข่มเหงเขาจนแทบจะไม่เหลือความเป็นคนอีก.....เจ็บ.....ทั้งร่างกายและจิตใจ....
ฉันแพ้แล้ว....
และคงไม่มีหน้าจะอยู่ที่นี่อีก....
ใบหน้าคมของเด็กหนุ่มก้มลงมองที่สองมือ....ทั้งๆที่ข้าอยากเห็นเจ้าร้องไห้....แต่พอได้เห็นเข้าจริงๆกลับรู้สึกเจ็บในอก....ทำไมกัน....
ร่างในชุดฮากามะเดินวนไปวนมาอยู่ภายในห้องของตังเองอย่างกระสับกระส่าย...อยากจะกลับไปที่วัดเพื่อดูให้แน่ใจว่าร่างบางนั่นจะไม่เป็นอะไรแต่ก็ไม่อาจทำได้ด้วยทิฐิที่มีอยู่....เลือดที่ไหลลงมาตามเรียวขานั่นไม่ต้องบอกก็รู้ว่าต้องเจ็บมากแต่เขาก็ยังฝืนทำร้ายทั้งๆที่ร่างบางนั่นร้องไห้....ความรู้สึกที่สับสนนี้มันคืออะไร....อยากจะกลับไปขอโทษ อยากจะกลับไปปลอบประโลมแต่ก็ไม่กล้าที่จะกลับไป
เขาไม่เคยเป็นแบบนี้......
ไม่เคยมีความลังเลที่จะทำอะไรและไม่เคยเสียใจในภายหลัง
แต่ครั้งนี้มันไม่ใช่....
เสียงเอะอะที่หน้าห้องทำให้นัยน์ตาสีเปลือกไม้จำต้องละไปมองและหลุดจากความคิดที่สับสนของตน....มีคนมาบอกว่าจู่ๆท่านปู่ก็อาการไม่ดี
สองขาวิ่งไปยังห้องชั้นในสุดของบ้าน ที่ระเบียงทางเดินต่างเต็มไปด้วยคนของตระกูล หมอประจำบ้านออกมาจากห้องพรางทำสีหน้าลำบากใจ ผู้หญิงหลายคนในบ้านต่างร้องไห้โฮ...เขาแหวกผู้คนเข้าไปจนในที่สุดก็ยืนอยู่ที่บานประตู.....ท่านปู่นอนอยู่บนฟูกสีขาวด้วยท่าทางทรมาน....และนั่นทำให้เขาตัดสินใจที่จะวิ่งออกไป
ทั้งๆที่ทำเรื่องเลวร้ายเอาไว้ขนาดนั้น....แต่เขาก็ยังหน้าด้านที่จะกล้ากลับไปขอความช่วยเหลือ
ถ้าเจ้าจะปฏิเสธ...ข้าก็จะไม่โทษเจ้าเลย.....เพราะทุกอย่างมันเป็นความผิดของข้าเอง.....
เสียงวิ่งดังกึกก้องมาจากระเบียง ทำให้ร่างบางในชุดยูกาตะสีขาวที่ยังคงนั่งเหม่อลอยหันกลับมามองด้วยความตกใจ
คราวนี้.....อะไรอีกล่ะ
แค่นี้ยังไม่พอใช่ไหม?
ประตูเลื่อนถูกกระชากออกอย่างรุนแรง ร่างสูงของเด็กหนุ่มยืนหอบหายใจอยู่ข้างหลังบานประตูนั้น ใบหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อทำให้นัยน์ตาสีมรกตมองด้วยความแปลกใจ แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือแววตาที่บ่งบอกได้ชัดถึงความสั่นไหวราวกับกำลังกลัวสิ่งใดอยู่.....ไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นใบหน้าแบบนี้จากคนที่เย็นชาและร้ายกาจคนนั้น.....เด็กหนุ่มผมดำก้าวเข้ามาในห้องก่อนที่จะทำให้นัยน์ตาสีมรกตเบิกกว้าง
“ ขอร้องละ...ช่วยไปดูอาการของท่านปู่ให้ที!” ร่างกายที่เคยทำแต่เรื่องร้ายๆเอาไว้กับเขากำลังก้มหัวอยู่ต่อหน้า....ทั้งๆที่เขาควรจะเมินเฉยและตัดเยื่อใยไม่ไปช่วยเหลือ....แต่ร่างกายกลับขยับลุกขึ้นแล้วเดินไปหยิบเครื่องมือและกล่องยา
“ ขอโทษนะ แต่เจ้าเดินเองคงจะลำบาก” อ้อมแขนแข็งแรงอุ้มร่างบางของคุณหมอขึ้นก่อนจะพาวิ่งออกไป....ใบหน้าที่ตื่นกลัวนั้นอยู่ห่างไปแค่คืบ....ริมฝีปากนี้ที่เคยพูดแต่คำที่ทำร้ายจิตใจ....นัยน์ตานี้ที่เคยแต่มองมาด้วยสายตาเหยียดหยาม....ทุกๆอย่างของคนคนนี้ย่ำยีเขาจนไม่เหลือชิ้นดี....ทั้งๆที่เป็นแบบนั้น....แล้วทำไมเขายังจะยื่นมือไปช่วยอีก
ในบ้านหลังใหญ่นั้นเต็มไปด้วยผู้คนวิ่งกันให้พล่าน
คุณหมอร่างบางถูกพาเข้าไปยังห้องในสุดซึ่งเงียบเชียบจนไม่น่าเชื่อว่าจะอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน
ร่างที่นอนอยู่บนฟูกสีขาวนั้นคือชายชราคนหนึ่ง ซึ่งถึงแม้จะนอนอยู่แต่กลับมีบรรยากาศที่บ่งบอกให้รู้ว่าเขาผู้นี้แหละคือผู้ที่มีอำนาจสูงสุดบนเกาะชิโกกุแห่งนี้
ในห้องมีเพียงคุณหมอและคนไข้.....มือบางตรวจอาการอย่างคล่องแคล่ว...นานเท่าไหร่กันแล้วนะที่ไม่ได้ใช้วิชาที่ร่ำเรียนมานี้เลย....อาการของชายชรานั้นสามารถรักษาด้วยวิธีการของชาวญี่ปุ่น เพียงแต่ว่ามันเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลันจนยาสมุนไพรพวกนั้นไม่สามารถจะช่วยได้เนื่องจากต้องใช้ระยะเวลานานกว่าที่มันจะออกฤทธิ์....ยาถูกดูดเข้าไปในเข็มก่อนที่จะฉีดลงไปที่ข้อพับของแขน...อีกมือยกผ้าขึ้นซับเหงื่อบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยบ่งบอกวัย.....
ใบหน้าสวยถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อคนตรงหน้าเริ่มจะสงบลงและกำลังหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ คุณหมอยังคงนั่งอยู่เคียงข้างคนไข้ ได้ยินเสียงเปิดประตูเลื่อนเข้ามาแผ่วเบา หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งนั่งลงอยู่ข้างๆ เธอมีบรรยากาศที่อบอุ่นซึ่งแตกต่างจากคนของบ้านนี้อย่างเด็กหนุ่มผมดำคนนั้นโดยสิ้นเชิง....คุณหมอร่างบางหันไปมองก่อนที่จะโค้งคำนับให้.....ไม่น่าเชื่อว่าในบ้านหลังนี้จะมีคนแบบนี้อยู่.....เขานึกว่ามันจะเต็มไปด้วยคนที่เย็นชาไร้ความรู้สึกเสียอีก
“ ขอบคุณค่ะ.....ทั้งๆที่ทาเคชิทำร้ายคุณเอาไว้มากมาย....คุณก็ยังมาช่วยท่านพ่อของพวกเรา” เธอยิ้มมาให้อย่างอ่อนโยนพร้อมโค้งคำนับ เธอรู้มาแค่ไหนกัน ว่าเด็กหนุ่มคนนั้นทำร้ายเขาถึงขั้นไหน....มือบางเผลอจับกระชับคอยูกาตะเข้าหากัน....เพราะร่องรอยทุกอย่างนั้นยังคงอยู่
“ ท่านเป็นพ่อของเขาหรือ” ใบหน้าสวยหันไปมองชายชราที่หลับอย่างสงบ
“ ท่านเป็นปู่ของเขาน่ะ...ส่วนข้าคือแม่ของเขาเอง” นัยน์ตาสีมรกตถึงกับเบิกกว้าง....บรรยากาศที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงนี้ทำให้ไม่อาจเชื่อได้ว่าจะเป็นแม่ลูกกัน
“ จริงๆแล้วเขาไม่ใช่คนที่เลวร้าย....เพียงแต่...นั่นคือวิธีการปกครองของตระกูลเรา....ความเฉียบขาดและโหดเหี้ยมกับคนที่ไม่เชื่อฟังทำให้เราปกครองคนให้อยู่อย่างสงบมาได้จนถึงทุกวันนี้” ท่านจะบอกเขาว่าสิ่งที่เด็กนั่นทำกับเขาไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงน่ะหรือ.....จะให้เชื่อลงได้อย่างไร
“ คุณต้องการอะไรอีกไหม” คุณหมอร่างบางพยักหน้าและบอกไปว่าอยากได้น้ำอุ่น ท่านหญิงผู้นั้นจึงลุกออกไปเตรียมมาให้ ใบหน้าสวยเหม่อมองออกไปที่สวนหินที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของห้อง....ในใจนั้นครุ่นคิดถึงสิ่งที่ได้ยินมา
“ เจ้า.....” เสียงแหบแห้งทำให้ร่างบางถึงกับสะดุ้ง ชายชราที่น่าจะหลับอยู่กลับค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆ
“ เจ้าคือหมอแผนตะวันตกที่อยู่ที่วัดนั่นใช่ไหม” ใบหน้าของชายชรานั้นดูมีสีเลือดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“ ครับ” การพูดจาตามแบบตะวักตกของเขาจะทำให้ชายตรงหน้าเข้าใจหรือไม่กันนะ
“ ขอบใจเจ้ามาก” แววตาที่ควรจะดุดันนั้นกลับอ่อนโยน ใบหน้าของชายชราที่คาดว่าจะหล่อเหลาเมื่อครั้งยังหนุ่มส่งยิ้มน้อยๆมาให้
“ ร่องรอยพวกนั้น....ทาเคชิเป็นคนทำใช่ไหม....” คุณหมอร่างบางถึงกับใบหน้าร้อนผ่าวมือบางตะครุบคอยูกาตะเอาไว้ก่อนที่นัยน์ตาสีมรกตจะเสไปมองอย่างอื่น
“ ข้าจะไม่ขอโทษแทนเขาหรอก เพราะคนที่ต้องขอโทษเจ้านั้นไม่ใช่ข้า” คำพูดที่ดูเหมือนจะร้ายกาจแต่กลับแฝงเอาไว้ด้วยความอ่อนโยนและรู้ทันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต
“ เจ้าชื่ออะไร...” จู่ๆชายชรากลับถามออกมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
“ .......ฮายาโตะ..........” และเมื่อเขาบอกชื่อของตัวเองออกไป นัยน์ตาคู่นั้นถึงกับเบิกกว้าง
“ อย่างงั้นเองหรอ.....ฮึฮึ....อย่างนั้นเองสินะ” ชายชราหัวเราะราวกับถูกใจอะไรบางอย่าง ซึ่งคุณหมอร่างบางนั้นได้แต่งงงงวย และเมื่อคนไข้ดูท่าว่าจะอาการดีขึ้นมากแล้ว คุณหมอร่างบางจึงขอตัวกลับก่อน
นัยน์ตาที่อ่อนโยนมองแผ่นหลังบางที่กำลังเดินออกจากห้องไปช้าๆ
ในที่สุด.....เจ้าของดาบสีขาวเขาก็กลับมาหาเจ้าแล้ว....ทาเคชิ
ร่างบางของคุณหมอเดินกระโผลกกระเผลกไปตามระเบียงทางเดิน ทำไมบ้านหลังนี้มันถึงได้กว้างใหญ่นัก เดินเท่าไหร่ก็ไม่ถึงประตูหน้าบ้านเสียที
แล้วก็รู้สึกได้ถึงสายตาที่จับจ้องมองมาจากที่เบื้องหลัง เมื่อหันไปมองก็พบกับใบหน้าคมของเด็กหนุ่มผมดำที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็จะจ้องมองเขาอย่างไม่เคยเกรงใจและไม่เคยคิดที่จะปิดบังสายตานั่น....แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่คิดที่จะเอ่ยอะไรออกมาก็ไม่ใช่หน้าที่เขาที่จะต้องพูดอะไรด้วย
ร่างบางเดินกลับไป ทั้งๆที่มีอีกคนเดินตามไปด้วยไม่ได้ห่าง....
เขาควรจะเริ่มจากตรงไหน....จะขอโทษอย่างไร....จะขอบคุณแบบไหน......แค่คิดถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำเอาไว้กับร่างที่เดินอยู่ตรงหน้า แค่ออกมาสู้หน้านี่ก็นับว่าเขากล้ามากแล้ว
“ กลับไปได้แล้ว! ไม่ต้องมาเดินตาม น่ารำคาญ!” เสียงตวาดอย่างเหลืออดดังออกมาจากร่างบางที่อยู่ตรงหน้า เงยหน้ามองเห็นประตูวัดอยู่ห่างออกไปไม่กี่ก้าว เขาจึงหยุดยืนอยู่แค่นั้น....จนแล้วจนรอดก็ไม่รู้จะพูดออกไปยังไง
น่าโมโห.....
เด็กบ้านั่นตั้งใจจะกวนประสาทเขาไปถึงไหน....ไม่เอาแล้ว.....ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
มือบางเก็บของที่มีอยู่น้อยนิดลงกระเป๋าเดินทางขนาดกลางที่นำติดตัวมาด้วย พรุ่งนี้ยามฟ้าสางเขาจะไปจากที่นี่ทันที ไม่มีเหตุผลอะไรที่ผู้พ่ายแพ้อย่างเขาจะหน้าด้านอยู่ที่นี่อีกต่อไปทั้งๆที่เจ้าของแผ่นดินนี้เขาก็ไล่ตั้งแต่วันแรกที่มาถึงแท้ๆ มือบางปาดน้ำตาที่ไหลลงมาอีก....ถ้าเขายอมกลับไปเสียตั้งแต่ตอนนั้นคงไม่ต้องมาเจอกับเรื่องเลวร้ายแบบนี้....
ร่างสูงของเด็กหนุ่มเดินวนไปวนมาอยู่ที่หน้าวัด....
สายขนาดนี้แล้วแต่ภายในวัดกลับเงียบกริบ....เกิดอะไรขึ้นกับร่างบางนั่นหรือเปล่านะ ตัดสินใจที่จะเดินเข้าไปดู....ตั้งใจเอาไว้แล้วว่า...ไม่ว่าจะยังไงวันนี้เขาจะต้องขอโทษให้ได้ ถึงจะรู้ว่าคงยากที่จะได้รับการให้อภัย
แต่เมื่อเปิดประตูห้องเข้าไป นัยน์ตาสีเปลือกไม้ก็ต้องเบิกกว้าง....ในห้องนั้นว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่สิ่งของใดๆที่มันควรจะวางอยู่
ร่างบางนั่นไปแล้ว.....
ไม่....
ไม่..........
ขาออกแรงวิ่งจนสุดกำลังไปยังท่าเรือเพียงแห่งเดียวของเกาะ....
ถ้าเขาไปไม่ทันทุกอย่างก็จะจบลงไปโดยที่มันคงจะกลายเป็นความรู้สึกผิดของเขาไปตลอดชีวิต...ที่ทำให้คนคนหนึ่งต้องสูญเสียซึ่งศรัทธาและจิตวิญญาณด้วยน้ำมือของเขาเอง
และที่สำคัญ.....หัวใจที่มันกำลังร่ำร้องบอกว่าเขาจะต้องเสียใจเพราะกำลังสูญเสียสิ่งที่สำคัญไปก็ทำให้ร่างกายวิ่งต่อไปโดยไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย
ที่น่านน้ำนั้นว่างเปล่า....ไม่มีแม้แต่เรือสักลำ.....
เด็กหนุ่มร่างสูงยืนหอบหายใจหนักหน่วงพร้อมกับมองไปรอบๆ....เขามาไม่ทัน.....เพราะเรือนั้นจะมีแค่วันละเที่ยวและก็จะออกจากที่นี่ในช่วงสายๆทุกวัน....ป่านนี้....มันคงจะลอยละล่องออกไปแล้ว.....ร่างทั้งร่างทรุดลงกับพื้น สองมือนั้นกำแน่น....เพิ่งรู้สึกเกลียดตัวเองที่สุดก็ครั้งนี้เอง....อยากจะขอโทษ....อยากจะฉุดรั้งเอาไว้....และเหนือสิ่งอื่นใด...อยากจะทำให้รอยยิ้มนั้นกลายเป็นของเขาไปตลอดกาล
แต่ทุกอย่างมันก็สายเกินไป....
คนผิดอย่างเขาไม่มีสิทธิ์เรียกร้องใดๆ เขารู้ดี แต่ก็ยังหวัง....ว่าจะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นสักครั้ง ให้ร่างบางมายืนอยู่ที่ตรงหน้า
ในขณะที่กำลังก้มหน้าระงับความเจ็บปวดในหัวใจกับผืนทรายอยู่นั้น เท้าของใครบางคนก็ก้าวมายืนอยู่ตรงหน้า.....
และเมื่อเงยหน้าขึ้นไปนัยน์ตาก็ต้องเบิกกว้าง....ใบหน้าที่เขาเคยทำให้นองน้ำตานั้นก้มมองลงมาด้วยสายตาที่ไม่อาจบอกความรู้สึกได้เพราะมันก็กำลังไหวระริกเช่นเดียวกับดวงตาของเขา.....
เสียงเรือเพิ่งจะลอยละล่องเข้ามาที่ฝั่ง......วันนี้มันมาสาย......
และนี่คงจะเป็นโอกาสสุดท้ายที่เขาจะฉุดรั้งร่างบางเอาไว้ได้
เด็กหนุ่มค่อยๆลุกขึ้นยืนช้าๆ และมองตรงไปที่ใบหน้าของคุณหมอร่างบาง
“ ข้ารู้....ว่ามันคงยากที่เจ้าจะให้อภัย...แต่ถึงอยากไรข้าก็อยากจะขอโทษ” ร่างที่เคยทำร้ายเขามานักต่อนักก้มหัวลงให้เขา ทั้งใบหน้าและแววตาที่เคยนิ่งสนิทและมืดมน วันนี้มันกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกที่มนุษย์คนหนึ่งจะพึงมี....เสียใจกับการกระทำที่ผ่านมาของตน
แล้วอย่างนี้....นักบุญอย่างเขาควรที่จะให้อภัยหรือเปล่า?
ร่างบางค่อยๆหันหลังเดินจากไป....ท่าเรือนั้นอยู่ตรงหน้า....อีกไม่กี่ก้าวทุกอย่างระหว่างเราก็จะจบสิ้นลง....หากไม่อยู่ใกล้กันความเจ็บแค้นที่มีต่อกันมันก็คงจะลืมได้สักวันหนึ่ง รวมไปถึงเสียงเต้นของหัวใจที่มันแปลกไปนี่ก็ด้วย....
แต่ก่อนที่จะได้ก้าวไปยังสะพานปลาท่าเรือ มือหยาบกลับฉุดรั้งข้อมือบางเอาไว้
“ อย่าไป....” เสียงทุ้มของเด็กหนุ่มที่เอ่ยออกมาแค่คำเดียวแต่น้ำเสียงมันกลับสื่อออกมาได้ทุกอย่าง
มือยังคงฉุดรั้งเอาไว้อยู่แบบนั้นเนิ่นนาน....
“ หากวันนี้เจ้ายังไม่ยอมให้อภัยข้า...เอาไว้วันหน้าข้าจะค่อยๆขอโทษเจ้าจนกว่าจะพอใจ เพราะฉะนั้นอยู่กับข้าที่นี่ก่อน” ไม่พูดเปล่าเจ้าเด็กเอาแต่ใจกลับคว้ากระเป๋าของเขาไปถือเอาไว้ก่อนจะออกแรงลากเขาให้เดินตามกลับไป
น่าแปลก....ทั้งๆที่ควรจะต่อต้านแต่ในใจนั้นกลับเบาโหวงและโล่งใจอย่างน่าประหลาด
ที่ที่ยืนอยู่ตอนนี้ไม่ใช่ที่หน้าวัดแต่กลับเป็นที่หน้าบ้านหลังใหญ่....
“ ตั้งแต่นี้ต่อไป...ที่นี่คือบ้านของเจ้า....และเจ้าจะอยู่ที่นี่ในฐานะคนของข้า” คนของเจ้าในความหมายไหนกัน? เจ้าเด็กบ้าตรงหน้ายังคงทำอะไรตามแต่ใจตัวเองโดยที่ไม่ถามเขาสักคำ
“ ฉันจะกลับไปอยู่ที่วัด” ทั้งๆที่โดนลากเข้ามาในบ้านแล้วจนได้ แต่คุณหมอร่างบางก็ยังไม่ยอมทำตามที่บอกแต่โดยดี.....ความเจ็บใจในเรื่องที่ถูกทำร้ายเอาไว้มากมายจึงยังไม่อยากที่จะอยู่ใกล้มากนัก
“ คุณหมอมาพอดีเลย....ช่วยไปดูอาการให้ท่านพ่อหน่อยเถอะ....จู่ๆท่านก็ดูสีหน้าไม่ค่อยดี” ท่านหญิงผู้เป็นแม่ของเจ้าเด็กตรงหน้าจู่ๆก็โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ แต่ด้วยความที่มีจิตวิญญาณของความเป็นหมอเต็มเปี่ยมทำให้ร่างบางไม่สงสัยอะไรและรีบตรงดิ่งเข้าไปตรวจดูอาการคนป่วยแต่โดยดี....แต่หากหันมามองสักนิดก็คงจะเห็นใบหน้าคมของเด็กหนุ่มที่ลอบยิ้มให้กับแม่ของตน
“ ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอกนะครับ ที่ใบหน้าซีดเซียวอาจจะเป็นเพราะอากาศมากกว่าไม่ได้เกี่ยวกับโรคแต่อย่างใด” คุณหมอร่างบางอธิบายไปตามที่เป็น ชายชราที่นั่งอมยิ้มอยู่นี่ดูจะแข็งแรงดีด้วยซ้ำ
“ ถึงยังไงก็อยากจะขอร้องคุณหมอ....อาศัยอยู่ที่นี่เถอะนะคะ เผื่อว่าท่านพ่อเป็นอะไรแบบเฉียบพลันขึ้นมาอีก จะได้ช่วยกันทัน” ท่านหญิงผู้อ่อนโยนโค้งน้อยๆเพื่อเป็นการขอร้อง เหตุผลที่ว่ามาก็มีค่าควรที่จะพิจารณา เพราะถึงแม้ชายชราจะยังดูแข็งแรงอยู่แต่ก็ถือว่าอายุมากแล้ว จะประมาทไม่ได้
“ นั่นสิ....อยู่ที่นี่จะได้คอยดูแลเรื่องหยูกยาให้ข้าด้วย” ชายชรายิ้มแย้มทำตามแผนของลูกสะใภ้และหลานชายอย่างแนบเนียน
นัยน์ตาสีมรกตเหลือบมองใบหน้าคมของเด็กหนุ่มที่ดูเหมือนจะลุ้นอยู่ ก่อนที่จะตัดสินใจพยักหน้าลงไป....ฉันอยู่ที่นี่เพื่อดูแลคนป่วย ไม่ใช่เพื่อนายหรอกนะ
“ ถ้าเช่นนั้น ข้าไปเตรียมห้องให้เจ้าก่อนนะ” ใบหน้าที่ดูจะดีใจและรอยยิ้มสดใสซึ่งเขาไม่เคยเห็นจากใบหน้าของเด็กบ้านั่นทำให้ใบหน้าร้อนผ่าว นัยน์ตาสีมรกตเสไปมองอย่างอื่น ส่วนเด็กหนุ่มนั้นวิ่งจากไปแล้ว ในห้องจึงเหลือแค่คุณหมอกับคนไข้อีกครั้ง
“ ขอบใจเจ้าที่จะช่วยดูแลหลานชายของข้าให้” จู่ๆชายชราก็พูดขึ้นมายิ่งทำให้แก้มใสยิ่งแดงหนักขึ้น
“ ผมอยู่ที่นี่เพื่อดูแลคนป่วยอย่างท่าน ไม่ได้อยู่เพื่อดูแลเจ้าเด็กนั่น” ชายชราเอ็นดูในความปากแข็งของอีกฝ่าย
“ ถึงแม้ว่าเรื่องร้ายกาจที่เขาทำเอาไว้กับเจ้าจะอภัยให้ได้ยาก แต่ข้าเชื่อว่าเขาทำลงไปเพราะสนใจในตัวเจ้า.....เจ้าเคยได้ยินหรือเปล่าล่ะ....ว่าเด็กผู้ชายมักชอบแกล้งเด็กผู้หญิงที่ตนชอบ” ชายชราลุกขึ้นไปเปิดประตูเลื่อนซึ่งเชื่อมต่อกับห้องอีกห้องหนึ่งก่อนจะเดินหายเข้าไปและกลับออกมาใหม่อีกครั้ง.....ในใจร่างบางนั้นอยากจะเถียงกลับใจจะขาดว่าเขาเป็นผู้ชายไม่ใช่เด็กผู้หญิงที่เจ้าเด็กนั่นนึกจะชอบก็มาแกล้งกันได้แบบนี้
“ และข้ายังมั่นใจอยู่อีกอย่าง....ว่าพวกเจ้าจะอยู่เคียงข้างกันไปจนวันตายอย่างแน่นอน....” ดาบสีขาวเล่มหนึ่งถูกยื่นมาให้ สายตาของชายชราบ่งบอกว่าให้รับมันเอาไว้....
นัยน์ตาสีมรกตจับจ้องมองไปที่ดาบเล่มนั้น.....ความรู้สึกคุ้นเคยลอยอยู่รอบๆดาบทั้งๆที่เพิ่งเคยเห็นมันเป็นครั้งแรก....ด้วยลักษณะและลวดลายทำให้นึกไปถึงดาบสีดำสนิทของเด็กหนุ่ม.....ดาบซึ่งทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาเลยเถิดมาจนถึงขั้นนี้....
เล่มหนึ่งเป็นดาบยาวสีดำสนิทส่วนอีกเล่มเป็นดาบขนาดกลางสีขาว ทั้งลวดลายและเชือกที่พันอยู่ที่ปลอกดาบทำให้รู้ได้โดยไม่ยากว่ามันถูกสร้างเอาไว้คู่กัน…..
มือบางรับเอาดาบมาถือไว้ในมือ ให้ชายชรายิ้มด้วยแววตาที่อ่อนโยน.....
ข้าเชื่อมั่นจากใจจริงว่าพวกเจ้าจะอยู่เคียงข้างกันไปจนวันตาย....เหมือนกับเจ้าของดาบทั้งสองเล่มนี้ที่อยู่ด้วยกันจนลมหายใจสุดท้าย....
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
นั่นคือจุดเริ่มต้นของทุกสิ่งทุกอย่างระหว่างเราสองคน.....
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้.....ไม่ว่าจะต้องอธิษฐานอีกสักกี่ครั้ง....เราก็ยังวอนขอ....ให้เราได้พบกันแบบนั้นอยู่เช่นเดิม.....
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
เพราะพบ.....
จบบริบูรณ์........
ยังเหลืออีก 2 ซี่รี่ย์นะค้า....เลื่อนลงไปโล้ด....
ชอบมากกกก
ตอบลบ